By: korrawit 
on 5 August 2020 - 23:37
Tags:
Topics:
หลังจากดราม่า Personal และ Enterprise Edition ที่สุดท้ายแล้วก็ต้องยอมถอย ในที่สุดวันนี้ The Document Foundation ก็ได้ประกาศออก LibreOffice เวอร์ชัน 7.0 ซึ่งเป็นการปรับรุ่นรอบใหญ่ในรอบ 2 ปี มีฟีเจอร์ใหม่เช่น
- รองรับมาตรฐานไฟล์ OpenDocument Format (ODF) เวอร์ชัน 1.3 (รุ่นเก่ารองรับถึงแค่ 1.2)
- เปลี่ยนกราฟิกเอนจินบนวินโดวส์จาก OpenGL เป็น Skia และ Vulkan
- ปรับปรุงการอ่านและบันทึกไฟล์ DOCX/XLSX/PPTX
- ธีมไอคอนใหม่ เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม จนถึงปัจจุบัน LibreOffice ก็ยังไม่มีเวอร์ชันอย่างเป็นทางการสำหรับมือถือหรือแทบเลต ปล่อยให้ Microsoft 365 นำไปไกลแล้ว แต่ก็มีแอปของ Collabora ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทผู้ร่วมพัฒนาออกมาให้ใช้
และเช่นเดียวกับการปรับรุ่นรอบใหญ่ทุกครั้ง คำแนะนำคือหากต้องการเสถียรภาพมาก่อนฟีเจอร์ใหม่ๆ ทาง The Document Foundation ยังคงแนะนำให้ใช้รุ่นเก่ากว่าคือตระกูลเวอร์ชัน 6.4.x ต่อไปก่อน ซึ่งจะหมดอายุการสนับสนุนในเดือนพฤศจิกายน 2020 นี้
ที่มา - The Document Foundation
Get latest news from Blognone
Follow @twitterapi
Comments
สุดยอดฟีเจอร์ที่ผมเฝ้ารอ...
Alt + = เพื่อ Autosum
ผมล่ะสงสัยว่าทำไมโลกนี้ถึงไม่มีอะไรมาตี Microsoft Office จนแตกได้สักที
That is the way things are.
ความจำเป็นของงานองค์กรล้วนๆ เอางาน M$ มาเปิดทำงานบนเจ้าอื่นแล้วเละเทะ แม้แต่ของ M$ เองเปิดทำงานข้ามปีข้าม platform ก็ยังเละ แต่ถ้าเป็นงานนักเรียนทำส่งครู ก็เห็นใช้ Google Doc,Slide กันเยอะแล้วนะ
ผมลองใช้ รู้สึกว่ามันจะลื่นกว่า Office Online อีกนะ
ฐานลูกค้าครับ (เหมือนที่ไม่มีอะไรมาตี Facebook ได้)
หลักๆเลยเพราะความเคยชิน แต่ไอ้คนที่ชินไม่เปลี่ยนดันมีตำแหน่งสำคัญ เช่น ส่งงานครูอาจารย์ แล้วครู อาจารย์ใช้ MS office ก็จบแค่นั้น เราทำอย่างอื่นส่งไปกลัวเปิดไม่ได้ คะแนนไม่มา หรือตามสำนักงาน ไอ้คนตรวจงานก็ใช้เป็นแต่ MS office ก็คือจบเช่นกัน จะมีก็คงเป็น IT นั่งทำเอกสารตารางจดบันทึกงานที่ใช้คนเดียวนั้นหล่ะที่ไม่ใช้ MS office แม้แต่ผู้บริหารก็ติดแต่ MS office จะเปลี่ยนก็ลำบาก ต้องมานั่งรับผิดชอบถ้าจะเปลี่ยน สรุปคือไม่เปลี่ยนมันดีกว่า งานจะได้ไม่เข้า
ยิ่งตอนนี้ยิ่งตียาก
Office ตอนมันผูกกับ Team และหลายๆอย่าง แล้วด้วย ตัวระบบมันออกแบบสำหรับองค์กรที่มีการใช้งานร่วมกันหลายๆคน
และระดับองค์กรนี่แหละที่ยอมจ่ายเงินซื้อ license เลยมีทุนไปพัฒนาเรื่อยๆมั้ง
ถ้าเค้าไปใช้ตัวอื่นก็ต้องวิ่งหา solution การจัดการกันใหม่อีก
กลุ่มคนใช้งาน personal ต่อให้ใช้ open source ทั่วโลกแต่องค์กรไม่ใช้ ก็คงทำเงินลำบาก