มาถึงสัปดาห์นี้ ชาว Blognone หลายคนน่าจะต้องทำงานจากที่บ้าน (Work from Home) กันแล้ว Ask Blognone จึงขอเชิญชวนมาร่วมแชร์ประสบการณ์กันว่า ทำงานจากที่บ้านอย่างไรถึงจะเวิร์ค แต่ละคนมีบทเรียนอะไรกันบ้างทั้งด้านบวกและด้านลบ (Do & Don't) เพื่อให้การทำงานของทุกๆ คนราบรื่นกันมากขึ้นครับ
ภาพจาก Pixabay
Comments
เอาเรื่องง่าย ๆ (= เรื่องเสียเงิน) ก่อนละกันนะครับ
ซื้อเว็บแคม + เฮดเซ็ตที่คุณภาพดีหน่อย เวลาคุยกับเพื่อนร่วมงานจะดีกว่าไอ้กล้องหัวโน๊ตบุ๊คห่วย ๆ มากครับ (แนะนำ Logitech C9xx + H4xx) เรื่องเฮดเซ็ตนี่ทำผมตกงานมาครั้งนึงละ ฝั่งตรงข้ามฟังเราไม่รู้เรื่อง (ฮา)
แล้วก็ อีกเรื่องนึงที่สำคัญมากสำหรับ Video Conferrence คือแสงไฟในห้อง กล้องเว็บแคมจะค่อนข้างกินแสงมาก แสงไฟในห้องในบ้านปรกติส่วนใหญ่จะไม่สว่างขนาดนั้น อาจจะต้องใช้ไฟสว่างพอ ๆ กับในอาคารสำนักงานทั่วไป ระหว่างการคุยผมว่าหาไฟมาเปิดที่ด้านข้างซ้ายขวาข้างจอด้วยจะดีกว่าครับ (ถ้าเอาแบบให้ดูดีมากกว่านั้นอีกหน่อยให้ใช้ไฟสองด้านที่สว่างไม่เท่ากัน)
เรื่องไฟ การวางง่าย ๆ อันนึงคือใช้ระบบที่เรียกว่า 3 point lighting system ซึ่งถ้าทำจริงจัง ดูดีขึ้นมากแน่นอน แต่มันวุ่นวายตอนเซ็ต ยิ่งถ้าต้องแสตนด์บายรับสายแน่นอนว่าคงน่ารำคาญ ดังนั้นผมว่ามีแค่ไฟสองดวงซ้ายขวาข้างๆ จอ ก็น่าจะพอแล้ว
ไม่ลองใช้มือถือแทน น่าจะได้ ทั้งคุณภาพ ภาพและเสียงดีกว่า
กล้องหน้ามือถือกับกล้องเว็บแคม มันก็ใช้เซ็นเซอร์ตัวเดียวกันแหละครับ :P
Edit กล้องมือถือรุ่นท๊อป ๆ สมัยนี้กล้องหน้าน่าจะดีแล้วแหละครับ แต่ตอนที่ผมเคยใช้มันห่วยสุด ๆ เลย (ฮา) ก็เลยไม่ใช้อีก
แล้วก็บางทีเราจำเป็นต้องแชร์หน้าจอด้วย ซึ่งถ้าไป conferrence บนมือถือแทนมันแชร์หน้าจอบนพีซีไม่ได้น่ะครับ
Skype, Microsoft Teams ทำได้ครับ แชร์หน้าจออุปกรณ์เลยก็ได้ หรือคุยบนโทรศัพท์อยู่ก็มากดแชร์หน้าจอคอมโดยยังคุยผ่านโทรศัพท์อยู่ได้เลย ผมทำแล้วสะดวกดีครับ หรือบางทีคุยบนคอมอยู่แต่เราไม่ได้พูดก็กดเข้าร่วมบนโทรศัพท์ไปด้วยแล้วปิดไมค์เพื่อไปเข้าห้องน้ำหรือไปหยิบของก็ได้
แชร์หน้าจอนี่แชร์ cursor, keyboard ได้ด้วย คนอื่นจะเห็นเมาส์ของทุกคนที่แชร์อยู่แล้วมีสัญลักษณ์บอกว่าคนไหนกำลัง control อยู่ด้วย (นับจากคนคลิกเมาส์ล่าสุด)
ทำแบบนี้เหมือนกัน หูฟังไอโฟนมันเสียบคอมไม่ได้ บางทีอยากใส่หูฟังมากกว่า
เห็นด้วยครับ ใช้มือถือแทน หรือ ipad แทน ดีกว่า laptop เยอะ
(ไม่รวม macbook นะเพราะของเค้าคุณภาพ ok ไมค์และระบบตัดเสียงรบกวนดีมาก)
เห็นด้วย
ผมลองใช้ webex เสียงหอน ทั้งห้องเลย จนลองเอา สมอลท๊อคมือถือมาเสียบเเทนถึงหาย
สมัยก่อนผมใช้โคมไฟอ่าหนนังสือช่วยครับ
เริ่มต้นก่อนนะครับ ปรับ habit ที่อาศัยอยู่ในบ้านก่อน ส่วนตัวค่อนข้างปรับส่วนนี้ยากพอสมควร แต่ก็ต้องปรับครับ อันนี้จำเป็นมาก ๆ
ระดับถัดมาคือ จัดวาง schedule การคุยงานที่ชัดเจน และควรมีการบันทึการประชุมทุกครั้งที่มีการทำงาน เพราะถ้าหาก schedule การคุยงานไม่ชัดเจน คนอื่นจะเสียการงานหมดครับ เจอมาเมื่อสักครู่นี้เอง ดีเลย์เป็นชั่วโมง สุดท้ายก็คุยแค่ 10 นาที
สุดท้ายครับ utilized ตัว tool ให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด อย่างแรกต้องดูสถานการณ์ในองค์กรว่าเป็นอย่างไร policy ปรับได้ระดับไหน ถ้าปรับไม่ได้ก็พยายาม leftover ให้ได้มากที่สุด การสนทนางานควรจะเป็นช่องทางสนทนาโดยเฉพาะ ไม่ควรปนกับเรื่องส่วนตัว (เช่น ไม่ควรใช้ LINE) มี tool อะไรที่ช่วย keep track งานอะไรได้บ้างก็ใช้ และถ้าหากเรื่องด่วนหรือเสียเวลาพิมพ์ ควรโทรคุยกันจะดีที่สุด
Coder | Designer | Thinker | Blogger
spammer โดนเล่นไปแล้ว
กำลังจะได้ work from home แต่ยัง set environment ไม่เรียบร้อยดี คิดว่าวันสองวันแรกคงตะกุกตะกักบ้าง แต่หลังจากนั้นน่าจะต้องใช้ตัว tracking ทั้งหลายมาช่วยให้ตัวเองทำงานโดยไม่หลุด scope ซึ่งก็ใช้เป็นประจำอยู่แล้ว
เรื่องที่สำคัญอันดับหนึ่งคือ Response time ครับ โดยปรกติบริษัทผมนัดกันว่า 10 นาทีในช่วงเวลาปรกติ
ถ้าจะไปเข้าห้องน้ำนาน ๆ หรือไปกินข้าวก็พิมพ์บอกครับ พักกลางวันกี่โมงถึงกี่โมง
ที่ค่อนข้างลำบากคือ VPN ครับ เพราะคนใช้เยอะ ๆ มันจะหน่วงมาก เลยจะต้องช่วยด้วยการเปิด ๆ ปิด ๆ ตามจังหวะใช้งานครับ
ช่วงแรกจะลำบากหน่อย แต่ถ้าเข้าที่จะลื่นดีครับ
ขอเล่าประสบการณ์เมื่อก่อนละกันครับ
สมัยนั้นเอาบ้านมาทำบริษัท แน่นอนว่าไม่ต้องกระดิกไปไหนเลยก็ว่าได้ ทุก3-5วันจะมีสิ่งนึงที่สำคัญมากคือออกไปซื้ออาหาร เอาเข้าจริงตุนเบียร์ไว้ (เยอะจนเอาขวดมาถมที่ได้) สำหรับงานก็ rdp เข้าไปดูมั่ง เขียนโค้ดก็รันบน production เลย(จริง) บางทีกลับไปอยู่บ้านยาวๆหลายเดือนก็ใช้ Skype คุยกัน ส่วนมากชวนเล่น dota, รองลงมาคือด่ากันนิดหน่อย ไม่สนเรื่องวีดีโอเพราะภาพแตกเละเทะมาก สนที่ผลงานมากกว่า
สิ่งที่สำคัญอย่างหนึ่งคือต้องทำความเข้าใจกับคนที่บ้าน และรู้ว่าเราต้องทำงานครับ
+8
"ไอ้เวร งนั่งทำห่อะไรอยู่ตรงนั้นทำไมไม่ช่วยกูทำงาน" - นั่นคือ W@H ในตอนนั้นครับ ทุกวันนี้ก็ไม่ต่างกันแม้จะเปลี่ยน job มาสอนเด็กก็ตามที
หาเก้าอี้ดีๆ ไม่งั้นปวดหลัง
ตอนแรกที่ได้รับคำสั่งให้ WFH แว่บแรกคือห่วงคนที่บ้านแบบต้องมาถามว่าได้กินอะไรหรือไม่ เป็นไงบ้า แต่ผมพอเริ่มทำงานก็จะไปทำในส่วนของใครของมัน (ก็จะมีแว่บๆมาถามบ้างว่า ตรงนี้ทำไง เปิดนี้ยังไง) อันนี้หายกังวล
แต่อันที่เหมือนจะเริ่มเป็นปัญหาจริงๆคือเก้าอี้นี้ละ คนละเกรดกระบริษัทเลย แต่ตั้ง position จอแบบที่ทำงานเป๊ะๆ ทำไป4-5 ชั่วโมงเริ่มปวดไหล่ละ คงต้องเริ่มหาเก้าอี้ดีๆแล้วละ
แต่่ที่เป็นปํญหาแบบที่รับไม่ได้และแทบอยากจะกลับไปทำที่บริษัททันที คือสิ่งที่เกิดขึ้นหลังต่อ VPN พวก tool สำคัญๆที่ต้องใช้งานกลับใช้ไม่ได้ หรือใช้ได้จะเด้งทุก 10-20 นาทีหรือไม่โหลดเลย แต่หน้าที่ไม่ค่อยได้ใช้ดันเข้าได้สบายๆเฉย มันไม่ได้สิ!!!
และเวลาที่สำคัญมากๆที่ต้องใช้ tool ดังกล่าวตอนกำลังคุยกับลูกค้าในสาย โยนข้อมูลสำคัญในไลน์ แท็คซุปเรียบร้อยปุ๊บประมาณ4-5 นาทีข้อมูลกว่าจะมา แต่ลค.ที่คุยคือรอนานไม่ได้นี้ละ ถ้าดูข้อมูลจากบ้านได้คือแค่ 1-2 นาที ก็ปรึกษา(หรือไปบ่น)กับไอทีก็ให้ทนไปก่อนรอให้เสถียรก่อน ซึ่งกลับมาใช้งานได้ปกติคือหลัง 6 โมงเย็น
หากตอนนี้ให้เลือกระหว่างงานหรือเสี่ยงติดโรค ขอเรื่องงานโดยฝ่าไวรัสไปทำงานที่บริษัทเพื่อให้เข้าถึง tool สำคัญๆได้ ดีกว่าอยู่บ้านแล้วใช้ tool สำคัญๆไม่ได้ ละก็ performance ไปอีก
EDIT : สรุปทำงาน WFH มันดี แต่พวก tool ต้องมีความพร้อมในระดับหนึ่งด้วยยอมช้าไม่เป็นไรเข้าใจได้ แต่เล่นเด้งออกหรือไม่โหลดเลยมันไม่ได้ และอย่าลืมหาเก้าอีดีๆมาใช้งานครับ
Mekokung's Story บล็อกส่วนตัวที่ย้ายไป Blogger แล้วนะ
ต้องปรับทัศนคติกับบางกลุ่มคนก่อนว่า
WFH = ทำงานอยู่บ้าน ไม่ใช่การหยุดอยู่บ้านดู netflix เล่นกับหมาแมว สโลว์ไลฟ์ไปวันๆ...
เพราะที่ทำงานเจอคนประเภทนี้จริงๆ เขาประกาศเป็นกลุ่ม WFH ก็แบบ เย้ๆๆๆๆ เลยทีเดียว เราก็เบะปากมองบนให้มันเห็นเลย
คนมีลูกแบบผม เหนื่อยนิดนึง
ลูกมากวนตลอด
วิธีการคือ นั่งทำงานแล้วล็อคห้องด้วย
บอกแฟนว่า ปะป๊าทำงานอยู่
ออกจากห้องตอนพักเที่ยง ทานข้าว แล้วขึ้นมาทำงานต่อ
ส่วนเรื่องงาน ไม่มีปัญหาอะไร บริษัททำงาน support ลูกค้าแบบ offshore อยู่แล้ว
เครื่องมือเครื่องไม้ในการทำงานมีครบ
เพื่อนผมนี่โดนเจ้านายมารีดไถข้าวตั้งแต่วันแรกที่ทำงานที่บ้าน แถมมารีดไถตอนประชุมด้วย
ผมว่าพอ WFH แล้ว task ที่เคยใหญ่ๆพราะเราสามารถถามอัพเดตได้ตอนอยู่ออฟฟิศ ต้องพยายามแตกให้เล็กระดับวันให้ได้เพื่ออย่างน้อยสามารถเห็น progress ได้ง่ายขึ้น และทำให้ schedule มีความชัดเจนมากขึ้น
อยากฟังคนทำ WFH มาแบบจริงจังมากกว่า
1. ชั่วโมงทำงาน นานแค่ไหน
2. แบ่งเวลาไม่ได้ เลยต้องเก็บงานมาทำนอกเวลา จริงแค่ไหน
3. งานที่มีกำหนดส่งที่ชัดเจน ต้องแอบเอามาปั่นวันหยุดอยู่ดี
เขามาดูคนเห่อ wfh ?
การ call ไม่จำเป็นต้องใช้หูฟังนะครับ เปิดลำโพง กับ ไมค์ปกติก็ได้
เท่าที่ถามปลายสาย เสียงมันก็ไม่เข้าไมค์จนฟังไม่รู้เรื่องนะครับ
(ผมใช้ไมค์ condenser ทีตูดเสียงดีกว่าปกติ มันก็ใช้ได้)
เครื่อง อาจต้องมี Ram มากกว่า 8
(เครื่องพี่ที่ทำงาน ram 8 run MS Team พร้อมกับ dev ไปด้วยไม่ไหว)
ตามจริงอุปกรณ์มันก็เหมือนกับทำงานที่ office นั่นแหละ
เพียงแค่ต้องมีความรับผิดชอบต่อตัวเองให้ได้ แค่นั้นเลย ?
ปล. เห็นคนเว็บนี้ดูถูกคนกลุ่มนึงที่ใช้ Line ประชุมงาน อยากทราบมาตรฐานว่าต้องใช้ไปรแกรมหรือแอพอะไรเหรอถึงจะดูเริศหรูไฮโซ ไม่โดนเหยียด Skype, MS Team หรืออะไร?
ประเด็นคือ LINE ไม่ได้ออกแบบมาให้คุยงานครับ เพราะมันมีเรื่องแชตส่วนตัวด้วย ที่คนไม่อยากคุยงานผ่าน LINE เพราะมันจะเป็นการปนเรื่องส่วนตัวกับเรื่องงาน
นอกจากนี้ ยังมีประเด็นเรื่องฟีเจอร์บางอย่างของ LINE ที่ไม่ตอบโจทย์การทำงาน เช่น การแบ่งห้องกันมากมาย ไม่มีการจัดระเบียบห้องที่พูดคุยกัน (คือห้องแชต LINE จะเป็นระดับเดียวกัน เวลาแบ่งตามโปรเจกต์จะสับสนกับผู้ค้นหาห้องที่สนทนา จนเกิดการส่งผิดห้องบ่อยครั้ง) รวมไปถึงไฟล์หายเมื่อผ่านไปสักพักหนึ่ง
ส่วนตัวแล้ว Microsoft Teams, Slack หรือพวกที่เป็น Chat for Work (ของ LINE ก็มี LINE WORK นะ แต่ไม่เข้าไทย) จะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการสนทนาผ่าน LINE
Coder | Designer | Thinker | Blogger
จริงๆ มันมาจากจุดกำเนิดที่เกิดมาเป็น 1:1 chat และไม่ได้เตรียมพร้อมสำหรับการแชทที่เป็นกิจลักษณะ ก็เลยค่อนข้างไว้ใจได้ยาก สำหรับการเอามาทำงานครับ เอาแค่ค้นหาหัวข้อเก่าๆ ที่เคยคุยกัน แค่นี้ก็เหนื่อยแล้วครับ
ไม่ได้เหยียด แต่การใช้ line ความรู้สึกมันก็เหมือนให้พิมพ์หนังสือราชการด้วย notepad ครับ
ถ้าได้อยู่ในหน่วยงานราชการที่บุคลากรระดับปฏิบัติงาน ต้องอยู่มันทุกห้องของกลุ่มงานราชการ คนนึงอยู่ 20 ห้อง แล้วบางทีมีหนังสือแจ้งเรื่องสำคัญมา พี่ท่านก็ลงให้มันหมดทุกห้อง แล้วยังมีเรื่องเฉพาะของห้องนั้นเข้ามาอีก บางห้องก็เรื่องซ้ำซ้อนกัน เวลาเปิดขึ้นมาอ่านแต่ละที ลำดับห้องก็มั่วซั่วสลับไปมาตลอด ยิ่งบางเรื่องต้องสืบค้นย้อนหลัง ระบบก็ไม่อำนวยกับการค้นหาด้วย ไหนจะการฝากไฟล์ที่เก็บไว้แค่สองอาทิตย์อีก ฯลฯ
ไหนจะมีสติกเกอร์สวัสดีบ้าบออะไรอีกเพียบ หรือชอบนอกเรื่องไปไกล ซึ่งพอเป็นแอพสำหรับทำงานจะไม่มีอะไรแนวนี้โผล่มา บรรยากาศจะเป็นอีกแบบนึง
เทคโนโลยีไม่ผิด คนใช้มันในทางที่ผิดนั่นแหละที่ผิด!?!
วินัยในตัวเอง ชั่วโมงทำงานต้องชัดเจน
อย่างปกติเราเข้า 09.00 น. พัก 13.00-14.00น. ออก 18.00 น.
คือต้องทำแบบนั้นจริง ๆ เราอาจตื่น 08.45 กินข้าวกินกาแฟ แล้วก็มานั่งทำงานจริง ๆ เที่ยงพักคือพักพับคอม กลับทำงานต่อคือทำให้ถึงหกโมงแล้วเลิกพับคอม ไม่งั้นเราจะกลายเป็นทำงานตลอด ไม่ก็ไม่ได้งานเลยต้องระวังตรงนี้มาก ๆ โดยเฉพาะสายไอที ที่ขออีกนิด คือ 1 ชั่วโมงไปแล้วยังไม่ลุก
"1 ชั่วโมงไปแล้วยังไม่ลุก"
ผมตั้งนาฬิกาทรายไว้บนโต๊ะ
ทีมผมทำแบบนี้ครับ
1.กำหนดระยะเวลา เช่น 3 เดือน / 6 เดือน
2.ตั้งเป้าหมายหรือกำหนดขอบเขตงาน
3.เขียนตารางงานให้สอดคล้องกับกำหนดระยะเวลา ระบุรายละเอียดงานทั้งรายวันและรายเดือน
4.ระบุความรับผิดชอบและขอบเขตงานรายบุคคล
5.กำหนดช่วงเวลา : A.ที่ตอบโต้ได้ทันทีทั้งรายบุคคลและรายทีม B.ประชุมรายสัปดาห์
6.Team Platfrom : Zoom/Asana/Google Drive/Office365
Personal Platform: FB messenger/Line/E-mail
บริษัทผมใช้ hangout meet ในการประชุมครับ จะมีคนสร้างห้องให้เข้าไป join มีตติ้งกัน วันจันทร์ที่ผ่านมาประชุมพร้อมกันเกือบร้อยคน ผ่านไปด้วยดีมากๆ
เวลาทำงานปกติจะมีคุยกันเล่นอะไร พอทำ wfh จะไม่ค่อยได้คุยกับใคร ไม่ได้เดินไปนั่นนี่ สรุปได้งานเยอะกว่าเดิมอีก มีปัญหาก็ slack ไปถาม ติดแค่ชอบลืมกินข้าวเที่ยง ปกติที่ทำงานมีข้าวเที่ยงให้กินฟรีก็จะรีบไปกิน แต่อยู่บ้านชอบลืม
ส่วนคนที่บ้าน อันนี้ปัญหาจริงๆ ชอบถามว่าทำงานเหรอ ทำไมเหมือนเล่นเลย (บริษัทผมทำเว็บขายของมือสอง) ผมก็ต้องบอกต้องอธิบายว่านี่ทำงานอยู่นะ เขียนโค้ดอยู่ เขาก็ไม่เชื่ออีก แถมอยู่บ้านยังถูกใช้ให้ทำงานบ้านเพิ่มอีก ทั้งๆ ที่เราทำงานอยู่ เพราะหาว่าเราอยู่บ้าน
ของผมอัพเดทงานกับทีมตอนเช้าให้เรียบร้อย ว่าต้องทำอะไรยังไงบ้าง แจ้งไปว่าถ้ามีอะไรด่วนก็โทรมานะ หลังจากนั้นปิดแอปสื่อสารไปเลย พักเที่ยงค่อยมาเปิดดูอีกรอบนิดเดียว ถ้าไม่มีอะไรก็ปิดไป ทำงานต่อ ไม่งั้นไม่มีสมาธิเลยครับ ใจมันถูกทำให้"อยากรู้"อยู่ตลอดเวลา แย่ๆ
แล้วก็ถ้าอยู่บ้านแล้วมีเสียงคนในครอบครัวรบกวน(แบบไม่ได้ตั้งใจ) หูฟังแบบ Noise cancelling หรือการปิดประตู ช่วยได้ระดับนึงเลยนะ
1.มันมีการให้เขียนรายงานการทำงาน Work at hoeme เราต้องกั๊กงานที่ทำเสร็จแล้ว เพื่อที่จะเกลี่ยในวันที่เราว่าง เช่นร่างเมลล์เสร็จแล้ว แต่กดส่งเมลล์พรุ่งนี้แทน
2.หน้าต้องพร้อม เพราะถ้าโดนเรียก video call metting อาจฮาในกลุ่มเพื่อนฝูงได้ เพราะมันจะแค๊ปหน้าจอเอามาล้อ
3.เลี่ยงลง social ในเวลางาน เพราะมันอาจจะดูไม่ดีเท่าไหร่ (แม้เวลาทำงานออฟฟิศจะลงปกติก็ตาม)
ใช้ดีเลย์เดลิเวอรี่ของ outlook เถอะครับ
ผมก็เคยทำจนมีงวดนึงงานเข้าแต่เช้า กว่าจะได้นั่งโต๊ะเห็นโน๊ตที่ตัวเองแปะไว้ส่งเมลล์
คือพลาดรอบโพรเซสงานไปละ.....กดส่งก่อนกลับบ้านมันละกัน....โดนเฉ่งไปเบาๆตามระเบียบ
ผมพูดในมุมบุคคลละกัน
ตัวเราเองก็ควรรู้ตัวว่าทำงานอยู่บ้าน ควรตรงต่อหน้าที่ อย่าหน้าไหว้หลังหลอก
ควรรู้ว่าต้องหยุด ต้องพักตอนไหน: การทำงานอยู่บ้านทำให้คุณทำงานได้ต่อเนื่องไหลลื่นไม่ต้องเตรียมกลับบ้าน ไม่ต้องคุยกับเพื่อนร่วมงานมากนัก ... ควรพัก
ชัดเจน: เริ่มกี่โมง เลิกกี่โมง ตอนไหนไปพัก กำลังทำงานชิ้นไหน ควรบอกให้ทีมรู้
อยู่หน่วยงานราชการ โดนสั่งให้ WFH กระทันหันไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลย
ช่องทางสื่อสารก็มีอยู่ทางเดียวคือ line หายนะมากครับ
แต่เท่าที่สังเกต ใหม่ๆ line สนั่นมาก พอนานๆเข้าก็เริ่มเงียบ เหมือนจะเริ่มรู้บทบาทหน้าที่กันแล้ว ล่าสุดประชุมแผนงานกัน video call ก็ไม่มี แชทกันลงทาง line เวียนหัวมาก
จากที่ได้ WFH มาสามปีในสายงาน IT รู้สึกเลยว่าการได้นั่งทำงานใน office มันมีบางสิ่งที่ WFH ทดแทนไม่ได้ ผมสรุปมา 10 ข้อดังนี้
สิ่งรบกวนที่จะค่อยมาดึงเวลาทำงานเราจะมีน้อยหรือแทบไม่มีเลยถ้าเรานั่งใน office มันเรียกว่าที่ศักดิ์สิทธิ์ที่บริษัทจัดหาให้เรา เราจะปลอดภัยจากสิ่งเร้าหรือสิ่งรบกวนต่างๆ ได้ดีมาก
บรรยากาศในการทำงานใน office ยิ่งอยู่กับคนเก่งๆ นะ มันจุดไฟและเพิ่ม productive เราได้เยอะเลย ซึ่งหาไม่ได้ใน WFH
เวลา WFH คนรอบข้างพร้อมจะขโมยเวลาทำงานเราไปได้ตลอด เช่นคนในครอบครัว ลูกหลาน จะมีการไหววานให้ช่วยทำนู้นนี้ถึงเขาจะรู้ว่าเรานั้น WFH ก็ตาม ถ้าเราเผลอตรงนี้มากๆ เวลางานจะหายไป รู้ตัวอีกทีไม่ได้งานเลย
สังคมเพื่อนรวมงานไม่ได้เจอไม่ได้คุยเลย ชีวิตจะเงียบๆเหงาๆหน่อย
กาแฟและสวัสดีการอื่นๆ ไม่มีเหมือนใน Office แต่ก็ดีนะ จากคนกินกาแฟเยี่ยงน้ำ ตอนนี้กินไม่เป็นแล้ว
คนภายนอก คนข้างบ้าน หรือแม้กระทั่งญาติพี่น้อง ถ้าไม่สนิทหรือรู้ว่าเราทำอะไร จะมองเราในแง่ลบทันที นึกว่าเป็นพวกเก็บตัวไม่ยอมทำงาน เป็นนีทไปซะงั้น
จะเริ่มไม่รู้สึกยินดียินร้ายกับวันหยุดต่างๆ แม้กระทั่งเสาร์อาทิตย์ เพราะไม่ว่าวันไหนเราก็อยู่บ้านทุกวันเหมือนเดิม ถ้านึกภาพไม่ออกให้นึกว่าเราใช้ชีวิตอยู่ใน office ตลอด 24/7 สัก 3-4 เดือนดู
เคยลองไปนั่งทำงานร้านกาแฟหรือที่อื่นดู ดูคูลๆก็จริง แต่พอไปนั่งทำบ่อยๆเข้า จะรู้ว่าทำที่บ้านนั้นความ productive จะดีที่สุด เพราะอยู่ข้างนอกสิ่งเร้ายิ่งเยอะแถมใหนจะเรื่องอุปกรณ์ที่เราต้องเอาไป ปลั๊กไฟและอะไรอีกมากมาย หลังๆเลยไม่ออกไปไหนแล้วทำที่บ้านอย่างเดียวเลย เลยทำให้ยิ่งตอกย้ำข้อ 6 กับข้อ 7 เข้าไปอีก 555
จากข้อ 7 มันทำให้เราทำลายข้อจำกัดของตัวเองลงไปได้เพราะไม่มีเส้นกันระหว่างวันธรรมดากับวันหยุดอีกต่อไป คราวนี้ถ้าเราไม่รู้จักเบรกตัวเองละก็ จะกลายเป็นว่าเราทำงานมากขึ้นกว่าเดิมไปอีกเพราะทำงานยาวๆกันไป 7 วันต่อสัปดาห์
เนื่องจากงานผมเป็นงาน IT ดังนั้นเรื่องเข้างานออกงานเลยไม่ค่อยเข้มเท่าไร เน้นงานส่งในเวลา ไม่เดดไลน์ เป็นเยี่ยม คราวนี้ก็อยู่ที่เราจะ work life balance ได้แค่ไหนแล้ว ไหนจะคนในบ้านที่ค่อยมาขโมยเวลางาน ในจะสิ่งเร้ามากมาย ทำให้ต้อง balance ข้อ 3 กับ ข้อ 9 ให้ดี
เรื่องสิ่งเร้านี่ตรงข้ามกับผมเลยครับ ด้วยความที่แก่แล้ว น้องๆ ก็จะมาถามงานตลอด สักพักต้องประชุม เดี๋ยวคนเดินเข้าออกเพ่นพ่าน
อยู่บ้านนี่ล็อกตัวอยู่ในห้องเลยครับ เงียบ สบายยยยย
แบบนี้ดีเลยครับ ที่บ้านเหลือผมกับลูก กวนทั้งวัน 555
ที่บริษัทจะให้ทำงานที่บ้านเหมือนกัน ปกติอยู่ที่ทำงานใช้โน้ตบุ๊กส่วนตัวต่อ vpn อยู่แล้วเพราะแรงกว่าคอมบริษัทเยอะ และต้องเข้าพวก adobe cloud share อะไรพวกนั้น ซึ่งเน็ทบริษัทมันบล็อก อุปกรณ์ไม่มีปัญหา
เรื่องประชุม เพิ่งทดลองใช้ zoom กัน ได้ยินว่ามี MS team อีกตัว แต่ยังไม่เคยใช้ (แต่สร้างไลน์กรุ๊ปแล้ว)
ผมคงขาดอยู่เดียวคือโต๊ะทำงาน อยู่คอนโดพื้นที่มันก็น้อยอยู่แล้วเลยไม่ได้ซื้อโต๊ะคอมไว้ (ใช้โน้ตบุ๊กบนเตียง) ทำงานบนเตียงไม่สะดวกแน่ๆ ต้องต่อจอมอนิเตอร์ด้วย คงไม่พ้นโต๊ะกินข้าวเล็กๆ = =')
ยังไม่ได้ทำตอนนี้ แต่จากการที่ได้ทำมาหลายที่ผ่านพอสรุปได้ว่า
"องค์กรอย่าเบียดบังทรัพยากรส่วนตัวของพนักงานโดยอ้างว่าเพื่อองค์กร ตั้งแต่คอมยันเน็ต และไม่ใช่ความผิดของพนักงานถ้าเขาจะไม่มีคอมหรือเน็ตที่บ้าน"
I need healing.
และค่าไฟด้วย ทั้งคอม ทั้งแอร์ บางบริษัทให้ทำงานที่บ้านไม่พอยังลดเงินเดือนอีก จริงๆมันควรจะจ่ายเพิ่มให้ด้วยซ้ำเพราะเค้าใช้ facility ส่วนตัว
อันนี้สำหรับองค์กร คือ อย่าคิดว่า นี่จะเป็นครั้งแรกที่ต้องปิดออฟฟิศ ไล่พนักงานกลับไปทำงานที่บ้านหมด
คือถ้าคิดว่าบริษัทจะเจ๊งภายในสามปี จะคิดแบบนั้นก็ได้ครับ ไม่เป็นไร แต่ถ้าคิดว่าบริษัทจะอยู่ยาวได้เป็นร้อย ๆ ปีเนี่ย ก็ต้องมีแผนสำหรับรับมือสถานการณ์ฉุกเฉินประเภทนี้ด้วยนะครับ ไม่ใช่พอถึงเวลาจริงแล้วค่อยสั่งให้ทำ วันแรกมีขลุกขลักแน่นอน บอกเลยว่านี่จะไม่ใช่เหตุการณ์สุดท้ายแน่นอน
อย่างสมมติ ถ้าออฟฟิศอยู่หน้าบ้านนายกในตอนนั้น แล้วดันมีคลื่นมวลมหาประชาชนแห่กันเอาเลือดมาเทใส่หน้าบ้านนายก ออฟฟิศคุณก็จะถูกปิดไปด้วย คุณจะตัดสินใจยังไง จะยังให้เข้าออฟฟิศ หรือจะให้เดินทางกลับบ้าน? แล้วถ้าเดินทางกลับบ้านจะกระจายคำสั่งยังไงให้ทั่วถึงอย่างเร็วที่สุด
แล้วแผนสำรองที่ตั้งเอาไว้รองรับ ให้พนักงานใช้ตอนทำงานจากที่บ้านเนี่ย มันใช้ได้จริงมั้ย? หรือว่าเอาจริง ๆ แล้วก็ต้องเสียไปสองสามวันแรกเพื่อทำให้ทุกอย่างมันเข้าที่ ? (วันแรกที่ บ.ผมทดลองเนี่ย ผมแสตนด์บายที่ออฟฟิศดูว่ามีใครจะมีปัญหามั้ย แล้วมันก็มีจริง ๆ ครับ)
พวกองค์กรด้านการเงิน ถ้าผมจำไม่ผิด จะมีกฎหมายบังคับว่าให้มีแผนรับมือสถานการณ์ประเภทนี้ (เรียกว่า BCP -- Business Continuity Plan) อันนี้ผมว่าที่จริงหลาย ๆ บริษัทก็ควรจะเตรียมไว้บ้างก็ดีครับ ถ้าไม่อยากเสียวันทำงานไปสองสามวันฟรี ๆ แบบไม่ได้อะไรน่ะนะ