เทคโนโลยีของโลกยานยนต์เวลานี้ ทิศทางของทุกค่ายรถคือการพัฒนาโดยมุ่งเน้น “ยานยนต์ไฟฟ้า” (Electric Vehicle) เพื่อลดปัญหามลพิษ ที่คุกคามสุขภาพ และทำลายสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอากาศที่เราต้องหายใจเข้าไปทุกวัน รัฐบาลในหลายประเทศทั่วโลกจึงออกมาตรการทางกฎหมายสิ่งแวดล้อมมาบังคับใช้ เพื่อบรรเทาปัญหามลพิษที่กำลังเข้าสู่ขั้นวิกฤต
ในปัจจุบัน หนึ่งในแนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าว คือการบังคับใช้มาตรฐานด้านไอเสียที่เข้มงวดมากขึ้น บริษัทผู้ผลิตรถยนต์จึงมีการพัฒนารถที่ใช้เครื่องยนต์ที่มีการปล่อยไอเสียน้อยลง รวมทั้งหาวิธีการแก้ปัญหาระยะยาวและถือเป็นการลดมลพิษบนท้องถนนอย่างแท้จริง เช่นการพัฒนายานยนต์ที่ไม่มีการปล่อยไอเสีย ซึ่งทำให้หลายบริษัทหันมาพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า ที่ใช้การขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าแทนจากการใช้พลังงานจากเครื่องยนต์
คำว่า รถยนต์ไฟฟ้า หรือ EV (Electric Vehicle) นั้นมีความหมายที่ค่อนข้างกว้าง ครอบคลุมถึงรถทุกชนิดที่มีการใช้พลังงานไฟฟ้าเข้ามาเกี่ยวข้องในระบบขับเคลื่อน แต่สามารถจำแนกแยกย่อยออกเป็น 3 ประเภทใหญ่
ได้แก่ รถไฮบริด (HEV) ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปเป็นหลัก แต่มีระบบมอเตอร์และแบตเตอรี่ ที่สามารถใช้กระแสไฟฟ้าที่สร้างจากการเคลื่อนตัวของรถ มาช่วยขับเคลื่อนในบางช่วงได้ แบบที่สองคือ รถปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) ที่ใช้ระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าร่วมกับเครื่องยนต์เช่นกัน แต่ชาร์จไฟจากภายนอกได้ และอาจขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าทั้งหมดได้ระยะหนึ่ง และแบบสุดท้าย คือรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าทั้งหมด และใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ 100% (BEV)
รถแบบไฮบริดและปลั๊กอินไฮบริดนั้น ยังต้องมีเครื่องยนต์เข้ามาเกี่ยวข้อง จึงถือเป็นเทคโนโลยีที่ใช้สำหรับการเปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้รถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบเท่านั้น ส่วนรถยนต์ไฟฟ้าชนิดใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ 100% ที่ไม่มีมลพิษหรือไอเสียออกมาจากตัวรถเลยเรียกว่า Zero Emission
SAIC Motor บริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่ในจีนมียอดขายรถยนต์รวมกว่า 7 ล้านคันต่อปี และยังเป็นหนึ่งในผู้นำทางด้านเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าอันดับต้นๆ ของโลก โดยมียอดขายรถไฟฟ้า ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2011 จนถึงปัจจุบัน สูงถึง 270,000 คันทั่วโลก
ปัจจุบัน SAIC Motor ยังพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง มีรถยนต์ไฟฟ้าที่เปิดตัวแล้ว 14 รุ่น แบ่งเป็น รถไฮบริด (HEV) 8 รุ่น และรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) อีก 6 รุ่น โดยได้เพิ่มขีดความสามารถทั้งในด้านของระยะทางการขับขี่ ระบบการควบคุมอัตโนมัติ ระบบขับเคลื่อน และระบบการเชื่อมต่อมาอย่างต่อเนื่อง
สำหรับประเทศไทย SAIC Motor ได้จับมือกับเครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP) ก่อตั้ง SAIC Motor-CP ส่งผลให้ประเทศไทยเป็นจุดยุทธศาสตร์ในการผลิตและส่งออกรถยนต์พวงมาลัยขวา ภายใต้แบรนด์ MG ทั้งยังสร้างจุดเปลี่ยนให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยอีกด้วย
โดย SAIC Motor-CP เป็นผู้ริเริ่มในการนำเทคโนโลยี และนวัตกรรมต่างๆ มาปรับใช้ในรถยนต์เอ็มจีทุกรุ่น ไม่ว่าจะเป็นระบบปฎิบัติการอัจฉริยะ i-SMART ที่สามารถสั่งการด้วยเสียงภาษาไทยได้ระบบความปลอดภัยมาตรฐานยุโรป Advanced Synchronized Protection System ที่โดดเด่นด้วยระบบช่วยขับขี่ Advanced Driver Assistance System (ADAS)
รวมถึงการเปิดตัว NEW MG ZS EV รถยนต์ไฟฟ้าชนิดที่ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ 100% รุ่นแรกของเอ็มจี ที่ทำให้ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในไทยคึกคักขึ้นอีกครั้ง และมาพร้อมกับนวัตกรรม และเทคโนโลยีที่ทันสมัย ที่จะทำให้การใช้งานรถไฟฟ้าเป็นเรื่องที่ “ง่าย” สำหรับทุกคน
NEW MG ZS EV ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้ากำลังสูงสุดถึง 110 kWh หรือเทียบเท่า 150 แรงม้า พร้อมแรงบิดที่มีมากถึง 350 นิวตันเมตร ดีที่สุดในรถระดับเดียวกัน ทำให้ตอบสนองผู้ขับขี่ได้ทันที โดยใช้เทคโนโลยี Hair-Pin Winding Design Technology ช่วยให้มอเตอร์ไฟฟ้าส่งกำลังได้เต็มประสิทธิภาพ
แบตเตอรี่ของ NEW MG ZS EV เป็นแบบลิเธียม-ไอออน (Lithium-ion) ขนาด 44.5 kWh วิ่งได้ระยะทางสูงสุดถึง 337 กิโลเมตร ตามมาตรฐานความประหยัดพลังงานและมลพิษ New European Driving Cycle (NEDC) พร้อมระบบ Cooling System แบบ Liquid Cooling ระบบน้ำหล่อเย็นช่วยระบายความร้อนที่เกิดขึ้นในขณะใช้งาน เพื่อให้แบตเตอรี่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดและมีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น
SAIC Motor ยังได้พัฒนาเทคโนโลยีการเปลี่ยนแบตเตอรี่แบบ Module โดยสามารถเปลี่ยนเฉพาะโมดูลที่เสียหายได้ ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ทั้งหมด ช่วยลดค่าบำรุงรักษาในระยะยาว และยังรับประกันแบตเตอรี่ยาวนานถึง 8 ปี หรือ 180,000 กิโลเมตร
แบตเตอรี่นั้นสามารถชาร์จง่ายๆ ได้ที่บ้าน ผ่าน MG Home Charger โดยเมื่อชาร์จไฟเต็ม 100% ระบบจะทำการตัดไฟอัตโนมัติโดยไม่ต้องถอดที่ชาร์จออก จึงสามารถชาร์จทิ้งไว้ได้ทั้งคืน ทำให้พร้อมออกเดินทางในตอนเช้าได้ทันที และในกรณีที่ต้องเดินทางไกล จะสามารถตรวจสอบสถานีชาร์จไฟฟ้าสาธารณะได้ผ่านระบบ i-SMART ซึ่งเมื่อแบตเตอรี่ต่ำ ระบบจะมีการเตือนอัตโนมัติผ่านทางหน้าจอของรถ พร้อมแนะนำจุดชาร์จที่ใกล้ที่สุด
ความโดดเด่นของ NEW MG ZS EV นอกจากการเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ไม่ปล่อยมลพิษแล้ว NEW MG ZS EV ยังมีค่าบำรุงรักษาที่ต่ำกว่าอีกด้วย เนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้า มีจำนวนชิ้นส่วนน้อยกว่าระบบอื่นๆ ทำให้ดูแลรักษาง่าย และประหยัดได้มากขึ้น โดยมีค่าใช้จ่ายในการเช็คระยะรวม 100,000 กิโลเมตร เพียง 8,545 บาท ถูกกว่ารถยนต์สันดาปปกติถึง 3 เท่า
NEW MG ZS EV เป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ที่แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจจริงของแบรนด์รถยนต์เอ็มจี ที่มุ่งมั่นพัฒนาให้ได้มาซึ่ง “สิ่งที่ดียิ่งกว่า” (Passion to be Better) เพื่อให้ผู้บริโภคได้สัมผัส และเข้าถึงยนตรกรรมแห่งอนาคตได้ง่ายยิ่งขึ้น ในราคา 1,190,000 บาท มาพร้อมฟังก์ชั่นและเทคโนโลยีที่อำนวยทั้งความสะดวกและระบบความปลอดภัยครบครัน ทำให้ NEW MG ZS EV ขึ้นแท่นเป็นผู้นำตลาดรถพลังงานไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (BEV) ในประเทศไทย ด้วยการครองส่วนแบ่งการตลาดสูงถึง 91.5% ในปีที่ผ่านมา
ผู้ที่สนใจ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ MG CALL CENTRE โทร. 1267 และสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมของเอ็มจีได้ที่
Website: www.mgcars.com
Line: @MGThailand
Facebook: www.facebook.com/MGcarsThailand
Twitter: @mg_thailand
Instagram: @mgthailand
Youtube: MG Thailand
Comments
ถ้าไม่ค่อยวิ่ง วิ่งอาทิตละครั้งแบ๊ตจะเสื่อมไหมครับ?
เท่าที่ผมลองสังเกตุดูจากรถผมเองนะ ในรถมีแบต 2 ชุด
1.แบต High Volt ที่ใช้ขับเคลื่อน แบตชุดนี้ไม่วิ่งเลยทั้งอาทิตย์ แบตไม่ลดถ้าจะให้แบตคายประจุเองจนถึงจุดที่พอสังเกตุได้ว่ามีการลดลง ยังไม่เคยลองเหมือนกันแต่คิดว่าอาจจะใช้เวลาเป็นเดือนเลยครับ
2.แบต 12v เหมือนรถทั่วไป ชุดนี้ใช้คุมระบบไฟอื่นๆ เช่น สตาร์ทรถ ไฟหน้า ไฟเบรค ฯลฯ แบตชุดนี้ล๊อตแรกๆ เคยมีปัญหาบ้างในรถบางคันซึ่งบางทีจอดทิ้งหลายๆวันแล้วแบตหมดจะทำให้สตาร์ทรถไม่ได้ แต่ช่วงหลังๆแก้ไขจนไม่มีปัญหาแล้วครับ จอดเป็นอาทิตย์ก็สตาร์ทติดปกติ ถ้าต้องจอดนานๆ บางคนก็ใช้วิธีสั่งรถเปิดแอร์จากมือถือ จะเป็นการใช้แบต HighVolt มา recharge แบต 12v ได้ครับ
ก็แบตเล็กนั่นแหล่ะที่ไฟมันรั่วลงกราวหมด
สถานีชาร์ทยังน้อยอยู่ ถ้าวิ่งไกลๆ ผมว่าแอบลำบาก แถวบ้านจุดชาร์ทรถ EV ก็กลายเป็นที่จอดปกติไปแล้ว
ณ ตอนนี้ ในกทม. ไม่ลำบางเท่าไหร่แล้วครับ มีหลายสิบแห่งแล้ว เพราะตู้ ea เปิดใช้แล้ว แต่เฉพาะเวลาออฟ พีค (นับเฉพาะ dc quick charge)
และไม่เกินกลางปีหน้า ทุกระยะ 100 กิโลเมตร บนถนนสายหลักทั่วประเทศ ราวๆ 62 สถานี จะพร้อมใช้งานครับ
สถานีละกี่หัวชาร์จ
รายละเอียดของแต่ละเจ้ายังไม่ออกมาเลยครับ
ถ้าจำไม่ผิดของ กฟภ. 1 สถานี น่าจะมี 2 ตู้ แต่ละตู่น่าจะมี 2หัวจ่าย มั้งครับ
ส่วนของ ea 1 สภานี เหมือนจะมีตู้เดียว มี 2 หัวจ่ายแบ่งเป็น ccs 1 chademo1
เอาไว้รอเปิดตัวน่าจะทราบรายละเอียดคนับ
อัพเดท อันนี้ข้อมูลล่าสุด จำนวนหัวชาร์จ ณ ปัจจุบัน
นอกจากจำนวนยานยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นแล้ว สิ่งที่เติบโตควบคู่เพื่อรองรับความต้องการ คือ แหล่งชาร์จพลังงานไฟฟ้า ที่ปัจจุบันกระทรวงอุตสาหกรรม กำหนดโครงสร้างพื้นฐานรองรับการส่งเสริมสถานีอัดประจุไฟฟ้า ซึ่งกำหนดค่าไฟฟ้าคงที่ 2.63 บาทต่อหน่วย และตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้าสาธารณะให้ตั้งภายในรัศมี 50-70 กิโลเมตร ทำให้มีจำนวนผู้ให้บริการ 10 ราย มีสถานีชาร์จเกือบ 560 แห่ง มีจุดชาร์จมากกว่า 1,800 จุดชาร์จ
https://www.prachachat.net/motoring/news-523271
สรุปย่อหน้าแรกยังไม่แน่ใจเน๊อะ
ส่วนกระทู้ prachachat ก็เป็นเว็ปเอกชน ขายของทั่วๆไป ใครๆก็เขียนได้แหละครับ
จริงๆผมอยากทราบว่ามันมีกี่จุดกันแน่
ผมเข้าไปดู autolifethailand คุณ นิธิ ท้วมประถม แห่ง autolifethailand เค้าบอกว่าภาครัฐไม่ชัดเจนเรื่องขยายจุดชาร์จแล้ว
CP จะขยายเองอีกเป็นหลักร้อยจุด จำไม่ได้ว่าเริ่มเมื่อไหร่
ตอนนี้ยิ่งดูบทความ ยิ่งดู youtube เริ่มสับสนละครับ
รู้สึกว่า EV น่าจะยังเป็นรถคันที่ 2 ในช่วง 1-3 ปีนี้ เนื่องจากจุดชาร์จยังมีน้อย
จึงต้องใช้สมองเตรียมการมากกว่าในการเดินทางไกล
ก่อนจะเข้าไปจองก็แนะนำให้เข้าไป #อวยmg ก่อนเลย
ขับน้อนแล้วดับกลางทาง...
Coder | Designer | Thinker | Blogger
แถม Car Complaints, Thailand อีกอัน ดูได้อีกหลายยี่ห้อเลย
กี่ล้านคนรับ
เทรน marketing ลวงโลกที่เอาคนไปแฝงตัวในกลุ่ม แล้วมีตัวละคร เด็กปั้ม เด็กขายพวกมาลัย ถามกี่ล้านๆ
เทรน กินน้ำมัน 12 กิโลลิตร แต่อัตราเร่ง 0-100 17วินาที
เทรน โดนชนแล้ว อะไหล่ไม่มี ซ๋อมนาน 3 เดือน up
เทรน อวดใช้มา 1000 กิโล ยังปกติดี
เทรน ขับๆอยู่ sunloof เปิดเอง
เทรน จอดเกินอาทิตย์แล้วสตาร์ทไม่ติด
สุดท้าย
เทรน ภาษีรถไฟฟ้าจากจีนน้อยกว่าจากประเทศอื่น
นี่เทรนยานยนต์โลกไปขนาดนี้แล้วหรอนี่
เทรน แขวะยี่ห้ออื่นเก่งด้วยครับ
ขำตรง MG > GM บังเอิญซะจริงๆ -_-
ไม่แปลกครับ เพราะ MG เป็นแบรนด์ภายใต้ SAIC ที่มีความร่วมมือกับ General Motors (GM) ไม่จะไม่ได้มีส่วนกับ MG ก็ตาม
เอาง่ายๆ ก็คือ GM ในคราบคนจีนที่เน้นทำรถราคาถูกมาตีตลาด ซึ่งต่างจาก GM พอสมควรในเรื่องนี้
ความล้มเหลว คือจุดเริ่มต้นสู่ความหายนะ มีผลกระทบมากกว่าแค่เสียเงิน เวลา อนาคต และทรัพยากรที่เสียไป - จงอย่าล้มเหลว
saic ทำjoint venture กับ GM ในจีนคนับ
แล้วก็มีทำ jv กับ VW อีกเจ้า
ประมาณนั้นครับ
ความล้มเหลว คือจุดเริ่มต้นสู่ความหายนะ มีผลกระทบมากกว่าแค่เสียเงิน เวลา อนาคต และทรัพยากรที่เสียไป - จงอย่าล้มเหลว
ถ้าตีความตามเจ้าของเม้น ผมก็มองว่าไม่ได้มีความเกี่ยวโยงอะไรกันเรื่องชื่อเลยนะครับ Morris Garage กับ General Motors แค่ย่อคำละสลับกัน MB กับ BM อีก
มันมีรุ่นหนึ่งที่ GM ทำมาขายในไทย (ก่อนเลิกขาย) แล้วใช้โมเดลของ MG นะครับ นั่นคือ Chevrolet Captiva ที่เป็นโมเดลของ SAIC (ในอินเดีย ขายในชื่อ MG Hector ที่มีข่าวไฟลุกไหม้เนี่ยแหละครับ)
Coder | Designer | Thinker | Blogger
เสริมครับ Captiva รุ่นแรกมาจาก GM Daewoo พัฒนาโดยเกาหลี ส่วนรุ่นใหม่ลดครึ่งราคา ฝาแฝดกับหลายยี่ห้อ ในจีนก็ Baojun 530
oxygen2.me, panithi's blog
Device: ThinkPad T480s, iPad Pro, iPhone 11 Pro Max, Pixel 6
จริง ๆ โมเดลไทยไม่เคยมีตัวไหนที่มาจากอเมริกาเลย มีทั้งจีน เกาหลี (รถเก๋งส่วนมาก Daewoo ทั้งนั้น) บราซิล ยุโรป (แทนที่ Opel ในไทยสมัยก่อน)
Coder | Designer | Thinker | Blogger
จริงครับ ตอนสมัย Zafira ผมคิดว่ารถน่าจะใช้ดีอยู่
แต่พอเอามาจากเกาหลีปุ๊บนี่ความแตกต่างไม่มีเลย เครื่องไม่แรง โบราณ โดน Optra Estate ไป รู้สึกแย่มากครับ แต่ตอนใช้ 3 ปีกว่าแล้วขายต่อดันได้ราคาดีมาก เพราะซื้อตอนคนใน GM ตั้งกระทู้ขายทาง Pantip ได้มาหกแสนกว่า ขายได้สี่แสนกว่า
ตัว Lumina ที่มาจากออสเตรเลียตอนโล๊ะก็ไปลองมาเหมือนกันครับ เครื่องแรงแต่ช่วงล่างเอารถไม่อยู่
จริงๆ Chevy มีรถอเมริกันหลายตัวที่น่าจะเอามาขายเป็นรถธงได้ เน้นโชว์ไม่เน้นขาย อย่าง Silverado, Camero
oxygen2.me, panithi's blog
Device: ThinkPad T480s, iPad Pro, iPhone 11 Pro Max, Pixel 6
ก็เหมือน mg สมัยนี้แหล่ะ ที่บอกว่าตัวเองเป็นรถอังกฤษ เอาธงสหราชอาณาจักรมาใส่ท้ายโฆษณา
โดยที่ประวัติเดิมๆ mg นี่เดี๋ยวก็โดนยกเลิกแบรนด์ เดี๋ยวก็โดนเปลี่ยนบริษัทแม่เป็นเกี่ยวกับอวกาศ จน bmw อยากได้ mini แต่บริษัทเจ้าของ mini บังคับซื้อ mg ไปด้วย ถ้าไม่เอา mg ไป ก็ไม่ให้ mini พอมาอยู่กับ bmw ก็ขายต่อให้ SAIC พร้อม rover
แอบงงสรุปเป็นอังกฤษ หรอ
ถ้าว่ากันตรง ๆ นะครับ มันก็เหมือนกับ Mini ที่เอาธง Union Jack มาไว้ตรงไฟท้ายเนี่ยแหละ ทั้งที่ตอนนี้รถ Mini ก็เป็นรถเยอรมันไปแล้ว
ส่วนรถอังกฤษแท้ ๆ เขาไม่ต้องอวดอ้างว่าเป็นรถอังกฤษหรอครับ
Coder | Designer | Thinker | Blogger
จริงๆรถยนต์ไฟฟ้า คือ การรวมมลพิษไปไว้ที่โรงไฟฟ้าอะนะทำให้ควบคุมง่ายกว่าดีกับคนกว่า
เรื่องแบตที่เป็นหัวใจอันนึงก็น่าเศร้าที่USคงไม่ยอมให้จีนเข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ได้แน่ๆ
ดังนั้นน้ำหนักความจุอายุการใช้งานก็น่าจะเป็นจุดอ่อนยาวไปถึงอนาคต
แต่ก็อาจจะดีเพราะถ้าวัตถุดิบจากจีนน้อยลงเพราะUSห้ามค้า ฝั่งตะวันตกก็ต้องยอมปล่อยเทคโนโลยีใหม่ให้คนทั่วไปใช้เร็วขึ้น
ไม่ใช่แค่นั้นนะครับ ผมไม่ค่อยเห็นใครพูดถึงมลพิษอีกด้านหนึ่ง ซึ่งรถไฟฟ้าไม่มีเลย นั่นก็คือมลพิษจากการขนส่งน้ำมันไปยังปั๊มครับ ในขณะที่ไฟฟ้าวิ่งไปตามสาย ไม่ก่อมลพิษในการเคลื่อนย้ายครับ (ตลอดจนความสึกหรอด้วย)
ทุกคนคิดว่าน้ำมันสะดวกกว่า แต่ทุกคนลืมไปว่าน้ำมันมีค่าใช้จ่ายในการขนส่งน้ำมันในทุกหยดและสร้างมลภาวะจากการขนส่งน้ำมันในทุกหยด ในขณะที่รถไฟฟ้าไม่มีในส่วนนี้ครับ
อีกเรื่องที่แท้จริงคือจุดแข็งก็คือ การสันดาปมันตันแล้วครับ น้ำมันมันพัฒนาต่อไปกว่านี้ไม่ได้ ในขณะที่ Battery ยังมีอนาคตอีกไกลครับ ที่คุณคิดว่าเป็นจุดอ่อน ที่สุดแล้วมันจะเป็นจุดแข็งครับ เพียงแต่ตอนนี้มันอยู่ในระยะตั้งไข่เท่านั้น ซึ่งต่างจากการสันดาปที่มันผ่านมา 100 กว่าปีมาแล้ว สุดทางมันแล้วครับ
จริง ๆ มันมีเรื่องพวกนี้ระหว่างการผลิตกระแสไฟฟ้าเหมือนกันนะครับ ไม่ว่าจะเป็น การใช้ถ่านหิน เชื้อเพลิงจากซากฟอสซิล หรืออื่น ๆ
แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า พลังงานไฟฟ้า สามารถได้มาจากพลังงานสะอาดได้เช่นกัน แค่ตอนนี้พื้นที่ส่วนมากยังคงใช้พลังงานสกปรกอยู่ครับ
Coder | Designer | Thinker | Blogger