ตัดหน้า HBO Max กันเลยทีเดียว เมื่อ Netflix ก็ได้สิทธิ์ฉายหนังของสตูดิโอจิบลิทั้ง 21 เรื่องเหมือนกัน โดยเริ่มฉาย 1 กุมภาพันธ์นี้ มาลงฉายทั่วนอกตลาดอเมริกาและญี่ปุ่น พร้อมซับไตเติล 28 ภาษา และพากย์ 20 ภาษา
ถือเป็นโอกาสดีที่การ์ตูนของสตูดิโอจิบลิจะเข้าถึงคนในวงกว้างมากขึ้น แม้ HBO Max จะได้ดีลนี้ไปเหมือนกัน แต่การบริการก็จะยังจำกัดไม่กี่ประเทศ ซึ่ง Netflix มีความสามารถในการส่งคอนเทนต์ให้เข้าถึงคนวงกว้างได้มากกว่า แต่หนังที่ฉายไม่รวมเรื่องสุสานหิ่งห้อยหรือ Grave Of The Fireflies (1988)
1 กุมภาพันธ์ หนังที่นำมาลงฉายมีดังนี้ Castle in the Sky (1986), My Neighbor Totoro (1988), Kiki’s Delivery Service (1989), Only Yesterday (1991), Porco Rosso (1992), Ocean Waves (1993), Tales from Earthsea (2006)
1 มีนาคม Nausicaä of the Valley of the Wind (1984), Princess Mononoke (1997), My Neighbors the Yamadas (1999), Spirited Away (2001), The Cat Returns (2002), Arrietty (2010), The Tale of The Princess Kaguya (2013)
1 เมษายน Pom Poko (1994), Whisper of the Heart (1995), Howl's Moving Castle (2004), Ponyo on the Cliff by the Sea (2008), From Up on Poppy Hill (2011), The Wind Rises (2013) , When Marnie Was There (2014)
ที่มา - Hollywood Reporter
Comments
พากย์ไทยด้วยเถอะ
ดีงามครับ
ถามหน่อยครับ การ์ตูนจากสตูดิโอนี้มันมีดีอะไรเหรอครับ ถึงได้เป็นตำนาน
ส่วนตัวเคยดู Spirited Away กับ Howl's Moving Castle ก็ไม่ค่อยเก็ทในเนื้อเรื่องเท่าไร ไม่เข้าใจว่าทำไมประสบความสำเร็จขนาดนั้น
Spirited Away ผมดูก็เฉยๆ แต่พอมาดูอีกรอบ ดันสนุกเฉยเลย นี่ถ้ามาลงคงดูอีก
น่าจะเป็นเพราะดีเทลมันเยอะ แล้วเราเก็บรายละเอียดรอบแรกไม่หมด
ไม่งั้นลองไปฟัง spoil ช่อง Snowball บน Youtube ก็สรุปไว้ดีเหมือนกันนะครับ
ส่วนตัวชอบงานภาพที่รายละเอียดของ อาหาร วิว มันสวยจนอยากเข้าไปอยู่
เนื้อเรื่องดีด้วยครับ
งาน craft ภาพยังวาดมือจำนวนมาก เช่นภาพอ background
ผมเองยังเก็บหนังสือชุด The Art of [ชื่อหนัง] ของ Ghibli อยู่หลายเล่มเลยครับ เหมือนหนังสืองานศิลปะ
lewcpe.com, @wasonliw
ความสนุกของคนเราก็ไม่เหมือนกันน่ะครับ อย่าไปคิดมากเลย
อย่าง Inside Out คนไม่ชอบก็เยอะ คนชอบมากก็เยอะ
เคยอ่านที่มีคนตีความจาก Spirited Away ไว้ ทึ่งมาก
รู้สึกเหมือนกันเลย รู้ว่าเป็นตำนาน แต่ไม่ได้อิน ไม่ได้ชอบอะไร
ส่วนตัวไม่ชอบสไตล์ลายเส้นเก่าด้วย
ผมก็เป็นหนึ่งในนั้นครับ ไม่อินเลยแต่เข้าใจว่ามันต้องมีจุดดีๆจริงๆแหละคนถึงชอบกันเยอะมาก
ต้องลองเลือก ๆ ดูครับ ถ้าใครเคยดูการ์ตูนมาตั้งแต่เด็ก ๆ น่าจะเพลิน ๆ กันทุกคน
Ghibli เรื่องแรกของผมคือ Princess Mononoke งานภาพ งานเสียง เนื้อเรื่อง สมบูรณ์แบบมาก หลังจากนั้นก็เป็นแฟนค่ายนี้จนลุงฮายาโอะเลิกทำไป เลยไม่ได้ติดตามต่อ
Princess Mononoke นี่เห็นด้วยเลยครับ สุดยอดมาก ๆ ขนาดรู้ตำนานคล่าว ๆ อยู่ก่อนแล้ว
แต่พอไปดูนี่ทึ่งมาก ทั้งเนื้อเรื่อง ภาพ เสียง ดนตรี เพลง มันกลมกล่อมลงตัวมากสุด ๆ จริง ๆ
ส่วน Spirit Away นี่คอนดูผมชอบแค่เรื่องของภาพนะ แต่พอไปอ่านที่เขาตีความแล้วจะทึ่งครับ แฝงนัยยะ สัญะต่าง ๆ เยอะไปหมดเลย แต่ยังไงเนื้อหาก็ย่อยยากอยู่ดี 555
ในโลกที่อนิเมชันมันใช้คอมพิวเตอร์ช่วยวาด หรือมีงาน 3D แล้ว แต่จิบลิเป็นหนึ่งในไม่กี่ข่ายที่ยังรักษาความเป็น
การ์ตูน 2D ที่วาดด้วยมือเป็นหลักอยู่ อีกทั้งงานของจิบลิยังมีที่เนื้อหาที่ "โต" ซึ่งทำให้เป็นการขยายขอบเขตของ
ของอนิเมชันว่าไม่ได้จำกัดว่าเป็นงานสำหรับเด็กอีกต่อไป (Spirited Away ระดับหนังเทศกาลเบอลินฟิล์มเฟส
เลยนะ ซึ่งถ้าดูไม่สนุกก็ไม่แปลก แต่ประเด็นในหนังมันลุ่มลึกมากตามสไตล์หนังรางวัล)
ถ้าเอาเรื่องที่ดูสนุกด้วย ดีด้วย แนะนำ Pompoko ครับ
Happiness only real when shared.
อย่าไปคิดมากครับ ผมเองก็ไม่ชอบ รู้สึกแย่นิดหน่อยเพราะเห็นคนชอบกันเยอะ
พอคิดไปคิดมา .. คนชอบ Star wars ก็เยอะ แต่ผมก็ไม่ชอบเหมือนกัน ก็เลยรู้สึกดีครับ 5555
ต้องดูสุสานหิ่งห้อยครับ เนื้อเรื่องมันดีมากครับ ซาบซึ้งปนเศร้า ที่เด่นสุดๆ คือสไตล์ของภาพมันสวยงามและถ่ายทอดอารมณ์ได้ดีมาก เป็นงานอาร์ตชั้นดี ไม่ใช่อนิเมชั่นดาดๆ
ดูจบแล้วถ้ายังไม่ชอบสไตล์จิบลิ ผมว่าผลงานของค่ายนี้คงไม่ถูกจริตท่านแน่ๆ
เพราะว่า
เนื้อเรื่องที่ลึกซึ้งกว่าแค่การ์ตูน ประเด็นมันจะไม่ใช่แค่ใครทำอะไรที่ไหน แต่ยิบย่อยในนั้นมันมีรายละเอียดซ่อนอยู่ เช่น Spirited Away ที่ตั้งใจจะทำให้เป็นการ์ตูนสอนเด็ก ก็ไม่ได้สอนแค่ว่าต้องเป็นคนดี ต้องขยันทำงาน แต่มีเรื่องสังคมในวัยทำงานที่เด็กจะต้องเผชิญ ความรับผิดชอบ ใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่น เด็กเล็กๆดูก็เป็นหนังแฟนตาซี เด็กโตดูก็เข้าใจอีกอย่าง ผู้ใหญ่ดูก็เห็นอีกมุม ผมดู 4-5 รอบ เจอประเด็นใหม่ๆในนั้นทุกรอบเลย หรืออย่างประเด็นเรื่อง feminism หรือเรื่องสิ่งแวดล้อม ที่อาจารย์ฮายาโอะ (Hayao Miyazaki หนึ่งในผู้กำกับและก่อตั้งสตูดิโอ) แกอินมาก แกก็มักจะใส่มาในเรื่องและถ่ายทอดในมุมต่างๆ ชัดสุดคงเป็น Princess Mononoke
งานโปรดัคชั่นระดับหนังใหญ่ ด้วยความละเมียดละไมแบบจะว่าเกินเหตุก็ได้ มีแค่บางเรื่องที่ใช้คอมพิวเตอร์ช่วย (บางเรื่องก็ทดลองใช้คอมพิวเตอร์ทั้งเรื่องไปเลย) ยิ่งถ้าเป็นงานของอาจารย์ฮายาโอะแกจะบ้าบอมาก คือทุกเฟรมวาดใหม่หมด ไม่มีใช้ซ้ำ ไม่มีตัวละครแช่นิ่งๆ ทำให้การเคลื่อนไหวมันดูเป็นธรรมชาติ ยิ่งฉากที่เป็นกิจวัตรประจำวันอย่างใส่รองเท้า ถอดเสื้อ คือมันดูละเมียดละไมจนไม่ได้รู้สึกว่าดูการ์ตูนอยู่ แต่ก็ส่งผลให้งบประมาณการสร้างแต่ละเรื่องสูงลิ่ว แถมใช้เวลานานมาก ทำงานกันหามรุ่งหามค่ำ (ใน Youtube มีคนอัพโหลดเบื้องหลังการสร้างเรื่อง The Wind Rises อยู่ ลองหาดูก็ได้ครับ)
ดนตรีประกอบ หลักๆมาจากฝีมือของอาจารย์โจ ฮิซาอิชิ (Joe Hisaishi) ประมาณ John Williams แห่งวงการอะนิเมชั่นก็ได้
เนื้อหาหลากหลาย มีตั้งแต่เบาสมอง แฟนตาซี เรื่องครอบครัว บู๊สนั่น ดราม่า หรือจะหนักข้อจิตตกไปเลย (Grave of The Fireflies ผมไม่กล้าดูอีก เศร้าเกินไป) ทุกเรื่องมีความละเมียดละไมไม่ขาดตกบกพร่อง คือถ้าดูเรื่องฮิตๆแล้วไม่ชอบ ถ้ามีเวลาลองกดดูเรื่องอื่นๆก็ได้ครับ Porco Rosso ก็สนุก ดูง่ายด้วย Pom Poko ก็ตลกครื้นเครงดี
จริงๆบางเรื่องยอมรับเลยว่ามันดูยาก เหมือนหนังรางวัล ถ้าใครไม่อินกับอะไรที่ว่ามาก็จะรู้สึกว่าทำไมมันดังจัง อาจจะเพราะมันเป็นการ์ตูนที่ไม่เหมือนการ์ตูนสักเท่าไหร่ (แต่ไม่ขนาดของ Satoshi Gon) แต่ก็เพราะว่ามันมีหลายแนว เว้น Tales from Earthsea ไปเรื่อง นอกนั้นผมว่าของดีหมด
พิมพ์ยาวมาก แสดงถึงความเป็นติ่งโดยแท้จริง สุดท้ายหวังว่า Nausicaa จะไม่เอาเวอร์ชั่นที่โดน Disney ยำมาฉายนะ
งานภาพ งานเสียง เพลงประกอบ และเนื้อเรื่องที่ไม่คิดว่ามันจะเป็นการ์ตูนครับ
ไม่เก็ทเหมือนกัน เคยดูตอนเด็กแล้วเฉยๆ ไม่รู้ว่าเด็กไป+ไม่ชอบหนังรักหรือเปล่า เดี๋ยวมา netflix แล้วลองอีกสักเรื่อง มันเทพยังไง
ไม่เคยดูสักเรื่อง แต่ชอบฟังเพลงมาก
ทำไม Grave Of The Fireflies ไม่มาด้วยหว่า
ผมชอบนะ งานดีไม่ต้องเว่อวัง
อารมณ์เดียวกับที่คนมักจะพูดกันว่าหนังรางวัลมักจะดูไม่รู้เรื่องนั่นแหละครับ
มันเป็นหนังที่มีความเป็นศิลปะสูง เด่นในเรื่องการถ่ายทอดอารมณ์และมีความหมายนัยยะแฝงมากมาย ดูสิบคนสิบครั้งก็ได้ไม่เหมือนกัน จนมีบทวิเคราะห์ตีความออกมามากมาย
แต่มันไม่ใช่หนังตลาดที่ย่อยง่าย ประเด็นต่างๆในเรื่องไม่ได้มีแฟลชแบ๊คหรือพูดเฉลยจากปากตัวละครว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ปล่อยให้เราคิดเองตามสไตล์ญี่ปุ่น ไม่ได้มีฉากไคลแมกซ์หวือหวาแบบหนังทั่วไป มันเลยจัดเป็นหนังที่ดูยากกว่าหนังตลาด เพราะดูแล้วต้องคิดตาม จนบางทีต้องดูซ้ำอีกรอบด้วย
ปล. ไม่ได้ดูถูกว่าหนังหรือคนดูแบบไหนดีไม่ดีนะครับ
ส่วนตัวชอบเพลงจากเรื่อง Whisper of the Heart และชอบเพลงที่เอาเพลง Country Road มาแปลงด้วย
อารมณ์การ์ตูนเรื่องนี้ประมาณวัยรุ่นตามหาความฝันของตัวเอง ใสๆ แต่ก็เดาว่าคงมีคนชอบเรื่องนี้ไม่มากเท่าไหร่