ช่วงนี้แวดวงธนาคารบ้านเรามีความเคลื่อนไหวน่าสนใจ โดยเฉพาะฝั่งงานด้านดิจิทัล-นวัตกรรม ล่าสุดธนาคารกสิกรไทยเพิ่งประกาศตั้งบริษัทลูกอีก 2 แห่งคือ KAITAI Technology ที่ประเทศจีน และ KASIKORN X ที่เน้นสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ นอกเหนือจากที่กลุ่มบริษัท KBTG ทำอยู่
Blognone มีโอกาสพูดคุยกับ “คุณกระทิง” เรืองโรจน์ พูนผล ประธานของ KASIKORN Business- Technology Group หรือ KBTG ที่ประกาศตัวว่าจะไปนั่งเป็นประธานของ KAITAI Technology ในประเทศจีนด้วยอีกตำแหน่งหนึ่ง ถึงความจำเป็นของธนาคารกสิกรไทยในการตั้งบริษัทใหม่เพิ่มอีก
เหนื่อยครับ (หัวเราะ) ปีแรกของการมาทำงานที่ KBTG ต้องบอกว่าเน้นที่เรื่องการสร้างรากฐานให้แข็งแกร่ง ปรับปรุงการดำเนินงาน (operation) ให้มีเสถียรภาพ เพื่อให้ไม่ต้องกลัวเรื่องปัญหาระบบล่มตอนสิ้นเดือนอีก
พอมาถึงปี 2020 จะเป็นปีที่เราเริ่มขยายตัวจากธุรกิจเดิมๆ แล้ว ดังจะเห็นได้จากการประกาศตั้งบริษัทใหม่อีก 2 แห่ง ทำงาน 2 เรื่องที่สำคัญสำหรับอนาคต
นอกจากนี้จะขยาย API ของแบงค์สำหรับเปิดให้พาร์ทเนอร์เข้ามาเชื่อมต่อ เพราะมานั่งปรับระบบ (customize) ท่อให้พาร์ทเนอร์ทีละรายคงไม่ไหว สู้ทำ Open API ให้เป็นมาตรฐานเลยดีกว่า เรามี API แล้วประมาณ 50 ตัว ตั้งเป้าเปิดให้ได้ครบ 100 ตัว
ก่อนหน้านี้ KBTG มีบริษัทลูกทั้งหมด 5 รายคือ KServe, KPro, KSoft, KLabs และ KBTG Secretariat ที่ดูแลการบริหารตรงกลาง
ปีนี้เราจะตั้งอีก 2 แห่งคือ KAITAI Tech กับ KASIKORN X
KAITAI Tech นี่ชัดเจนว่าเราต้องการเข้าไปในประเทศจีน มีเป้าหมายอยู่ 2 เรื่องคือ หานักพัฒนาจีนมาเสริมทัพของทีม เพราะคนไทยอย่างเดียวไม่พอ กับการต่อท่อเพื่อหานวัตกรรมจากฟินเทคจีน ที่มีอยู่เยอะมาก
เรื่องการจ้างคนเป็นอีกปัญหาที่เราเจออยู่ ต้องบอกว่า KBTG ไม่มีปัญหาเรื่อง Head Count หรือโควต้าการจ้างพนักงานเลย มีแต่ Underhiring คือจ้างคนเข้ามาไม่ทันกับที่ต้องการ ตอนนี้เราขาดคนอีก 900 ตำแหน่ง ต้องทำทุกทางให้ได้คนมา แถมคนไทยอย่างเดียวไม่เพียงพอแล้ว นอกจาก KAITAI Tech ที่จะไปจ้างคนจีนมาทำงาน ตอนนี้เรามีศูนย์พัฒนาในเวียดนามแล้วด้วย ซึ่งมีพนักงานประมาณ 100 คน หากใครสนใจร่วมงานกับทาง KBTG ที่นี่เลย: Recruitment@kbtg.tech
พอเริ่มมีพนักงานจากหลากหลายเชื้อชาติ ไม่ใช่คนไทยอย่างเดียว เรื่องวัฒนธรรมการทำงานก็ต้องปรับให้ทันสมัยขึ้น องค์กรต้องเป็น Multi-Culture และ Multi-Location ด้วย
KASIKORN X เป็นอีกโมเดลคือเราอยากทำอะไรที่ใหม่มากๆ ไปไกลกว่าโมเดลของธนาคารเดิม ตอนนี้ KBTG ทำเรื่อง Payment หรือ Lending อยู่แล้ว แต่นั่นอยู่บนพื้นฐานของแบงค์เดิม แค่เอาเทคโนโลยีมาใช้ให้เกิดประสิทธิภาพดีขึ้น
สิ่งที่ KASIKORN X จะทำคือคิดบริการทางการเงิน (Financial Service) ใหม่ๆ เริ่มจากศูนย์เลย เริ่มจากแนวคิดว่าถ้าเราต้องสร้างบริการการเงินรูปแบบใหม่ๆ ในยุคนี้ เราจะสร้างมันขึ้นมาอย่างไร ตรงนี้คงต้องใช้เวลาอีกสักพักใหญ่ๆ กว่าจะเห็นผล และเราจะไม่ประกาศข่าวใดๆ หากยังไม่มีผลิตภัณฑ์ที่ใช้ได้จริง ซึ่งปีนี้น่าจะเข็นออกมาได้สักตัวหนึ่ง
นอกจากตัวผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างกันแล้ว วัฒนธรรมองค์กรของ KASIKORN X จะรันแบบสตาร์ตอัพเลย โมเดลการจ่ายค่าตอบแทนจะอิงตามผลงานของบริษัท แน่นอนว่าเสี่ยงกว่า แต่เราต้องการคนที่คิดอีกแบบ คิดแบบสตาร์ตอัพจริงๆ เสี่ยงสูง ผลตอบแทนสูง เคลื่อนที่เร็ว ในขณะที่ KBTG ยังมีความเป็นแบงค์อยู่เยอะ
ตอนนี้ KASIKORN X มีคนทำงานอยู่ประมาณ 4 คน ตั้งเป้าว่าจะได้สัก 15-20 คน ยังไม่มีคนมาเป็น CEO ก็กำลังมองหาอยู่
จริงๆ เราจดทะเบียนอย่างเงียบๆ ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2560 แต่ยังไม่ได้ประกาศ ส่วนทำไมถึงชื่อ KASIKORN X นั้น ขอยังไม่บอกครับ และส่วนของ KAITAI Tech กำลังอยู่ระหว่างจดบริษัทในประเทศจีน
ตอนนี้ไม่ค่อยกลัวปัญหาเรื่องระบบล่มแล้ว สิ่งที่กลัวคงเป็นการเข้ามาของผู้เล่นหน้าใหม่ๆ จากอุตสาหกรรมอื่น เข้ามา Disrupt เรา
ผมเคยเป็นคนที่ลงทุนในบริษัทที่ไป disrupt คนอื่น ก็รู้ดีว่าคนพวกนี้บทจะโผล่มา เขามาเลยแบบไม่ให้ทันตั้งตัว ตรงนี้ล่ะครับที่น่ากลัวมากกว่า
สิ่งที่ไม่กลัว คือ ผู้เล่นที่เป็นธนาคารหน้าใหม่ๆ ที่เป็น Pure Digital Bank คือมีแต่ธนาคารอย่างเดียว เพราะ KBank เองมีฐานลูกค้าดิจิทัลบน K PLUS ถึง 12 ล้านคนแล้ว คู่แข่งต้องมาสร้างใหม่หมด ตามเราให้ทันไม่ใช่เรื่องที่ง่าย
ฝั่งของ Digital Lending หรือการปล่อยกู้ดิจิทัลรายย่อยก็ไม่กลัวนัก เพราะการปล่อยกู้ต้องไปวัดกันที่ว่าปล่อยกู้ได้จริงๆ ไหม และเป็นหนี้เสียหรือไม่ ซึ่ง KBank มีประสบการณ์ด้านปล่อยกู้มายาวนาน ช่วยแก้ปัญหาความเสี่ยงตรงนี้ได้ ถ้าเป็นผู้เล่นหน้าใหม่ที่ไม่มีประสบการณ์ปล่อยกู้เลย แถมต้องมาปล่อยกู้รายย่อยที่ไม่มีอะไรค้ำประกันอีก ก็ไม่ง่าย
แต่สิ่งที่กลัวคือผู้เล่นที่มาจากอุตสาหกรรมอื่น เป็น Non-Bank ที่ใช้ฐานลูกค้าที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์ แล้วมาขอไลเซนส์แบงค์ ตัวอย่างในสิงคโปร์ก็มีอยู่หลายราย เช่น Grab ที่จับมือกับ SingTel มาขอไลเซนส์แบงค์ เป็นต้น
Comments
“ก่อนหน้านี้ KBTG มีบริษัทลูกทั้งหมด 5 รายคือ KServ, KPro, KBTGSec, KLab และ KBTG Secreatariat ที่ดูแลการบริหารตรงกลาง”
บริษัทที่ 3 ซ้ำกับบริษัทที่ 5 นะ
Ooh
ไม่เหมือนกันครับ อันที่ 3 คือ Security
KBTGSec ย่อมาจาก Secretary ครับ พวก HR บัญชี etc
ใต้ KBTG มี beacon interface ด้วยครับ ถ้าใครยังจำได้กับ แอปบีคอนของคนพิการ น่าจะปิดตัวแอปไปแล้ว ตอนนี้น่าจะมีแต่ UX/UI ที่อยู่ในกลุ่มบริษัทนี้
ส่วนบริษัท KBTG ไม่เคยได้ยินครับ
ก่อนหน้านี้มี KServe กับ KSoft ครับ ตามโครงสร้างเดิม KSoft คือประจำทีม KServ เหมือ development pool ตอนคุณกระทิงเข้าไป เหมือนจะรวม 2 บริษัทนี้เข้าด้วยกัน ไม่รู้กระบวนการถึงขั้นไหนแล้ว
ทีม security น่าจะอยู่ใน KPro ซึ่งเป็นพวก operation ไม่ก็ soft ไม่ก็ serve ตามลำดับ ผมไม่มีข้อมูล
เห็นประกาศรับสมัครงาน kbank อยู่เมืองทองงี้ อย่างไกล รถไฟฟ้าไปไม่ถึง ทำไมไม่ลองมีออฟฟิศในใจกลางเมืองดูบ้าง หรือออกไปตั้งต่างจังหวัดอย่าง ชลบุรี เชียงใหม่ ภูเก็ต เผื่อมี dev ที่อยากหนีออกจากกรุงเทพ
ได้ยินว่ากรุงเทพฝั่งเหนือ dev เยอะมากครับ เพราะบ.ไอทีเองก็เปิดตั้งแต่สีลม แล้วก็เลื่อนขึ้นเหนือไปเรื่อย ๆ ออกไปทางพหลโยธินบ้าง รัชดาภิเษกบ้าง แล้วใกล้ ๆ กันก็มี Software Park อยู่ด้วย
เปิดตรงนั้นไม่ได้แย่มากครับ ในมุมมองของเขานะ
เอาจริง ๆ คือไอทีของกสิกรเหมือนจะอยู่ตรงนั้นเกือบหมดเลยมั้ง ได้ยินว่าน่ะครับ เคยได้ยินว่ามีการย้ายคนจากราษฎร์บูรณะไปด้วย แต่คือไอทีเค้าส่วนใหญ่อยู่ที่อารีแต่แรกอยู่แล้วล่ะมั้ง ย้ายขึ้นเหนือไปอีกหน่อย
เคยได้ยินว่า กสิกรไปร่วมพัฒนาหลักสูตรให้มจธ.สอนภาษาโคบอลด้วย ซึ่งจริง ๆ มองว่าเป็นเรื่องดีเพราะคนที่เรียนมจธ.เองก็คงอยู่แถว ๆ ราษฎร์บูรณะแหละ แต่ตอนนี้คงไม่มีแล้วมั้ง ย้ายไปเมืองทองหมดละนี่?
ปล.ทั้งหมดที่ว่ามา คือ "เคยได้ยินว่า" ทั้งหมดเลยครับ อาจจะไม่จริงเลยสักเรื่องก็ได้นะ
สีลม รัชดา อารี พวกนี้รถไฟฟ้าเข้าถึง ออฟฟิศเยอะ เดินทางสะดวก แต่เมืองทอง ไกลเกินครับ ถ้าไม่ขับรถไปก็ไม่สะดวกเลย ซึ่งมันก็ทำให้ dev หลายคนไม่ไปเพราะปัจจัยพวกนี้ด้วยส่วนนึง
รอเดือนมีนาคมครับ แถวสามย่าน
https://techsauce.co/saucy-thoughts/kbank-the-office-space-new-agile-samyan
มีรถตู้จากอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ กับจตุจักรครับ ขาไปจอดข้างตึก KBTG เลย ใช้เวลาเดินทางเท่ากันทั้งสองสาย แต่อนุสาวรีย์ฯ น่าจะถี่กว่าเวลารอเลยสั้นกว่า
ถ้าโล่ง 30 นาที
ถ้าเวลาเร่งด่วน 1 ชม
ถ้ารถติดพิเศษ 1.5 ชม
อนาคตมี monorail สายสีชมพูผ่าน
ก็น่าจะสะดวกขึ้นอีกนิดนึง
น่าจะต้องการพื้นที่เพื่อทำแนวแคมปัสครับ ไม่ต้องการตึกสูง
สำนักงานใหม่ ใจกลางเมืองกำลังจะเปิดครับ ติดจุฬาเลย
ตรงเมืองทอง กลายเปน แจ้งวัฒณะ valley 555
หลายเดือนก่อน เคยได้งานที่ KBTG ที่เมืองทอง เซ็นสัญญาแล้วเหลือแต่ไปเริ่มงาน แต่ก็ต้องปฏิเสธไป เพราะไกล และเดินทางไม่สะดวก แต่ถ้าเป็นสามย่านก็น่าสนใจนะ
ถ้าแถวสามย่าน แหล่มครับ
ดีจัง