เมื่อปลายปีที่แล้ว เราเห็นข่าว Mozilla ถอดส่วนขยายของ Avast และ AVG เพราะเก็บข้อมูลผู้ใช้เกินความจำเป็น
วันนี้เว็บไซต์ 2 แห่งคือ PCMag และ Vice ร่วมกันเผยแพร่เอกสารภายในของ Avast ที่หลุดออกมา ยืนยันว่า Avast นำข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ไปขายให้บริษัทอื่นๆ จริง โดยผ่านบริษัทลูกของ Avast ชื่อว่า Jumpshot
Avast และ AVG (ซึ่งปัจจุบันเป็นผลิตภัณฑ์ในเครือ Avast) เก็บข้อมูลการท่องเว็บของผู้ใช้งาน ลงรายละเอียดถึงระดับทุกลิงก์ที่คลิก คำค้นที่ใช้ คลิปวิดีโอที่รับชม ฯลฯ ข้อมูลเหล่านี้ไม่ได้ระบุตัวตนของผู้ใช้ แต่ระบุอุปกรณ์ที่ใช้งาน (device ID) ซึ่งเจ้าของเว็บไซต์ (เช่น Google/Amazon) หรือนักโฆษณาสามารถซื้อข้อมูลเหล่านี้ไปรวมกับข้อมูลฝั่งของตัวเอง เพื่อตามรอยกลับได้ว่าผู้ใช้งานคือใคร
หน้าเว็บของ Jumpshot ระบุว่าขายข้อมูลผู้ใช้ให้กับบริษัทมากมาย เช่น Google, Microsoft, IBM, Unilever, Kimberly-Clack, Nestle, GfK, McKinsey & Company และในเอกสารที่หลุดออกมาก็ระบุว่า Jumpshot ขายข้อมูลการคลิกของผู้ใช้ให้กับ Omnicom บริษัทโฆษณารายใหญ่ของโลกด้วย
โฆษกของ Avast ระบุว่าหยุดเก็บข้อมูลผู้ใช้งานผ่านส่วนขยายของเบราว์เซอร์แล้ว แต่ PCMag ชี้ว่า Avast ยังสามารถเก็บข้อมูลจากซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัสในเครือ ซึ่ง PCMag ก็ประกาศถอด Avast Free Antivirus จากรายชื่อแอนตี้ไวรัสที่แนะนำแล้ว
Comments
ผมเชื่อข่าวนี้ เห็นพฤติกรรมแปลกๆ ใน Traffic log มาด้วยตัวเอง ขอไม่ลงรายละเอียด แต่ส่งข้อมูลบางอย่างกลับออกไปบ่อย และเยอะมากจริงๆ
WE ARE THE 99%
ถามเป็นความรู้หน่อย ถ้าเราใช้ Window 10 แล้วอัพเดท Window Defender สม่ำเสมอ ยังจำเป็นต้องลงโปรแกรม Antivirus ไหมครับ
เราลง malware byte ตัวฟรี สแกนอัตโนมัติเดือนละรอบ ไม่ก็สแกนช่วงที่โหลดไฟล์แปลกๆมา
ผมไม่ได้ลง antivirus ตัวอื่นเลยนอกจากที่มากับ windows ก็ไม่เจออะไรแปลกๆที่เครื่องนะครับ
และผมก็ไม่ได้เข้าเว็บแปลกๆหรือเว็บเถื่อนด้วย
ส่วนตัวก็ไม่ได้ใช้มาตั้งแต่ Windows 10
แต่ผมเชื่อว่ามันอยู่ที่พฤติกรรมการใช้งานมากกว่าครับ
การใช้ software แท้ เข้าเวบที่ปลอดภัย ไม่ใช้ flash drive มั่วซั่ว ก็ลดความเสี่ยงในการติดไวรัสลงไปได้เยอะครับ
สำหรับผม ผมมองว่าใช้ Windows 10 แท้ คอยอัพเดท patch (ส่วน service อะไรที่ไม่ได้ใช้ ก็ปิดไปให้หมด)
แล้วก็ใช้ Windows Defender ที่ติดมาด้วยก็พอแล้วครับ
(นักเจาะมือทองของกูเกิล ก็เคยพูดทำนองว่า
"ในบรรดาแอนตี้ไวรัส ตัวที่พฤติกรรมแย่น้อยกว่าเพื่อนก็คือ Windows Defender และทีม cybersec ของ Microsoft เองก็มีความสามารถสูงพอสมควร")
การที่เราไปลง antivirus เพิ่ม
แล้ว antivirus ขอสิทธิโน่นนี่นั่นไปเยอะ ๆ
attack surface ก็เยอะขึ้นตามไปด้วย
ถ้านักเจาะ เจาะผ่านทาง Antivirus
แล้วเจาะได้สำเร็จ
ทะลุที เละทั้งเครื่องเลยนะครับ
น่ากลัวกว่าไวรัสก็คือแอนติไวรัสนี่แหละ
ตั้งแต่ Win7 ผมก็ไม่เคยลง AntiVirus อีกเลย
ok ได้เวลา ถอด avast
The Dream hacker..
ผมนี่เลิกใช้ CCleaner กับบรรดา software ต่างๆของ Piriform ออกหมดเลยเพราะ Avast ซื้อไปเลย
กลัว Die Hard II หนีไป AVC2000 หนีไป Macfee หนีไป Norton หนีไป AVG หนีไป Avast หนีมา Microsoft
อ่านข่าวนี้จบลบ ลบ Avast อย่างไว
ไปหาข้อมูลเพิ่มว่า Windows 10 ใช้ built-in Antivirus ก็ได้ แค่เพิ่มตัว Malwarebytes
เคยหลงซื้อ lc avast 1yr อ่านข่าวนี้ถึงกับขำระลึกได้ว่าซื้อ lc Bitdefender นี่หว่า (แก่แล้วเลอะเลือน)
มีอันอื่นแนะนำไหมครับ
Malwarebytes ครับ ดีใจมากที่ซื้อคีย์ถาวรไว้ (เพราะหลังจากนั้นเป็นคีย์รายปีที่ราคาขูดเลือดมากๆ)
ถ้าของผมก็คง Kaspersky ครับ อีกอย่างตัวโปรแกรมใช้ภาษาไทยหมดทั้งโปรแกรมแถมแปลดีด้วย และไม่กินทรัพยากรเครื่องมากเหมือนโปรแกรมอื่น เลยใช้ตัวนี้ครับ
แค่มนุษย์คนนึงที่อยากรู้เกี่ยวกับวงการไอที
ทุกวันนี้ยังเชื่อสนิทใจอยู่เลยว่าคนที่สร้าง Virus ก็คือบริษัทที่ทำ Anti-Virus
รู้สึกโล่งใจเพราะเลิกใช้ไปหลายปีละ ตอนนี้ใช้ Windows Defender + Malwarebytes รู้สึกชอบมากๆ
ใช้ Bitdefender มาเกือบ 7 ปี ราคาถูกมาก ๆ แล้วยังไม่เคยโดนไวรัสหรือมัลแวร์เล่นงานอีกเลย
เข้าเว้บแปลก ๆ บ้างประปรายแต่ไม่บ่อย
เคยเอา Flashdrive ของลูกค้ามาเสียบแล้วมันเด้งเตือนไวรัสเรียกค่าไถ่ให้เลย
พอบอกลูกค้า เขายืนยันว่าไม่มี๊ไม่มีเครื่องเขาสะอาดลง Nod ด้วย เลยได้แต่กลอกตามองบน 555
ตั้งแต่ใช้ Bitdefender รู้สึกชีวิตปลอดภัยขึ้นเยอะ
ได้เวลาถอน
ลบแล้วใช้ windows defender มาสักพักละ license ยังเหลืออยู่เลยมั๊ง 555
แล้วต่อไป malwarebytes จะเดินซ้ำรอย avast ไหม
ไม่น่าเลย key หาง่าย 5555
ผมใช้ ESET ไม่รู้ว่ามันโอเคไหม แต่มันถูกดี ?