ทำไมมีแต่คนเกลียด microsoft windowก็ใช้ดีนี่นา บิล เกต ก็เป็นคนดี เห็นมีมูลนิธิตั้งเยอะ
คงไม่ได้มาตอบว่าทำไมคนเกลียดMS เพราะว่าไม่ได้เกลียดและค่อนข้างชอบ
แต่มาให้กำลังใจคุณจักรนันท์ว่าอย่าเพิ่งท้อในการถกเถียงพูดคุยกับเด็กๆ เพราะข้าพเจ้าก็ยังเด็กอยู่มาก แถมอยู่คนละfieldกับเรื่องเทคโนโลยี แต่ชอบอ่านเรื่องเทคโนโลยีต่างๆ
(นอกประเด็น)อยากจะบอกว่า ที่จริงไม่ชอบซีพีมากๆ แต่ดันถูกใจคำสอนเจ้าสัวที่สอนลูก ว่า ให้พยายามมองแง่ดีของทุกคนให้เจอ แม้ว่าคนผู้นั้นจะแย่แค่ไหนหรือเราไม่ชอบขี้หน้าแค่ไหน
ซึ่งข้าพเจ้าอยู่ฝ่ายที่ค่อนข้างชอบMS แต่คุณจักรนันท์anti-M$ ก็ไม่เห็นเป็นอะไร สามารถคุยกันได้ ไม่เห็นต้องแขวะกันไปมา
ส่วนตัวชื่นชอบที่คุณจักรนันท์ออกตัวว่าเป็นคนแก่ที่พยายามลดอัตตา ทั้งที่ข้าพเจ้ายังเด็กแต่ด้วยอาชีพที่จะประกอบในภายภาคหน้าเต็มไปด้วยอัตตา จึงชื่นชมคนที่พยายามลดอัตตา เพราะตัวเองพยายามลดอยู่แต่ทำได้ยากเหลือเกิน
(ชวนคุยประเด็นอื่น) ส่วนตัวที่ค่อนข้างชอบMSเป็นเพราะว่าใช้งานง่าย เนื่องจากอยู่ด้านอื่นที่ไม่ได้จำเป็นต้องรู้ให้ลึกทำให้เป็นเรื่องเทคโนโลยี ออกแนวuserเต็มตัว และชอบในการที่MSครองตลาด มันทำให้การทำงานระหว่างเครื่องมันสะดวกมาก จึงแอบเซ็งบ้างเวลาเพื่อนใช้Mac เพราะเวลาทำงานofficeร่วมกัน ปัญหามันเยอะ จึงคิดว่าทำไม OSต่างๆไม่ทำให้ทุกอย่างเข้ากันได้เวลาข้ามOS ทำให้เป็นuniversalไม่ได้เหรอ แต่เท่าที่อ่านมาข้างบนๆคงเป็นเพราะว่า MSแกสร้างมาตรฐานต่างจากชาวบ้านหรือไม่ อย่างไร
อีกประเด็น โดยส่วนตัวคิดว่าMSทำธุรกิจจะโหดร้ายในทางธุรกิจก็ไม่แปลก แต่ในเรื่องที่หักหลังเพื่อนนั้นก็ไม่ชอบเช่นกัน อย่างไรก็ตามในเรื่องนี้คงมองได้2มุม ขึ้นอยู่กับว่าจะมองมุมไหน มองในแง่user MSดี ใช้งานง่าย แต่ถ้าทำห่วยก็ด่าได้ มองในแง่Dev หรือ คู่แข่ง ไม่เสียสละ เอาเปรียบ เห็นแก่ตัว ดังนั้นจึงขอเสนอแนะให้มองกว้างๆไว้ ทุกคนทุกบริษัทมีแง่ดีแง่เลว แต่ไม่ได้ชักชวนให้ชอบMS เพราะไม่ใช่PRของMS
+1
เกลียด = อิจฉา
ไม่จริงครับ
ผมไม่ชอบนักการเมืองหลาย ๆ ท่าน แต่ผมไม่เคยอิจฉาพวกเค้าเหล่านั้นเลย
ผมไม่ชอบอาจารย์บางท่าน ผมก็ไม่เคยอิจฉาพวกท่านเช่นกันครับ
ผมเหม็นขี้หน้าเพื่อนบางคนถึงขั้นเกลียด เพราะมันทำอะไรแปลกๆ งี่เง่า อวดดี ทั้งที่ผมไม่เหนว่ามันจะมีอะไรดีกว่าคนอื่น แล้วผมก็ไม่เคยอิจฉา ไม่อยากเป็นอย่างมันด้วยครับ
หลาย ๆ คนในบลอกนี้ไม่ชอบ apple แต่เค้าไม่ชอบเพราะนโยบายของ apple โดยที่พวกเค้าไม่ได้อิจฉาอะไรเลย
ผมจึงสรุปว่า เกลียด =! อิจฉา ครับ
อาจะมีเป็นซับเซตบ้าง แต่มันไม่มีทางเท่ากันแน่นอนครับ (เขียนเหมือน rep. ข้างบนเลยแฮะ คนเดียวกันปล่าวนะ ขี้เกียจเลื่อนขึ้นไปดู)
“อย่าเชื่อ 10 ประการ” 1.อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามกันมา ... 10.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา
หนึ่งฟังตามกันมาอย่าได้เชื่อ สองทำกันทุกเมื่อเชื่อไม่ได้ สามตื่นข่าวป่าวมาอย่าเชื่อไป สี่อย่าไว้ใจแม้แต่ตำรา
ห้าอย่าเชื่อเพียงเพราะเดาเอาเองเล่น หกกะเกณฑ์คาดคะเนไว้ล่วงหน้า เจ็ดเพราะนึกตรึกตรองและตรวจตรา แปดเพราะว่าต้องตามธรรมเนียมตน
เก้าอย่าเชื่อเพียงเพราะเพื่อควรเชื่อเขา สิบครูเราแท้แท้มาแต่ต้น ก็ใช่จักเชื่อได้น้ำใจคน จงเชื่อผล เชื่อเหตุ สังเกตเทอญ
Happiness only real when shared.
มาอ่านอีกรอบ .... ประโยชน์ทั้งนั้น
จะว่าไปแล้ว คนเราเท่าที่ยังหายใจมันก็ยังต้องตินั้นแหละครับ ถ้าหากท่านไม่ติ ท่านไม่ติง ท่านก็คงไม่ต้องเปลี่ยนอะไรเลยในชีวิต ท่านติว่าท่านเกิดมาท่านไร้เสื้อผ้า ท่านจึงซื้อเสื้อผ้า ถ้าไม่ติคงเปลือยอยู่ตอนนี้ ท่านติว่าท่านด้อยศึกษา ท่านจึงต้องศึกษา ถ้าไม่ติท่านคงทำอะไรไม่ได้ในตอนนี้ ท่านติว่ายังศึกษาไม่เพียงพอ ท่านจึงศึกษาต่อ ถ้าไม่ติท่านคงไม่มานั่งอยู่หน้าจอตอนนี้ ท่านติว่าหิว ท่านจึงหาอาหารมาเพื่อสนองตัญหาหิว ถ้าไม่ติ... ท่านติว่าเงินท่านน้อย ท่านจึงต้องหาให้มากขึ้น ถ้าไม่ติท่านก็คงไม่ต้องทำงานเพื่อหาเงิน ท่านคงทำเพื่อความสุข ความพอเพียง ขนาดท่านเองยังติตัวเองอยู่วันละหลายครั้ง แล้วทำไมท่านจึงจะไม่ติสิ่งอื่นได้ ดังนั้นเมื่อท่านจะทำอะไรออกมาเพื่อให้คนอื่นเอาไปใช้หรือได้เห็นได้รู้ ท่านจะรู้ได้อย่างไรว่ามันจะไม่ถูกติ ก่อนที่จะออกมาเป็นรูปเป็นร่างท่านยังติมันนับครั้งไม่ถ้วน มันถูกใจท่านแต่ไม่สำหรับคนอื่น และสิ่งที่สำคัญที่สุด ท่านใช้อะไรไปบ้างในการทำสิ่งนั้นออกมาจนเป็นรูปเป็นร่างแบบนี้ได้ นั้นคือต้นทุนในการวิจัย ถ้าท่านมีจิตกุศลพอท่านก็อาจจะเอาโครงร่าง หรือพิมพ์เขียวของสิ่งที่ท่านทำแจกให้คนอื่นเอาไปใช้เอาไปพัฒนาต่อ ตามแบบของแต่ละคน แล้วแต่ความพึงพอใจ แต่ถ้าท่านไม่ได้มีเหลือกินเหลือใช้ขนาดนั้น สิ่งที่ท่านทำมันมีต้นทุน มีความทุ่มเทของท่าน ท่านต้องการมากกว่าคำว่าขอบคุณ ท่านก็ต้องเอามันมาใช้ เอามาขาย เพื่อเอาทุนบวกกำไรเพื่อไปลงทุนทำอย่างอื่น มาพัฒนาต่อ ก่อร่างสร้างใหม่ หรือแม้แต่จัดเตรียมความพร้อมทำคู่มือหรือแม้แต่บริการให้คนที่ซื้อไป สรุปแล้ว ก็ขอให้เลือกกันเอาเองครับ ทำข้าวหม้อใหญ่มันต้องมีบ้างที่ไม่ถูกปาก ก็เลือกใช้เอาเองหละครับ ตามความพอใจ มีให้เลือกแค่ไม่กี่อย่างยังปวดตับขนาดนี้ ถ้ามีเยอะแยะมากมาย แล้วจะเลือกกันยังไง แล้วที่ว่ามาตรฐาน เอาอะไรมาวัดหละครับ ก็ต่างคนต่างคิดต่างคนต่างค้นคว้ากันมา ถ้าคิดเหมือนกัน แล้วเราจะมานั่งเลือกนั่งเถียงกันตรงนี้ทำไมครับ มันก็คงออกมาเหมือนกัน แบบเดียวกัน อย่างเดียวกัน เพราะมันต่างนั้นแหละถึงจะได้เลือก เลือกใช้ให้เหมาะกันสภาพของตัวเอง เท่านั้นแหละครับ ส่วนเรื่องการผูกขาด ผมกลับมองไปอีกทางนะ ไม่ว่าจะ MS Unix Mac ผมว่าไม่ได้ต่างกันหรอกครับ ถ้าจะว่า MS ผูกขาดเรื่องฮาร์ดแวร์ แล้ว Mac ไม่ขาดกว่าเหรอครับ ทั้งฮาร์ดแวร์และซอร์ฟแวร์เลยนะผมว่า ถ้าจะว่า MS ไม่เข้ากับมาตรฐาน ชอบสร้างมาตรฐานเอง งั้น ตระกูล Open ต่าง ๆ ก็จะยิ่งไม่มีมาตรฐานสิครับ เพราะเราเอามาแก้ไขได้ ปรับปรุงเองได้ มันก็เป็นมาตรฐานตามแบบเราเอง ได้เหรอครับ แล้วในระดับที่สูงกว่าผู้ใช้งานตามบ้านทั่วไป คนที่เป็นผู้ออกแบบระบบ คงต้องคิดให้หนักมากกว่าความหยุ๋มหยิ๋ม ของไลเซนนะครับ คุณคงต้องเหลือในสิ่งที่ส่วนใหญ่เขายอมรับ ทั้ง OS และ Database บวกกับ ความสามารถของทีมเขียนโปรแกรม ตลอดจนซอร์ฟแวร์ที่ซื้อมาใช้งาน ต้องเอาทั้งหมดทั้งมวลมากองรวมกัน ถึงจะเห็นว่าควรจะใช้อะไร "อย่าไปยึดติดกับคำว่ามาตรฐานให้มากนักครับ คำนี้มันเป็นฆาตกรการสร้างสรร" คุณจะพัฒนาเพื่ออะไร ถ้าจะพัฒนามาเพื่อให้ได้แบบเดิม แล้วมันจะเป็นการพัฒนาได้ยังไงครับจริงใหม? สุดท้ายแล้ว "จะรักอะไร ก็รักเท่าที่ไม่เป็นทุขก์ จะเลือกสุขก็ให้สุขเท่าที่ไม่เดือดร้อน" ก็คงพอแล้วครับ
ไม่รู้จะยาวกันไปไหน ไม่น่าขุดเลยเรา
ผมกลับมาอ่านอีกที ตอนที่ comment เพิ่มเป็นอีก 100 comment พอดี
แต่.....ยังไม่จบง่ายๆ แฮะ
อ่านความเห็นหลาย ๆ ท่านมาจนจบ ทำไมรู้สึกว่าผมยังอ่อนต่อโลกเหลือเกิน
ปล. ขอเป็นหนึ่งในกระทู้ประวัติศาสตร์
คงไม่ได้มาตอบว่าทำไมคนเกลียดMS
เพราะว่าไม่ได้เกลียดและค่อนข้างชอบ
แต่มาให้กำลังใจคุณจักรนันท์ว่าอย่าเพิ่งท้อในการถกเถียงพูดคุยกับเด็กๆ
เพราะข้าพเจ้าก็ยังเด็กอยู่มาก
แถมอยู่คนละfieldกับเรื่องเทคโนโลยี แต่ชอบอ่านเรื่องเทคโนโลยีต่างๆ
(นอกประเด็น)อยากจะบอกว่า ที่จริงไม่ชอบซีพีมากๆ แต่ดันถูกใจคำสอนเจ้าสัวที่สอนลูก
ว่า ให้พยายามมองแง่ดีของทุกคนให้เจอ แม้ว่าคนผู้นั้นจะแย่แค่ไหนหรือเราไม่ชอบขี้หน้าแค่ไหน
ซึ่งข้าพเจ้าอยู่ฝ่ายที่ค่อนข้างชอบMS แต่คุณจักรนันท์anti-M$ ก็ไม่เห็นเป็นอะไร
สามารถคุยกันได้ ไม่เห็นต้องแขวะกันไปมา
ส่วนตัวชื่นชอบที่คุณจักรนันท์ออกตัวว่าเป็นคนแก่ที่พยายามลดอัตตา
ทั้งที่ข้าพเจ้ายังเด็กแต่ด้วยอาชีพที่จะประกอบในภายภาคหน้าเต็มไปด้วยอัตตา
จึงชื่นชมคนที่พยายามลดอัตตา เพราะตัวเองพยายามลดอยู่แต่ทำได้ยากเหลือเกิน
(ชวนคุยประเด็นอื่น) ส่วนตัวที่ค่อนข้างชอบMSเป็นเพราะว่าใช้งานง่าย เนื่องจากอยู่ด้านอื่นที่ไม่ได้จำเป็นต้องรู้ให้ลึกทำให้เป็นเรื่องเทคโนโลยี ออกแนวuserเต็มตัว และชอบในการที่MSครองตลาด มันทำให้การทำงานระหว่างเครื่องมันสะดวกมาก จึงแอบเซ็งบ้างเวลาเพื่อนใช้Mac เพราะเวลาทำงานofficeร่วมกัน ปัญหามันเยอะ
จึงคิดว่าทำไม OSต่างๆไม่ทำให้ทุกอย่างเข้ากันได้เวลาข้ามOS ทำให้เป็นuniversalไม่ได้เหรอ
แต่เท่าที่อ่านมาข้างบนๆคงเป็นเพราะว่า MSแกสร้างมาตรฐานต่างจากชาวบ้านหรือไม่ อย่างไร
อีกประเด็น โดยส่วนตัวคิดว่าMSทำธุรกิจจะโหดร้ายในทางธุรกิจก็ไม่แปลก แต่ในเรื่องที่หักหลังเพื่อนนั้นก็ไม่ชอบเช่นกัน
อย่างไรก็ตามในเรื่องนี้คงมองได้2มุม ขึ้นอยู่กับว่าจะมองมุมไหน
มองในแง่user MSดี ใช้งานง่าย แต่ถ้าทำห่วยก็ด่าได้
มองในแง่Dev หรือ คู่แข่ง ไม่เสียสละ เอาเปรียบ เห็นแก่ตัว
ดังนั้นจึงขอเสนอแนะให้มองกว้างๆไว้ ทุกคนทุกบริษัทมีแง่ดีแง่เลว
แต่ไม่ได้ชักชวนให้ชอบMS เพราะไม่ใช่PRของMS
+1
เกลียด = อิจฉา
ไม่จริงครับ
ผมไม่ชอบนักการเมืองหลาย ๆ ท่าน แต่ผมไม่เคยอิจฉาพวกเค้าเหล่านั้นเลย
ผมไม่ชอบอาจารย์บางท่าน ผมก็ไม่เคยอิจฉาพวกท่านเช่นกันครับ
ผมเหม็นขี้หน้าเพื่อนบางคนถึงขั้นเกลียด เพราะมันทำอะไรแปลกๆ งี่เง่า อวดดี ทั้งที่ผมไม่เหนว่ามันจะมีอะไรดีกว่าคนอื่น แล้วผมก็ไม่เคยอิจฉา ไม่อยากเป็นอย่างมันด้วยครับ
หลาย ๆ คนในบลอกนี้ไม่ชอบ apple แต่เค้าไม่ชอบเพราะนโยบายของ apple โดยที่พวกเค้าไม่ได้อิจฉาอะไรเลย
ผมจึงสรุปว่า เกลียด =! อิจฉา ครับ
อาจะมีเป็นซับเซตบ้าง
แต่มันไม่มีทางเท่ากันแน่นอนครับ
(เขียนเหมือน rep. ข้างบนเลยแฮะ คนเดียวกันปล่าวนะ ขี้เกียจเลื่อนขึ้นไปดู)
“อย่าเชื่อ 10 ประการ”
1.อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามกันมา
...
10.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา
หนึ่งฟังตามกันมาอย่าได้เชื่อ
สองทำกันทุกเมื่อเชื่อไม่ได้
สามตื่นข่าวป่าวมาอย่าเชื่อไป
สี่อย่าไว้ใจแม้แต่ตำรา
ห้าอย่าเชื่อเพียงเพราะเดาเอาเองเล่น
หกกะเกณฑ์คาดคะเนไว้ล่วงหน้า
เจ็ดเพราะนึกตรึกตรองและตรวจตรา
แปดเพราะว่าต้องตามธรรมเนียมตน
เก้าอย่าเชื่อเพียงเพราะเพื่อควรเชื่อเขา
สิบครูเราแท้แท้มาแต่ต้น
ก็ใช่จักเชื่อได้น้ำใจคน
จงเชื่อผล เชื่อเหตุ สังเกตเทอญ
Happiness only real when shared.
มาอ่านอีกรอบ .... ประโยชน์ทั้งนั้น
มาอ่านอีกรอบ .... ประโยชน์ทั้งนั้น
จะว่าไปแล้ว คนเราเท่าที่ยังหายใจมันก็ยังต้องตินั้นแหละครับ ถ้าหากท่านไม่ติ ท่านไม่ติง
ท่านก็คงไม่ต้องเปลี่ยนอะไรเลยในชีวิต
ท่านติว่าท่านเกิดมาท่านไร้เสื้อผ้า ท่านจึงซื้อเสื้อผ้า ถ้าไม่ติคงเปลือยอยู่ตอนนี้
ท่านติว่าท่านด้อยศึกษา ท่านจึงต้องศึกษา ถ้าไม่ติท่านคงทำอะไรไม่ได้ในตอนนี้
ท่านติว่ายังศึกษาไม่เพียงพอ ท่านจึงศึกษาต่อ ถ้าไม่ติท่านคงไม่มานั่งอยู่หน้าจอตอนนี้
ท่านติว่าหิว ท่านจึงหาอาหารมาเพื่อสนองตัญหาหิว ถ้าไม่ติ...
ท่านติว่าเงินท่านน้อย ท่านจึงต้องหาให้มากขึ้น ถ้าไม่ติท่านก็คงไม่ต้องทำงานเพื่อหาเงิน
ท่านคงทำเพื่อความสุข ความพอเพียง
ขนาดท่านเองยังติตัวเองอยู่วันละหลายครั้ง แล้วทำไมท่านจึงจะไม่ติสิ่งอื่นได้
ดังนั้นเมื่อท่านจะทำอะไรออกมาเพื่อให้คนอื่นเอาไปใช้หรือได้เห็นได้รู้
ท่านจะรู้ได้อย่างไรว่ามันจะไม่ถูกติ ก่อนที่จะออกมาเป็นรูปเป็นร่างท่านยังติมันนับครั้งไม่ถ้วน
มันถูกใจท่านแต่ไม่สำหรับคนอื่น และสิ่งที่สำคัญที่สุด
ท่านใช้อะไรไปบ้างในการทำสิ่งนั้นออกมาจนเป็นรูปเป็นร่างแบบนี้ได้
นั้นคือต้นทุนในการวิจัย ถ้าท่านมีจิตกุศลพอท่านก็อาจจะเอาโครงร่าง
หรือพิมพ์เขียวของสิ่งที่ท่านทำแจกให้คนอื่นเอาไปใช้เอาไปพัฒนาต่อ
ตามแบบของแต่ละคน แล้วแต่ความพึงพอใจ แต่ถ้าท่านไม่ได้มีเหลือกินเหลือใช้ขนาดนั้น
สิ่งที่ท่านทำมันมีต้นทุน มีความทุ่มเทของท่าน
ท่านต้องการมากกว่าคำว่าขอบคุณ ท่านก็ต้องเอามันมาใช้ เอามาขาย
เพื่อเอาทุนบวกกำไรเพื่อไปลงทุนทำอย่างอื่น มาพัฒนาต่อ ก่อร่างสร้างใหม่
หรือแม้แต่จัดเตรียมความพร้อมทำคู่มือหรือแม้แต่บริการให้คนที่ซื้อไป
สรุปแล้ว ก็ขอให้เลือกกันเอาเองครับ ทำข้าวหม้อใหญ่มันต้องมีบ้างที่ไม่ถูกปาก
ก็เลือกใช้เอาเองหละครับ ตามความพอใจ มีให้เลือกแค่ไม่กี่อย่างยังปวดตับขนาดนี้
ถ้ามีเยอะแยะมากมาย แล้วจะเลือกกันยังไง
แล้วที่ว่ามาตรฐาน เอาอะไรมาวัดหละครับ ก็ต่างคนต่างคิดต่างคนต่างค้นคว้ากันมา
ถ้าคิดเหมือนกัน แล้วเราจะมานั่งเลือกนั่งเถียงกันตรงนี้ทำไมครับ มันก็คงออกมาเหมือนกัน
แบบเดียวกัน อย่างเดียวกัน เพราะมันต่างนั้นแหละถึงจะได้เลือก เลือกใช้ให้เหมาะกันสภาพของตัวเอง
เท่านั้นแหละครับ
ส่วนเรื่องการผูกขาด ผมกลับมองไปอีกทางนะ ไม่ว่าจะ MS Unix Mac ผมว่าไม่ได้ต่างกันหรอกครับ
ถ้าจะว่า MS ผูกขาดเรื่องฮาร์ดแวร์ แล้ว Mac ไม่ขาดกว่าเหรอครับ ทั้งฮาร์ดแวร์และซอร์ฟแวร์เลยนะผมว่า
ถ้าจะว่า MS ไม่เข้ากับมาตรฐาน ชอบสร้างมาตรฐานเอง งั้น ตระกูล Open ต่าง ๆ ก็จะยิ่งไม่มีมาตรฐานสิครับ
เพราะเราเอามาแก้ไขได้ ปรับปรุงเองได้ มันก็เป็นมาตรฐานตามแบบเราเอง ได้เหรอครับ
แล้วในระดับที่สูงกว่าผู้ใช้งานตามบ้านทั่วไป คนที่เป็นผู้ออกแบบระบบ คงต้องคิดให้หนักมากกว่าความหยุ๋มหยิ๋ม
ของไลเซนนะครับ คุณคงต้องเหลือในสิ่งที่ส่วนใหญ่เขายอมรับ ทั้ง OS และ Database บวกกับ
ความสามารถของทีมเขียนโปรแกรม ตลอดจนซอร์ฟแวร์ที่ซื้อมาใช้งาน ต้องเอาทั้งหมดทั้งมวลมากองรวมกัน
ถึงจะเห็นว่าควรจะใช้อะไร
"อย่าไปยึดติดกับคำว่ามาตรฐานให้มากนักครับ คำนี้มันเป็นฆาตกรการสร้างสรร"
คุณจะพัฒนาเพื่ออะไร ถ้าจะพัฒนามาเพื่อให้ได้แบบเดิม แล้วมันจะเป็นการพัฒนาได้ยังไงครับจริงใหม?
สุดท้ายแล้ว "จะรักอะไร ก็รักเท่าที่ไม่เป็นทุขก์ จะเลือกสุขก็ให้สุขเท่าที่ไม่เดือดร้อน" ก็คงพอแล้วครับ
ไม่รู้จะยาวกันไปไหน ไม่น่าขุดเลยเรา
ผมกลับมาอ่านอีกที
ตอนที่ comment เพิ่มเป็นอีก 100 comment พอดี
แต่.....ยังไม่จบง่ายๆ แฮะ
อ่านความเห็นหลาย ๆ ท่านมาจนจบ
ทำไมรู้สึกว่าผมยังอ่อนต่อโลกเหลือเกิน
ปล. ขอเป็นหนึ่งในกระทู้ประวัติศาสตร์
Pages