สภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวของโลกตั้งแต่ปีที่แล้ว จนถึงวิกฤต COVID-19 ทำให้เศรษฐกิจโลกกำลังดิ่งจนไม่รู้จะดีขึ้นเมื่อไร พาให้และยอดขายสมาร์ทโฟนราคาแพงๆ ลดตามไปด้วย แต่สมาร์ทโฟน “เรือธง” ก็ยังมีราคาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สวนกระแสเศรษฐกิจอยู่ จนน่าสงสัยว่าจะแพงขึ้นไปถึงไหน
Samsung Galaxy S20 Ultra เริ่มต้นที่ราคา 31,900 บาท, Huawei P40 Pro เริ่มต้นที่ 31,900 บาท OnePlus 8 Pro ที่เปิดตัวไปเมื่อไม่นานมานี้ และยังไม่มีราคาในไทย เริ่มต้นที่ 899 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 29,300 บาท (ราคาไทยน่าจะอยู่ที่ประมาณ 31,900 บาท) และ OPPO Find X2 Pro 5G ก็ราคาพุ่งแรงไปถึงหลักสี่หมื่น ที่ 40,990 บาทแล้ว
เรือธงแพงชิป
สาเหตุหนึ่งที่สมาร์ทโฟนเรือธงฝั่งแอนดรอยด์มีราคาสูงขึ้นอีกในปีนี้ อาจจะมาจากนโยบายผลักดันเทคโนโลยี 5G ของ Qualcomm ที่บังคับให้ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนที่ต้องการใช้ชิป Snapdragon 865 ต้องพ่วงชิปโมเด็ม X55 ไปในมือถือด้วย ทำให้ดีไซน์ของเมนบอร์ดซับซ้อนขึ้น ตัวเครื่องมีน้ำหนักมากขึ้นแล้ว และมีต้นทุนสูง
นอกจากนี้ยังมีข่าวลือที่ว่า Google และ LG อาจตัดสินใจไม่ใช้ชิป Snapdragon 865 แต่หันมาใช้ชิปตัวรองลงมาอย่าง Snapdragon 765G แทน เพื่อลดทั้งความซับซ้อนในการผลิต และคุมราคาไม่ให้แพงเกินไป ซึ่งอาจเป็นการตัดสินใจที่ดีกว่าเพราะทั้ง Pixel 4a ของ Google และ Velvet สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ของ LG ก็ถูกคาดการณ์ว่าจะเปิดตัวในช่วงกลางปีนี้ ซึ่งดูทีท่าแล้ว วิกฤต COVID-19 อาจจะยังไม่คลี่คลายดีนัก
ขาลงของเรือธง ขาขึ้นของรุ่นกลาง
เรือธงยุคปัจจุบันถือว่าพัฒนาจนมาเกือบสุดทางแล้ว ดีไซน์และฟังก์ชั่นของสมาร์ทโฟนเรือธงปีนี้ ไม่มีอะไรออกมาให้ว้าวเท่าไร กล้องหน้าแบบซ่อนใต้หน้าจอก็ยังพัฒนาไม่สำเร็จ สแกนลายนิ้วมือใต้จอส่วนใหญ่ก็ยังเป็นแบบ Optical
ความแตกต่างของเรือธงปีนี้กับปีที่แล้ว จึงมีเพียงชิปใหม่ รองรับ 5G ใช้หน้าจอรีเฟรชเรตสูงขึ้น หรือไปแข่งกันเพิ่มจำนวนกล้อง เพิ่มขนาดเซ็นเซอร์ หรือ Optical Zoom ให้ซูมได้ไกลขึ้น ที่ผู้ใช้ทั่วไปอาจไม่ได้สนใจขนาดนั้น และไม่ดึงดูดใจให้คนต้องซื้อมือถือใหม่สักเท่าไร
เมื่อบวกกับวิกฤต COVID-19 และปัญหาเศรษฐกิจ ยอดขายสมาร์ทโฟนทั่วโลก ก็ลดลงไปถึง 38% จากเดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้ว และมีแนวโน้มจะลดลงอย่างต่อเนื่อง ผู้บริโภคต้องคิดหนักกันมากขึ้นในการซื้อสมาร์ทโฟนรุ่นแพงๆ สักเครื่อง
กลับกันในปีที่แล้วแบรนด์ Realme ที่เน้นขายสมาร์ทโฟนรุ่นกลางถึงล่างก็เติบโตถึง 263% และกลายเป็นแบรนด์มือถืออันดับ 7 ของโลก ทำยอดขายในมาเลเซียเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาได้มากกว่า 865% เมื่อเทียบกับเดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้ว และบริษัทวิจัยตลาด IDC ก็เผยข้อมูลว่า Realme กลายเป็นแบรนด์มือถือที่มีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 4 ในอินเดีย ในช่วงไตรมาสที่สามของปีที่แล้วอีกด้วย
ภาพจาก IDC
ไปทางไหนต่อดี?
หลายๆ บริษัทเริ่มเห็นขาลงของสมาร์ทโฟนราคาแพงมาสักพักแล้ว แม้แต่ Apple ที่หลังจาก iPhone XS ที่เปิดตัวในราคา 999 เหรียญสหรัฐ (ราคาวางจำหน่ายในไทย 39,900 บาท) ทำยอดขายได้ไม่ถึงเป้าหมาย ปีที่แล้ว Apple เลยเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ iPhone 11 ให้มีรุ่นเล็ก ราคาเริ่มต้นที่ 699 เหรียญสหรัฐ (ราคาวางจำหน่ายในไทย 24,900 บาท) และเพิ่มคำว่า Pro ไว้ในรุ่นที่สูงขึ้นไป ส่งผลให้ยอดขายเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ล่าสุด Apple เพิ่งเปิดตัว iPhone SE รุ่นเล็กสุดที่ราคา 399 เหรียญสหรัฐ (14,900 บาท) กลายเป็นว่าปีนี้ แอปเปิลมี iPhone รุ่นใหม่ที่ราคาถูกกว่าสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์หลายๆ รุ่นไปแล้ว (ถูกกว่า Xiaomi Mi 10 ราคา 18,900 บาทซะอีก!)
ฝั่งของซัมซุงก็ใช้ยุทธศาสตร์คล้ายๆ กันคือ หันมาออกมือถือเรือธงรุ่น Lite อย่าง S10 Lite หรือ Note 10 Lite รวมถึงหันมาเน้นมือถือรุ่นระดับกลาง เช่น Galaxy A71 ราคา 13,990 บาท ที่ผู้เขียนเพิ่งรีวิวไป หรือ A51 ที่ราคา 10,490
นอกจากนี้เรายังเห็นซัมซุงเริ่มอัดโปรโมชั่นเรือธงอย่าง Galaxy S20 มากขึ้น เช่น Galaxy S20 พ่วงกับไมโครเวฟ หรือการออกแคมเปญ Buy & Try ซื้อมือถือรุ่นเรือธงไปใช้ 7 วัน หากไม่พอใจยินดีรับซื้อคืนในราคาเต็ม
มือถือเรือธงในช่วงครึ่งหลังของปี 2020 อย่าง Galaxy Note 20, Huawei Mate 40, iPhone 12, Pixel 5 อาจต้องลุ้นให้วิกฤตไวรัสครั้งนี้ผ่านไปเร็วๆ และเอาใจช่วยให้เศรษฐกิจโลกกลับมาสู่สภาวะปกติ เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงตามกำลังซื้อโดยรวมที่ลดลง อาจทำให้คนหันไปซื้อสมาร์ทโฟนระดับกลางที่ราคาเป็นมิตรแต่ฟังก์ชั่นครบถ้วนพอใช้ แทนสมาร์ทโฟนเรือธงที่มีราคาแพงจนเกินไป
Comments
ผมว่าเป็นเรื่องปกตินะ เหมือนตลาดรถยนต์ รุ่นกลาง improve มาเรื่อยๆ up ราคาไปเรื่อยๆ รุ่นใหญ่ก็ต้องดันตาม เพื่อสร้างความแตกต่าง แต่เมื่อราคามันโดนดันไปถึงจุดหนึ่งแล้ว รุ่นใหญ่ก็หายไป เหลือแต่รุ่นกลาง ที่ endup ที่ price/performance ไปเท่ากับรุ่นใหญ่สมัยก่อน
เดี๋ยวอีกหน่อยโทรศัพท์รุ่นกลางในวันนี้ ก็จะกลายเป็นเรื่องธงในวันหน้า
เออ โคตรจริง ทุกวันนี้คือมือถือราคาสองหมื่นต้น คือกลายเป็นราคาที่ไม่แพง แบบ……… แปลกที่เทคโนโลยีมันควรจะถูกลงๆ
ผมซื้อรุ่นกลาง ราคาไม่เกิน 15000 แล้วเปลี่ยนทุกปี หรือสองปีเปลี่ยนที ดีกว่าซื้อแพงๆ แล้วถูลู่ถูกังใช้ 3-4 ปี
model นี้ผมใช้ทั้ง มือถือ และ notebook คับ
โมเดลนี้ถ้าวางแผนไม่ดี มองแบบภาพรวมอาจจะมี cost ที่สูงกว่าแบบซื้อดีๆ ทีเดียวได้เหมือนกันนะครับ
มองในแง่เงินอาจจะจ่ายแพงกว่าบ้าง แต่มองในแง่ความสดใหม่ของเทคโนโลยีน่าจะพอได้อยู่นะครับ
รุ่นกลางเดี๋ยวนี้ยัด feature มาแน่นพอสมควร
ต้องมองเป็นเคสๆ ไปครับ ว่าที่วางไว้มันตอบสนองความต้องการแล้วหรือยัง เพราะถ้ามองจากประสบการณ์ส่วนตัวคือ พยายามคิดเข้าข้างตัวเองว่า เท่านี้ก็พอแล้ว โดยไม่ได้เข้าใจความต้องการจริงๆ ของตัวเอง หรือใส่ใจไม่เพียงพอ สุดท้ายก็ต้องขายแล้วก็ไปซื้อรุ่นที่แพงกว่าที่ตรงกับความต้องการของตัวเองจริงๆ กลายเป็นเสียน้อยเสียยากเสียมากเสียง่าย
ซึ่งหลักการในการเลือกซื้อของผมในพักหลังมานี้ จะไม่มองเรื่องราคาเป็นหลัก แต่จะมองเรื่องความต้องการมาก่อน แล้วค่อยไล่ดูว่ามีรุ่นไหนที่ตอบสนองความต้องการ แล้วค่อยไปเทียบราคาหาของที่ถูกที่สุดหรือราคาที่คิดว่าดีที่สุดต่อไป หลักการที่ใช้นี้ไม่ใช่เฉพาะกับมือถือหรือคอมพิวเตอร์นะครับ แต่ใช้กับทุกๆ อย่างเลย
จริงเหมือนอุปกรณ์คอม บางทีคิดว่าใช้รุ่นเล็๋กพอ แต่พอใช้ๆไปมันก็ค้างคาใจ หรืออึดอัดในความจำกัดของอุปกรณ์ ว่าเพิ่มอีกหน่อยเอารุ่นใหญ่กว่าดีไหม คุ้มกว่าไหม สุดท้ายกลายเป็นเปลี่ยนบ่อยกว่าเดิม
ผมว่าอย่างเช่นกรณีตระกูลแม็คนี่เห็นชัดสุด เลือกความจุผิดไม่พอใช้งานนี่แย่เลยครับ
แค่ปีเดียว ค่าตัวมันยังเหลือ 30-40% ขายมือสองยังพอไหว สำหรับคนเล่นมือถือ
สูตรนี้ถ้าเอาไปใช้กับเรือธงมันต่างกันเยอะเหรอฮะ แบบซื้อเรือธงไปเลยแต่ขายเปลี่ยนทุกปี
เหมือนกันเลยครับผมซื้อรุ่นกลางบ้าง สลับกับเรือธงตกรุ่นบ้าง (ส่วนใหญ่จะ Samsung) เน้นราคาราว ๆ หมื่นกลาง เปลี่ยนทุกปีสองปีแทน SE > Pocophone > S10
ถ้าซื้อแล้วเปลี่ยนทุกปี รุ่นเรือธงที่ราคาตกน้อยๆก็ไม่น่าต่างกันมากนะครับ
ผมใช้ android รุ่นเรือธง แล้วเปลี่ยนทุกครั้งที่อัพเดท android ไม่ได้แล้ว เฉลี่ยก็เครื่องล่ะ 2 ปี ปีนี้ก็ถึงรอบเปลี่ยนเครื่องแล้ว แต่รอ 5G ออกครบทุกแบรนด์ก่อนล่ะกัน
จะพูดว่าขาขึ้นของ รุ่นกลางก็ไม่ถูกซะทีเดียว
ในเมือเรือธงเมื่อก่อน มันราคาใกล้ๆกับรุ่นท็อปกลางตอนนี้ แต่ดันตัวเองไปแพงริบ
กล้องดีๆ สุดท้ายก็ต้องไปตัวเรือ ตัวเลือกไม่เยอะเท่าไร แต่ช่วงนี้อาจจะดีมีไอโฟนราคาถูกจริงๆ มาละ
เรือธงเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยน่าดึงดูดให้ซื้อเมื่อเทียบกับแต่ก่อนเมื่อเทียบกับราคาด้วยแหละครับ แถมเรื่องการพ่วงชิป (อันนี้น่าเกลียดเกิ๊น) และเศรษฐกิจช่วงนี้อีก
ส่วนตัวกำลังรอดูราคา Sony Xperia 1 Mark II อยู่ว่าจะออกมาเท่าไร คิดว่าน่าจะแรงพอตัวเลย แต่ดูแล้วน่าสนใจที่สุดในปีนี้
Coder | Designer | Thinker | Blogger
เดาสิ่งที่ทำให้มือถือเรือธงแพง
- 5G
- กล้องหลายๆตัว
- จอแสดงผลดีๆ
นอกนั้นก็พวก จอแหว่ง + กระจกโค้ง Body หรูๆ
ปัญหาคือ เรือธงมันเอาหมด มันก็แพงกระฉูด
คนที่ต้องการมือถือแรง ก็ไม่ได้ต้องการ Spec Top ในทุกๆด้าน
เมื่อก่อนชิป SD8xx กับ SD6XX ตัว Top ด้านประสิทธิภาพมันต่างกันมาก
เท่าที่จำได้ลางๆ เหมือน SD660 แรงพอๆกับ SD820 ซึ่งช่วงเวลาที่มือถือออกนี่ต่างกันเกือบ 2 ปี
ประมาณว่าพึ่งซื้อมือถือมาวันนี้ก็รู้ว่าแรงพอๆกับมือถือเรือธง 2 ปีที่แล้ว แต่ราคาขายมันต่างกันราวๆ 5-6000 บาท
มันก็น่าปวดใจนะ ตอนนั้นเลยฟันธงว่ามือถือ Midrange กลับไม่ค่อยคุ้ม
แต่ตอนนี้เรือธงกลับถ่างราคาออกไป แล้วไม่ได้ตามว่า SD7xx มันเร็วไกล้ SD8xx แค่ไหน เดี๋ยวก็ค่อยดูต่อกันไปอีกทีละกัน
ไม่ใกล้เลยครับ ตอนนี้ 765 ผมว่าได้แค่ 845 พวก 6xx ปลายๆ กับ 7xx มันซอยถี่มากกกกกก เพราะการตลาดปรับนิดๆ หน่อยๆ เอามาขายใหม่ เพราะมือถือรุ่นกลาง คลอดเร็วมากๆ Qualcomm พยายามแบ่งไม่ให้ รุ่นกลางมันแรงมันมาใกล้รุ่นแพงง่ายๆ หรอกครับ นอกจากเก่าจริงๆ สักสามปีขึ้นไป
แบบ note รุ่นกลางดีๆมียังนะ
หลังCovid 19 เป็นต้นไป..ระดับกลางนี่ดุเดือดขึ้นแน่นอน เพราะเงินๆที่หายไปด้วย
รุ่นโปรนั้น คงขึ้นแบบไม่ว้าย แต่คงโวยมากกว่า
ผมเคยวิเคราะห์ไว้นานแล้วว่า เรือธงมันตันแล้ว ที่ขายๆ กันในช่วงสี่ห้าปีที่ผ่านมามันก็ไปกองอยู่ที่ล่างกับกลางเป็นส่วนใหญ่
ส่วนตัวซื้อเรือธงตกรุ่น นี่ก็ใช้ S8 อยู่ ซื้อตอน S9 ขายแล้ว ตอนนั้นประหยัดตั้ง 9000 บาทแน่ะ
สูตรเดียวกันครับ เรือธงตกรุ่น
รุ่นกลางๆ เดียวนี้ ก้เล่น ได้ พอๆกับ เรือธงแล้ว นะ ถ้าไม่เน้น พวก สเปคที่ดีสุด กล้องสวย วัสดุดี
สิ่งที่ทำให้เรือธงแพงคือ รุ่นกลางมันดีมากจนใช้งานได้ครบตามความต้องการแล้ว เรือธงเลยต้องดีดตัวไปใส่ของที่มันเกินความจำเป็นเพื่อหนีรุ่นกลาง, กลางบน
เมื่อซื้อเรือธง คุณจะได้มือถือที่แทบจะใช้แทนกล้องได้ มีเลนส์เทเลฯ แทบจะใช้แทนแลปท็อปได้ แทบจะใหญ่เท่าแท็บเล็ต แบตอึดเหมือนกินไวอะกรา รถเหยียบไม่พัง กันกระสุน เอาขวานเฉาะไม่เป็นรอย กล้องเยอะพอๆ กับตาแมงมุม ของแถมที่สร้างขยะอิเล็คทรอนิคส์มหาศาล (บางอันได้มาแล้วทิ้งเลย) ฯลฯ
ชอบการเปรียบเปรยมากครับ 555
สำหรับไอโฟน เปลี่ยนทุกปี หรือทุกสองปีค่าใช้จ่ายหลังหักค่าเสื่อมไม่ต่างกันมากนัก แต่สำหรับแอนดรอยด์ซื้ออดีตเรือธงที่พึ่งตกรุ่นน่าจะคุ้มค่าที่สุด หลายรุ่นยังดีกว่ารุ่นกลางเยอะ
5G ต้องซื้อปลายปีหน้า เลยตอนนี้ไม่มีคนขนายเครือข่าย
ตีโจทย์ผิดกันหมด
"Sell me this pen."
ไม่ได้อวยนะ มีแค่ยี่ห้อเดียว ที่คู่ควรกับเรือธงคือ iPhone เพราะมาพร้อมกับระบบ ecosystem ที่ยอดเยี่ยม
ยี่ห้ออื่นไม่มี พึ่งแต่ google แต่ดันขายแพงเกิน
อัพเดทยาว ๆ สมกับคำว่าเรือธง หันมาฝั่ง Android ใช้สองปีก็ลงแพละ
เรือธง มันเป็นความหมายของเรือผู้นำของทัพนั้น ๆ ครับ ไม่ได้หมายความว่าเรือธงทุกลำจะต้องเป็นคลาสเดียวกัน
อย่างคลาสไอโฟนก็คือคลาสไอโฟน อะไรแบบนี้
แพงเพราะตั้งราคากันไปเองด้วยหละ
ผมว่าเหมือนตลาด PC ตอนนี้คือสเป็คขั้นต่ำก็ทำได้เกือบทุกอย่าง มือถือ แรมสัก 4 ไม่ได้ทำอะไรมากก็โอเครแล้วครับ ความจุสัก 64Gb
"คนส่วนใหญ่" เล่นกันอยู่ไม่กี่แอป เอารุ่นครึ่งหมื่นก็เหลือ ๆ แล้วครับ
เคยซื้อให้พ่อใช้เมื่อปีก่อนครับ ใช้ไม่เยอะ แต่เปิด Youtube แล้วค้างๆ ก็วางเป็นที่ทับกระดาษเลย เสียเงินฟรีครับ 555
มือถือราคาห้าพัน เปิด Youtube แล้วค้าง ๆ ไม่ใช่ละ รุ่นอะไร
สายแอนดรอย รุ่นถูกๆไปจนถึงหมื่นต้นๆ ผมว่าไม่โอเคอ่ะ สเป็คเน้นจุดขายแค่ปริมาณไม่มีคุณภาพ ถ้างบเป็นประเด็นหลักที่พิจารณา รุ่นท้อปปีที่แล้วถือว่าคุ้มค่ามากกว่าเยอะ เพราะสิ่งที่เวลาเทียบสเป็คในกระดาษแล้วมันไม่เห็นคือคุณภาพการประกอบ วัสดุ คุณภาพอุปกรณ์ที่เลือกใช้ ชนิดของหน้าจอ เมมโมรี เซ็นเซอร์กล้องและตัวประมวลผลภาพ ซึ่งหลายๆครั้งที่ไปลองใช้แล้วบอกเลยว่ามันคนละชั้นกับเรือธงจริงๆ
พวกแบรนด์ประหยัดนี่ชัดเจนมาก การทัช การตอบสนอง มันไม่ค่อยโอเคเลย แล้วการขายต่อก็ยากมาก ราคาก็ตกแบบทิ้งดิ่ง แถมการซ่อม การอัพเกรดก็แทบคาดหวังอะไรไม่ได้อีก
ตอนนี้ถ้าใครมาปรึกษาเรื่องมือถือราคาไม่แพงมาก ผมจะถามว่าต้องการเครื่องใหญ่จอใหญ่ไหม ถ้าไม่อยากได้ใหญ่ iPhone SE ที่เดอะเบส คุณจะได้ใช้มือถือที่ลื่นไปอีก สามถึงสี่ปี เครื่องเสถียรทนทาน กล้องใช้งานแบบคนทั่วไปได้ดี มีของเล่นใน ecosystem ให้เสียเงินอีกเพียบ
แต่ถ้าต้องการจอใหญ่ ก็ดู Note 10 หรือ Note 10 Lite ก็พอไหว ราคาลงเรื่อยๆ ซัมซุงถึงแม้ Exynos จะห่วยกว่า Snap แต่การดูแลลูกค้าในไทยก็ทำได้ดี และไม่สอดไส้ ไร้ความซื่อสัตย์ แถมเสี่ยงไม่ได้อัพเดตตากกูเกิ้ล แบบ Huawei
เออ จริง เคยใช้ xiaomi แล้วไม่คิดว่าทัชมันแย่จนมาลอง samsung A50S ที่ชืพ exynos ห่วยๆ ดันทัชดีสะงั้น
จริงๆ พวกมือถือจีนรุ่นเน้นคุ้มค่า พวกนี้ทัชไม่ลื่นเลย ทั้งๆที่อัด spec มาเทพมากจนคิดว่าเหลือๆ ถ้าคนเคยใช้เรือธงมาก่อน จะรู้สึกชัดเจน แม้เรือธงจะรุ่นเก่ากว่าก็ตาม
เหมือนเรือธงตอนนี้ มันเน้นจุดที่ไกลเกินความต้องการไปเยอะเลย
หน้าจอ refresh rate สูง ๆ กล้องซูมไกล ๆ ความละเอียดเยอะ ๆ บลา ๆ ๆ
เอาเข้าจริง แค่เพิ่มรุ่นที่ cpu เท่าตัวบน
feature การใช้งานฝั่ง software เหมือนกันกับตัวบน
แต่พวก หน้าจอ กล้อง ที่เวอร์ ๆ ไม่ต้องเอามา
แล้วลดราคาลงมาเหมือนแต่ก่อน
แค่นี้ก็น่าจะขายดีขึ้นมากแล้ว
/ เพิ่มเติมด้วย การจ่ายเงินด้วยมือถือ
เจ้าอื่นรีบทำออกมาให้ใช้ในไทยสักทีเห๊อะ ~~
เบื่อ exynos แล้ว
ผมอยากได้สุดก็กล้องนั่นแหละครับ ?
สำหรับคนที่มีรูปถ่ายในมือถือกินพื้นที่เกิน 50% แบบผมก็มองกล้องเป็นปัจจัยสำคัญเช่นกันครับ
นั่นแหละครับ ผมเลยคิดว่า อยากให้มีอีกรุ่น
ที่ตัดความสามารถบางอย่างที่บางกลุ่มไม่ค่อยได้ใช้ออก
แล้วลดราคาลงซะหน่อย
นี่แทบไม่ได้ถ่ายรูปเลย ?
เอาจริงๆ ถ้าใครถามผมว่าอยากได้มือถือราคากลางๆ ซื้ออะไรดี ยังไงก็ต้องตอบ iPhone SE อ่ะครับช่วงนี้ คือมันไม่ได้มีแค่อัปเดต ประกัน อีโค่ซิสเท็มอะไรพวกนี้มาเฉยๆ นะ มันได้ "ภาพลักษณ์" ด้วย ถึงจะดูเป็น iPhone รุ่นประหยัด แต่ iPhone ก็คือ iPhone แค่ไม่เหมือนตอน 5c ที่เป็นพลาสติก ผมก็โอเคแล้วอ่ะ 55
อ้อ อีกเรื่องคือเรื่องขนาดด้วย หลังๆ ผมรู้สึกว่าจอแอนดรอยด์มันใหญ่เกินไป ที่ลองเอามาเทสต์นี่ ผมพกใส่กางเกงก็รู้สึกเกะกะแล้ว คนอาจจะชอบที่ได้ดูคอนเทนต์เต็มๆ ตา แต่แค่ไม่ตอบโจทย์เรื่องการพกพาสำหรับผมเฉยๆ
แต่ตอ่งแอนดรอยด์แขวะกันใหญ่เลยว่า จอ แบต แค่นี้จะขายได้หรอ เหอะๆ เหมือนอยากให้เขาลงจอไร้ขอบ กับ oled แบต 4000 กล้อง 3-4 ตัวมั้ง คงหวังจะเอาทุกอย่างราคาหมื่นห้า บ้าไปแล้ว
จริง คือมือถือระดับราคานี้ คนซื้อไม่น่าแคร์กล้องสี่ห้าตัว หรือต้องจอ OLED อะไรขนาดนั้นเลย กล้องเดียว แต่ถ่ายคุณภาพโอเค จอชัดเจน สู้แดด ส่วนแบตนี่ก็ไม่ต้องห่วงเลย จอแค่นี้ อยู่ได้สบายๆ 5555
อีกสอปี มือถือแอนดรอยของคนที่มาแขวะเป็นซากไปแล้ว ขายได้ไม่รู้ถึง 5 พันไหม
iPhone SE ยังคงลื่นอยู่เลย 555
ผมมีเรื่องขนาดเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ไม่เปลี่ยนเป็นเครื่องแอนดรอยด์รุ่นใหม่ เพราะขนาดที่ใหญ่มีปัญหาในการพกพาตามรูปแบบใช้งานของผม
ผมรุ่นกลางค่อนล่างอย่างเดียว เพราะทำตกบ่อยโคตรๆ (ในสองเดือน ต้องมีตกแรงๆหนนึง) ใช้จนพังคามือตลอด ไม่กล้าซื้อของแพง
ข่าวนี้สาวกทำงานหนักกันจริง ๆ สงสัยยอดขายจะตก
เห็นด้วยเลยครับ ทั้งไม่มี GMS และอีกอันก็ได้คะแนน Dxomark ไม่ติด 5 อันดับด้วย โรคระบาดนี่มันร้ายแรงจริมๆ
ตอนนี้สำหรับผม มือถือหมื่นกว่าบาทท ผม โดนไปเล่น iphone xs max ดีกว่าจอเทพ เครื่องแรง อัพยาวๆ ราคาพร้อมโปรตอนนี้แค่หมื่นกลางๆ ผมว่าเป็นตัววเลือกที่ดีมากๆ บอกเลย apple มาปีนี้ราคามาพังตลาด android มากๆ
ไม่กล้าใช้มือถือแพงเพราะมันพังได้เนี่ยแหละ เสียดาย
ในข่าวตรงที่เขียน
"เรือธงแพงชิป"
น่าจะเป็น เรือธงแพงฉิบ... นะครับ 55
สำหรับผม..
- เล่นกล้อง Mirrorless อยู่แล้ว
- ฟังเพลงจาก DAP
- เกมมือถือไม่ใช่แนวจริงๆ
- ดูหนังจาก Tablet ดีกว่า
- ท่องเว็บยาวๆก็ใช้ Tablet ไม่ก็คอมไปเลยขึ้นอยู่กับสถานที่
- อ่านหนังสือก็มี e-reader
มือถือสำหรับผมก็เลยกลายเป็นแค่เครื่องมือติดต่อสื่อสารและธุรกรรมเป็นหลัก หลังๆมาก็เลยใช้เครื่องไม่ถึงหมื่น เพราะแค่นั้นมันก็ลื่นพอแล้ว ใช้จนกว่าแบตมันจะเริ่มเสื่อมค่อยเปลี่ยน ส่วนจะเปลี่ยนแบตหรือเปลี่ยนเครื่องก็ต้องดูว่าเทคโนโลยีตอนนั้นเป็นยังไงบ้าง
ส่วนที่เลือก Android ก็เพราะไม่ชอบการคิดแทนผู้ใช้ของ Apple กลัววันนึงมันจะคิดแทนแต่ไม่ตรงใจเรา ถ้าเราติด iOS จะหนีก็หนียาก แต่ถ้าเป็น Android ก็ยังพอมีทางเลือกยี่ห้ออื่นอยู่
เหมือนผมทุกข้อ 555
มือถือผมยัง iphone SE เจนแรกอยู่เลย
สำหรับผม..
หลังๆ มาก็เลยใช้เครื่องไม่ถึงหมื่น เพราะแค่นั้นมันก็ลื่นพอแล้ว ใช้จนกว่าจะพัง ก็ราวๆ 3+ ปี เปลี่ยนเครื่อง
ใช้ Android เพราะชีวิตผูกติดกับ Google ครับ ฮา
เคยลองพยายามใช้พวก iPhone, iPad, Mac แล้ว รู้สึกว่าชีวิตตัวเองไม่เหมาะกับสินค้าตระกูล Apple จริงๆ ใช้แล้วหงุดหงิด+อึดอัดขัดใจหลายเรื่อง ^^'a
นี่ผมก็ยังสงสัยจริงๆ ว่าคนที่ใช้ iPhone, iPad มา 2-3 ปีแล้วบอกว่ามันลื่นๆ นี่คือลื่นแบบไหน
เพราะผมเจอหลายคน ที่เขาบอกว่าลื่นๆ แต่ผมเห็นแล้วรู้สึกว่า นี่คือเรียกว่าลื่นเหรอนั่น ^^'a
// น้องผมใช้ iPad และบ่นว่ามันช้าอืดดดดนะ แต่ยังไม่พัง เลยใช้ๆ ไปก่อน ฮ่า
~ HudchewMan's Station & @HudchewMan~
สัมผัสมันลื่นครับ touch latency มันต่ำ เทียบกับแอนดรอยด์หลายๆตัว หรือเกือบทุกตัว เห็นง่ายๆ ตอนคุณจิ้มไอคอนแล้วลากเปลี่ยนตำแหน่งเวลาจัดหน้า home หรือตอนพิมพ์บนคีย์บอร์ด หรือตอนจิ้มเครื่องดนตรีในแอพดนตรี หรือว่าตอนเขียนปากกาเทียบกันเส้นตามไวกว่า ตอนเลื่อนหน้า เวลาอ่าน feed ข่าว ส่วนความเร็วนี่อีกเรื่อง ช่วงหลังๆ แอนดรอยด์นำแล้วมั้งพวก speed test เปิดแอป แต่นั่นมันไม่ได้วัดประสิทธิภาพเท่าไหร่ เพราะชีวิตจริง ios เปิดแอพคาไว้แล้วกลับมาใช้ต่อได้เร็วๆ ถ้าแรมไม่หมดไปก่อนนะ แต่เรื่องเวลาโหลดเข้าฉากในเกม ios มักจะไวกว่า แล้วเรื่องการสะสมแคชอีกที่แอนดรอยด์ ถ้าไม่เคลียร์แอพนี่แบตไหลแน่ๆ และถ้าเปิดคาไว้มากๆ เครื่องก็อืด เพราะผลพวงจากความเป็น true multitasking แหละ ผมนี่เคยไปใช้มือถือแอนดรอยด์เครื่องนึงที่สเปคให้มาดูดีมากแบบเรือธงเลยล่ะ เห็นคนบอกว่าไม่ต่างจาก ios จริงๆ ไม่ต่างเพราะหน้าตา ui มันทำคล้ายๆ เฉยๆ แต่พอลองใช้ดูมันลื่นกว่าแอนดรอยด์ที่เคยใช้จริง แต่บอกตามตรงสัมผัสเลื่อนหน้าเวลาอ่านสู้ ios รุ่นเก่าๆ ยังไม่ได้เลย มันน่ารำคาญจริงๆ สำหรับคนที่ซีเรียสเรื่องนี้
ถ้าเป็นแต่ก่อน จะบอกให้ไปลองเล่น diner dash ดู ระหว่าง nexus 5 กับ iphone 5s
เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยเล่นเกมมือถือแล้ว เลยไม่รู้ว่าเป็นไงมั่ง
rov ใน iOS เข้าเกมไวกว่าจริงครับ เทียบกับ Galaxy S10
ผมเองก็เคยชอบพกพาอุปกรณ์เยอะๆ แบบแยกทุกอย่าง แต่พอต้องเดินทางบ่อยๆ โดยเฉพาะเวลาต้องไปตปท.คนเดียว สุดท้ายพกมือถือเครื่องเดียวกับ tablet อีกเครื่องเผื่อยามมือถือใช้งานลำบาก
หลายๆสถานที่ห้ามเอากล้องตัวใหญ่เข้าไป ห้าม tablet เข้าไป(เจอจริงๆนะ) จะฝากใครถือก็ไม่ได้เพราะไปคนเดียว ยิ่งถ้าไปตปท.หรือเมืองไกลๆที่ไม่ได้ขับรถส่วนตัวอีก หาตู้locker ก็ใช่ว่าจะว่าง(ยามมีงานใหญ่ตู้locker เต็มทุกสถานีใกล้ๆ ต้องย้อนไปสถานีไกลๆแบบนั่งต่อไปหลายสิบนาที) มือถือดีๆสักรองเรือธงตัวเดียวมันก็ครบครันกว่า ขอแบตอึดๆ แบบต่อroaming ทัังวันยังไหว ไม่อยากพก powerbank อีกตัว เพราะแค่ลากสายก็วุ่นวาย
กล้องนี่ผมเลิกเล่นตั้งกะ DSLR แล้วหลังจากพบว่าไม่ได้เป็นคนชอบถ่ายภาพอะไรขนาดนั้น ซื้อมาถ่ายปีนึงไม่กี่หน พอเลิก แค่ต้องการบันทึกเหตุการณ์มากกว่า แม้ภาพจะไม่คมเท่า หลังละลายไม่พอ แต่มือถือตัวเดียวจบ และกล้องตัวใหญ่เข้าสถานที่หลายที่ไม่ได้ด้วย ในขณะที่มือถือยกมาถ่ายได้ถ้าเขาไม่ห้ามชัดเจน และหลายๆหนคนที่ถูกถ่ายจะรู้สึกต่อต้านน้อยกว่า ยกมาแคนดิดเหตุการณ์ได้
ฟังเพลง จะฟังเมื่ออยู่บ้านมากกว่า ก็ฟังจาก dac ต่อหูฟังเอาอีกทีหรือไม่ก็ลำโพงชุดใหญ่ ส่วนตอนอยู่ข้างนอกไม่ฟังผ่านหูฟัง เนือ่งจากขับรถส่วนตัว ไม่สะดวกใส่หูฟัง และมักฟังข่าวตอนขับรถ ก็เปิดวิทยุติดรถก็เพียงพอ
สุดท้ายก็ขึ้นกับ life style นั่นแหละครับ แต่ยามที่ธุรกรรมทุกอย่างอยู่บนมือถือ ถ้ามือถือรุ่นล่างๆแรมไม่พอทัชไม่ลื่น(เครื่องพวกspecเทพราคาถูกทั้งหลายนี่มันทัชไม่ลื่นจริงๆนะลองมาหมดแล้ว) ก็สร้างความอึดอัดใจยามใช้งานจริงเช่นกัน โดยเฉพาะยามเร่งด่วน เคยต้องรีบกดจ่ายเงินด่วนแล้วแอพค้าง ทำให้ไม่ทัน ขาดทุน(โอกาส)ไปเยอะ ก็เลยต้องหาเครื่องที่เชื่อถือได้มากกว่า เน้นspecคุ้มค่าราคาไม่แพง(พวกเครื่องจีนทั้งหลาย ผมมีหมดทั้ง huawei,xiaomi ก็ยังไม่ประทับใจเท่า samsung ที่หลายคนบ่นประจำ)
สเปคเทพราคาถูกนี่จริงเลย จากที่สัมผัสมากะตัวเอง ทัชไม่ไหว
แพงเพราะตั้งให้มันดูเหนือกว่าเท่านั้นเอง ทั้งที่เทคโนโลยีไม่ได้ใหม่
เช่น จาก iphone x พอเข้าใจว่ามี faceid แต่หลังจากนั้นก็ไม่ได้ถูกลงอย่างมีนัยสำคัญ จนการมา iphone 11 แต่ ตัว Pro ก็แพงอยู่ดี
ทั้งที่ความใหม่เทียบกับ Android ที่เค้ามีมานานแล้วเช่น 3 กล้องเนี้ย 555
มือใหม่!! ใหม่จริงๆนะ
ผมมองว่าการเพิ่มกล้องไปไม่ได้ว้าวเท่าการนำแสกนหน้า สามมิติมาใช้ได้อย่างจริงจังนะ ส่วนตัวก็เห็นด้วยที่ไม่ได้ว้าวจริง แล้วหลังจากนั้น เพราะฟังก์ชั่นพื้นฐานมันตอบโจทย์ได้หมดแล้ว เว้นแต่จะใส่อะไรมาเว่อร์ๆ และระบบก็เป็นตัวเลือกสำคัญที่ทำให้คนเลือกซื่อ
นับถือฟีเจอร์การแสกนหน้าเค้าจริงๆ แต่เล่นตัด touchid ออกไป ซึ่งในทาง ML ไม่มีทางที่มันจะแยกแยะหน้าคนได้ร้อยเปอเซนต์ แต่นางเล่นใหญ่มาก อันนี้คือสิ่งที่ไม่ชอบเลย
มือใหม่!! ใหม่จริงๆนะ
การตั้งราคาส่วนหนึ่งมันก็เพื่อแยก segment ให้ชัดเจนนั่นแหละครับ ซึ่งแอนดรอยด์เองก็ทำอยู่เช่นกัน ส่วนเรื่องจำนวนกล้องมันไม่ได้บ่งบอกถึงคุณภาพหรอกนะครับ หลายเจ้าก็ใส่เข้ามาเพื่อสร้างจุดขายแต่ก็แพ้รุ่นที่กล้องจำนวนน้อยกว่า
แต่ผมว่าแอนดรอยด์แยก segment ไม่ชัดเจน หรือมันออกปีหนึ่งมาหลายรุ่นก็ไม่รู้
ผมว่าชัดมากนะในรุ่นเรือธง แต่ที่มองไม่ชัดน่าจะเป็นรุ่นรองๆ ลงมามากกว่า แต่ก็ไม่น่าแปลกใจอะไร เพราะแข่งขันกันสูงมาก
นั่นแหละพวกรุ่นรองๆ ออกบ่อยมากเลย
พาให้และ ?
ข้ามค่ายไปเล่น iphone SE น่าจะคุ้มกว่านะ
เอาตรงๆ Android ที่โดนลอยแพ โดนแปลงเป็น zombie ไว้เป็นฐานใช้โจมตีของ hacker เยอะแล้วมั้ง iOS ก็มีพวกที่ไม่อัพเดด iOS ตามกับโดนแพไปแล้วและยังเชื่อมต่อ internetอยู่ แต่จำนวนน้อยกว่าเพราะฐานคนใช้งานโดยรวมทั่วโลกก็น้อยกว่า Android อยู่แล้ว
ถ้าถามว่าก็ค่ายมันลอยแพเองผู้ใช้ไม่ได้เดือดร้อนกะไรกับการที่ที่ต่างๆโดนโจมตี ก็จะตอบกว่า "ก็ใช่" ตราบใดที่ไอ้จุดที่โดนยิงนั้นคุณไม่ได้ไปใช่งานมันอ่ะนะก็จะยังไม่เกี่ยว
ความเห็นส่วนตัวอ่ะนะ
จากที่เคยใช้แอนดรอยตัวท๊อปอยู่ยี้ห้อหนึ่ง คิดว่าน่าจะอยู่ได้ราว 3ปี หน่อยๆ... ปรากฏว่ามันใช้มาได้แค่ 2 ปีครึ่ง แบตก็บวมและหาอะไหล่เปลี่ยนไม่ค่อยจะได้เพราะเลิก support ไปแล้ว
เอาเข้าจริง ตัวเองก็เพิ่งจะตรัสรูว่า การซื้อแอนดรอยเรือธงไม่ค่อยจะคุ้มค่ากับเงินเท่าไหร่ สเป็กและฟิเจอร์ว้าวๆ ที่ใส่มาก็แทบไม่ค่อยได้ใช้ แล้วแบตส่วนมากจะเริ่มเสื่อมในช่วงราวๆปีที่ 3 ของการใช้งาน ไม่ว่าจะแพงหรือถูกขนาดไหนก็จะตายตัวที่ประมาณ 3 ปี
ตอนนี้เลยหันไปดูมือถือระดับกลางๆที่มีระบบเสถียรไม่จุกจิก น่าจะตอบโจทย์ตัวเองมากกว่า
ขอทราบชื่อรุ่นได้ไหม ครับ
สรุปแล้วก้อกลับสู่ไลฟ์สไตล์แหละคับคนส่วนมากก้อใช้กลางๆกันเป็นเรื่องปกติ
อยากได้ แอนดรอย ราคา midrange แต่ support ต่อเนื่องสัก 3-4 ปี แบบ iPhone SE
1+
ราคารุ่นกลางทำราคาดันรุ่นเรือธงขึ้นไป แถมตัดฟังก์ชั่นพื้นฐานรู 3.5 ที่มีแต่ในรุ่นกลางคนก็ซื้อรุ่นกลางหูฟังอันเดิมก็ยังใช้ได้ เรือธงไม่มีก็ต้องเสียตังหูฟังไร้สายมันดูเปลืองสำหรับผมไปหน่อย แบตเสื่อมก็ต้องทิ้ง ส่วน update ขอแค่เสถียรไม่ต้องอัพบ่อยๆแก้บัคไปเรื่อย
ถึงผมจะเบื่อ iOS และหนีไปเล่นเรือธงแอนดรอยอยู่หลายรุ่นหลายปี แต่ผมก็พบว่าสุดท้ายแรมเยอะยังไงก็ต้องเคลียร์แรมเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าหงุดหงิดใจเป็นอย่างมาก จนกลับมาตายรังที่ iPhone 11 Pro นี่แหละ ไม่ต้องคิดเยอะ เอาเวลาเครียดเรื่องมือถือค้าง แรมหมด ไปคิดเรื่องหาเงินเพิ่มดีกว่า
เคยอยากได้ iPhone มาก เพราะลุงจ๊อบนี่เป็น ไอดอลเลย
แต่พอลองจับเข้าจริง เขาเอามาให้เราสอนใช้
หลังจากนั้น ไม่เคยแตะ iOS อีกเลย
เป็นคนเลือกมือถือค่อนข้างนานกว่าจะได้แต่ละรุ่น
จะแยกเป็นฟีเจอร์ก่อน
แบ่งฟีเจอร์เป็น สองกลุ่มใหญ่
-Tools สำคัญมาก จะขาดไม่ได้ เช่นพวกอัดเสียงอัตโนมัติ Rom อย่างน้อย .... RAM อย่างน้อย.....
-Toys แค่ของเล่น มีได้ก็ดี ไม่มีก็ไม่เสียหาย กล้องซูม หน้าชัดหลังเบลอ
แม้แต่ความสามารถพวกหน้าจอลื่นไม่หน่วงก็จัดอยู่ในกลุ่มนี้
ที่จริงมือถือเครื่อง ห้าพันผมก้ไม่เคยรู้สึกว่าหน่วงนะครับ
แยกว่าอันไหนที่เราต้องการจริง ๆ
ไม่ใช่ Demand เทียมที่ค่ายมือถือพยายามขาย
-และ Trash สิ่งที่ถ้ามีมาให้ตัดทิ้ง
เช่นการพรีโหลด Software ที่ไม่ต้องการมากเกินไป
เช่นมีรุ่นที่ ใส่ Facebook หรือ Office มาให้นี่ตัดออกเลย
การไม่ใส่ช่องหูฟัง 3.5 มาก็จัดเป็น Trash สำหรับผม
เมื่อก่อน มือถือราคาเกินหมื่น เท่านั้น ที่จะมีฟีเจอร์ Tools ที่ผมต้องการครบ
แต่เดี๋ยวนี้ มือถือเครื่องที่ผมใช้เป็นหลัก
ราคาไม่ถึงห้าพันบาทผมก็พอใช้แล้ว
ส่วนใหญ่ไม่คิดถึงราคาขายต่อ เพราะแม้แต่ส่วนต่างรุ่น Top
ที่ห่างกันปีเดียวก็แพงกว่ามือถือผมทั้งเครื่อง
เก็บไว้เป็นความทรงจำส่วนตัวดีกว่าครับ
งบผมได้แค่เรือธงตกรุ่น ฮือๆๆๆ
ผมใช้ ios คู่กับ android มา 6 ปีแล้ว ช่วงแรกๆสลับกันไปมา 2 ปีสุดท้ายนี้ใช้คู่กันไปเลย แอปต่างๆใช้เท่าที่จำเป็น พยายามหาที่มีเหมือนกันในสองแพลตฟอร์ม
ผมมักจะใช้รุ่นเรือธงตกรุ่น 1 ปี และมักจะเปลี่ยนมือถือปีละครั้ง
เรื่องความหรือไม่ลื่น ผมเห็นว่าไม่ต่างกันมีนัยยะสำคัญ ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดคืออัพเดททางด้าน iOS ดีกว่ามาก มาทันทีไม่ต้องรอ และได้อัพเดทหลายครั้งต่อรุ่น
ข้อดีของ android ก็คือ ได้ฮาร์ดแวร์ที่ดีกว่าในราคาเท่ากัน
จุดสำคัญคือ iPhone มีค่าซ่อมแพงกว่ามาก เรื่องเปลี่ยนจอ เปลี่ยนแบต จะราคาย่อมเยาก็ต่อเมื่อ เปลี่ยนที่ร้านตู้ และใช้อะไหล่เทียบเคียง
ทุกอย่างของค่ายผลไม้ราคาแพงทั้งนั้น เวลาคิดถึงค่าใช้จ่ายโดยรวม ต้องคิดถึงจุดนี้ด้วย
iPhone SE น่าสนใจมากครับราคาถูกมากและ A13 Bionic สุดมาก เพราะผมใช้ iPhone 8 อยู่ ชอบขนาดหน้าจอแค่นี้แหละครับพกพาสะดวกดี
หลักๆโทรศัพท์ผมใช้แค่ โทร แชท แอพธนาคาร มีแค่นี้เอง ถ้าจะทำอะไรมากกว่านั้นก็ใช้ iPad มันทำให้ SE ตัวใหม่น่าสนใจมากสำหรับการเปลี่ยนโทรศัพท์ จะให้ใช้แอนดรอยก็คงไม่ได้เพราะเพลงและแอพต่างๆดันซื้อไปเยอะแล้วนี่สิกลับตัวไม่ได้แล้ว
เรื่องไม่มีรูหูฟังที่หลายคนอยากได้ผมก็ไม่มีปัญหาอะไรใช้ Airpod เพราะมัน connect กับทุกอุปกรณ์ของ Apple ที่ไอดีเดียวกันสลับง่ายมากเลยไม่มีปัญหา เรื่องถ่ายรูปผมก็ไม่ได้ใช้โทรศัพท์ถ่ายบ่อยขนาดนั้น