จริงครับ ผมคิดว่าค่าใช่จ่ายที่เพิ่มขึ้นส่วนหนึ่งก็คือการ support ถ้าไม่มี support ระบบผมเกิดอะไรขึ้นมาก็เตรียมงมโข่ง กับ google ได้เลย การไม่จ่ายค่า support ไม่มีใครรับประกันได้ว่าผมจะแก้ปัญหาได้ ผมมองๆแล้วมันเหมือนการซื้อประกันรถอ่ะครับ ไม่มีใครรู้ว่ารถคุณยางจะระเบิดเมื่อไหรถ้าคุณซ่อมไม่เป็น แต่คุณสามารถตามคนซ่อมเป็นได้ด้วยค่าใช้จ่ายตรงนี้ครับ
เช่น Windows server จะต้องซื้อ CAL ให้สูงกว่าหรือเท่ากัน แม้แต่ SQL ก็ต้องซื้อ CAL ด้วย
สรุปก็คือ ซื้อ Windows server + Windows Client + Windows server CAL + SQL server + SQL CAL
ผมสื่อว่า... ไม่มี Link ตัวบทกฏหมายมาตรานี้ของแต่ละประเทศในภาษาต่างด้าว เพื่อให้เรามา Link กันใน Blognone นี้ครับ
เพื่อจะบอกว่า การถามหา Link ตัวบทกฏหมายของประเทศต่างๆ ที่ภาษีมรดกแพงมหาศาลอย่างบางประเทศนั้น เป็นการถามแบบกำปั้นทุบดินครับ
เพราะไม่มี Link ของตัวบทกฏหมายของประเทศนั้นที่ไม่ใช่ภาษาของเขา แล้วพวกเราจะเอามา Discuss กันได้อย่างไร?
Death tax
Estate tax
Inheritance tax
ถ้าจะหา Link ภาษาอังกฤษ ก็จะเจออย่างเช่น US, UK ประเทศที่เขาใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการบางประเทศเท่านั้น (http://en.wikipedia.org/wiki/Estate_tax_in_the_United_States http://en.wikipedia.org/wiki/Inheritance_tax ส่วน Death tax ไม่มีแม้แต่ในภาษาอังกฤษ)
วันที่ธานินทร์ต้องปิดกิจการไป ผมก็ใจหายครับ
คนไทยไปตาม Sony
ตาม National (เมื่อก่อน แยกยี่ห้อกับ Panasonic ครับ)
เราเปิดเพลง Made in Thailand กันกระหึ่มเมือง แต่ดันเปิดด้วย Sony
การเป็นอันดับหนึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งถ้าทำธุรกิจแบบดอกไม้หอมไม่มีทางได้เป็นที่หนึ่งได้เลยในยุคนี้ เพราะงั้นเลยไม่แปลกที่ ms จะใช้แนวทางแบบปัจจุบันรวมทั้งไม่แปลกที่จะมีคนรักและเกลียด
แต่ก็รัก Ballmer กับ Gates นะ จุ๊บๆ
--- Khajochi Blog : It's not a Bug ... It's a Feature
เรื่อง UI นี่ผมว่าใน Windows 7 เริ่มดูเป็นชิ้นเดียวกันแล้วนะครับ ทั้ง Windows Explorer , IE8 , WMP12 ส่วน Office 2010 ยังดูแปลกๆอยู่ (แต่ก็ไม่ถึงขั้นน่าเกลียดเมื่ออยู่ใน 7) แถม Windows Live Essential ก็ดูค่อนข้างเข้ากับตัว OS (ยกเว้น Messenger !)
เกลียดเพราะไมโครซอฟท์พยายามทำทุกวิถีทางให้คนที่พยายามจะตึจากไปใช้ Linux ท้อไปเอง เช่นเรื่อง WinModem หรือ Wireless Card ที่เอาโค้ดไปซ่อนไว้ใน Windows ทำให้พวก Linux ใช้ไม่ได้เลย
ทำอย่างนี้มันเกินไปจริงๆ เท่ากับว่าเราซื้อฮาร์ดแวร์พิกลพิการอย่างนั้นหรือ (ต้องมี Windows ด้วยมันจึงจะใช้งานได้)
แต่ตอนนี้ไม่ค่อยมีปัญหาแล้ว เพราะพวก Linux เจาะสำเร็จทะลุปรุโปร่ง
ขอเกรียนครับ
ขอสมมุติครับ
บริษัท A เป็นบริษัทผลิตฮาร์ดแวร์และซอฟท์แวร์ยักษ์ใหญ่ และเป็นผู้ครองตลาดจ้าวเดียวในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต แม้ว่าบริษัท A จะไม่พัฒนา OS เวอร์ชันถัดไปคือเวอร์ชันสิบ (X) ก็ยังขายฮาร์ดแวร์และซอฟท์แวร์ได้เรื่อยๆ เพราะไม่มีเหตุผลที่จะขายไม่ได้ ลูกค้า B,C ไม่มีทางเลือกอื่น หากซื้อ Harddisk หรือ Mainboard มา แต่ก็ไม่มีระบบปฏิบัติการให้ใช้งานได้
จากนั้นบริษัท M ถูกก่อตั้งขึ้น และเริ่มทำตลาดหลายๆอย่าง รวมถึงตลาด OS ที่บริษัท A ทำอยู่ การแข่งขันดำเนินไป มีการพัฒนาลูกเล่นมากมาย ระบบสามมิติในระบบปฏิบัติการถูกเพิ่มเข้าไป(ทำไมก็ไม่รู้) รวมถึงส่วนแบ่งตลาดของบริษัท M เริ่มเพิ่มมากขึ้น
คำถามคือถ้าไม่มีบริษัท M หรือบริษัท A เราจะซื้อ Harddisk กับ Mainboard มาทำไม (อ้าว ลากยาวจบเอาดื้อๆเลย)
อันนี้ไป search มาให้ดูกัน
Q: How many people in the world use Microsoft products?
A: Around 500 million users wordwide thereby making the most popular word processor in the world.
Telnet ที่มีนั่น นับตั้งแต่ Windows 95 ครับ ที่ต้องยอมมี เพราะต้องยอมตามก้น Unix ครับผม
ก่อนหน้านั้น Windows ไม่ Support TCP/IP ด้วยซ้ำ แถมยังดูถูกว่า Internet ไม่มีอนาคต (หา Link เอาเองนะครับ)
เพื่อจะรีบเข้าตลาด ต้องถีบทั้ง Trumpet Winsock และ Netscape ให้ตาย จึงได้มี Telnet ครับ
แต่ผมถามว่า ที่ Windows มี Telnet น่ะ เอาไว้ใช้ทำอะไรครับ?
นั่นมันแค่ Telnet Client ครับผม
ถ้า Windows จะมี Telnet Server แล้ว ทำอะไรได้ครับ? แค่ไหน?
ที่ Basic กว่า ssh คืออะไรทราบไหมครับ?
tty ครับ
ต่อกับ Modem ไว้
ทำได้ทุกอย่างจริงๆ ยกเว้นแค่ไม่กี่กรณีกับตัว OS Kernel เท่านั้น
Windows มีอะไรเทียบได้กับอย่างนี้ไหมครับ?
และผมอยากบอกว่า... Windows เป็นเพียง OS เดียวที่ไม่มี... ต่างหากครับ
ไม่ใช่พูดเพื่อจะชี้ว่าผมอยู่ข้าง OS ใด OS หนึ่ง
ผมพูดเพื่อจะชี้ว่า Windows ไม่มีอะไรอย่างหนึ่ง ที่ OS อื่นเขามี จนทำให้ต้องมี Service ที่ใช้เวลานานถึง 2 ชั่วโมง หลอกให้ผู้ที่รับ Service นั้น คิดว่า นั่นคือการ Service ดี.... ครับ
และไอ้สิ่งหนึ่งนี้ ที่ Windows ไม่มี ก็เป็นเหตุให้ Old fashion technical กลุ่มหนึ่ง มีอคติกับ M$ ไปจนรู้สึกเกลียดได้ครับ
Windows ติดข้อจำกัดตัวเองด้วยโครงสร้างพื้นฐานที่วางมาตั้งแต่ต้นเพราะต้องอาศัย DOS อีกที ทั้งหมดของ Windows จึงมีจุดอ่อนตรงนี้ ผมบอกทุกท่านเสมอว่า Windows อ่อนแอเพราะเหตุนี้ ผมบอกด้วยเหตุผลทาง Engineering มาเสมอๆ ครับ แต่คนทั่วไปครับ ที่นำมาผสมโรงกันมั่วไปหมด ในทุกๆ มุมมอง จับมาอ้าง งัดง้างทางความคิดกันแบบเละเทะตุ้มเป๊ะไปหมด
การโจมตี Unix ผมเจอมาเยอะครับ เจอมาตั้งแต่ยุค Solaris แล้ว เมื่อครั้งที่ Windows NT เกิดมาครับ มันเริ่มตอนนั้น สมัยนั้น Linux ยังไม่เกิดครับ ฝั่ง Unix ผมใช้ Solaris เป็นหลัก ด้าน File server ก็ใช้ Netware ส่วน Windows นั้น ใช้ทำ HMI สำหรับควบคุม PCL ใน Production line การผลิตอีกทีด้วย Wonderware Intouch ยังไม่รวมถึง AS400 อีก ซึ่งขาดแค่ผมยังไม่เคยพัฒนา Application บนมัน เนื่องจาก Citicorp พัฒนามาเองจาก USA
ช่วงแรกๆ ตอน Implement โรงงาน Advance Agro ที่ปราจีนบุรี ผมยังเห็นดีด้วยในการใช้ Windows 3.11 WG ไปใช้เป็น HMI ใน Line ทั้งหมดเลย
ผมนี่แหละครับ ที่เห็นดีกับการนำ Windows เข้าไปในโรงงานใหญ่ๆ ในบ้านเราหลายโรงงานเลย (ที่มีบริษัทแม่เป็นต่างชาติ ยกเว้น PTT และ TPI อันนั้นมีขาใหญ่อยู่แล้ว... ปล. ถ้ามาอ่านเจอ ก็อย่ามาเถียงกันในนี้เลยนะครับ เรื่องมันนานเกินไปแล้ว มาเป็นมิตรกันดีกว่า)
จนกระทั่ง DeltaV ของ Fisher Rosemount เกิดขึ้น (ทำงานบน NT Kernel) ก็ยังเห็นดี แต่แล้ว มันไปไม่ค่อยรอด เพราะจุดอ่อนของ Windows เอง จึงทำให้ PLC ทั้งหลาย ยังมีหน้ากันสลอนอยู่ทุกวันนี้ครับ ถ้า Windows แกร่งกว่านี้ PLC คงกระเด็นไปหมดแล้ว เพราะ DeltaV ดีมากนะครับ แต่เลือก Platform หลักผิดไปหน่อย ถ้าเป็นตอนนี้ เขาคงเลือก Linux แล้วล่ะ
จุดอ่อนนั้นเอง ที่ผมมักพูดถึงเสมอๆ เฉพาะในวงการผม ว่าถ้าเพียง Windows กล้าทิ้งข้อจำกัดเดิม ทำ Windows อีกสักตัวที่ไม่ต้อง Compatible กับของเดิมเท่านั้น ปูกันใหม่ตั้งแต่ File system เลย จะเยี่ยมยอดมาก จนเมื่อติดตลาดแล้ว ค่อยๆ ทิ้ง Windows เก่าไป ก็คงจะดีไม่ใช่น้อย
นั่น... ผมพูดถึงตัว Windows โดยเฉพาะ... ในมุมมองแบบ Engineer
แต่ถ้าพูดถึงตัว M$ มันจะอีกมุมมองหนึ่งครับ ดังนั้น การอ้างถึงทาง Technic ในมุมมองนี้ ก็จะมี Focus point ที่ต่างกันออกไปครับ
M$ ไม่เคยบอกอย่างที่คุณว่ามาจริงๆ ครับ
แต่คุณเคยได้พบปะพูดคุยกับเจ้าของจริงๆ ในธุรกิจระดับพันล้านไหมครับ? ที่เขาไม่ได้รู้เรื่อง Computer ลึกซึ้งอย่างพวกเรา...
ผมอยู่ในระดับนั้นครับ งานของผมและบริษัทผมทั้งหมด ถูก Lobby จากระดับบนสุดทั้งสิ้น ผมไม่มี Sale และไม่จำเป็นต้องมี แค่นี้ก็ต้องปฏิเสธงานกันแล้ว ดังนั้น Reflect ที่ผมได้รับ จึงแตกต่างครับ
เจ้าของระดับนั้น ดู IT Report (บ้างก็เรียก MIS Report) แล้วเห็นอะไรครับ?
อีกอย่าง MS ไม่ได้อะไรขนาดนั้นสักทีเดียวนะครับ หลายครั้งที่อุปกรณ์ บางอย่าง linux ไม่มี driver หรือ ออกไม่ทัน ก็เห็น mod ของ windows มาใส่กันทุกที คนที่เคยใช้ ubuntu นี่น่าจะเข้าใจกันดี
สำหรับเรื่อง NT กับ Linux ผมก็ต้องขออภัย ที่พิมพ์สั้นไปอีก (พิมพ์ยาวไป ก็กลายเป็นโม้มากไป... ทำไงดีล่ะเนี่ย)
ณ เวลาที่ NT เกิด ตอนนั้น NT พร้อม Implement ไปใช้งานในด้านอุตสาหกรรมแล้วครับ แต่ Linux ตามมาทีหลังปีเศษและยังเพิ่งคลอดครับ มันนำมาใช้เลยไม่ได้ครับ ตอนนั้น Fisher Rosemount ไม่เอาแน่ๆ กับสภาพของ Linux ในตอนนั้นครับ แต่ดูเครื่องจักรอุตสาหกรรมตอนนี้สิครับ ที่ไม่ใช่ PLC Control ว่าเขาใช้อะไรกัน?
ตรงนี้เป็นหนึ่งจุด ที่ผมกล่าวไว้ว่า อย่าให้โดนอักขระวิธีตีกรอบครับ
ความจริงในเรื่องนี้ที่อักขระวิธีไม่ได้บันทึกไว้คือ... ณ เวลานั้น Linux ยังเพิ่งเกิดและอ่อนด้อยเอามากๆ ครับ
wiki ที่ท่าน Link มา จึงมีข้อเท็จจริงที่ไม่ครบถ้วนทาง Environment และ Social เอาเลยครับ
ตอนที่อยู่ ด้านมืดผมก็ hack มันบน ssh นั่นหล่ะครับ
sniff หา acc ชาวบ้านมาสมัยนั้นยังเป็น hup กันเยอะแยะ ดักทีได้ทั้งห้อง server ,เดา pass , run program สุ่ม
เข้า acc ชาวบ้านหาช่อง run backdoor, explo, etc..
อีกอย่าง ถ้าเป็นงานเฉพาะทาง จริงๆ เขาก็ไม่ใช้่ port ปกติ พวกนี้ให้ scan เจอง่ายๆ นะ อย่างน้อยก็ควรเปลี่ยนหนี
ส่วนพวกที่เข้าทาง bug ของ service มันแล้วแต่ดวง(ได้บ้างไม่ได้บ้าง เท่าที่ลองทำ) ไม่ขอยกมาแล้วกัน
NT linux ผมก็บอกแล้ว ผมจำได้ว่า ผมแตะมันพร้อมๆ กัน ที่จำได้เพราะเป็นช่วงที่กำลังเข้ามหาลัยพอดี
ที่ยก Wiki เพราะผมจำไม่ได้ว่ามันออกต่างกันเกินปีไหมแค่นั้นครับ
ส่วน Red Hat ที่ออกมาตอนนั้นทำอะไรได้มากไหม สำหรับงานที่ผมสนใจมันก็ทำได้เกือบ ครบนะครับ ในเรื่องความสามารถ แต่แตกต่างในเรื่อง ความสะดวกอย่างมาก เมื่อเทียบกับ NT (แต่ผมเฉยๆ ชอบจอดำๆ ที่มีแต่ตัวหนังสืออยู่แล้ว เพราะงานทุกวันนี้ก็ service ให้ร้านลูกค้าผ่าน ssh) ทำให้ผมหันมาทาง linux แทน Windows
ใช่ครับ ผมไม่ได้ใช้ Port 22 ครับ ปกติผมจะใช้ Port xxx22 ครับ แต่อธิบายให้สั้น ก็เลยกล่าวแค่ Port 22 ซึ่งเป็นหมายเลข Port ปกติของ SSH Service ละเชิงลึกทางเทคนิคเอาไว้
ส่วน Port 22 จริงๆ ผมก็เปิดครับ โดยมี Service ของพวกเรากันเองคอยอยู่ เพื่อคอย Capture การพยายาม Hack จากภายนอกครับ เก็บสถิติแล้วประเมินว่า เป็นการจงใจโจมตีหรือไม่ด้วยความถี่และต้นทาง ถ้าต้องสงสัยว่าเป็นการโจมตี ก็จะ email ด้วย ssmtp ผ่าน Service สาธารณะอย่าง imap4 ของ Google แจ้งทีมงาน รวมทั้งส่ง SMS เข้าเบอร์โทรศัพท์มือถือประจำประเทศนั้นๆ ของทีมงาน (พกโทรศัพท์กันทีละ 4-6 เบอร์กันทุกวันครับ)
Service port มาตราฐานทั้งหลาย เราเขียน Service handle หลอก Hacker ดักเอาไว้หมดครับ เลยไม่เคยพลาดเลยมาตลอดชีวิตกับ *nix ครับ
Red hat ตอนนั้น ครบแค่ในเรื่อง Computer Network Server เท่านั้นครับ แต่ถ้ามา Implement ในเรื่อง Industrial control นั้น เท่ากับยังไม่มีอะไรเลยครับ ตอนนั้นแค่ Solaris ก็ยังเพียบพร้อมกว่าครับ
อันนี้คือ Link สำหรับ DeltaV ในปัจจุบันครับ http://www2.emersonprocess.com/en-US/brands/deltav/Pages/index.aspx
ที่บอกว่าเอา Linux มาแต่งแล้วหลอกขาย ผมว่ามันคงไม่ใช่ง่ายแค่นั้น ถ้ามันเป็นแค่นั้นจริงทำไม Linux ทุกวันนี้ไม่ทำแบบนั้นบ้างจะได้ดังเทียบเท่ากับ OS X จะได้มีฐานผู้ใช้งานมากกว่านี้ ที่เขาไม่ทำเพราะมันไม่ง่ายอย่างที่คิดครับ
นึกถึงหนังเรื่อง Social Network ครับ
"You don't get to 500 million friends without making a few enemies."
มีคนชอบคนเกลียดเป็นเรื่องธรรมดาเหมือน comment แรก เป็นแค่โลกธรรม 8 เท่านั้น
ลองมองในมุมกลับกัน ms ผลิต os มาขายในราคา 5000บาท ถือว่าต่ำมากๆ แต่คนยังด่าว่าแพง แต่คนไม่เคยคิดเลยว่า production ขนาดนั้น marketing ขนาดนั้น ขายได้ราคานี้ ถือว่าถูกแล้วนะครับ
Office ที่สิงคโปร์ผมอยู่บน HDB ครับ ที่สถิตย์ประจำคือ Simlim ทั้งสองตึกและ Funan ถ้าจำไม่ผิด ในนี้มีคุณ JavaBom หรือ JavaBoom (ขออภัยถ้าสะกดผิด) ที่อยู่สิงคโปร์เหมือนกัน
ที่ฮ่องกงผมอยู่ที่ Langham ครับ ที่สถิตย์ประจำคือ Wan Chai ครับ
ที่ลาวผมอยู่คำม่วนครับ ที่นี่ยังไม่เป็น Office ของตนเองครับ เรื่องเอกสารสิทธิที่นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย ที่นี่ผมอาภัพครับ ไม่มีที่เที่ยวแบบ Modern เลย แต่ถ้าเอาธรรมชาติล่ะ ดีที่สุดเลย
และที่ US ผมอยู่ที่ 8525 NW Blvd, IN ครับ ที่สถิตย์ประจำคือ Circle Square โดยเฉพาะในเดือนที่ WWE มาจัดมวยปล้ำในรัฐ
ที่สิงคโปร์ผมเคยบังเอิญเจอที่ร้านอะไรจำชื่อไม่ได้ อยู่บนถนน Geylang ตรงข้าม Lai Ming Hotel ครับ มีผัดกระเพราขาย แต่ไม่ทุกวันครับ ตัวยืนพื้นคือต้มยำกุ้ง
ที่ฮ่องกง ผมก็ไม่เคยมองหาและยังไม่บังเอิญเจอ
แต่ที่ IN นี่แหละครับ ที่ผมกลับเจอผัดกระเพราครับ เจอโดยไม่ต้องหา
มียี่ปั๊วะที่ Chicago รับวัตถุดิบจากบ้านเรา ส่งร้านอาหารที่ CG และรัฐรอบๆ ครับ
อันนี้แอบภูมิใจเสมอครับ ถึงจะผัดออกมาแล้วเพี๊ยนไปเยอะ แต่ก็ทานครับ เพราะอาหารไทยถือเป็นอาหารจานแพงที่นั่นเลย
ถ้าผมใช้คำพูดกับคุณว่า ตอนนี้ MS ดีขึ้นบ้างแล้ว ไม่ทราบว่าคุณจะยอมรับได้หรือเปล่า? ถ้าคุณเกลียดนักกับการเรียกว่า MS เป็นคนดี ส่วน MS กับ Open source ก็ต้องพูดกันคนละบรรทัดฐานสิครับ ก็ในเมื่อมันเป็นคนละแนวกัน แนวการค้า กับแนวการกุศล จะมาเทียบกันได้อย่างไร? เอาแนวการค้าเทียบกับแนวการค้า แนวการกุศลเทียบกับแนวการกุศลสิครับมันจะได้เป็นบรรทัดฐานเดียวกัน
Mac windows linux ผมไม่เคยมีปัญหาอะไรกับมันเลย แต่ผมมักจะเห็นมันจะเป็นปัญหาเสมอๆ เมื่อ user ของ 3 ก๊กนี้ มาเกทับกันไปมา แล้วบทสรุปมันก็มีแค่การถกเถียงรูปแบบเดิมๆ ออกทะเลบ้าง เข้าประเด็นบ้าง แต่สุดท้ายมันก็ไม่มีใครเปลี่ยนทัศนคติกับแค่การถกเถียงกระทู้เดียวสักที ซ้ำยังทำให้ตอกย้ำอคติให้ถาโถมลึกลงไป ทั้งๆ ที่เจ้าของสามก๊กก็ไม่เคยรับรู้อะไรเลย
ผมเชื่ออย่างหนึ่งว่าคนที่ไม่มีใครเกลียด คือคนที่ไม่ทำอะไรเลยครับ (เพราะไม่มีใครรู้จัก)
บิล เกตต์นี่เป็นนักธุรกิจที่ค่อนข้างดุดัน ถึงได้นำบริษัทเติบโตมาได้ขนาดนี้ จะมีคนเกลียดมากหน่อยนี่เรื่องปรกตินะผมว่า
แต่ผมว่าเรื่องที่คนชมก็เยอะหนิครับ
LewCPE
lewcpe.com, @wasonliw
ผมเห็นด้วยในประโยคแรกครับ
+100 เลยครับ สำหรับประโยคแรก
I need healing.
ผมขอยืมประโยคนี้น่ะครับ "จะมีคนเกลียดมากหน่อยนี่เรื่องปรกตินะผมว่า" ผมเห็นด้วยกับประโยคนี้ครับ เพราะคนเรามักมีความคาดหวัง เมื่อยิ่งมันกว้างขึ้น มันจะมีคนชอบและเกลียดเป็นเรื่องธรรมดานะครับผมว่า
ผมรักไมโครซอฟต์นะ
ผมก็ไม่ได้เกลียดนะ ออกจะชอบด้วยซ้ำในหลายๆ เรื่อง
เห็นค้าต่อว่า เรื่องโน้นเรื่องนี้ ผมก็เฉยๆ ไม่ตอบโต้ดีกว่า ผมใช้แล้วมีความสุข ทำงานแล้วราบรื่นทุกอย่างก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะไม่ใช่หน้าที่ของเราจะไปปกป้องอะไรมากมายถึงกับเอาตัวเข้าแลกขนาดนั้น
Ford AntiTrust’s Blog | PHP Hoffman Framework
รักนะจุ๊บๆ
คนเกลียด=อิจฉา
ผมยอมรับว่าผมเกลียด MS เข้าไส้เลยนะ
คือต้องมานั่งเขียน .NET, ใช้ IE, ใช้ Windows 7 นี่ยังไงก็ทำไม่ได้จริงๆ
ความคิดนี้มันเกิดขึ้นเอง และฝังเข้าหัวมานานแล้วล่ะครับ ตั้งแต่ใช้คอมใหม่ๆ
นานและยากที่จะมีอะไรมาเปลี่ยนความคิดของผมได้
ผมลองคิดดูแล้วที่ผ่านๆมา ก็ไม่เคยคิดอิจฉาเลยอ่ะครับ
ถ้าอิจฉาแล้วจะเกลียดทำไม ถ้าอิจฉาก็ใช้ MS ไปสิ
แต่ผมชอบสาย Linux มากกว่า
อารมณ์อิจฉามันเลยไม่มีขึ้นมาจริงๆ ยังไงก็ไม่มี
เพราะฉะนั้น จับมันเท่ากันคงไม่ได้หรอกครับ
มีใครเป็นเหมือนผมบ้างไหม?
นึกถึงบร๊ะเจ้าไว้ครับ ชาบู ชาบู
I will change the world, to the better day.
I will change the world, to the better day.
ผมไม่ได้เกลียด MS ครับ ผมเกลียด IE
+1 เขียน css ที อยากจะเผาบ้าน ie dev team :p
+1 ถ้าปรับ ie ให้มันมาตราฐานเร็วๆ จะดีมาก
My site : http://www.snappytux.com
ถ้ามาตราฐานแล้ว เด๋วจะไม่มีใครคุยเรื่อง ie กันสิ
น่าสนุกออก
เดี๋ยวก็มีคนมาบ่นเรื่องจะไออีแต่ละเวอร์ชั่นใช้ css อันเดียวกันไม่ได้เองล่ะครับ 55
เห็นด้วยเต็มๆ MS ก็โอเคออกครับ windows 7 แจ่มเลย แต่ IE เห็นแล้วท้อ
จำไม่ได้ว่าไปอ่านที่ไหน ว่า มีคนแจ้งเข้า call center ของ Hotmail ว่า IE เปิดดูไม่ได้ ตอนที่ Hotmail ปรับปรุงเป็น ajax ใหม่ ๆ เจ้าหน้าที่ไมโครซอฟต์ตอบว่า กรุณาไปใช้ Chrome แล้วจะดีขึ้นเอง
ขำอ่ะ แต่ก็จริงละนะ จะให้ทำไงได้ วิธีแก้ที่เร็วที่สุดคงต้องย้าย Browser ไปใช้ตัวอื่นชั่วคราว
เพจตัวอย่างผลงานถ่ายภาพ / วีดีโอ
่อย่างฮา call center ถูกอบรมมาอย่างดีแล้วสินะ ว่าควรใช้ chrome
เพราะหลายๆ คน เห็นว่าผลิตภัณฑ์ของเค้ามัน.."ไม่ดีพอ" ไงล่ะครับ :)
ทั้งที่มันก็ทำงานเได้หมือนกันแท้ๆ
Acting Reporter & My Elder Brother Blog
และทุกคน ก็ไม่สามารถทำให้คนอื่นพอใจได้ 100% อยู่แล้วด้วยครับ
การตลาดเค้ารุกโหดร้ายครับสำหรับคนทำธุรกิจประเภทเดียวกันมั้งครับ
ในด้านการกุศลนี่ไม่มีใครสู้ได้จริงๆ จากยอดเงินหมุนเวียนในมูลนิธิแต่ละอย่างของเค้าทำอะไรให้โลกเยอะมาก
ผมรัก ms นะ >.<
ใช่ครับ ถ้าเกตส์ไม่บริจาคเงินให้มูลนิธิคงจะเป็นคนที่รวยที่สุดไปแล้วในตอนนี้
เขาทำการตลาดเก่งไง คู่แข่งที่แพ้ เลยเกลียด
และพอเราเอาอย่าง คนที่เกลียดเป็นทุนเดิม จะบอกว่า พัฒนาโปรแกรมด้วยทฤษฎีนู้นทฤษฏีนี้ ใช้เทคโนโลยีซิ ไม่ใช่การตลาด ทำของเจ๋งแล้วเจ๊ง จะทำไปหาอะไรครับ อยากซ้ำรอย Sun หรอครับ วิจัยจนลืมขายของ สุดท้ายก็โดน take over คนพูดนี่เคยขายของหรือเปล่า
ผมรู้สึกว่าเมื่อก่อนพวกที่เกลียด Microsoft นี่คือเกลียดเข้าไส้จริงๆ แต่หลังๆมานี่เห็นว่าจะเกลียดตามกระแสเสียส่วนใหญ่ คงเป็นเพราะโอเพ่นซอร์สบูมมากขึ้น พวกที่เห่อหันไปใช้โอเพ่นซอร์สแรกๆก็เกิด BIAS แล้วเกลียดไมโครซอฟท์ขึ้นมา (แต่ส่วนตัวผมเกลียดฟอร์แมต Microsoft Office รุ่นก่อนๆที่มักจะเจ๊งข้ามรุ่นนะ แล้วก็ IE6)
ใช่ครับ ขนาดใช้รุ่นเดียวกัน วินโด้ว์เดียวกัน แต่ทำอีกเครื่อง พอไปเปิดอีกเครื่อง การจัดหน้าของ Word ยังไม่เหมือนกันเลย
แต่ ยังไงก็รัก รักเธอว์ ได้ยินมั้ย
ผมไม่ได้ใช้ Windows แต่ก็ไม่เคยเกลียด Microsoft อย่างไรก็ตามผมก็ไม่ชอบ IE
For Me
ไม่ได้ Anti MS แต่ก็ไม่ใช้ และพยายามอย่างที่สุดที่จะหลีกหนีทุกอย่างที่เป็น MS
เพราะ
My Experiences : Pexeriences
ก็ใช้ IBM Lotus Symphony ซิครับ สวยงามระดับที่ถือว่าดีแล้ว
คุณเคยเขียนโปรแกรมดีๆให้คนใช้ฟรีๆมั่งรึเปล่าครับ
- ก๋วยเตี่ยวก็ไม่ฟรีสงสัยต้องเลิกกินก๋วยเตี๋ยวด้วยแล้วมั้ง
- เกรงว่าไม่ใช่เฉพาะ MS มั้งครับที่ไหนๆก็เป็นแต่ถ้ามีเงินซื้อมาใช้ลิขสิทธินี่ไม่ใช่ปัญหาแน่นอน
- ยกตัวอย่างบ้างซิครับถ้า IE นี่จะว่าไปก็ไม่ถูกนักเพราะเดินมาก่อนชาวบ้านเขา ไอ้ที่มาทีหลังนี่ก็เขียนมาตราฐานกันใหม่เองนี่นา ไอ้ผลิตภัณฑ์ที่สวนทางมาตราฐาฯนี่ลองหันไป Apple ซิร้ายกว่าเยอะเลย
หรือพูดง่าย ๆ คือพยายามจะสร้างมาตรฐานของตัวเองขึ้นมา ซึ่งก็ชวนให้แปลกใจว่าแม้แต่ผลิตภัณฑ์ของตัวเองยังรักษามาตรฐานที่ตัวเอง สร้างไว้ไม่ได้เลย
เดินตามแนวทางคนอื่นก็ว่าเลียนแบบ ทำเองก็ว่าสวนมาตราฐานชาวบ้านเขา เอาไงเนี่ย
หลงทางอยู่เสมอ (Bing Bing)
ผมว่า มันจะมาอ้างตาม ก๋วยเตี๋ยวไม่ฟรี ดังนั้น คงต้องเลิกกินนี่ผมว่าไม่ใช่แล้วล่ะครับ
เพราะ ก๋วยเตี๋ยว ไม่มีแจกฟรี ให้ได้กินฟรีทั่วไปนะครับ ตลาด OS มี ubuntu ที่ให้ใช้งานได้ฟรี
ดังนั้นผมว่า ถ้ามอง OS เป็นก๋วยเตี๋ยว
MS คือ ก๋วยเตี๋ยวขึ้นภัตคาร ราคาแพง ที่ต้องจ่ายเยอะ
Ubuntu คือ ก๋วยเตี๋ยวข้างทาง ปรุงเยอะหน่อยนึง หน้าตาไม่สวย
แต่ไม่ว่าจะขึ้นห้าง หรือข้างทาง มันก็ทำให้ท้องอิ่มเหมือนกัน
สำหรับผลิตภัณฑ์ ก็เช่นกัน นะครับ มันไม่ได้จำเป็นต้องใช้เงินซื้อเสมอไป อย่างทุกวันนี้ผมใช้ Ubuntu, gimp, OpenOffice, Picasa ใน Windows 7 ที่ติดมากับเครื่อง ก็ใช้ Gimp, Openoffice, Picasa ที่เป็นพวก Opensource เช่นกัน ไม่ต้องเสียเงินเพิ่มแต่อย่างใด
เพียงแต่มันอาจจะไม่ได้อย่างใจ ไม่คุ้นเคย ต้องเหนื่อยหัด เหนื่อยลองหน่อย แต่พอเป็นมันก็ไม่ต่างกัน
ส่วน Browser ลองไป search browser wars ดูครับ แล้วจะเห็นว่า ทั้ง Opera, Netcape มาก่อนนะครับ แต่ค่ายประภาคาร สู้ IE ที่พ่วงมาฟรีไม่ได้ กลายร่างมาเป็น Mozilla นะครับ ดังนั้น คงบอกไม่ได้ว่า IE สร้างมาตรฐานตัวเอง
งั้นคงต้องถามว่าทำไมก๋วยเตี๋ยวขึ้นห้างมันถึงขายได้
ชาบูตอนตรงข้ามพาราก้อน ผมเห็นคนเต็มแทบทุกวัน ทั้งที่มันก็อิ่มท้องเท่าก๋วยเตี๋ยวราคา 60
แม้แต่ว่า ก๋วยเตี๋ยวข้างทางราคาซัก 40 ที่อร่อยพอกันก็อาจจะมี แต่ก็ทำได้แค่คนเต็มทุกวันเหมือนๆกัน
ปัจจัยมันก็มีหลายอย่าง เช่น สยามมันเป็นแหล่งท่องเที่ยว ได้บรรยากาศญี่ปุ่น ฯลฯ
ก็ไม่ต่างกับที่ไมโครซอฟท์มีซัพพอร์ทที่ดี และมีผู้ผลิตฮาร์ดแวร์เต็มใจทำไดรเวอร์ให้
ไอ้การไม่ฟรี มันก็ต้องแลกมาด้วยอะไรบางอย่างเหมือนกัน
จริงครับ ผมคิดว่าค่าใช่จ่ายที่เพิ่มขึ้นส่วนหนึ่งก็คือการ support ถ้าไม่มี support ระบบผมเกิดอะไรขึ้นมาก็เตรียมงมโข่ง กับ google ได้เลย การไม่จ่ายค่า support ไม่มีใครรับประกันได้ว่าผมจะแก้ปัญหาได้ ผมมองๆแล้วมันเหมือนการซื้อประกันรถอ่ะครับ ไม่มีใครรู้ว่ารถคุณยางจะระเบิดเมื่อไหรถ้าคุณซ่อมไม่เป็น แต่คุณสามารถตามคนซ่อมเป็นได้ด้วยค่าใช้จ่ายตรงนี้ครับ
{$user} was not an Imposter
จริงๆ ครับ เหมือนผมอ่ะ ที่ซื้อไอโฟนมาใช้เพราะอยากได้บริการหลังการขายที่ดีกว่า และได้การรับประกันตัวเครื่องที่ดีกว่า ก็เลยยอมจ่ายแพงกว่า
และไม่มีอะไรที่ได้มาฟรีๆ หรอกครับ ในโปรแกรมที่ฟรีอาจจะพ่วงอะไรติดมาทีหลังก็ได้
เข้าใจครับแต่ไอ้ที่ว่า ไม่ใช้เพราะไม่ฟรี นี่ง่ายไปหน่อยเหมือนเห็นแก่ตัวนะเพราะทุกอน่างมันมีต้นทุนทั้งนั้น
ถ้าบอกว่ามีทางเลือกที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มผมเห็นว่าดูเป็นเหตุเป็นผลมากกว่า
ส่วน IE ผมไม่ได้บอกว่าสร้างมาตรฐานอะไรขึ้นมาเพียงแค่เขาทำตามแนวทางของเขามาตั้งแต่ต้นแล้ว แต่ Browser รุ่นถัดมาสร้างแนวทางใหม่ๆขึ้นมา จะมาโทษว่า MS ทำสวนมาตราฐานคงไม่ยุติธรรมเท่าไรนัก
ปกติแต่ละตัวก็จะมีการสร้างอะไรเฉพาะบ้างที่เป็นของตนเอง แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วจะสามารถใช้ หรือทำให้เข้ากับมาตรฐานกลางที่ออกแบบมาไว้ได้ครับ แต่สำหรับ IE6 นั้นมีหลายอย่างที่แตกต่างแล้วมันสร้างปัญหามาก ถ้าจะมองว่าเขาจะสร้างเป็นมาตรฐานของตนเองก็ได้อยู่ แต่สุดท้ายแล้วมันไปไม่รอด ทำให้กลายเป็นปัญหา
ทุกวันนี้ IE6 มีผู้ใช้จำนวนมาก (ก็คงเพราะบารมีของ Windows XP) ซึ่งมันสร้างปัญหาในการออกแบบเวปพอสมควรครับ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างมาตรฐานของตนเอง เดินตามแบบตนเองหรืออย่างไรก็ตาม ตอนนี้มันมีปัญหาขึ้นจริง
ส่วนตัวผมคิดว่า Windows 7 เป็น Windows มีมีความสามารถสูง ใช้งานได้ง่าย ความเสถียรก็สูงกว่ารุ่นก่อน ๆ เยอะ และก็คอยแอบเชียว Microsoft มาตลอด เพราะผมชอบลักษณะ UI บางอย่างของ Microsoft ที่เวลาใช้แล้วจะรู้สึกว่า เนี้ย Microsft (บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าตรงไหนที่ทำให้รู้สึกอย่างนั้น) แล้วก็ชื่นชอบมาตลอดเลย มันสุดยอดมากที่ทำให้รู้สึกได้ถึงขนาดนี้ (อาจจะเป็นผมคิดไปเองก็ได้มั้ง ไม่เคยเห็นใครพูดถึงเลย ใช้มาตั้งแต่ MS Dos)
เพจตัวอย่างผลงานถ่ายภาพ / วีดีโอ
ปุ่ม Start ไงครับ ที่ทำให้รู้ว่าเป็น Microsoft
ใช่ครับ ไม่ใช้เพราะไม่ฟรี เป็นข้อสรุปที่ง่ายไปหน่อย
ซึ่งผมก็รู้สึกเช่นเดียวกับที่บอกว่า ถ้างั้นก๋วยเตี๋ยวไม่ฟรีก็ต้องเลิกกินเช่นกันนั่นล่ะครับ
ส่วนเรื่อง IE คิดว่าความเห็นข้างบนพูดไว้กระจ่างพอแล้ว นะครับว่า มาตรฐานของ IE6 มันสร้างปัญหา ถึงขนาดที่ว่า พยายามรักษามาตรฐานเดิมไว้รวมกับมาตรฐานใหม่ๆได้มาอย่าง IE7 สุดท้าย ก็พ่อยต่อมาตรฐานที่ผิดพลาดของตนเอง จนได้ IE8 ขึ้นมา แต่ก็ยังไม่จบ จนสุดท้าย ผมคงได้แค่คาดหวังที่ IE9 จะดูดีกว่าที่ผ่านๆมา
ปล.ผมไม่ได้เกลียด MS แต่ผมเกลียด IE เท่านั้นเอง
ว่าซะแอปเปิ้ลไม่มีดีเลย
ตรงที่มีแสง
+1
ถ้าใครอยู่ในองค์กรที่มีผลกำไรน้อย (ถ้าคิดจะซื้อของเค้าใช้โปรดคิดให้หนัก ลึกซึ้งมาก ๆ กับปรัชญาการขายสินค้าของบริษัทนี้) คิดให้ลึกๆ จะมีค่าใช้จ่ายต่อเนื่องเยอะมาก
เช่น Windows server จะต้องซื้อ CAL ให้สูงกว่าหรือเท่ากัน แม้แต่ SQL ก็ต้องซื้อ CAL ด้วย
สรุปก็คือ ซื้อ Windows server + Windows Client + Windows server CAL + SQL server + SQL CAL
ถ้ามีตังค์ก็ซื้อไปเหอะครับ
แต่ถ้าจดทะเบียนเป็น มูลนิธิ โรงเรียน สถานศึกษา ค่าไลเซนถูกมาก จนเผลอคิดไปได้ว่าเป็นแผนการตลาดรูปแบบหนึ่ง
"ไม่ได้ Anti MS แต่ก็ไม่ใช้ และพยายามอย่างที่สุดที่จะหลีกหนีทุกอย่างที่เป็น MS"
"สุดท้ายนี้ .. ไม่ได้ Anti MS จริง ๆ นะ Office ก็ยังต้องใช้ (แต่ก็แค่นั้นล่ะ)"
ชั่งสอดคล้องกันมากเลย
"นอกจากไม่ฟรี เรื่องลิขสิทธิ์มันยังหยุมหยิมน่าปวดหัว (ถ้าคิดจะซื้อของเค้าใช้โปรดคิดให้หนัก ลึกซึ้งมาก ๆ กับปรัชญาการขายสินค้าของบริษัทนี้)"
ที่ผมไม่ชอบ MS เพราะข้อนี้แหละครับ ข้อเดียวเลยจริงๆ
"ฟรี" มีครับ สำหรับวงการการศึกษา การทำงานวิจัย (เช่นที่ไมโครซอฟท์แจก MSDN AA ให้กับมหาวิทยาลัย หรือกระทั่ง DreamSpark) และธุรกิจเริ่มต้น (เช่น BizSpark )ครับ
MSDNAA ไม่ได้แจกครับ ทางคณะจะต้องรับภาระในค่าใช้จ่ายในการเป็นสมาชิก MSDNAA ครับ จะบอกว่าฟรีก็ไม่ถูกต้องนัก
ส่วน BizSpark ก็ต้องจ่ายค่าเข้านะครับ
แค่ว่ามันก็ถูกยังกับได้ฟรีจริงๆล่ะ
onedd.net
onedd.net
DreamSpark ฟรีครับ
(คล้ายๆ BizSpark แต่สำหรับมหาลัยหรือโรงเรียน แค่ในเมืองไทย msthai ยังไม่มีโปรแกรมนี้เท่านั้นเอง)
เทคนิคการตลาดแบบ "ไม้อ่อนดัดง่าย" ครับ
\(@^_^@)/
M R T O M Y U M
หลอกให้ใช้มากกว่าครับ เหมือนยาบ้า แรกๆ ก็ให้เสพย์ฟรี พอติดก็เสียตังค์ราคาแพง
ไม่ฟรี แล้วพนักงานเค้าจะเอาอะไรกินครับ
ฟรี=อิสระ
เขามีรายได้จากการสนับสนุนของบริษัทใหญ่ๆ เช่น กูเกิ้ล ซัน และการบริจาคของผู้ใช้หรือการขายของ (เสื้อผ้า หมวกแก็ป ...) อีกรายหนึ่งจะมาจากเวอร์ชั่นที่สูงกว่าที่ฟรี เช่น เอนเตอร์ไพรส์+การซัพพอร์ต (ตัวอย่าง redhat, mysql, suse, ...)
แค่ product บางตัวครับ ที่ไม่ค่อยชอบ ส่วนเรื่อง มูลนิธิ ผมก็ว่า Microsoft ก็ทำดีครับ แต่คือมูลนิธิมันลดหย่อนภาษีได้มั้ง ถ้าผมผิดตรงนี้ขออภัย แต่ไม่ได้แปลว่า Microsoft ทำเพื่อลดหย่อนภาษีนะครับ อีกอย่างหนึ่งคือ การที่ทำตัวเองเป็นมารตฐานไปหน่อย ที่นั่งเขียนตอนนี้อยู่ ผมใช้ vista oem ที่ติดมาจาก dell ส่วนตัวก็ไม่ได้ยึดติดนะครับ ใช้อะไรก็ได้ แต่อันไหนมันได้รับผลกระทบแล้วคิดว่ามันไม่ถูกต้องผมก็เลยไม่ชอบเช่น IE แต่ช่วงหลังๆนี้ รู้สึกจะดีขึ้นทางด้าน IE ตั้งแต่ firefox 2 ผมก็ไม่เคยใช้ IE อีกเลย
แสวงหามิใช่เพราะรอคอย เชี่ยวชาญมิใช่เพราะโอกาส ชำนาญมิใช่เพราะโชคช่วย"ดังนี้แล้วลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน"chonlatee
มูลนิธิไม่มีความเกี่ยวข้องเชิงนิตินัยกับไมโครซอฟท์เลยครับ แค่มีหน้าเกตส์ติดไปด้วยเฉยๆ จะมองว่าเกตส์ลาออกจากไมโครซอฟท์ไปทำงานกับพวกกรีนพีซหรือมูลนิธิอื่นๆ ก็ได้
จริงๆก็ผมเห็นใจ microsoft ด้วย บางเทคโนโลยีเขาบุกเบิกเลยต้องมี "มาตรฐาน" เป็นของตัวเอง พอหลายปีผ่านไปมันดังเลยค่อยมี "มาตรฐาน" สากลตามมาทีหลัง กลายเป็นตัวเองแหกมาตรฐานไปซะงั้น แต่บางครั้งเจ้าก็ดื้อเกินไปนะ ;)
{$user} was not an Imposter
+1
โดยเฉพาะ Format Office ใช่มะ หึหึ
ผมว่าป๋าแกก็ดันหนักด้วยนะ
เห็นด้วย แต่หลายครั้ง MS ก็ดื้อจริง แต่อย่างว่าเค้าทำมานานก็คงขี้เกียจเปลี่ยนมาตรฐานนะแหละ ดูอย่าง IE เปลี่ยนที บริษัทต่างๆ ร้องกันระงม
อันที่จริงเนี่ย คนรวยมากๆเค้าต้อง "ตั้งมูลนิธิเพื่อลดภาระภาษีบุคคลฯ" นะครับ มันเป็นกลไกที่รัฐจัดสร้างขึ้นเพื่อบีบให้คนรวยประเภทล้นๆต้อง "คาย" ออกมาแบ่งคนอื่นบ้าง เพื่อพยายามลดช่องว่างรายได้ ...จะได้มาก ได้น้อย อันนี้แล้วแต่กลไกของแต่ละรัฐ
วิธีการก็...สมมุติว่า ผมรวยม๊ากมาก เจอภาษีอัตราก้าวหน้า 30% ของรายได้ เอทำไงดีน้า เอางี้... แจกคอมพิวเตอร์ล้านเครื่อง พร้อม "ซอฟท์แวร์" มูลค่า X,XXX,XXX,XXX บาท ฟรีให้กับโรงเรียน อย่างนี้ก็เกิดค่าใช้จ่ายของมูลนิธิล่ะ ทั้งๆที่ซอฟท์แวร์ที่ว่านั่นก็ "อัฐยาย ซื้อ ขนมยาย" และแม้มันจะเป็นแค่การทำซ้ำที่ไม่มีผลิตภัณฑ์จับต้องได้จริง มันก็หักภาษีได้... ไม่ได้อ้างอิงเหตุการณ์จริงใดๆนะ แค่สมมุติเล่นๆอิอิ
ผมว่าบิลเกตอาจจะมีจิตกุศลจริง แต่ถ้ากลไกรัฐไม่ผลักดันก็อาจไม่ทำอะไรเป็นรูปธรรมเท่าที่ควรก็ได้
อันนี้ไม่เหมารวมถึงมูลนิธิที่ตั้งใจทำงานจริงนะครับ
\(@^_^@)/
M R T O M Y U M
เกตส์ดำเนินรอยตามแนวทางของ Rockefeller ครับ
มูลนิธิบิลเกสต์เป็น มูลนิธิที่มีเงิน "เยอะที่สุดในโลก"
แล้วเจ้าตัวบอกไว้นานแล้วว่าตอนตาย จะทิ้งเงินไว้ให้ลูกประมาณ 10 ล้าน ที่เหลือบริจาคเข้ามูลนิธิตัวเองหมด
คงพอสรุปได้ว่าคงไม่ได้แค่จะลดภาษีเท่านั้นมั้งคับ
ที่จริงเงินที่ได้มาในหลายปีที่ผ่านมากับอนาคตก็ไม่ได้เพื่อตัวเองเลย เพราะมีเหลือกินเหลือใช้แล้ว ที่เหลือยิ่งหาได้เท่าไหร่ก็เข้าการกุศลเท่านั้น
p.s. ดู Job ดีกว่า ไม่เคยได้ข่าวว่า Job คืนอะไรให้สังคมเป็นชิ้นเป็นอันเลย
เหมือนท่านเพิ่งจะต่อชีวิต iPod Classic ใหสังคมครับ
http://www.blognone.com/node/13059
[ JIRAYU.INFO ]
ที่บริจาคเป็นเพราะว่า เป็นกฏหมายของเมกาที่ผู้รับมรดกจะต้องเสียภาษีให้กับรัฐในอัตราที่สูงมากถึง 80%` (ภาษีคนรวย) ดังจะเห็นได้จากเศรษฐีหลายๆ คนบริจาคเงินให้มูลนิธิหมด จะว่าใจบุญก็ใช่ ไม่ใจบุญก็ใช่ เหตุมาจากภาษีนี่แหละครับ ทำให้ทายาทไม่มีเงินที่จะจ่ายได้และไม่คุ้ม
เรื่องนี้ถูกต้องครับ ภาษีมรดกเป็นภาษีที่หนักเอาการ ถือว่าเป็นภาระของทายาทเลยทีเดียว
แล้วทายาทก็เป็นลูกจ้างของมูลนิธิ เงินเดือนและสวัสดิการสูงๆ ไงครับ
มูลนิธิ ก็ต้องทำบัญชีเสมือนนิติบุคคลทั่วไปครับ
แค่ไม่ทำการค้าแสวงผลกำไรเท่านั้น
แต่ทุกคนในมูลนิธิ ต้องมีรายได้ครับ
แค่นี้ ทายาทก็ได้ไปแบบสบายๆ
เถ้าแก่ส่วนใหญ่ ทราบเทคนิคนี้กันครับ
ความรู้ใหม่มากๆ ขอ link อ้างอิงหน่อยครับ
ถ้าเสียภาษีมรดก 80% เลย ผมแค่คิดว่า งั้นจะรวยไปหาหืดอะไร ตายไปก็เข้ารัฐหมด ฮ่าๆๆ
ไม่หาล่ะครับ เรื่องแบบนี้ มี Link ได้ คนก็เป็นเถ้าแก่หมดสิครับ
อย่าติดกรอบความรู้นักเลยครับ
ความสำเร็จ ไม่ค่อยมีสูตรตายตัวที่ Link ได้
ความสำเร็จ ไม่ค่อยมีใครเขาบอกจริงๆ แบบหมดเปลือก
ความสำเร็จสูตรใดๆ ไม่อาจทำซ้ำได้เป๊ะๆ
ความสำเร็จ เกิดจากการสังเกตุ และใช้ปัญญา
ความรู้ เป็นแค่เครื่องมือของปัญญา
ความรู้ คือสิ่งสรุปเพียงเล็กน้อยที่เกิดจากสมองของผู้มีปัญญาเท่านั้น
เรื่องนี้ แค่มาเป็นเถ้าแก่ ศึกษาหาช่องโหว่ของกฏหมาย แล้วใช้ปัญญาคิดหนักๆ ก็เจอแล้วครับ
นักการเมืองผู้เป็นเถ้าแก่ เขาเปิดช่องไว้ให้ตนเองกันเกือบทั้งโลก จึงมีช่องนี้แทบทุกประเทศ
ประชาชนผู้ด้อยปัญญา ก็ถูกคำว่า "มูลนิธิเพื่อการกุศล" บังหน้ากันทั้งบาง
ผมบอกแค่นี้ ก็มากเกินพอแล้วครับ
รุ่นผม ไม่มีใครชี้ทางอะไรอย่างนี้เลย
แค่ข้อเท็จจริงว่าประเทศไหน รัฐไหน เก็บภาษีมรดก 80% ก็น่าจะพอครับ
lewcpe.com, @wasonliw
คุณ pines คุณ joomla หา Link ภาษาไทยมาให้หน่อยสิครับ
กฏหมายเรื่องนี้ในแต่ละประเทศ มีแต่เป็นภาษาของเขาเอง ผมหาแค่ภาษาอังกฤษยังไม่ได้เลย
ว่าแต่... กฏหมายไทยในเรื่องนี้ จะมีเป็นภาษาอังกฤษหรือภาษาต่างด้าวให้คนต่างชาติเขา Link ไปลง Board กันบ้างหรือเปล่านะ? น่าคิดจริงๆ นะ
ใช่ไหมครับ คุณ lew? ลองหาให้ผมดูซิครับ ด้วยมาตราที่เกี่ยวกับเรื่องภาษีมรดกของประเทศไทย ในฉบับที่ไม่ใช่ภาษาไทย และยังปรากฏบน Internet ด้วยนะครับ ผมอยากเห็นเป็นขวัญตาครับ
อย่าตีกรอบตัวเอง ด้วยความรู้
แต่จงเปิดโอกาสให้ตัวเอง ด้วยปัญญาครับ
คุณจักรนันท์พยายามจะสื่อว่า "ไม่น่าจะมี Link บทความกฎหมายสำหรับอ้างอิง" ใช่มั้ยครับ
ผมพยายามอ่านทำความเข้าใจอยู่หลายรอบมาก - -"
ผมสื่อว่า... ไม่มี Link ตัวบทกฏหมายมาตรานี้ของแต่ละประเทศในภาษาต่างด้าว เพื่อให้เรามา Link กันใน Blognone นี้ครับ
เพื่อจะบอกว่า การถามหา Link ตัวบทกฏหมายของประเทศต่างๆ ที่ภาษีมรดกแพงมหาศาลอย่างบางประเทศนั้น เป็นการถามแบบกำปั้นทุบดินครับ
เพราะไม่มี Link ของตัวบทกฏหมายของประเทศนั้นที่ไม่ใช่ภาษาของเขา แล้วพวกเราจะเอามา Discuss กันได้อย่างไร?
Death tax
Estate tax
Inheritance tax
ถ้าจะหา Link ภาษาอังกฤษ ก็จะเจออย่างเช่น US, UK ประเทศที่เขาใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการบางประเทศเท่านั้น (http://en.wikipedia.org/wiki/Estate_tax_in_the_United_States http://en.wikipedia.org/wiki/Inheritance_tax ส่วน Death tax ไม่มีแม้แต่ในภาษาอังกฤษ)
ของไทยเราเอง เราหามีแน่นอนในภาษาไทย เช่น http://www.sanpakornsarn.com/page_article_detail.php?aID=33 เป็นต้น
แต่สมมติว่าพวกเราเป็นคนจีนสิครับ แล้วเรากำลังถกกันเรื่องนี้ แล้วพยายามจะหา Link กฏหมายไทยในภาษาจีนหรืออังกฤษ เพื่อเอาไปอ้างกัน ตามที่ถามหา เราจะหาได้ไหมครับ?
เรื่องมาตรากฏหมาย จัดเป็นเรื่องภายในของแต่ละประเทศ ไม่มีผลบังคับใช้ภายนอกประเทศ จึงไม่มีการทำเผยแพร่เป็นทางการในภาษาต่างๆ อีกทั้งกฏหมายมีการเปลี่ยนแปลงเสมอๆ อยู่แล้ว
เรื่องนี้ การถามหา Link จึงเป็นคำถามที่เป็น Cyber addict เอามากๆ (ทั้งที่คนอย่างผม ก็ควรจะเป็นนะ โรคนี้น่ะ)
ถ้าหากจะกล่าวว่า พยายามหาติดต่อทนายในชนชาติต่างๆ บน Cyber world เพื่อถามเขาว่าประเทศเขามีอัตราภาษีเท่าไหร่ อย่างไรบ้าง ผมจะยอมรับ เป็นคำถามที่เหมาะสมกว่าการถามหา Link ครับ
มุมมองของผมก็คือ...
การถามหา Link = การรอให้คนมาป้อนความรู้
การถามหาทนาย = การขวนขวายเพื่อหาความรู้ ที่เห็นได้ชัดว่า อุตสาหะยิ่งกว่าการถาม Google เสียอีก
เถ้าแก่ ไม่ได้ทราบ Technic เหล่านี้ด้วยตัวเองครับ เขาดิ้นรน ศึกษา หาช่องโหว่ของกฏหมาย นั่นหมายความว่า เขาเข้าหาทนายของท้องถิ่นนั้นๆ ด้วยทุกคน... แม้กระทั่งตัวผมเอง
ผมไม่ทราบว่าคุณมีปัญหาอะไรนะครับ
แต่ในกรณีนี้คุณ joomla อ้าง "ข้อเท็จจริง" ว่าบางประเทศเก็บภาษีมรดก 80%
คุณ lawender ก็เข้ามาบอกว่าเป็นความรู้ใหม่ ผมเองแม้จะทราบว่าต่างประเทศภาษีมรดกสูง แต่ก็ไม่เคยทราบว่าสูงถึง 80% ก็ขอแหล่งอ้างอิงของข้อมูลที่อ้างมา
ไม่มีลิงก์ จะบอกเป็นชื่อหนังสืออ้างอิงผมว่าก็คงไม่มีใครว่าอะไรครับ
ปล. ผมอ่านความเห็นคุณไม่รู้เรื่องครับ
lewcpe.com, @wasonliw
ขอโทษครับคุณ lew ผมผิดเองครับ
ผมมีปัญหาเองครับ ผมตีความผิดไปจริงๆ
คือ ผมตีความดังนี้น่ะครับ
Subject อยู่ที่ประเด็นที่ว่า "ทำไมคนเกลียด M$" อันนี้ผมตีความไม่ผิดแน่ๆ
มีบางท่านก่อนคุณ joomla มาบอกว่า "มูลนิธิเกตส์ใจบุญ จึงไม่ควรเกลียด" อันนี้ ผมคงเริ่มตีความผิดจากนี้แหละ
คุณ joomla มา post โดยเน้นไปที่ประเด็นโต้แย้งตาม Subject คือ "นั่นไม่ใช่ความใจบุญ" แต่ด้วยเขาคลาดเคลื่อน จึงไประบุว่า 80% (ผมทราบครับว่า 53% ทราบตลอดขั้นบันไดภาษี จน Post Link ไว้แล้วใน Reply ที่แล้ว) แต่นั่นไม่ใช่ Point of subject เพราะผมยังตีความตาม Subject คือ "ทำไมคนเกลียด M$" ดังนั้น ผมจึงให้ความสำคัญของความเห็นเขาในส่วนที่โต้แย้ง ไม่ใช่ข้อเท็จจริงทางตัวเลข ซึ่งไม่ว่าจะเป็น 35% หรือ 53% หรือแม้แต่ 80% ก็ไม่อาจมีนัยสำคัญใดๆ ในการแก้ต่างเรื่องตั้งมูลนิธิเพื่อการถ่ายเททรัพย์สินสู่ทายาทให้ได้มากที่สุดได้เลย
นั่นเป็นความตีความผิดของผมซึ่งลุกลามต่อมา...
เมื่อผมเห็นคุณ pines ใน Reply ต่อมา ผมจึงเพิ่มเติมความเห็นว่าการถ่ายเทนั่นมี Concept อย่างไร และทิ้งไว้แค่ เถ้าแก่ มักทราบกันเป็นส่วนใหญ่ เพื่อเจตนารักษาประเด็นว่า มันคือการกระทำที่ทำให้ "คนเกลียด M$" แต่ก็ใจกว้างพอที่บอกว่า "เถ้าแก่อื่นๆ" เขาก็ทำกัน ไม่เว้นแม้แต่ตัวผม
ถัดจาก Reply นี้ของผมเอง คุณ lawender มาถามต่อ แต่เปลี่ยนประเด็นออกไปจาก Subject ของกระทู้ ไป Focus ที่ 80% ของคุณ joomla ซึ่งมันคลาดเคลื่อน... แต่มันไม่มีนัยสำคัญสำหรับผมตามประเด็นของกระทู้
นี่แหละ... ผมผิดอีกแล้วเต็มๆ เลยครับ ที่ไม่ยอมไหลออกไปนอก Point ของกระทู้ ตามคุณ lawender...
ผมนี่โง่จริงๆ...
เลยพยายามดึงกลับด้วย Reply ต่อมา....
ด้วยการอ้อมๆ บอกให้ทราบว่า ไอ้กี่ % นั่นไม่ได้สำคัญเลยสักนิด
กระทู้กำลังพูดถึงการกระทำที่ทำให้คนเกลียด
ไม่ว่าจะเป็นกี่ % มันก็เป็นการกระทำที่เป็นเจตนาเดียวกัน คือรักษาทรัพย์ไว้ให้ได้มากที่สุด ด้วยมูลนิธิบังหน้า (ที่ไม่ได้บอกเพิ่มคือ ก่อนเป็นมรดก ยังหักภาษีเงินได้ส่วนบุคคล/นิติบุคคลได้เสียด้วยสิ)
ผมโง่ต่อไม่หยุดเลยจริงๆ... ไม่ทราบจริงๆ ว่ากระทู้เขากำลังพูดถึงกฏหมายกันไปเสียแล้ว
ผมเชยจนไม่เข้าใจการกลายพันธุ์ของกระทู้จริงๆ ครับ
ผมตามไม่ทัน
ต่อมาคุณ lew เลยมาย้ำเตือนผมต่อ ให้ทราบว่า เขาพูดกันเรื่องหลักฐาน 80% นี่แล้วนะ
ถ้าเพียงคุณ joomla ผิดไปแค่เรื่อง 80% นี่เท่านั้นนะ แปลว่า สิ่งที่คุณ joomla กล่าวมา ไม่มีนัยสำคัญอะไรเลยทั้งหมดนะ เพราะพวกคุณกำลังสนใจแค่เลข 80% นี้เท่านั้นนะ
ถ้าแค่เป็น 79% เท่านั้น แปลว่า "M$ น่ารัก" ทันที... ไม่น่าเกลียดเลย...
โอ... ผมโง่ดักดานจริงๆ
ไม่ทราบจริงๆ ครับ ว่าโลกมันเปลี่ยนไปแล้ว
ผมยังคงเป็นไดโนเสาร์ ที่มองว่า การขโมยเงิน 80 บาท หรือ 8 บาท มันก็คือ "เจตนาขโมย" เหมือนกัน และเป็นเหตุผลให้ "ผู้คนเกลียดขโมย" ได้เหมือนๆ กันนั่นแหละ
ผมตามไม่ทันจริงๆ ครับ
ถัดมาคุณ meawwat...
คุณมาถามได้ดีมาก มีความรู้สึกที่เป็นมิตรอยู่ในคำถาม ไม่รู้สึกได้ถึงอัตตาในประโยคเลย
ผมจึงอธิบาย ว่าผมเจตนาอะไรออกไปตรงๆ ตามประสาไดโนเสาร์แบบผมครับ
ถือโอกาสบอกไปว่า ไอ้เรื่องรายละเอียดกฏหมาย ซึ่งมันนอก Point ของกระทู้ ไปหาเอาเองก็ได้
อีกทั้งถือโอกาสอธิบายไปด้วย ในเรื่อง Link ที่จะดึงเข้ามาอ้างในนี้ มันลำบากอย่างไร? และกำปั้นทุบดินอย่างไร? ที่สำคัญ จะเอามาอ้างทำไม ในเมื่อ 80% มันไม่ได้มีประโยชน์ใดๆ ต่อการให้ความเห็นของกระทู้ที่ว่า "ทำไมคนเกลียด M$"
จึงได้ชี้ไปว่า... ถามทนายสิ
เพราะทนายจะอธิบาย ถึง กลวิธี ในการยักย้ายถ่ายเท ดังเช่นที่มูลนิธิหลายแห่งทำ
ผมโชว์โง่ ด้วยการร้องทักอ้อมๆ ให้คนอื่นทราบว่า อย่าไปติดแต่ตัวเลข 80%
ผมหลงทางไปไม่กลับจริงๆ ครับ
สุดท้าย
ผมต้องกราบอภัยคุณ lew เป็นอย่างมาก ที่ผมเข้าใจผิด คิดว่ากระทู้ ยังพูดเรื่องการกระทำที่ทำให้คนเกลียด M$ อยู่
ผมขอโทษ ที่ผมโง่จนพ่นแต่ Garbage ออกไปจนคุณอ่านไม่รู้เรื่อง
ผมโง่แล้วอวดฉลาดไปเองจริงๆ ครับ
ผมเพิ่งตาสว่างครับ
กราบขออภัยทุกท่าน ที่ผมสร้างขยะไว้ในทุก Reply
ต่อไปผมจะระมัดระวังในการออกความเห็นมากกว่านี้ครับ
จะสัมผัสดูให้ชัดเสียก่อน ว่าท่านกำลัง Move ประเด็นไปที่ไหนกัน แล้วรู้จัก Reply ให้ถูกประเด็นกว่านี้ครับ
ด้วยความเสียใจอย่างสุดซึ้ง
จักรนันท์
น่าไปตั้งบล็อก เขียนเรื่องนี้เลยนะเนี่ย ฮ่าๆ ซีเรียสจริงๆ
ปล. ไม่ว่าเกตจะยักย้าย ยักยอกอะไรหรือไม่ก็ตาม แต่มันก็ยังดีกว่าคนที่ไม่ทำอะไรเลย เก็บอย่างเดียว
และภาพลักษณ์ จากสิ่งที่เขาทำ จากการเดินสาย ตระเวณผลักดันให้เกิดเรื่องต่างๆทั้ง สุขภาพ พลังงาน มันดูดีกว่า CEO ทุกคนบนโลกนี้ และถ้าให้จัดอันดับ เศรษฐีที่ใจบุญที่สุด เค้าก็น่าจะเป็นที่หนึ่ง และยิ่งได้อ่านข้อคิดหลายๆอย่างของเขาแล้ว มันเอามาใช้กับชีวิตคนธรรมดาได้ เค้าไปช่วยประเทศโลกที่สามสี่ห้า แต่เจ้าสัวบ้านเราก็ยังหลอกคนในประเทศกันไปอยู่ไม่เห้นจะได้ช่วยอะไรเป็นชิ้นเป็นอันดีแต่สร้างภาพ หลอกคนไทยใช้ของห่วยๆกันต่อไป ถ้าสารคดี Food Inc ได้มาถ่ายทำบ้านเรามันคงจะอึ้งกันกว่านี้ ว่าอเมริกาหนักแล้ว แต่เจอพี่ไทย อาหาร QC ไม่ผ่านส่งให้คนไทยกิน ของดีๆส่งให้ฝรั่ง เห้อ
มุมมองด้านภาษีมรดกแล้วมองว่าเค้าทำเพื่ออยากลดภาษี ผมมองว่ามันเหมือนคนอิจฉาคนรวยกว่าแล้วหาว่าเค้าทำดีเอาหน้าทั้งที่ถ้าเป็นตัวเองก็คงอยากจะเก็บไว้เหมือนกัน อดีต M$ เคยเป็น Evil ครับ แต่ปัจจุบันมันเปลี่ยนไปผมว่าเราน่ายกย่องเค้าได้แล้วนะ
ขออนุญาต ต่อความเห็นกับคุณ way_c16 ตามประเด็นประทู้คือ "ทำไมคนถึงเกลียด M$" นะครับ
ขอย้ำว่า ผมออกความเห็นตามประเด็นที่เจ้าของกระทู้ตั้งขึ้นเท่านั้นนะครับ
จริงครับ ปัจจุบันเขาเปลี่ยนไป ด้วยวิธีคิดแบบนี้ ภาษาอังกฤษจึงมีคำว่า "Confession" ครับ ซึ่งไม่มีคำแปลเฉพาะตัวในภาษาไทย เราได้แต่แปลด้วยคำผสม ออกมาเป็น "สารภาพ" + "บาป"
นั่นหมายความว่า โดยกมลสันดานของคนผู้ใช้ภาษาไทย เรารับการกระทำนี้ไม่ได้ ที่ตักตวงมาแบบผิดๆ แล้วมาไถ่บาปด้วยเศษเสี้ยวของสิ่งที่ตักตวงไปได้ทีหลัง เพื่อจะเปลี่ยนภาพลักษณ์ เราจึงไม่มีคำเฉพาะที่ใช้เรียกพฤติกรรมเช่นนี้ นั่นผมยังหมายถึงในอีกหลายๆ ภาษาด้วย
ชาติที่มีคำเฉพาะของพฤติกรรมนี้ ย่อมแสดงว่า ในกมลสันดานของชนชาติเขา ยอมรับได้กับการมาไถ่โทษทีหลัง
สันดานแห่งการยอมรับไม่ได้ของชนชาติเรา ปรากฏอยู่ทั่วไปอย่างเด่นชัดในแวดวงการเมือง และปะปนอยู่ทั่วไปในพฤติกรรมของประชาชนคนไทยครับ
ในทุกการกระทำ มีทั้งผลที่ดีและไม่ดีตามมา ต่อกลุ่มคนต่างๆ กันไป
และนั่น ปฏิเสธไม่ได้เลยครับ ว่ากรณีมูลนิธิเกตส์นี้ ไม่ใช่ 1 ในเหตุผลตามประเด็นของกระทู้คือ "ทำไมคนถึงเกลียด M$"
ไม่ว่าปัจจุบันเขาจะยัง Evil หรือไม่ ขนาดไหน อย่างไร
แต่ผู้ตั้งกระทู้ ต้องการความเห็นที่หลากหลาย นำเสนอว่า "ทำไม" ย้ำว่า "ทำไม" คนถึงเกลียด M$
ฉนั้น ถ้ามีสักคน มาบอกว่า ตนเองเกลียด เพราะวันหนึ่ง ทราบว่า Gates เหยียบมดตาย มันก็คือใช่ 1 ในคำตอบของกระทู้หรือไม่ครับ?
ผมขอให้ทุกคนตระหนักให้ดีว่า...
ข้อเท็จจริงที่อ้างอิงได้ ที่ทุกท่านถูกสอนมาให้เข้าใจว่ามันคือข้อเท็จจริงเพียงแบบเดียวที่ท่านยอมรับได้นั้น... มันเป็นแค่บันทึกส่วนหนึ่งของข้อเท็จจริงทั้งหมดที่เกิดเท่านั้นครับ
และทุกข้อเท็จจริง ที่ท่านอ้างอิงได้ ล้วนแต่เป็นข้อเท็จจริงที่ถูกตีกรอบนำเสนอตามเท่าที่ผู้นำเสนอบันทึกไว้ให้ท่านนำไปอ้าง นำไปศึกษา
ยังมีข้อเท็จจริงอีกมากมายนัก ที่ท่านปิดหูหิดตา ไม่มอง ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่รู้สึกถึงมัน ด้วยเพราะถูกข้อเท็จจริงทางอักขระวิธีตีกรอบความคิดเอาไว้
ดังเช่น... เกตส์เหยียบมดตาย น้องสาวผมเลยเกลียด
แค่นี้ก็ข้อเท็จจริงครับ เป็นข้อที่เท็จจริงเพียงพอและถูกต้องตามประเด็นกระทู้อย่างที่สุดแล้ว
เหตุใดๆ ที่ทำให้ "คน" เกลียด คือข้อเท็จจริงที่เจ้าของกระทู้ตั้งขึ้น
ความเกลียด คือความรู้สึกครับ ตัวเลขจึงไม่เกี่ยว
เกลียดมาก เกลียดน้อย วัดกันเป็นตัวเลขไม่ได้
เจ้าของกระทู้จึงตั้งคำถามได้ดีแล้ว
ถ้าเขาตั้งว่า "เหตุใดคนจึงเกลียด M$ มาก" (หรือน้อย) ก็ตาม จะมีปัญหาตีความทันที ว่าไอ้มากหรือน้อยนั่น คือจำนวนคนหรือไร? แล้ววัดอย่างไร?
หากว่า มากหรือน้อยนั่นคือความรู้สึก ว่ารู้สึกเกลียดมาก หรือเกลียดน้อย และวัดอย่างไร
ขออนุญาต ตรงตามประเด็นเป๊ะนะครับ
ชักอยากรู้จักชีวิตคุณแทนซะแล้วสิ ฮ่าๆ ยาวดีจัง
ชักอยากรู้จักชีวิตคุณจักรนันท์ด้วยแล้วเหมือนกันครับ
ติดตามข่าวจากข่าวต่างประเทศทาง อสมท และ Money Channel ครับ
กระทู้นี้มาตรงกับข่าวมหาเศรษฐีสหรัฐหลายคนประกาศบริจาคเงินเพื่อการกุศล แล้วนักข่าวเขาวิเคราะห์ให้ฟัง ส่วนจะเก็บกี่ % ของแต่ละคนหรือแต่ละมรดกนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆ อย่าง ข่าวเกี่ยวกับเก็บภาษีนี่มีบ่อยครับ ถึงจะจำมาพูดก็น่าเชื่อถือได้ ถ้าสนใจเชิงลึกลองติดต่อคุณโรสหรือคุณสุทธิชัยหยุ่น
คุณจักรนันท์ครับ ตัวเลข 80 นั้นไม่ได้สื่อคลาดเคลื่อนจากที่ได้ยินมาครับ เสียดายที่ข่าวไม่ได้รายงานเป็นตัวอักษรให้ติดตามได้
ปล.ข่าวเขาบอกว่าเก็บ "สูงมากถึง 80%" คนละความหมายกับ "เก็บ 80%" ครับ
ช่างมันเถอะครับ ด้านนั้น มุมมองนั้น ผมก็เข้าใจครับ นั่นคือสิ่งที่ผมชี้ว่า มีความจริงอีกมากมายนัก ที่ไม่ได้บันทึกด้วยอักขระวิธีให้อ้างอิงได้ นอกจากได้ประสบด้วยตนเอง ดังนั้นเรื่องตัวเลข ผมจึงไม่สนใจ
แต่จะอธิบายให้สั้นที่สุดได้ดังนี้...
จริงอยู่ ข้อเท็จจริงตามตัวหนังสือ ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่มนุษย์เขียนขึ้น ตั้งกันขึ้นมาเอง ระบุ 53% จริง แต่ข้อเท็จจริงเหล่านั้น หาได้เป็นความจริงเสมอไม่ แท้จริงแล้ว แทบจะไม่จริงเลยด้วยซ้ำ
เพราะในทางปฏิบัติ เมื่อมนุษย์เรา จะเก็บภาษี หรือรีดนาทาเร้นใครๆ ก็จะหยิบกฏข้ออื่นๆ มาประกอบอีกมากมาย เพื่อตัดข้อลดหย่อนต่างๆ ให้ได้มากที่สุด ในขณะเดียวกัน ก็ตีมูลค่าสิ่งต่างๆ ให้สูงที่สุดกว่าข้อเท็จจริงเพื่อรีดนาทาเร้นให้ได้มากที่สุด ในทางปฏิบัติจริงแล้ว ผู้สื่อข่าวทั้งหลายจึงรายงานจากตัวเลขที่จ่ายจริง เทียบกับมูลค่าจริงของทรัพย์สินอ้างอิงทั้งหมด
สื่อในใส่ไข่ ก็จะคิดมูลค่าจริงให้ต่ำที่สุด ตัวเลขที่มาจากสื่อที่ใส่ไข่ ย่อมพาไปได้สูงขนาดนั้นนั่นเอง
ดังนั้น อย่าไป Serious กับมันเลย ว่าจะกี่ % ครับ
และที่ผมอธิบายไปนี่สิครับ คือความจริง ไม่ใช่ข้อเท็จจริง ดั่งที่พยายามนักพยายามหนา ที่จะพาทุกคนชวนออกมาดูความเป็นจริงครับ
ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ได้เปลี่ยนไป เคลื่อนที่ไป ด้วยแรงกระทำ กฏใดๆ เพียงหรือข้อเท็จจริงใดๆ เพียงแรง/กฏ/ข้อเดียว
เหตุการณ์ทุกอย่าง มีแรงกระตุ้นจากหลายล้านความจริงและหลายล้านข้อเท็จจริง ทั้งข้อเท็จจริงทางธรรมชาติและข้อเท็จจริงที่มนุษย์ตั้งขึ้นมาเอง (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นข้อเท็จจริงเพียงช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น)
ทุกอย่างที่เรารู้ ล้วนเป็นผีเสื้อขยับปีกครับ
ความรู้ เป็นเพียงบันทึกของผลแห่งปัญญาเท่านั้น และผลแห่งปัญญาของทุกคน บันทึกเท่าไหร่ก็ไม่หมด บันทึกเท่าไหร่ก็ไม่มีทางครอบคลุมทุกอย่างของแต่ละคน
ถ้าเราคิด เราเชื่อแค่ตามที่เรารู้ (ไม่ใช่ไม่เชื่อความรู้นะครับ ทำความเข้าใจคำพูดผมให้ดี) และเรายึดติดวิธีคิด วิธีที่จะเชื่อเรื่องอื่นใดแค่นั้น เราก็จะตีกรอบปัญญาของเรา แค่อยู่ในกรอบของความรู้นั้นๆ ครับ
ความรู้หนึ่งๆ จะไปปิดกั้นความรู้อื่นอีกหลายความรู้เสมอ
เราจะรู้เท่าทันกลไกของความรู้ที่เข้าสู่สมองของเราได้ด้วยปัญญาครับ
ผมจึงยกตัวอย่างประเด็นกระทู้นี้... ซึ่งผมชมเชยว่า ตั้งคำถามได้ดี ไม่ว่าจะด้วยบังเอิญหรือตั้งใจก็ตาม
ข้อเท็จจริง จะเป็นข้อเท็จจริงหรือไม่ มันขึ้นอยู่กับว่า เรามองหาอะไรครับ?
ประเด็นกระทู้ ถามถึงข้อเท็จจริง ว่า ทำไมคนถึงเกลียด?
ถ้าผมบอกว่า ได้ยินมาว่า เกตส์เหยียบมดตาย จึงเกลียด
นั่นก็ข้อเท็จจริง ตามที่ประเด็นกระทู้มองหาครับ
แม้ว่า จะไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเองก็ตาม
ข้อเท็จจริงก็คือ มีคนที่เกลียด เพราะแค่ได้ยินมาด้วยนั่นเอง
ส่วนการจะไปไล่เบี้ยนั้น คือการออกนอกประเด็นไปแล้ว มันคือการไปหาข้อเท็จจริงอื่นๆ ไปเสียแล้วนั่นเอง
และการไล่เบี้ยนั้น ถ้าเป็นผม ผมจะถามอีกวิธีแทน...
อาจจะว่า...
"อืมมม์... ผมเข้าใจแล้ว ว่าทำไมคุณถึงเกลียด ว่าแต่ว่า ถ้าไม่ลำบากใจเกินไป จะบอกผมหน่อยได้ไหมครับ ว่าได้ยินมาจากที่ไหน หรือจากใคร"
นี่สิครับ... สร้างสรร
เพราะ... เมื่อผมสนใจข้อเท็จจริงแบบที่ผมสนใจ ก็ควรค้นหาต่อไปด้วยวิธีการ Researching แต่ไม่ใช่ Fighting
และในที่สุด เราก็จะได้ข้อเท็จจริงในแบบที่เราต้องการต่อไป ว่าที่เขาได้ยินนั้น มาจากไหน? จะไล่ต่อไปอีกเพื่อหาจุดบิดเบือนจากที่ท่านมีความรู้ก็ได้ เพราะว่า ดีไม่ดี... ถึงท้ายที่สุด ท่านเองอาจพบว่า ที่ท่านรู้นั้น เป็นข้อเท็จจริง แต่ไม่ใช่ความเป็นจริงก็เป็นได้ครับ
ถูก หรือ ผิด ไม่ใช่ข้อเท็จจริงของผู้ตั้งกระทู้ถาม
แต่เป็นข้อเท็จจริงของเราเอง ที่เราสงสัยเอง ด้วยมุมมองของเราเองเท่านั้นครับ
เมื่อผมมุ่งความสนใจไปตามประเด็นของกระทู้ ผมจึงยืนอยู่ตรงนั้น ไม่ใช่ว่าเข้าข้างใคร หรือช่วยเหลือใครทั้งนั้น แต่เพราะตัวเลขนั้น แม้แต่มาจากคุณ joomla เอง ไม่ได้อยู่ในประเด็นของกระทู้ (ที่ผมมุ่งความสนใจไป)
ตามประเด็นของกระทู้ คุณ joomla ได้บอกข้อเท็จจริงของตนเองออกมาแล้ว ก็คือได้แล้วครับ ข้อเท็จจริง
ได้แล้วครับ ความเห็นอันมีค่าของคุณ joomla
จากนี้ไปต่อไป ขอออกทะเลนะครับ ใครอ่านไม่ไหว ก็ผ่านไปเถอะครับ
ผมตามเข้ามาดูที่นี่ เมื่อสัก 2 หรือ 3 ปีที่แล้วกระมัง เอาแม่นๆ คงบอกไม่ได้
ผมนับถือคุณ mk ที่ทำให้ที่นี่ต่างจาก Blog อื่น
คุณ mk ไม่ได้เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของ Blog
แต่กฏของคุณ mk กลับเปิดกว้าง แม้ใครจะออกทะเลเท่าไหน ท่านก็ไม่เคยขัด
นั่นเอง ทำให้ผมตัดสินใจ Register ที่นี่ครับ
ปัจจุบัน opentle.org ผมก็ยังเทียวดู แต่ด้วยฐานของสมาชิกในนั้นเปลี่ยนกลุ่มไป ไม่มีใครถามอะไรเข้าทางถนัดให้ผมได้โม้ ได้ฝอยมานานพอสมควรแล้ว
เรื่องไหนที่ผมไม่รู้ ผมไม่ถนัด ผมไม่ Jam ครับ
มาที่นี่ ผมได้พบ ได้อ่านข้อความของคุณ lew ก็ได้เห็นเด็กรุ่นใหม่อีก 1 คนที่น่านับถือ ไม่แปลกใจที่ร่วมอุดมการณ์กันคุณ mk ได้
ถึงยังเด็กประสบการณ์ไปหน่อย แต่แววที่ดีเห็นได้ชัดอย่างเช่นในกระทู้นี้ ที่ผมสามารถทักคุณ lew ได้ และท่านรู้ได้ในที่สุด ว่าผมสื่ออะไรไป
เมื่อวานผมหยุดงานตัวเอง แต่ไม่ได้เข้ามา Reply อะไร เพราะรับโทรศัพท์ตั้งแต่สายๆ เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ลูกศิษย์ลูกหาโทรมาคุยเรียงคิวเพราะกระทู้นี้
ก็ขอเล่าให้อ่านกัน... ถ้ามีความพยายามอ่านเพียงพอ
เขาได้เข้ามาอ่านกันที่นี่เพราะผมเคยแนะนำไป สรุปรวมคือ ทุกคนเป็นห่วงกัน ว่าผมยื่นมือเข้าไปทำไม รังแต่จะเสียหาย
บ้างก็ว่า เดี๋ยวจะโดนเด็กถอนหงอกเอา
บ้างก็ว่า อยู่มาจนป่านนี้ สร้างแต่คนรักก็พอแล้ว เข้าไปยุ่งกับสังคมเด็กรุ่นใหม่แบบนี้ จะสร้างคนเกลียดได้ทั้งๆ ที่ไม่รู้จักมักจี่กัน
สรุปได้ประมาณนี้...
ผมใช้เวลาทั้งวัน ตอบโทรศัพท์ อธิบายไปทีละคน (ก็มันคุยได้ทีละคนนี่นะ โทรศัพท์เนี่ย)
สรุปรวมที่ผมอธิบายไปคือ...
ผมไม่เห็นว่าผมจะเสียหายครับ หงอกเหงิกอะไรผมไม่มีให้ใครๆ ถอนทั้งนั้น นั่นมันอัตตาครับ
และผมก็ไม่เห็นว่าจะมีใครเสียหายอะไร มีแต่ได้ กับเสมอตัวครับ
ใครอ่านผมออก ก็ได้ไปเท่าที่เขาอยากจะมองหา
ใครอ่านไม่ออก ก็ไม่เห็นว่าจะมีสาระอะไร
ทั้งหมด มันก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคน ว่าเข้ามาหาอะไรใน Blog นี้
ทุกปฏิสัมพันธ์ในพิภพนี้ ล้วนมีสาระในแบบของมันทั้งสิ้น ขึ้นอยู่กับว่า เราจะมองมันจากมุมไหน
ผมมองจากมุมที่ว่า ผมทำประโยชน์ให้คนรุ่นหลังแล้ว
คนที่รู้สึกว่าได้ประโยชน์จาก Reply ของผม ก็ได้ไป คงไม่ต้องอธิบายอะไรกันมาก
คนที่ไม่ได้ ก็ไม่ได้ไป
และยังมีคนที่ได้ไปแบบไม่ทันรู้สึกตัวอีกด้วยครับ
บางคนได้ความสะใจ ได้ด่าใครสักคน
บางคนได้ความฮา ตลกใน Reply ผม ที่เข้าใจคนอื่นผิดไป
บางคนได้ความรู้สึกดี ที่ได้เห็นคนเก่งๆ โดนยำบ้าง นำไปยกระดับความรู้สึกไร้ค่าที่แอบอยู่ในจิตใต้สำนึกของตนเองได้
บางคนได้ดีใจ แน่ใจว่าตนเองไม่บ้า เพราะได้พบว่า มีคนบ้ากว่าเขาด้วยในโลกนี้
ผมไม่เห็นมีใครเสียอะไรไปเพราะผมสักอย่าง กับการยื่นมือเข้ามาในสังคมนี้
มีแต่คนได้ไปไม่แบบใดก็แบบหนึ่งหรือมากกว่า และคนที่เสมอตัว
แล้วผมจะไปทุกข์ร้อนอะไรครับ?
แล้วก็บอกทุกคนว่า อย่าห่วงไปเลย ถ้าผมรู้สึกสิ้นหวังกับ Wisdom effort ของคนในนี้ ผมก็จะปลีกวิเวกไปเองแหละ เพราะนั่นแปลว่า ที่นี่ไม่มี Space ให้คนแก่ขี้โม้แบบผมอีกแล้ว
แต่ผมยื่นมือเข้ามา เพราะยังมีความห่วงใยสังคมคนรุ่นหลังครับ
ข้อเขียนของผม อ่านฟรีครับ
เล่าฟรี
ไม่ได้เอาไปรวมเขียนหนังสือขาย
เล่าในนี้ ถูกด่าได้ด้วย
เขียนหนังสือ ไม่มีใครส่งคำด่ามาถึง
และเมื่ออยู่ในรูปหนังสือ (อักขระวิธี) ยังทำให้ผู้มีความรู้อีกมากมาย หลงติดนำไปอ้างอิง กลายเป็นข้อเท็จจริงไปได้อีกด้วย
ประสบการณ์ของคน พอเขียนเป็นหนังสือ สังคมเรียกว่า ชีวประวัติ คือคำเรียกเชิง Positive
ประสบการณ์ของคน พอเล่าๆ โม้ๆ สังคมเรียกว่า โม้ ฝอย พ่น กลายเป็น Negative ไปเสียเฉิบ
ทั้งที่ หนังสือ คุณต้องจ่ายตังค์ซื้อมาอ่าน
อ่านแล้ว ถามไม่ได้
เจาะประเด็นไม่ได้
แต่ถ่ายทอดแบบผม ได้ฟรีๆ ครับ
ถกได้
ถามได้
แย้งได้
ด่าได้
ถอนหงอกได้ด้วยเอ้า
สักกี่คนครับ ที่มองเห็นมุมนี้...
ผมถ่อมตัวเสมอ ในแบบที่คนที่มองออกจะพูดถึง
ผมเรียกทุกอย่างที่ผมพูดว่า Garbage, โม้ และฝอย เสมอ
มันเป็นเรื่องที่ลำบากอยู่แล้ว ในการถ่ายทอดสิ่งที่ตนเองรู้ ในสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้ ให้ได้ทราบกัน โดยที่ไม่มีใครรู้สึก Negative
คนแก่บางท่าน จะเรียกสิ่งที่ตนเองเล่าว่า นิทาน แต่ผมไม่เรียกตาม เพราะยังฟังดู Positive ไปหน่อย มันยังถ่อมตัวไม่พอ เดี๋ยวเด็กๆ อัตตาสูงมันด่าเอาได้
คนประสบการณ์ยาวนาน มีใจจะเอื้อเฟื้อ ก็ย่อมโม้ยาว โม้นาน เป็นเรื่องปกติ
ลูกหลานใครๆ ก็ทราบว่า รู้สึกกับเรื่องเล่าของปู่ย่าตนเองอย่างไร
Garbage ของผมจะมีสาระหรือไม่ วันหนึ่ง ท่านก็จะได้ประสบด้วยตนเอง จากลูกหลานท่านเอง ถ้าท่านไม่ด่วนจากไปตั้งแต่อายุยังไม่มากครับ
วัยหนุ่มวัยสาว ท่านเป็นคนหมู่มาก
ในสายตาของผม มุมมองของพวกท่าน เป็นมุมมองที่แสนธรรมดาเหลือเกิน
ผมมีมุมมองที่แตกต่างจากคนส่วนใหญ่ เพราะผมมีสังคมที่เป็นส่วนน้อย แต่กลับเป็นส่วนสำคัญกว่าสังคมพวกท่าน ในแง่การขับเคลื่อนนวตกรรม (อย่าอ่านตกตรงนี้นะครับ ผมระบุแง่ชัดเจน)
วิธีคิดแบบที่พวกท่านซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่คิดกัน และคิดตามๆ กัน มันมีความพิเศษน้อย เพราะมันมีจำนวนมาก และไม่แตกต่าง
โลกเรามีวิวัฒนาการของนวตกรรมจากผู้ที่คิดแตกต่างทั้งสิ้นครับ
นักเขียนหลายท่าน ก่อนจะเขียนวิธีคิดตนเองลงในหนังสือ ไปพูดที่ไหน ใครก็มอง Negative ทั้งนั้น
แต่เมื่อบรรจุลงหนังสือ ตีพิมพ์ออกมาแล้ว กลวิธีในการบริโภคความรู้ทางอักขระวิธีในสมองพวกท่านส่วนใหญ่ จะทำให้สมองรู้สึกเป็น Positive กับเนื้อหาทันที ความรู้สึกแห่งการถือหนังสืออ่าน คือตำรา มันถูกโปรแกรมไว้ตั้งแต่เยาว์วัย และจึงพากันยกย่องความคิดแตกต่างเหล่านั้น จนฮือฮากันใหญ่ นักเขียนทั้งหลายจับทางพวกท่านได้ ทีนี้ทำตามกันใหญ่ จนปัจจุบันนี้ มีหนังสือเกี่ยวกับแนวคิดต่างๆ ออกมาขายมากมาย อ้างอิงกันไปสนุกสนาน
หนังสือเหล่านั้น มีอะไรบ้าง ขอไม่ยกตัวอย่างพาดพิง เพราะจะเป็นการสร้างศัตรูครับ แต่ความรู้ของพวกคุณทั้งหมดรวมกันแล้วเชื่อว่ารู้จักทุกเล่มครับ ไม่ว่าผมจะพูดถึงเล่มไหน
ผมทำประโยชน์ให้สังคมได้เท่านี้ ภายใต้สภาพแวดล้อมของผมครับ
จะให้ผมบอก ว่าผมทำอะไรไว้บ้าง ผมก็ไม่สามารถบอกได้ เพราะทั้งหมด ผมทำเพื่อผลประโยชน์ของตนเองครับ
ผมได้เงิน ผมรับจ้างทำครับ
tis620 ใน mp3 ถูกๆ ที่ท่านเห็น ผมก็ทำ แต่ผมคุยโวไม่ได้ เพราะผมรับจ้างทำครับ
ผมเคยชวนคุณเทพพิทักษ์มาพัฒนาภาษาไทยใส่ Xynth แต่ท่านปฏิเสธมา ผมก็ไม่คะยั้นคะยอท่าน เพราะผมไม่ได้ชวนท่านเพราะใจที่รู้สึกแบบเดียวกับท่าน เนื่องจาก ผมกำลังนำ Xynth มาใช้ใน ARM11 Mobile device ที่บริษัทออกแบบเอง สร้างเองขึ้นมาครับ
นี่คือน้ำที่ท่วมปากของผม ที่ทำให้ไม่มีตรงไหนเลย ที่ผมจะพูดว่าตัวเองเป็นนักบุญครับ
"AA 55" คือ defacto ที่อยู่ใน Sound card ทุกวันนี้ ก็เป็นร่องรอยของผม แต่ผมรับเงินครับ ผมรับเงิน
ไม่ว่าจะ VIA SATA Controller chip ใน Linux Kernel ผมก็มีส่วน แต่ผมมีส่วนเพราะ ผมรับเงิน VIA ครับ
ผมจึงยืดอกฝอยออกมาไม่ได้ครับ
ผมจึงได้แต่ตำหนิ M$ ว่า "แค่เปิด Code" ยังไม่ทำ เพราะผมทำดีกว่าเขาให้โลกแค่นั้นครับ
ไอ้ครั้นตัวเนื้องานของผม ผมก็เอามาแจกจ่ายไม่ได้ เท่ากับผมทำผิดต่อคนข้างหลังผมทั้งหมด เพราะพวกเขาทำมาหากิน เลี้ยงครอบครัว ทั้งหมดคือสิ่งที่พวกเขาใช้ทำเงิน ผมก็ต้อง Reserve ไว้ให้พวกเขา พวกเขาทุ่มเทกันมากับผม ไม่ว่าพวกคุณเป็นใคร ผมทรยศพวกเขาไม่ได้ (อย่างที่ M$ ทรยศได้ - อ่ะ แถมให้...ง่ำ... 1 ที)
จึงเหลือสิ่งที่ทำได้แน่ๆ คือเปิดสมองครับ
ใครอยากรู้ อยากเห็น อยากทราบมุมมอง เทคนิคต่างๆ ลึกเท่าที่ไม่ทรยศงานตัวเองและบริวาร ผมจะเล่า ผมจะถ่ายทอด ทิ้งเอาไว้ให้ เท่าที่มี Space ให้ผมทำได้
แค่มีใครสักคน เกิด Inspiration บ้าง ผมก็ดีใจแล้วครับ ว่าเกิดประโยชน์แล้วแน่นอน
ถ้าท่านเข้ามาหาแต่คนในมุมมองเดียวกับท่าน ท่านก็จะรู้สึกว่าได้ประโยชน์ เพราะมันเสริมความมั่นใจในมุมมองของท่าน ว่าท่านไม่ได้อยู่มุมนั้นคนเดียว
แต่ถ้าท่านมองหามุมมองที่ท่านไม่เคยนึกคิดมาก่อน ท่านก็จะว่าข้อเขียนผมมีประโยชน์
มันก็เท่านั้นครับ
ท่านเคยฟังนิทานเรื่องแจ๊คผู้ฆ่ายักษ์กันมาแล้วใช่ไหมครับ?
ผู้เล่า เล่าให้ท่านรู้สึกว่าแจ๊คเป็นพระเอกมาตลอดใช่ไหมครับ?
ท่านรู้สึกดี รู้สึกถูกต้องใช่ไหมครับ ที่ในที่สุด แจ๊คก็สามารถฟันต้นถั่วได้ทันให้ยักษ์ตกลงมาตาย
มันฝังหัวท่านในมุมมองนั้นมาตลอด จนท่านเติบโตมาใช่ไหมครับ?
ท่านเคยมองมุมนี้ไหมครับ? มุมที่ผมมองเห็นมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก
ทำไมแจ็คต้องไปขโมยห่านที่ออกไข่เป็นทองคำ?
ทำไมนิทานให้แจ๊คเป็นพระเอก?
แจ๊คเป็นหัวขโมย เป็นผู้ร้ายชัดๆ
ยักษ์เขาอยู่บนฟ้า อยู่ของเขาดีๆ ไม่เคยลงมายุ่งกับใครๆ แจ๊คขึ้นไปขโมยของเขาทำไม?
ทำไมแจ๊คฆาตกรรมยักษ์แล้ว สังคมยังเล่านิทานสอนกันให้ชื่นชมแจ๊คให้เป็นพระเอกของเรื่อง?
มุมมองนี้ ท่านไม่เคยได้ยินจากที่ไหนแน่นอน เพราะเป็นมุมมองของผม และเป็นลักษณะเฉพาะตัวในวิธีคิดของผมครับ
ท่านจะเห็นมันไร้สาระหรือไม่ อยู่ที่ท่านยึดติดกับความถูกหรือผิดที่ผ่านถูกกรอกหูมาตลอดตั้งแต่เยาว์วัย
แต่ในนิทานเรื่องนี้ ผมมองเห็นไม่เหมือนพวกท่าน ด้วยปัญญาของผมเอง ไม่ได้ต้องให้ใครโปรแกรมใส่หัว เพราะไม่เคยได้ยินใครเล่านิทานเรื่องนี้ในมุมมองเดียวกับผมนี้เลย
เอ้า.. นั่นนิทานฝรั่ง เอานิทานไทยบ้างก็ดี...
ท่านเคยได้ฟังนิทานเรื่องพรานกับขวานตกน้ำใช่ไหมครับ?
ท่านถูกสอนมาตลอด ให้พูดความจริง และไม่แสดงความโลภ เพื่อให้เทพยดามาโปรดท่านและให้ตอบแทนท่านอย่างสาสมยิ่งกว่าการโลภ (คือได้ทั้ง 3 ขวานเลย)
นั่นคือปฏิกิริยาที่ดีที่ท่านควรทำเมื่อเหตุเกิด นี่คือสิ่งที่กรอกหูท่านมาตั้งแต่เด็กใช่ไหมครับ?
ท่านเคยมองมุมนี้ไหมครับ?
ทำไม นายพราน ไม่พยายามหา Solution อื่นแก้ปัญหา?
ทำไมนายพรานเอาแต่ร้องไห้ เมื่องมขวานไม่เจอ?
ทำไมนายพรานไม่พึ่งตัวเองให้มากกว่านี้?
ทำไมต้องมีเทพยดามาช่วย ในโลกเรามีจริงหรือ?
ทำไมเทพยดาต้องให้รางวัลนายพรานด้วยการตอบสนองให้เกิดความโลภในเวลาต่อมา?
ทำไม? ในข้อสุดท้ายของผมนั่นคือ... เมื่อเด็กฟังนิทานแล้ว สมองเด็กจะคิดได้ว่า ถ้าอยากได้มากกว่าเดิม ต้องไม่พูดปด ต้องเก็บซ่อนความโลภ แล้วจะได้มากกว่าหรือเท่ากับที่โลภครับ
มีไหมครับ? มีใครเคยเสนอมุมมองแบบนี้กับสังคมบ้าง?
ผมต้องใช้ความตั้งใจนะครับ ที่จะฝ่าฟันแรงต้านของพวกท่านซึ่งเป็นคนหมู่มาก เพื่อนำเสนอมุมมองที่แตกต่างขนาดนี้
ผมนำเสนอตัวเอง ตามที่จะเสนอได้ เพื่อหวังจะเป็น Inspiration ใครขึ้นมาได้บ้าง
ถ้ามีใครสนใจ ว่าผมปลดแอ็กตัวเองออกจากระบบบังคับของสังคมได้อย่างไร ก็ได้ประโยชน์แล้ว
ชีวิตผมไม่ได้เริ่มด้วยการคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิดครับ
หาเงินเรียนเอง
เป็นคนในยุคหลังสงครามโลกหมาดๆ เกิดในเวลาที่ทะเบียนราษฏร์เมืองไทยยังไม่สมบูรณ์ วันเกิดยังลงตรงกับความเป็นจริงไม่ได้ เพราะเพิ่งมารวบรวมทีหลังผมเกิด ก็ลงเป็นวันที่จดทะเบียนนั่นแหละ
มาเป็นวันนี้ อิสระจากระบบบังคับของไทยได้อย่างนี้ สมองไหลออกไปอย่างนี้ได้อย่างไร
แค่นี้ ถ้ามันเป็น Inspiration ให้ใครสักคนได้ ผมก็ชื่นใจแล้วครับ
ไม่ต้องงกขนาด ชีวิตยังเอามาเขียนหนังสือขายหาเงินแล้วครับ (เมื่อก่อนเขียน Column ลงหนังสือหากินมาแล้ว)
แจกฟรีครับ โม้ตามประสาคนแก่ ไม่มี Space กับคนรุ่นหลัง
ใครจะเลือกวิธีหากินง่ายๆ ตามก้น M$ ไป ก็ไปเถิด ผมไม่ได้ขัดขวางอะไรท่าน
แต่ใครเกิดทางสว่างขึ้นได้สักคน ก็ชื่นใจครับ
วันที่ถาวรคอมพิวเตอร์ต้องปิดตัวลงไป ผมใจหาย
คุณ lew ครับ ไม่ได้มีแต่ Mac นะครับ ที่เป็น Kit ซื้อไปประกอบเองได้ (Topic ไหน จำไม่ได้ แต่ผ่านตาครับ)
ถ้าคนไทย ไม่บ้าตามก้นฝรั่งแบบนี้ วันนี้ ถาวรคอมพิวเตอร์จะยิ่งใหญ่กว่า Asustek และ Acer เสียอีก เพราะเกิดก่อนเขาหลายปี มี Know how นำหน้าเขาก่อนหลายปี
ช่วงนั้น Techincal ไทยออกแบบ สร้าง PC เองได้ครับ
ไม่ใช่แค่ประกอบได้อย่างทุกวันนี้
กัด PCB เองได้ด้วยมือ ไปวิ่งซื้อ TTL กันที่บ้านหม้อ
โปรแกรม PIC, Microcontroller กันเอง
ประกอบเอง บัดกรีกันเอง ใส่ Socket บ้าง ใครบัดกรีเก่งก็ไม่ใส่บ้าง สุดท้ายซื้อแค่ CPU มาใส่
Monitor ยังพันเองได้ (ยุคอำพันดำ)
Power supply ก็ของหมูอยู่แล้ว
หมูๆ ครับ.. ทั้งเครื่อง...
ถ้าวันนี้ ถาวรยังอยู่... ใต้หวันหรือ จะแซงเมืองไทยไปแบบนี้?
เซียน Computer คงเกลื่อน Blog
วันที่ธานินทร์ต้องปิดกิจการไป ผมก็ใจหายครับ
คนไทยไปตาม Sony
ตาม National (เมื่อก่อน แยกยี่ห้อกับ Panasonic ครับ)
เราเปิดเพลง Made in Thailand กันกระหึ่มเมือง แต่ดันเปิดด้วย Sony
ตอนนี้เป็นไงครับ?
สร้างกันแต่แรงงานป้อนตลาด
ก็คือสร้างกันแต่ลูกจ้าง
เอาง่าย หางานง่าย ทำง่าย สอนง่าย หากินง่ายไว้ก่อน
M$ แจก Library นั่น ไม่ใช่น้ำใจเลยครับ เป็นกับดักให้ท่านไม่รู้อะไร ไม่ต้องแกะเอง เขียนเอง
และเป็นกับดักให้ท่านยึดติด Platform ที่เขาสร้างไว้
ลองดูเรื่องง่ายๆ... "AA 55" ใน Sound blaster คืออะไร ใครใน Blog นี้จะตอบผมได้ครับ?
มันเป็น defacto ของผม ที่ทุก Sound card ทุกวันนี้ ยังต้องทำตามอยู่นะครับ (ตอนนั้นมี Pro Audio Spectrum ด้วยครับ)
จะเหลือใครรู้อีกครับ ในเมื่อเสียบ Card แล้วติด Driver เลย Windows ก็ใช้ได้แล้ว
ใช้แต่ Library แล้วจะทราบได้อย่างไร? หลงไปติดกลไกการผูกขาดเข้าแล้ว
โชคดีที่ Linux เกิดขึ้นมา คนรู้ลึก มีความสามารถในเชิงลึก เลยยังมี Space ให้อยู่ ไม่งั้นต้องยอมก้มหน้าเข้าทาง M$ หมด ไม่งั้นอดตาย
บอก Keyword ใบ้ให้อีกนิด DSP ครับ
ดูสิว่า จะหาข้อเท็จจริงทางอักขระวิธีมาตอบผมกันได้อย่างไร? (ขอยกเว้นท่านที่เกี่ยวข้องกับ ALSA นะครับ ผมรู้ว่าท่านทราบทันที)
แต่ผมสามารถบอกให้คุณเขียน Code ได้เลยเชียวล่ะ
เจตนาในคำท้าทายนี้ เพื่อชี้ให้รู้ว่า ยังมีความจริงอีกมากมายนัก ที่ไม่มีบันทึกเพื่อให้อ้างอิงได้ครับ
ความจริงในโลก ใช้สื่อบันทึกหมดทั้งโลก ก็บันทึกได้ไม่หมดครับ
คนบันทึก ก็เลือกบันทึกในสิ่งที่ตัวเองสนใจ และอยู่ในมุมมองที่ตนเองมอง
ข้อเขียนของผมแม้แต่ใน Blog นี้ ก็เหมือนกลายเป็นบันทึกหนึ่งในโลกขึ้นมาเหมือนกัน ถ้า Blognone ไม่ทำมันหายเองจาก Database
วันนี้เห็นอีกข่าว เรื่อง ARM กับ Intel
ก็คิดว่าจะ Jam เพราะเข้าทางผมตรงๆ เป็นเรื่องที่ผมถนัดและรู้ดี (ในบางแง่มุมนะครับ โดยเฉพาะ Engineering)
พอดีมาเห็นมี new reply อันนี้ เลยมานี่ก่อน
ขอดูก่อนแล้วกัน ว่าหลัง Reply นี้ของผม สังคมจะมีปฏิกิริยาอย่างไร
ผมถอดใจไปกับ Technical effort ไทยไปนานแล้ว
Reply นี้ อาจให้คำตอบผมได้ว่า ผมควรถอดใจกับ Wisdom effort ไทยไปด้วยแล้วหรือไม่
จะเล่าแถมท้าย มุมมองเรื่องอื่นบางเรื่อง ที่ผมถูกทำให้เอะใจคิด จากคนต่างชาติครับ
Engineer อเมริกัน (สะกดภาษาไทยถูกหรือเปล่า ไม่แน่ใจครับ) คนหนึ่ง เคยทำงานร่วมกันใน Project
เป็นคนที่สนใจศาสนาพุทธ เข้าวัดไทยด้วยครับ
เขาเคยถามผมว่า... (ผมจะเล่าเป็นภาษาไทยนะครับ)
เขาทราบมาว่า พระพุทธองค์ไม่โปรดให้สร้างพระพุทธรูป (หาอ้างอิงเอาเองนะครับ ผมก็ไม่ทราบมาก่อนนั้น) แต่พุทธศาสนิกชน ก็มาสร้างทีหลัง เพื่อรำลึกถึงท่าน และเป็นเครื่องหมายแทนพระองค์ท่าน แต่ทำไม คนไทยทำเหมือนพระพุทธรูปมีค่าอะไรสักอย่าง ที่ไม่ใช่การรำลึกถึงพระองค์ มีการซื้อขาย (เช่า) มีการสะสม เล่นพระ ฯลฯ?
ผมตอบไม่ได้ครับ... อึ้งไปหนึ่ง...
เขาถามผมอีกหลายคำถาม แต่ผมมาอึ้งอีกครั้งกับคำถามที่ว่า...
คนไทยสวดอะไรหรือ? ... (สวดมนต์ไง)
แล้วทำไมไม่เป็นภาษาไทย? ... (อึ้ง)
ที่นี่ ยังแปลเป็นภาษาอังกฤษ เพราะนั่นคือคำสอนสั่งของพระพุทธองค์ท่าน ถ้าคนไทยสวดเป็นภาษาเก่าโบราณของพระพุทธองค์ท่าน แล้วคนไทยจะเข้าใจได้อย่างไร ว่าท่านสอนอะไร? มันจะไปต่างกับนกแก้วนกขุนทองร้องเพลงตรงไหน?
อึ้ง... สุดๆ ครับ...
แล้วผมก็เห็นจีน ฮ่องกง เอาเป็นว่า คนจีนแล้วกัน ยังมีการแปลคำสั่งสอนของพระพุทธองค์เป็นภาษาจีน หนำซ้ำยังทำเป็นเพลงให้น่าฟัง ให้ร้องตามได้ ให้พุทธศาสนิกชนคนจีนฟังแล้วเข้าใจคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ทันที
ทำไม บ้านเรา พระสวดราวกับคาถา....
ราวกับไสยศาสตร์
ใช่เจตนารมณ์ของพระพุทธองค์หรือครับ?
เป็นมุมมองที่... ผมประทับใจ...
มุมมองที่เจตนาดีต่อศาสนา แต่เป็นมุมมองที่พุทธศาสนิกชนบ้านเราอาจคิดว่า "ลบหลู่"
เอาอีกสักเรื่องจากมุมมองของคนต่างชาตินะครับ...
ผมเคยถูกถามว่า ประโยคที่ว่า "ทำดี แต่อย่าเด่น จะเป็นภัย" กับสำนวนที่ว่า "ปิดทองหลังพระ" ของไทย หมายความว่าอย่างไร? เจตนาอะไร? และดีอย่างไร?
โอเคครับ ผมอธิบาย ตามความเชื่อที่โดนกรอกหูมาอย่างที่ท่านเคยโดนมาตั้งแต่เด็กนั่นแหละครับ
พออธิบายจบ ผมก็ได้ฟังมุมมองของเขา แล้วต้องอึ้ง ไปต่อไม่ได้เลยครับ....
เมืองไทยจะมีคนดีเป็นส่วนมากในสังคมได้อย่างไร ถ้าสังคมไม่ช่วยกันปกป้องคนดี ให้ทำเด่นได้
คนดี ต้องถูกยกย่องสิ
สังคมจะประกอบไปด้วยคนดีได้ ต้องเป็นสังคมของคนดี คนดีต้องอวดได้
คนไม่มีดีสิ ต้องอายแล้วหลบไป
สังคมต้องช่วยกันคุ้มครองความปลอดภัยให้คนดีสิครับ ให้คนดีอวดได้ โชว์ได้ ว่าตนเองมีดี เพื่อเป็น Inspiration ให้คนอื่นๆ พยายามทำดีกันต่อๆ ไป เพื่อบีบ Space ของคนไม่มีอะไรดีไม่ให้มีหน้ามีตาในสังคมถ้าเขาไม่เปลี่ยนแปลงตัวเอง
เอ้อ... อึ่งกิมกี่ครับ...
แล้วจะปิดทองทำไม หลังพระ...
สังคมไทยเห็นเป็นตัวประหลาดหรือไร?
ทำไมปิดทองต้องอาย ทำไมต้องไม่ให้ใครรู้
ทำไมสังคมไทยให้ความสำคัญนักกับความอิจฉาของคนไม่ดี
ทำไมไม่ปิดกันหน้าพระไปเลย อวดกันไปเลย ว่าทำดีไม่เห็นต้องหลบต้องซ่อน ไม่เห็นต้องอาย
ทำไมคนไทยถึง Ban คนอวดดี แต่ Clear พื้นที่ให้คนที่ไม่มีดีจะอวดได้ชูคอ?
อึ้งสุดๆ.... ครับ ผมตอบไม่ได้...
ท่านเคยมองมุมนี้ไหมครับ? มุมที่ผมมองเห็นมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก
ทำไมแจ็คต้องไปขโมยห่านที่ออกไข่เป็นทองคำ?
ทำไมนิทานให้แจ๊คเป็นพระเอก?
แจ๊คเป็นหัวขโมย เป็นผู้ร้ายชัดๆ
ยักษ์เขาอยู่บนฟ้า อยู่ของเขาดีๆ ไม่เคยลงมายุ่งกับใครๆ แจ๊คขึ้นไปขโมยของเขาทำไม?
ทำไมแจ๊คฆาตกรรมยักษ์แล้ว สังคมยังเล่านิทานสอนกันให้ชื่นชมแจ๊คให้เป็นพระเอกของเรื่อง?
มุมมองนี้ ท่านไม่เคยได้ยินจากที่ไหนแน่นอน
อิอิ ^^ ถ้าไม่มีคนพูดถึงเรื่องนี้ตัวผมเองคงลืมไปแล้วครับ ผมเองเคยก็เห็นมุมมองนี้จากตัวผมเองในอดีตเหมือนกัน คิดเหมือนกัน แต่ไม่ชัดเจนนักเพราะตอนนั้นยังเด็กอยู่ (ก็เคยคิดเหมือนกันว่า เอ ยักษ์มันอยู่ของมันดีๆไปทำมันทำไม แล้วก็รู้สึกเหมือนคลับคล้ายคลับคลาว่า เอ แจ๊คนี่น่าจะเป็นคนไม่ดีไม่ใช่รึ ตอนนั้นยังไม่ชัดเจนในความคิดเท่าไหร่ ยังออกสีเทาๆอยู่)
นั่นสินะ ผมไม่เคยคิดถึงเลยนะเนี่ย มองในอีกมุม ดีครับดี
ปล. ทึ่งในความพยายามอธิบายของคุณจักรนันท์มากครับ แต่ผมไม่อ่านนะ ไม่ไหว =_=
การใช้ภาษาบาลีในการถ่ายทอดธรรมะของพระพุทธเจ้านั้น ก็เพราะภาษาบาลีเป็นภาษาที่ตายแล้วทำให้การตีความไม่ผิดเพี้ยนไป การถ่ายทอดมาเป็นภาษาใดย่อมมีการผิดเพี้ยนของผู้แปล เพื่อให้คำสอนเป็นคำสอนที่ไม่ผิดเพี้ยนไป เพื่อความถูกต้อง เพื่อไม่เป็นข้อครหา เพื่อใช้อ้างอิงตีความ
ส่วนผู้ที่ใผ่ใจศึกษาธรรมจริงนั้น ย่อมหาคำแปลเพื่อความเข้าใจในธรรมด้วยวิธีต่างๆตามกำลัง
ความเพียรและศรัทธาเองครับ
ผมขอเสริมหน่อยในฐานะที่ทำวิจัยเรื่องพวกนี้มา มีคนทำวิจัยเชิงเปรียบเทียบของกฎหมายประเทศต่างๆ อยู่เป็นจำนวนมาก สามารถหาได้จาก Google Scholar ครับ
ผมไม่เกลียด Microsoft นะ ลองคิดดี ๆ ครับ Microsoft มีพนักงานประจำกี่คน ถ้าเขาไม่ขายของ จะเอาเงินที่ไหนจ้าง ครับ โอเคครับ ยอมรับว่า Software ของ Microsoft มีราคาแพง แต่ถามว่า ถ้าในภาคธุรกิจ เขาซื้อไปแล้วก่อให้เกิดรายได้ จะเข้าฝ่ายเดียวก็ไม่ถูก ก็ต้องแบ่งให้ Microsoft บ้าง จริงไหมครับ
แต่สำหรับคนทั่วไป ที่ใช้งาน มันก็ยังแพงมากก ๆ ๆ อยู่ดี แต่บางอย่างมันก็มี Solution เฉพาะ ให้อยู่แล้ว
ส่วนมูลนิธิ นี่ ก็ดีครับ ถามว่าเข้ามาช่วยเหลืออะไรในไทย บ้างไหมก็มีหลายตัวนะครับ แต่ไม่ค่อยได้เป็นข่าวเท่าไหร่
คงเพราะชือเสียงด้านลบ ที่ชอบไป copy ไอเดียคนอื่น แล้วก็ทำได้ดีกว่า จนบริษัทผู้ผลิตไอเดียนั้นเจ้ง ละมั้งครับ
©NgOrXz™®
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด เก่งที่สุดในโลก
Cupertino's photocopy?
ไอ้เรื่องก๊อปปี้จนอีกฝั่งตายนั่น คงมีแหละ แต่ไมโครซอฟท์จะโดนเรื่องซื้อมาดองมากกว่านะครับ
onedd.net
onedd.net
foxpro ??
ซื้อ foxPro เพราะอยากได้เทคโนโลยี ที่เอามาทำ ODBC สมัยนั้นครับ
การเป็นอันดับหนึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งถ้าทำธุรกิจแบบดอกไม้หอมไม่มีทางได้เป็นที่หนึ่งได้เลยในยุคนี้ เพราะงั้นเลยไม่แปลกที่ ms จะใช้แนวทางแบบปัจจุบันรวมทั้งไม่แปลกที่จะมีคนรักและเกลียด
แต่ก็รัก Ballmer กับ Gates นะ จุ๊บๆ
---
Khajochi Blog : It's not a Bug ... It's a Feature
แฟนพันธุ์แท้สตีฟจ็อบส์ | MacThai.com
ผมชอบ ผลิตภัณฑ์ ของ MS อยู่ 2 อย่าง คือ 1. Microsoft Office 2. Microsoft Visual Studio นอกนั้นเฉยๆ
เช่นกันครับ
ผมโคตรชอบเลยเล็กนุ่มเนี่ย
แต่ด่าประจำ :P
ผมก็เข้าทำนองว่า ปากว่าตาขยิบ
ชอบใช้นะครับ แต่บางพฤติกรรมก็ต้องด่าว่ากันมั่ง - -"
ถ้าคิดว่า ด่า = เกลียด แล้วละก็ ผมว่าคุณคิดผิดนะ
ไม่มีอะไรหรอก แค่ใส่ๆให้มันมี sig เหมือนชาวบ้านเค้ามั่ง
โดนใจผมเลย ด่าไปเพราะไม่ได้เกลียด แต่อยากติเพื่อก่อต่างหาก
ในสิ่งที่ผมไม่ชอบสิ่งที่ไมโครซอฟท์ทำคือ - IE6 เนื่อยกับการแฮ็ค CSS - ภาษา ASP.net แท็กของ html มันรกมากเลย ทำ css/html ให้ใช่ว่าจะเสร็จต้องไปเติมอะไรเข้าไปอีก งงจริงๆ - เรื่อง UI แต่ละผลิตภัณฑ์ทำออกมาได้ ก๋งก๊งมากๆ มันไม่เป็นแนวทางเดี่ยวกัน ทำเหมือนทำไม่เสร็จอย่างไหรไม่รู้
เออ.. แล้วจะโดนบริษัทไล่ออกไหมนี้ อย่าอ่านเจอแล้วกัน ผมทั้งรักทั้งชังน่ะครับ :P
---- <mOkin> ตรู่ว่าแล้วในโลกนี้มีปัญหา เขาไม่ด่า ก็ชื่นชม หรือเฉยๆ สามประเภทที่ว่านี้มิเปลี่ยนเลย จงวางเฉยใครถือสาเป็นบ้าตาย<mOkin/>
เรื่อง UI นี่ผมว่าใน Windows 7 เริ่มดูเป็นชิ้นเดียวกันแล้วนะครับ ทั้ง Windows Explorer , IE8 , WMP12 ส่วน Office 2010 ยังดูแปลกๆอยู่ (แต่ก็ไม่ถึงขั้นน่าเกลียดเมื่ออยู่ใน 7) แถม Windows Live Essential ก็ดูค่อนข้างเข้ากับตัว OS (ยกเว้น Messenger !)
It may be time to stop hating Microsoft.
อดีตเคยด่าเคยบ่นแบบไม่ลืมหูลืมตาครับ แต่เอาเข้าจริงๆ ผมก็ยังคิดว่าคอมพิวเตอร์เครื่องต่อไปผมจะซื้อแบบมีวินโดวส์ลิขสิทธิ์มาเลย (แล้วค่อยมาลง dual-boot กับ Ubuntu ทีหลัง) เพราะยังไงก็ต้องเล่นเกม :-)
โปรแกรมที่ไม่ชอบก็คงจะเป็น IE เพราะไม่มีปลักอินหรือต่อให้มีก็เป็น .exe -- แล้วจะรู้มั้ยเนี่ยว่ามันเป็นปลักอินหรือไวรัส -- ก้บ CSS อันห่วยแตกโดยเฉพาะ IE6 ที่เหล่าธนาคารและราชการไทยรักนักรักหนา
ที่เหลือผมเฉยๆ นะ จริงๆ ผมชื่นชมความสามารถของบิลเกตส์ด้วยซ้ำ เพราะเขาเห็นคุณค่าของสิ่งที่บางคนมองข้าม (ตั้งแต่ยุค MS-DOS แล้ว) และฉลาดมากในการเขมือบบริษัทคู่แข่ง
แต่ก่อนก็เคยคิดเช่นนี้ ปัจจุบันไม่ได้แตะ Ubuntu อีกเลย เพราะ Windows 7 มันดีกว่าอ่ะ ที่สำคัญใช้ Dev งาน พอต้องเสียเงินซื้อค่าลิขสิทธิ์ทำให้ Ubuntu ยิ่งด้อยค่าลงไป เล่นเกมส์ไม่สะดวก ทำงานต่อกับ printer ก็ลำบากลำบน ปรับแต่งหน้าจอเสร็จ update OS โอ้แม่เจ้า Ubuntu ผมไปเลย หน้าจอที่ปรับแต่งไว้หายไปหมด ต้องเริ่มต้นใหม่ เป็นแบบนี้มา 3 รอบ โมโหจัด ลบทิ้ง ติด Windows 7 ใช้ Microsoft Security Essensial เป็น Anti-virus ทำงานเร็วดีจริง ๆ
Microsoft Security Essensial เป็น Anti-virus ทำงานเร็วดีจริง ๆ
ผมไม่ค่อยมั่นใจในการตรวจสอบว่ามันจะเจอ ถ้าระบบมันดีจริงควรจะป้องกันไวรัสได้ตั้งแต่แรก ไม่ต้องทั้งหมดเอาแค่ออโตรันก็พอ และควรจะป้องกันได้ตั้งแต่ xp แล้ว
ผมไม่ได้เกลียดเลยนะ เชียmicrosoft ด้วย
ก็มันผูกขาดอะครับ แทนที่จะได้พัฒนาอะไรไปใกลกว่านี้ กลับมาติดอยู่ที่ m$
แต่ผมว่าถ้าไม่มี MS โลกเราคงจะพัฒนาได้ช้ากว่านี้อีกเยอะครับ ถ้าไม่เพราะแจก IE มาพร้อมโอเอส ผมว่าอินเตอร์เนต ก็คงไม่บูมได้ขนาดนี้นะครับ
ผมไม่เชื่อแฮะ ก่อนหน้า IE นี่อัตราการเติบของเว็บมันก็มหาศาลอยู่แล้วนะ ไมโครซอฟท์ออก IE มาช้าไปมากในช่วงแรก ต้องไล่กวดอยู่หลายปีด้วยซ้ำ
LewCPE
lewcpe.com, @wasonliw
แสดงว่าไม่รู้จัก Netscape
แล้วรู้มั๊ยครับทำไมตอนนั้น MS ถึงยัด ie มาพร้อม window
เพราะว่าก่อนหน้านั้น MS มอง internet ว่าไร้ประโยชน์ (อะไรประมาณนั้น จำคำกล่าวไม่ได้แล้ว)จน Netscape นำลิ่วในเรื่อง Browser จน MS ตามไม่ทัน เลยใช้ไม้ตาย ยัด ie เข้าไปใน windows98
นั่นคือจุดจบของ Netscape เพราะสมัยก่อนใครจะเล่น net ได้ ต้องไปหา Browser มาเอง ตอนที่ผมซื้อ ชม.เน็ทมาใช้ครั้งแรก ประมาณ 700/15ชม. ของ KSC ต้องมี CD แถม ในนั้นจะมี Browser มาให้ ie3, Netscape3, Netscape Gold, Netscape4
+1
ทันได้ใช้ Netscape ด้วย สมัยเรียนประมาณ ม.1 ตอนนั้น IE ยังอะไรก็ไม่รู้อยู่เลย
มี IE 3 ตั้งแต่ Windows 95 osr2 แล้วครับ
ตรงที่มีแสง
ใช่ครับ แต่มันออกมาเพื่อแก้ลำเน็ตสเคปที่กำลังฟูเฟื่อง ที่จริงจะรวมกับ 95 ก็ไม่ทันจึงได้แถมมากับแผ่นในตอนหลัง (ขนาดไม่ได้รวมยังแอบแถมไอค่อนมา) พอถึง 98 เลยตัดสินใจรวมเข้ากับโอเอสเลย
เก๋ากว่านั้นต้อง Trumpet Winsock
ก้อไม่ได้เกลียดอะไร MS นะครับ น่าจะเอาเป็นตัวอย่างด้วยซ้ำในเชิงการทำธุรกิจ
เรื่องโปรแกรมผมว่าเฉยๆนะ ซอฟท์แวร์(ไม่ทุกตัว)เขามีดีพอที่จะเอาไปขายได้ แต่ไม่ชอบที่มันผูกขาดมาก ไม่รู้จะพ่วงโปรแกรมอะไรมาเยอะแยะ ส่วนwindows ถ้าไม่มีการsupport driverดีๆ ก้อขายไม่ได้
เค้าก็ชอบไมโครซอฟ์ทนะ เชียร์ตลอด
ถ้าไม่นับเรื่อง IE นี่อย่างอื่นผมก็ว่า OK แหละ
+1
"Those who make peaceful revolution impossible will make violent revolution inevitable." JFK.
ศัตรูของศัตรูก็คือมิตรครับ เลยชอบเล็กนุ่ม... ว่าไปนั่น
55
แต่ผมว่าบางที FireFox มันก็ไม่ได้ดีกว่าไปทุกอย่าง
บางทีรันบางไฟล์ไม่ได้ด้วยซ้ำ
แต่ผมก็ใช้FireFoxอยู่นะ
ถ้าเทียบ window กับ mac ผมก็เลือก window เพราะว่า mac มันแพงแล้วก็รันเกมไม่ค่อยได้ ^^"
もういい
ผมไม่เกลียด
แล้วผมก็ไม่ชอบคนที่พิมพ์ MS เป็น M$ ด้วย
ถ้าพิมพ์แบบล้อเลียนเล่นๆ นานๆทีนี่รับได้
แต่ถ้าแบบนานๆถี่ นี่รับไม่ไหว อ่านแล้วประสาทจะกินเอา
onedd.net
onedd.net
เคยสงสัยว่า ถ้าเกิดว่าตัว € มันพิมพ์ง่ายเหมือน $ เนี่ย
จะมีคนพิมพ์ว่า APPL€ รึเปล่า :P
Apple เป็นบริษัทของอเมริกันชนฮะ ไม่ใช้เงินยูโร
onedd.net
onedd.net
¥ahoo!
LewCPE
lewcpe.com, @wasonliw
มุขนี้ผมให้ผ่านครับ ^^
ฮา
ผ่าน
เพราะญี่ปุ่นชอบใช้ yahoo มากกว่า google
ผมชอบ M$ มากกว่า ₳P₱£€
โอ้ ใครพิมพ์ได้นี่ต้องหมั่นไส้เอามากๆ พิมพ์ยากเกิ้น
onedd.net
onedd.net
+555
ผมก็คงเหมือนหลายๆคน ที่หากไม่นับ IE แล้ว MS ก็ถือว่าโอเคระดับนึงเลยแหละในเรื่องคุณภาพผลิตภัณฑ์ แต่ก็อย่างว่า คนตัวใหญ่เดินไปไหนก็เสียงดังกว่าคนตัวเล็ก คนเค้าเลยรำคาญกว่าก็แค่นั้น
อ่านคอมเมนท์เรื่องฟอร์แมตของออฟฟิศ จริงๆผมออกจะชอบมากเลยนะ OOXML เนี่ย เล็กดีจริงๆให้ตายเถอะ ไฟล์ .ppt 50 กว่าเม็กย่อเหลือแค่ 10 กว่าเม็กได้อย่างน่าอัศจรรย์เมื่อแปลงเป็น .pptx ประทับใจมาก
ลอง "UnZip" ความ "อัศจรรย์" ดูยังครับ...หุุหุ
\(@^_^@)/
M R T O M Y U M
ผมไม่ได้เกียดน่ะ แต่แค่ไม่ชอบ IE เฉยๆ บิลเกต สำหรับผมเป็นคนที่น่าศึกษาที่เดียว
ทีเดียวเลิก ?
สำหรับผมเฉยๆครับ ไม่เกลียด แต่ก็ไม่ได้ชอบ
สมัครงาน หางาน
เรื่องไอที
บล็อก
เฉยๆ แต่ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องของค่า license CAL อันนี้ไม่ชอบมากๆ
เป็นวิธีหาเงินให้ได้ทุกทางที่เราเรียกกันว่า "ได้ทั้งขึ้น-ทั้งล่อง" เช่น
ถ้าผมมีบริษัทขนส่ง วิ่งรถจากเชียงใหม่ส่งส้มถ้าผมรับทุเรียนกลับขึ้นไปขายได้ด้วย ไม่ต้องตีรถเปล่า ผมก็คิดค่าขนได้ถูกหน่อย เพราะผมประหยัดได้มากขึ้น อย่างนี้เรียกว่า "ได้ทั้งขึ้น-ทั้งล่อง" แบบนี้ลูกค้าเป็นใครก็รัก...จุ๊บๆ
แต่ถ้าผมขาย Server เสร็จแล้ว โปรแกรมที่เขียนมาคุยกับ Server ผมต้องใช้ OS ผมเท่านั้น แต่ราคาไม่ยักกะลดให้กันสักนี๊ด อย่างนี้ก็เรียกว่า "ได้ทั้งขึ้น-ทั้งล่อง-ทั้งคัสตอมเมอร์ล๊อคอิน" อีกต่ีางหากเลยครับ 5 5 5 รัาก ตาย เลย
\(@^_^@)/
M R T O M Y U M
SAP ก็ทำ แถมโหดกว่า MS เยอะครับ
ผมว่าไอเหตุผลต่าง ๆ ที่ยก ๆ มา เกี่ยวกับเรื่องเหตุผลที่ไม่ชอบ MS
หลาย ๆ ข้อหรือทุกข้อที่ไม่ได้อิงเฉพาะตัวผลิตภัณฑ์เกินไป เช่น "ผมเกลียดเพราะวันคือ Vista หรือ MS"
หลาย ๆ บริษัทที่ขาย Software มันก็เป็นด้วยกันทั้งนั้นแหล่ะ
แต่ส่วนใหญ่จะมองข้ามและละเลย เพราะมันไม่ใช่ MS มากกว่า
เคยเห็นหน้าใครแล้วเหม็นขี้หน้าแบบไม่ต้องรู้จักหรือเปล่าครับ ผมไม่ต้องมีเหตุผลในการเกลียด ถ้ามีเหตุผล เหตุผลนั้นก็คือ "เหม็นขี้หน้า"
เกลียด โปรดักส์ของไมโครซอฟต์เนี่ย มันไม่ได้มีอะไรเกี่ยวเนื่องกันกับ บิลล์ เกตต์
บิลล์ เกตต์ เองก็ไม่ได้ทำงานส่วนบริหาร แต่ว่ามุ่งงานเชิงเทคนิคอล (นี่นา ใช่มั้ยน๊า)
บางที ไมโครซอฟต์โปรดักซ์ ก็มีลอจิก การทำงานที่ไม่เข้าท่า (อาจเป็นเพราะคนใช้เยอะ คนเกลียดเยอะก็มากตามกันไป เท่านั้นเอง)
:)
เกตส์เป็น CEO ครับ
ผมว่า MS ดีออกเค้าพัฒนาโลกมาได้ถึงขนาดนี้
เค้ารวยมากจนน่าอิจฉา
แต่ก็อยากจะเป็นให้ได้แบบเค้าบ้าง
NiNeMarK.net <<< ทั้งชีวิตคิดถึงเกม
NiNeMarK.co.cC <<< เที่ยวเมืองเลย
board.GoLoei.in.Th <<< จะไปไหน?...ไปเลยซิตี้ FC
เป็นบริษัทใหญ่ที่ไม่ค่อยเท่อะ
พอดีบริษัทเพื่อนเขาเท่กว่า (พักหลังนี่องค์กรการกุศลก็ยังจะเท่กว่าอีก) พวกเลยดูเป็นคนรวยแต่ไม่มีรสนิยมไปซะงั้นเอง
น่าจะมาจากการตลาดที่เข้มข้นและโหดร้ายนั่นแล จึงทำให้ไม่ค่อยเท่ แต่รวย 555+
God's believed in many names.
ไม่ได้เกลียดนะ แต่นึกถึง WindowsMe XP bluescreen driver malware error crtl+alt+del
kernel panic.
+1
เพราะมันดีเกินไปมั๊ง ทำให้ตัวเองดูโง่ๆยังไงไม่รู้ ใช้คอมทีทำเป็นแค่คลิกซ้ายคลิกขวา
หมายถึง usability ยอดเยี่ยมมาก คลิกซ้ายคลิกขวาก็ได้แล้ว ?
เอ่อ งั้นแมคควรโดนนะเรื่องนี้ เห็นพูดกันว่าแมค Usability ยอดเยี่ยมมาก
หรือเพราะ Microsoft ครองโลก ?
[ JIRAYU.INFO ]
ข่าวนี้น่าสนใจนะครับ
http://www.youtube.com/watch?v=h35JhrEeHuQ
เกลียดเพราะไมโครซอฟท์พยายามทำทุกวิถีทางให้คนที่พยายามจะตึจากไปใช้ Linux ท้อไปเอง เช่นเรื่อง WinModem หรือ Wireless Card ที่เอาโค้ดไปซ่อนไว้ใน Windows ทำให้พวก Linux ใช้ไม่ได้เลย
ทำอย่างนี้มันเกินไปจริงๆ เท่ากับว่าเราซื้อฮาร์ดแวร์พิกลพิการอย่างนั้นหรือ (ต้องมี Windows ด้วยมันจึงจะใช้งานได้)
แต่ตอนนี้ไม่ค่อยมีปัญหาแล้ว เพราะพวก Linux เจาะสำเร็จทะลุปรุโปร่ง
ก็ Windows ไม่ได้เป็น Opensource นี่ครับ
หรือผมเข้าใจอะไรผิด ?
[ JIRAYU.INFO ]
ใช่ครับ คุณเข้าใจผิด
เขาหมายถึง Firmware ครับ
Modem chip ราคาถูกๆ และ Wireless chip ราคาถูกๆ มีข้อตกลงและ OEM รายได้อยู่ครับ
Firmware จะถูกใส่ไว้กับ Windows Driver ครับ
เวลาที่ Chip เริ่มทำงาน มันไม่มี Firmware ใดๆ อยู่ในตัวเอง
เมื่อ Driver เริ่ม Initiate แล้วจึง Upload เข้าไป
ผม Re-engineering และทำพวกนี้มาครับ
หาก OS อื่นต้องการ Firmware บ้างต้องซื้อต่างหากโดย User ครับ
อุ๊บ! ลืมดูวันเดือนปี เรากำลังคุยกับคนปีที่แล้วนะหว่า
ไม่มี ms วงการ software พัฒนาไปกว่านี้เยอะครับ
ใครทำอะไรดี ๆ มาก็โดน ms ลอก ไม่ก็ซื้อมาดอง
บ. ดี ๆ อนาคตดี ๆ ที่จะสร้างสรรค์สิ่งดี ๆ ได้อีกเยอะต้องตายไป
อีกเรื่องก็ software ของ ms ใช้ง่ายก็จริง แต่มันมักจะมีข้อผิดพลาดอะไรที่ชาวบ้านไม่เป็นกัน
ทำ hardware อย่าง xbox ก็มีไฟแดงให้ปวดหัวอีก
ขอเกรียนครับ
ขอสมมุติครับ
บริษัท A เป็นบริษัทผลิตฮาร์ดแวร์และซอฟท์แวร์ยักษ์ใหญ่ และเป็นผู้ครองตลาดจ้าวเดียวในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต แม้ว่าบริษัท A จะไม่พัฒนา OS เวอร์ชันถัดไปคือเวอร์ชันสิบ (X) ก็ยังขายฮาร์ดแวร์และซอฟท์แวร์ได้เรื่อยๆ เพราะไม่มีเหตุผลที่จะขายไม่ได้ ลูกค้า B,C ไม่มีทางเลือกอื่น หากซื้อ Harddisk หรือ Mainboard มา แต่ก็ไม่มีระบบปฏิบัติการให้ใช้งานได้
จากนั้นบริษัท M ถูกก่อตั้งขึ้น และเริ่มทำตลาดหลายๆอย่าง รวมถึงตลาด OS ที่บริษัท A ทำอยู่ การแข่งขันดำเนินไป มีการพัฒนาลูกเล่นมากมาย ระบบสามมิติในระบบปฏิบัติการถูกเพิ่มเข้าไป(ทำไมก็ไม่รู้) รวมถึงส่วนแบ่งตลาดของบริษัท M เริ่มเพิ่มมากขึ้น
คำถามคือถ้าไม่มีบริษัท M หรือบริษัท A เราจะซื้อ Harddisk กับ Mainboard มาทำไม (อ้าว ลากยาวจบเอาดื้อๆเลย)
บ. A นี่ถ้าไม่มีก็อาจไม่มีตัวแทนครับ
แต่ถ้าไม่มี บ. M ก็จะมี บ. แทนอื่นอีกเยอะแยะ I, S หรือ free opensource อะไรต่าง ๆ ก็จะโตขึ้นมาแทน
แล้วมั่นใจได้ใง ว่า บ. แทนอื่นอีกเยอะแยะ จะไม่ทำแบบ บ. M หรือว่า ยังงัยก็ช่าง ยังงัยฉันก็เกลียด บ.M
ถ้า บ. อื่นทำแบบ บ. M ก็ไม่ชอบเหมือนกันครับ
ก็ไม่ถึงกับมั่นใจ แต่อย่างน้อยที่เห็น ๆ ก็ไม่เห็นมี บ. ไหน พฤติกรรมเลวร้ายเท่า M นะครับ บ. A, I, S ยังน้อยกว่า M เยอะเลย
ช่วงนี้ T, R, U, E ยังเลวร้ายกว่าครับ แต่ก็ยังมีคนรัก D, T, A, C เยอะเหมือนเดิมนะครับ
ปล.อ้าว! ไม่เกี่ยวกันนี่หว่า :P
ช่วยยกตัวอย่างคำว่าเลวร้าย หน่อยครับ
บ.O โอล่าล้า เขินเขิน เริ่มพฤติกรรมเหมือน บ.M และ บ.Goo ก็เริ่มคล้อยตาม
ไม่ได้เกลียด และไม่ได้ศรัทธา เพราะไม่ว่าค่ายไหนก็ตาม ก็คือคอมพิวเตอร์ด้วยกันหมด เป็น dev มาแยกแยะ มันก็ไม่ถูกหรอก
สุดท้ายเหลือเพียง 0 กับ 1
ตถตา ตถตา
+1 เลยครับ
ผมว่าคนที่มีอคติต่อ MS แค่เพราะเขาชอบกั้กเท่านั้นแหละ แต่ถ้าเขาทำดีก็ควรจะชื่นชมนะครับ
คนเกลียดเพราะเขาสร้างคู่แค้นไว้เยอะมั้ง จะแข่งอะไรก็ตีเจ้าอื่นให้ตายไปเลยตลอด Firefox ถ้าจำไม่ผิดก็เกิดจาก Netscape โยนเมล็ดพันธุ์สุดท้ายไว้ก่อนตายหรือป่าว
ข้อผิดพลาดนี่ผมว่ามันก็มีกันเยอะแยะ ผมเขียนโปรแกรมโง่ๆหลายๆครั้งยังเจอบัคเลย
เรื่องการกุศลนี่ถ้าเป็นผมก็คงทำแบบนี้นะ ไม่ใช่เพราะลดภาษี แต่มันคนละเรื่องกับธุรกิจ ด้านธุรกิจก็ต้องแข่งขันโหดๆ อยากทำการกุศลก็เอาเงินมาทำการกุศล เอามาปนกันแล้วปล่อยบริษัทอื่นโตกว่าบริษัทก็ล่มสลายหมด
Sora's Story
ที่เกลียดก็คงมีสาเหตุหลายประการ แต่หลักๆ ก็น่าจะเป็นการทำตลาดของไมโครซอฟท์ ซึ่งจริงๆ ก็คือจุดแข็งของไมโครซอฟท์ ซึ่งสมัยดึกดำบรรพ์ ไม่ได้เก่งเรื่องสร้างโปรแกรมหรือระบบที่เป็นมิตรกับผู้ใช้ เหมือนแอปเปิลและ Mac OS (สมัยก่อน) แล้วตอนหลัง ก็เห็นได้ชัดมากขึ้น จากกลยุทธ์ต่างๆ ที่ใช้เพื่อ "ครอบงำ" ตลาดในทุกๆ หน่วยนอกจากระบบปฏิบัติการ อาทิ เว็บเบราว์เซอร์ โปรแกรมมัลติมีเดีย หรือแม้กระทั่งสร้าง Silver Light มาแข่งกับ Flash ซึ่งบางทีก็ประสบความสำเร็จ บางทีก็ล้มเหลว ... ผมเองก็เกลียดสมัยก่อน จึงใช้แม็ค แต่ในปัจจุบัน ก็ต้องหันมาซบพี่เกตส์ เพราะผมก็พิมพ์ข้อความนี้อยู่ในวินโดวส์...
เรื่องการตลาดของไมโครซอฟท์ที่เห็นด้วยนะ
โหดร้ายและรุนแรง สะใจวัยรุ่นดีจริงๆ
ด่า = feedback
เกลียด = ไม่ด่า ไม่ชม หันไปใช้เจ้าอื่นเลย
คิดว่า มาจากการที่ ms ชอบทำการตลาดแบบไม่ค่อยมีศีลธรรมละมั้งครับ
ลองดูจากข่าวนี้ก็ได้
Want To Troll The GT5 Date? Don’t Get Caught.
ผมรัก Microsoft
แต่ใช้ Mac
ทำงานกับ Linux + Unix
รักนะ จุ๊บุ จุ๊บุ
ถ้าจะให้ดีขอ 7 กล่องดิ
ผมรักแกนะ ตำนานโคตร geek ของโลก
ออกจะรักนะ
ใครมันขุดเนี่ย >,<
ขุดจนได้ -*-
รักทุกคนครับ ^^
สมมติว่ามีคนตั้งคำถาม 1 คำถามเป็นคำถามเกรียนๆ ไปถามคนสองคน
1.เกตส์
2.จ็อบส์
คิดว่าคนจะเซ็งคำตอบของใครมากกว่ากัน
อย่าดีก่ามั๊ง เดี๋ยวดราม่าอีก แต่จริงๆผมก็ชอบนะดราม่าเนี่ย
อ่านมาตั้งนาน กรรม กระทู้ตั้งแต่ปีที่แล้ว ปีนึงพอดีเลย
สวัสดีปี 2009...
(ดูจากวันและเวลาของขอบเขียวๆแล้ว คนขุดอยู่ไม่ไกล..)
คนขุดยืนอยู่นั่นไงครับ ฮาๆ
แบร่ๆๆ
ถึงคนเกลีียดเยอะ แต่เห็นยังมีคนใช้มันอยู่ เอ่อ แล้วคนทำอะไรดีๆ แต่ไม่มีใครเห็นละ น่าสงสารอยู่
ชอบ ms ครับ
คนเกลียด Apple ก็เยอะนะ
สมัยยุค open source บูมใหม่ๆ คน anti MS กันซะเยอะ
มายุคหลังๆ นี่ MS ภาพลักษณ์ดูดีขึ้นเยอะนะ ว่าแต่พอมาปี 2010 นี่แล้วคงต้องเปลี่ยนคำถามใหม่ดีกว่า ว่าทำไมมีแต่คนเกลียด....แหว่ง :P
คนเกลียดเยอะ เพราะคนอิจฉา อะเปล่าครับ / เมื่อก่อน Microsoft ประสบความสำเร็จมาก ก็เลยโดนอิจฉาเยอะ / ตอนนี้เงียบ ๆ ไปแล้วไม่ค่อยมีอะไรใหม่ ข่าวก็นาน ๆ มาที /
ตอนนี้คนเริ่มเกลียด Apple มากขึ้นซ้ำรอย Microsoft เพราะ Apple ประสบความสำเร็จมาก / คนที่เกลียดก็รอวันที่ Apple ล้ม จะได้กระทืบซ้ำ
ตามความเห็นแรกคุณ lew เลยครับ
{$user} was not an Imposter
สำหรับผม ไม่ใช่ครับ
กรณีของไมโครซอฟท์ผมไม่ชอบวิธีการ
ของแอปเขียวไม่ชอบการแถและการกั๊ก
ไม่ได้เกลียด แต่ไม่ชอบวิธีการดำเนินธุรกิจ การกีดกันคู่แข่ง การซื้อตัว หรือการซื้อของแล้วมาดอง ถึงแม้จะบอกว่านี่คือธุรกิจก็เถอะ
ผมเป็นคนนึงที่ไม่เกลียด MS รู้สึกดีเมื่อใช้ Win7 และไม่คิดว่า IE ช้าหรือไม่ดี
ทุกอย่างย่อมมีทั้งข้อดี ข้อเสียครับ ยกตัวอย่าง Chrome เร็วกว่า IE จริงอยู่เฉพาะตอนเริ่มใช้ใหม่ๆ นานเข้าก็ช้า
เหมือนกันครับ จากประสบการณ์จิง หรือใครคิดว่าไม่จิง
+1 ผมตั้งเซตหน้า chrome ให้เปนแบบ tab โหลดนานมากตอนเปิดครั้งแรก
ขุดกันมาถกเถียงกันข้ามปีกันเลยทีเดียว
ส่วนผมไม่ได้เกลียด ms ครับ (ซื้อเมาส์มาใช้ตั้ง 2 ตัวแน่ะ ทนดี คุ้มมาก) แต่รักลินุกซ์มากกว่าแค่นั้นเอง
ไม่มีซัพพอร์ตเหรอ กลัวทำไม ดูแลตัวเองได้
ผมไม่เกลียดนะ เฉยๆ
แต่เบื่อ ms มากๆตรงที่ว่า ขนาดคิดจะซื้อแท้ๆ ยังปวดหัวกับรุ่นนั้นรุ่นนี้เนี่ยแหละ ไม่รู้จะแยกย่อยทำใมนักหนา
เกลียด วิธี ทำการตลาด แบบ microsoft ครับ วิธ๊ผูกขาดมาตรฐาน ไว้กับ
ระบบ ของตัวเอง ไม่ยอมรับ มาตรฐานทั่วไป
ไม่ได้เกลยด บิลเกต
เรื่องมูลนิธิยังไม่ใช่เหตุผลของความใจบุญ ยกเว้นจะบริจาคให้หลุดพ้นการควบคุมได้จริงๆ
รัก MS ครับ
โตได้ก็เพราะ MS
มีข้าวยาไส้ก็เพราะ MS
อื่นๆ ....
ถ้าไม่มี MS ป่านนี้เวลาจะเข้าเว็บก็คงใช้ Lynx หรือเช็คเมล์ใช้ pine หรือมานั่งคอมไพร์ซอสโค๊ด เพื่อใช้งานซอฟต์แวร์แต่ละตัว
สรุปว่า MS ไม่ใช่แค่เป็นบริษัทที่ผลิต Software ครับ
แต่เป็นผู้สร้างสิ่งดีๆ ให้โลกนี้มากมาย
อันนี้ไป search มาให้ดูกัน
Q: How many people in the world use Microsoft products?
A: Around 500 million users wordwide thereby making the most popular word processor in the world.
ผูกขาด
จะใช้ Open Office ก็ไม่ได้ เอาไปเปิดกับ M$-Off-ice แล้วเพี้ยน || เปิดไม่ได้ ทำยังไง?
ผมต้องเสียเงินซื้อแผ่น DVD ราคา 3 พัน เพื่อเอามาพิมพ์รายงาน && ทำ Slide ส่งอาจารย์ ?
ถามกลับว่า ถ้าผมทำMSเวิดไปเปิดเพี้ยน ใน OO
นี่ใครผิดครับ?(ผมว่าพอเดาคำตอบคุณได้)
คนสักแต่อยากว่ามันจะว่าอะไรเข้าข้างตัวเองก็ได้ทั้งนั้นแหละ
May the Force Close be with you. || @nuttyi
ผมเปิดแล้วไม่เพี้ยนครับ
อ่านหนังสือให้แตกด้วยครับ
ตอบคำถามก็ได้ ถ้าเพี้ยน ผมก็โทษฝั่ง OO.O เหมือนกัน
ปลา.ลิง. ถ้ามันไม่เพี้ยน มันก็ไม่เพี้ยน
ต่างคนต่างชอบ ต่างตนต่างเกลียด
ส่วนผมเฉยๆ อะไรดีผมก็ใช้ อะไรไม่ดีผมก็ไม่ใช้
ราคา Windows ผมยอมรับได้ จ่ายหมื่นหนึ่ง ได้ใช้ Software ที่ผมใช้แล้วสบายใจ ใช้งานง่าย มีอัพเดตให้อีกยาวนาน ดูแล้วมันอาจจะเป็นตัวเลขที่สูง แต่ผมไม่ได้คิดแบบนั้น เพราะจ่ายไปหมื่นหนึ่ง แต่ใช้ได้อีกหลายปี (สี่ปี+) ตกปีละ 2500 บาท เดือนละ 200 บาท วันละ 6 บาท
ราคา Visual Studio ผมก็ยอมรับได้ จ่ายสองหมื่นกว่า ได้ใช้ IDE ของ C++ ที่ถือว่า "ดีที่สุดสำหรับผม" เอามาหาเงินเลี้ยงชีพและครอบครัวได้
ผมก็ไม่ใช่คนที่ชอบใช้ของเสียเงิน แต่ผมก็ไม่ได้เกลียด MS เพราะเขาเอาแต่จะขาย เขาอยากขายเขาก็ขายไป ผมไม่สนใจ ถ้าผมต้องการใช้งานของเขา แล้วราคาผมยอมรับได้ ผมก็ซื้อ
ผมว่าคนไทยหลายคนมองค่าของ Software ที่ใช้อยู่ต่ำเกินไป หลายคนชอบคิดว่า "กะแค่โปรแกรมคอมพิวเตอร์ตัวหนึ่ง แครกๆใช้ไปเถอะ" โดยที่ไม่รู้เลยว่ากว่าโปรแกรมตัวนั้นจะออกมาให้ใช้งานได้มันต้องผ่านความเหนื่อยยากของโปรแกรมเมอร์มากี่คน สรุปคือ เห็นแก่ตัว อะไรใช้ฟรีได้ก็จะใช้ ไม่ซื้อของแท้ เพลงก็โหลดเอาในเนตได้ หนังก็โหลดเอาในบิทได้ ของแท้ของเท้อไม่สน สนแต่ของดีและฟรี คนทำจะเหนื่อยยังไงก็ช่างหัวมัน ไม่ใช่ตัวกู ไม่เกี่ยวกับกู เงินจะซื้อของพวกนี้ไม่มี แต่เสือกมีเงินซื้อ BB เอามาแชตเอามาห้อยคอตามกระแส ซื้อ iPhone ตามกระแส ซื้อมาอวด บลาๆ มีเงินกินเหล้า มีเงินซื้อของตามกระแส แต่เสือกไม่มีเงินซื้อของให้ถูกลิขสิทธิ์
สิ้นหวังกับคนไทยหลายๆคนแล้ว
และไอ้พวกที่ผมโครตจะเกลียดเลยคือพวกที่ใช้ของเถื่อนแล้วไปด่าของเขา ไม่ซื้อของเขา ใช้ของเขาเถื่อนๆ ยังไปด่าของเขา
เห็นด้วยครับ พูดได้แซบหลายโดนใจผมจริงๆ
คิดเห็นแบบนี้เหมือนกันครับ
+1 ครับ คนไทยมองค่า Software ต่ำกว่า Hardware มาก
ตอนเริ่มใช้พีซี AT/XT ปี 1988 บิลเกตต์คือฮีโร่ของผมเลย เขียนดอสขายไอบีเอ็มจากโรงรถ โอ้..เจ๋งมาก เขาเป็นฮีโร่ของผมนานมาก จนกระทั่ง...วันหนึ่งเขาทำให้ Lotus 123, WordStar, dBase ตายหมู่ด้วยการออกแพ็คเกจ MS Office เมื่อสถาปนาบัลลังก์สำหรับตนเองได้แล้ว ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ไมโครซ๊อฟท์ติดใจโลกใบที่ค้าขายแบบ monopoly กำไรเยอะดี แป๊บเดียวก็รวยที่สุดในโลกแล้ว นับจากนั้นแทนที่จะพัฒนาผลิตภัณท์เพื่อความเป็นเลิศ เขากลับมุ่งไปที่กลยุทธในการครองตลาดแต่ผู้เดียว ซื้อคู่แข่งมาทำลาย แจกฟรีเพื่อให้คู่แข่งเจ๊ง หลังจากเนทสเคปพ่ายแพ้ไออี ผมก็เลิกมองบิลเกตต์/ไมโครซ๊อฟท์เป็นฮีโร่อีกต่อไป
เราเห็นเหมือนกันครับ
มุมมองแบบนี้ จะมองเห็นได้แต่คนที่อยู่ในวงการมาตั้งแต่ก่อน M$ จะก่อตั้ง
คนรุ่นหลังไม่เข้าใจครับ
ปัจจุบัน M$ ไม่ใช่ Batman อีกแล้ว แต่เป็น Joker เสียเอง โดยที่ยังใส่ชุด Batman อยู่
อ่านความเห็นคุณแล้ว เตือนให้ผมคิดถึงเหล่าลูกศิษย์ที่ผมสอน Lotus และ dBase ไว้นานแล้ว
ภาวนาให้เขาปรับตัวตามสิ่งใหม่ๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปได้
ผมก็อยู่ยุคเดียวกันนั่นแหละ แต่ผู้ชนะ(ด้านสื่อ) มักเป็นผู้เขียนประวัติศาสตร์ให้คนรุ่นหลังคล้อยตามน่ะสิ
Support MS ยกนิ้วให้เค้าเลยครับ แต่บางครั้งโทรเข้าไปเหมือนไปเจอนักศึกษาฝึกงานก็มี
มีครั้งนึงเค้า Remote Desktop มาแก้ใขปัญหาเกือบ 2 ชั่วโมง ผมว่าบริการระดับนี้เหมาะสมแล้วครับ
เคยเห็น Support ค่ายอื่นหรือยังครับ?
Red Hat ที่บินข้ามทวีปไปบริการให้ถึง 2 วันน่ะ เคยใช้บริการหรือยังครับ?
ssh เข้าไปแก้ไขให้เสร็จใน 10 นาทีน่ะ เข้าใจไหมครับ
Remote Desktop ตั้ง 2 ชั่วโมงน่ะ เพราะ Remote Desktop มันมี Overhead ใน Packet สูงมากครับ
มากกว่า ssh เป็นพันเท่าเลย
ถ้า Windows สามารถ ssh ได้ ไอ้ 2 ชั่วโมงนั่น อาจเหลือแค่ 2 นาทีครับ
มีค่ายอื่นอีกเยอะแยะครับ ที่ถึงขนาดให้ลูกค้าลากสายโทรศัพท์เข้าไปต่างหาก เพื่อช่วย Monitor โดยตรงผ่าน Modem ให้ฟรีๆ ตลอดอายุการใช้งาน Software นั้นๆ ครับ
ค่ายเหล่านั้นๆ เลยมีกำไรเหลือให้รวยเท่า M$ ไม่ได้ เพราะ Support ลูกค้าดีเกินกว่าจะเหลือได้ขนาดนั้น
แต่ผมว่า พวกเขาสนุกกับงาน ไม่โลภจนลืมความสนุกในอาชีพ
Windows ก็ Remote Desktop ได้ไม่ใช่หรือครับ
ก็นั่นแหละครับ ที่ผมพูดถึงน่ะ
Remote Desktop ก็มีแต่บน Windows แหละครับ
ก่อนหน้านี้นานแล้ว เรามี PCAnywhere ของ Peter Norton ตั้งแต่สมัย DOS โน่นครับ
พอมี Windows เกิดขึ้น ก็มี Close Up เกิดขึ้นมาอีกตัว
พอ Linux เกิดขึ้น ก็มี VNC
พอ Windows XP เกิดขึ้น M$ จึงทำ Remote Desktop ออกมาครับ ซึ่งก็คือซื้อ PCAnywhere เข้ามารวมนั่นแหละครับ
ผมก็มีของผมเอง เขียนใช้ตั้งแต่ช่วง MS-DOS 3.3 ผ่าน Modem 4800 bps โน่นแหละ ตั้งแต่ก่อน Peter Norton จะเขียน PCAnyWhere ออกมาขายเสียอีก แล้วหายไปเรียบทั้ง Source code โน่นเลยเมื่อปี 2000 ด้วยฝีมือของ Windows NT 3.51 NTFS Bug ทำให้ Source code เก่าครึ่งชีวิตผมหายไปเรียบเลย หลงเหลืออยู่แค่ที่รวบรวมได้ตามแผ่น Disk เท่านั้น
การ Remote แบบนั้น มันมี Overhead สูงมากๆ แต่สะดวกและคุ้นเคยสำหรับ Windows Administrator มาก
OS อื่นเขาไม่ค่อยใช้กันครับ
OS อื่นมีวิธีอื่นมากกว่านี้ ซึ่งประหยัด Bandwidth มากกว่ากันเป็นพันเท่าครับ
ใครใน Blognone นี่ อยู่ในอุสาหกรรมการผลิตเครื่องจักรอุตสาหกรรมบ้างครับ ออกมาให้ความรู้เพื่อนๆ หน่อยสิครับ หรือใครอยู่ในโรงงานใหญ่ๆ ออกมาบอกพวกเขาหน่อยสิครับ
ว่า Modem ธรรมดาๆ นี่แหละครับ ที่เครื่องจักรระดับสิบล้านขึ้นไปเนี่ยล่ะครับ เขายังใช้อยู่ครับเพราะเรื่อง Security ซึ่ง Modem พวกนี้ Band width ต่ำอยู่แล้ว ดังนั้นส่วนใหญ่เขาจะใช้ ssh กันด้วยครับ ตรงนี้ ผมชี้เรื่อง Overhead ด้วยสิ่งที่เขาใช้งานกันจริงนะครับ ส่วนจะหา Link อะไรนั่น ผมให้เกียรติท่าน มั่นใจว่าท่านใช้ Google กันเป็นครับ
ผมขอพ่น Garbage ทิ้งไว้เสียหน่อยนะครับ
เพิ่งได้กลับมานั่งที่บ้านในกรุงเทพเมื่อเย็นนี้ ก็มานั่งอ่าน blognone.com
ใครรำคาญผม ก็ไม่ต้องอ่านต่อไปครับ จบตรงนี้ได้เลย (นะครับ ขอร้อง)
Blog สมัยใหม่ (สมัยผม มันไม่มีครับ ไอ้ Blog เนี่ย) มีแนวคิดที่ดีมากนะครับ ข้อที่ไม่ดีก็มี.... โอ๊ะ... คนละเรื่องนี่นา...
จากที่ผมติดตามอ่าน Blog ไทยและพ่น Garbage ไว้เพียง 4 แห่ง
และพ่น Garbage ลง Web board ไทยเพียง 2 แห่ง
ผมคันปากเหลือเกิน ที่จะบอกว่าบุคคลากรทาง Computer ไทยปัจจุบัน ตีกรอบตัวเองแคบลงมากๆ เลยครับ
ผมอ่านๆ มาพอสมควร ผมพอสรุปด้วยการประมาณด้วยความรู้สึกส่วนตัวได้ว่า กว่า 95% คิดว่า Computer คือแค่ PC และราว 75% คิดว่า Computer คืออะไรที่ M$ Windows อยู่ในนั้น
ผมเสียดายครับ เสียดายมากๆ
ในสายตาคนรุ่นเก่าแบบผม PC นั้น เป็นแค่เสี้ยวหนึ่งของ Technology cake ก้อนใหญ่โตนี้ครับ
เสี้ยวเดียวจริงๆ
วงการ Computer ไทย แคบลงไปกว่าเมื่อก่อนมากๆ
จนเมื่อ R&D Anti virus card ของไทย จากไป ก็ดูเหมือนจะเหลือแต่ Software product เท่านั้น ที่อยู่ในตลาดไทย และมาจนถึงตอนนี้ จาก Software ที่เคยเห็นว่ายอดๆ เขียนได้เยี่ยมๆ
ก็ชักจะเจอแต่ Frame work product ออกมาเต็มตลาด
Know how ชักลอยสูงขึ้นทุกทีๆ
ออกห่างจากความรู้ลึกมากขึ้นไปทุกทีๆ
ทั้งที่จริง Technology รายล้อมรอบตัวเรา มีเต็มไปหมด ถ้ามานั่งนับกันเป็นชิ้นๆ ของ Consumer product รอบตัวกันจริงๆ แล้วจะพบอย่างที่ผมกล่าวคือ PC นั้นแค่เสี้ยวหนึ่งจริงๆ แต่ทำไมเด็กรุ่นใหม่ ปิดหู ปิดตา ปิดจมูก ตีกรอบตัวเองอยู่แค่นั้น ยิ่งกว่านั้นคือ กำลังตีกรอบตัวเองให้อยู่แต่เพียงบาง OS ด้วยซ้ำ
ผมเริ่มคุยกับคนรุ่นหลังลำบากมากขึ้นเรื่อยๆ
คนที่ดูท่าจะรู้ลึกหน่อย ส่วนใหญ่ก็ออกไปทางนักวิชาการมากกว่า คือรู้ลึก จากการอ่าน การศึกษา การค้นคว้า
แต่การได้เคยลงมือทำ ทดลอง วิจัย ไม่ค่อยจะมี
ทำให้คนเหล่านั้น มักจะยึดติด Data มากกว่า และใช้กรอบวิธีคิดแบบเดียวในการพิจารณาสิ่งต่างๆ
คุณ mk เคยให้เกียรติถามผม เรื่องชักชวนให้ทำอะไรสักอย่าง ขออนุญาตไม่ค้นหาย้อนหลังนะครับ จำได้แต่คำกล่าวทำนองว่า "blognone ต้องการไอดอล"
ผมอ่านแล้ว ผม Repond ไม่ถูกเลยครับ ก็มาขอ Repond ไว้ตรงนี้เลยนะครับ
ผมคุยกับเด็กรุ่นใหม่ลำบากครับ คุณ mk ผมเป็นไม่ได้ดอกครับ Idol น่ะ
ผมระวังอัตตา แต่เด็กรุ่นใหม่มีมากเหลือเกิน ผมพูดกับพวกเขาลำบากครับ ไม่อาจเป็นแบบที่คุณ mk คาดหวังได้อย่างแน่นอนครับ
ความไม่ถือสา ถือตัวของผม ก็มักจะถูกมองเป็นอีกด้านเสมอๆ กระทั่งคุณ lew เอง ยังพลาดได้ (ผมเอ่ยถึง เพราะผมแอบชื่นชมความสามารถในการคิดของคุณ lew มาได้สัก 2-3 ปีแล้ว)
ผมเลี่ยงที่จะไม่ต่อว่าใครๆ โดยตรง และพยายามประนีประนอม อ้อมๆ เอา
แต่ผมก็ไม่ค่อยประสบความสำเร็จในการสื่อสารที่จะให้ผู้คนรุ่นใหม่เข้าใจได้กว้างๆ อย่างที่ผมพยายามจะสื่อสาร
ผมอยากสำแดงตัวเองว่า ผมมีอคติกับ M$ แต่ไม่ใช่กับ Windows
แม้ปัจจุบันผมไม่ได้ใช้ Windows เลยก็ตาม (สำหรับผม - ตั้งแต่ Windows XP เป็นต้นมา ผมไม่ได้ใช้อีกเลย เพราะ Linux แทนที่ได้หมดแล้วตั้งแต่ตอนนั้น) แต่ในบริษัท ผมมีซื้อ Windows ไว้ทุกตัวครับ เอาไว้ R&D เท่านั้น ไม่ได้เอาไว้ใช้งาน
ผมอคติกับวิธีการและกลยุทธในการดำเนินธุรกิจของ M$ ครับ (ผมเคยแจกแจงไว้ที่อื่นบ้างแล้ว นานแล้วล่ะ)
บ่อยครั้งมาก ที่ผมพบว่า เด็กรุ่นใหม่ มีปัญหามาก ในการจับ Root objective และรักษาประเด็น หรือย้อนกลับไปได้ และยังลุกลามเก่ง ด้วยการพยายามเอาชนะคะคานกันด้วยข้อมูลที่คิดว่าตนเองมีมากกว่า/เหนือกว่า โดยใช้วิธีการแตกเป็น Branch objective แล้ว Magnify เพื่อกลบ Root objective
ผมสงสัยเสมอ ว่าพวกเขาทำอย่างนั้นทำไม? ตั้งใจทำหรือไม่? มีสติรู้ตัวหรือไม่? ถ้ามีสติรู้ตัวแล้วทำไมเขาทำอย่างนั้น? (วนกลับไปข้อสงสัยแรกของผม)
ผมหลีกเลี่ยงในการบอกให้เปลี่ยนมุมมองหรือย้อนกลับไปหา Root objective ตรงๆ เสมอ เพราะอัตตาพวกเขา จะทำให้เขาไม่ชอบการบอกกล่าวเช่นนั้นตรงๆ จนเกิด Against reflect ออกมาแบบขาดการไตร่ตรองที่ดี
แต่การชี้ให้คิดได้เองและมีสติรู้ตัวในแบบของผม ประสบผลสำเร็จน้อยมาก จนผมคิดว่า มันไม่ใช่ยุคของคนรุ่นผมแล้วครับ
คนรุ่นผมนั้น ยังไม่ได้ตายห่างหายจากวงการไปกันหมดนะครับ พวกเขาก็รู้สึกแบบที่ผม พล่าม อยู่นี่แหละครับ แล้วก็ได้แต่เฝ้าดู เรายังสังคมกันอยู่แต่เพราะความที่เป็นรุ่นเก่า เราถนัดการสื่อสารแบบที่คล้ายวิธีเก่าที่สุด สำหรับ Internet นี่ก็คือ email (และ ICQ)
แต่ถึงกับทำ Blog นี่ เราไม่คุ้นเคยจริงๆ ครับ มันเป็นแนวคิดที่เอาตัวเองเป็น Center ซึ่งเราไม่ถนัด
ขอให้เข้าใจว่า มันไม่ใช่การตำหนิ หรือว่านะครับ ผมมั่นใจว่าคุณ mk เข้าใจ ว่าผมหมายถึงอะไร
อะไรคือเอาตัวเองเป็น Center?
ดูอย่างกระทู้นี้สิครับ? มี 2 คนแล้ว ที่ถามผมว่า Serious ไปหรือเปล่า?
ผมงงครับ?
ใคร Serious กันแน่?
คุณคนรุ่นใหม่ทั้งหลาย เอาความคิดตัวเองเป็น Center ก็เลยถามผมเช่นนั้น?
ถ้าผมถามกลับบ้างว่า....
อย่างไอ้ภาษี 80% อะไรนั่นของคุณก่อนหน้านี้ล่ะ... ที่คุณอะไรอีกคนกับคุณ lew จะเอาเขาเป็นเอาเขาตายล่ะ ผมถามว่าพวกคุณ Serious เกินไปหรือเปล่า? คุณจะตอบว่าอย่างไรครับ?
ในเมื่อประเด็นของผู้ถามกระทู้ สนใจแค่ เหตุอะไร ที่ทำให้ผู้คน "มีอารมณ์" "มีความรู้สึก" เกลียด!!!
แล้วพวกคุณจะไปมุ่งความสนใจคาดคั้นคนๆ หนึ่ง ที่เขาจำคลาดเคลื่อนทางตัวเลข อย่างกับจะไปชำแหละประจานเขา เพื่อให้เหตุแห่งความเกลียดของเขาซึ่งตรงตามประเด็นหลักของผู้ตั้งกระทู้ เกิดอ่านดูไม่เข้าท่าไปเสียทั้งประเด็น.... อย่างนั้นหรือครับ?
พวกคุณ Seriois เกินไปหรือเปล่า?
เมื่อเขาจำผิด พิมพ์ผิด หรืออะไรผิดนิดหนึ่ง ทั้งที่ไม่ใช่นัยสำคัญของประเด็นกระทู้ ก็จะเหยียบเขาให้ตาย จะได้โอ่อ้างทางอ้อมเหมือน เราเป็นผู้รู้ ผู้ถูกต้อง ผู้แจ้ง เห็นจริง ดังนั้นหรือครับ? (ย้ำว่า อย่าลืมอ่านคำว่า "ทางอ้อม")
สังคมเด็กรุ่นใหม่เป็นแบบนี้หรือครับ?
หรือถ้าผมจะ Reply แค่ว่า "เอาน่า 80% 53% อะไรนั่นไร้สาระน่า คนตั้งเขาถามว่า ทำไมถึงเกลียด เขาก็บอกเหตุว่าเขาเกลียดแล้วไง" พวกคุณคนรุ่นใหม่หรือ จะเข้าใจได้ง่ายๆ แล้วไม่รุมสับผม? ในขณะที่พวกคุณใช้วิธีคิดตัวเองเป็น Center แล้ว Serious ว่า สำหรับฉันแล้ว ตัวเลขต้องเป๊ะ ไม่เช่นนั้น อย่างอื่นถือเป็น Fault ไปเสียทั้งหมด?
แล้วแบบไหนครับ คือนิยามของ Blognone idol ครับ? ในสังคมแบบนี้ คุณ mk อธิบายผมหน่อยครับ?
สังคมแบบนี้ จะเห็นคนไทยทำงานเป็นทีมได้อย่างไรครับ? คนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่จับ Root objective ของกระทู้ให้อยู่กับที่ในความคิดของตนเอง ก็ยังทำไม่ได้เลย
คนรุ่นใหม่ ไขว้เขวได้ง่าย และหาทางกลับไปเองไม่ค่อยเป็นกัน
ถ้าต่างคนต่างใช้ Opinion เป็น Center มา Debate กันอย่างนี้ ก็ไร้สาระทั้งกระทู้ครับ
เมื่อมีคนตั้ง Topic ถาม อย่างน้อย ก็ยึดประเด็นหลักเป็นแกน แล้ว Debate กันอยู่รอบๆ แกนนั้น นั่นสิสร้างสรร
ต่างคนต่างหลุดออกไป จนเหมือนพูดกันคนละเรื่อง ผมก็ย่อมจะโดนต่อว่า "อ่านไม่รู้เรื่อง" แน่นอนครับ
ผมไม่ออกความเห็นบ่อย เพราะผมระมัดระวังในการ Jam กลางสภาของเด็กรุ่นใหม่เสมอครับ
แต่กระทู้นี้นั้น เก่า แต่ดีจริงๆ ครับ ตั้งคำถามได้ดี
กระทู้นี้ ทำให้ได้เห็นชัดๆ ถึงประสิทธิภาพการคิดของเด็กรุ่นใหม่ ในการจำแนกประเด็น รักษาประเด็น ไปจนถึงอัตตา ความรู้ทางวิชาการด้านต่างๆ การแย้งและเสริมสิ่งต่างๆ ในหลายๆ มุมมอง
เข้าใจว่า เด็กรุ่นใหม่เรียกว่า "กระทู้ล่อเป้า" (เคยเห็นใน pantip.com) ก็คงทำนองนี้
พ่น Garbage พอแล้ว เกรงใจคุณ mk และคุณ lew แล้ว
หนัก Database ของ blognone.com
ผมไม่มีความโกรธ ความเกลียด อะไรครับนะครับ ไม่ถือสาอะไรใครทั้งนั้นครับ ไม่ต้องคิดมากเลยเถิดไปนะครับ
กระทั่งกับบริษัท M$ ผมก็ไม่ได้เกลียด แต่มีอคติกับ Business strategy ของเขาครับ
จะมีใครเป็นตัวแทนของคนรุ่นใหม่ อธิบายวิธีคิดให้ไดโนเสาร์แบบผมเข้าใจได้บ้างครับ?
ถ้าว่ากันตรงๆ Windows เค้าก็มี Telnet ครับ ผมเองก็จำเป็นต้องใช้แม้ว่าจะมี ADSL เร็วๆ แล้วแต่ความไม่เสถียรของข้อมูลทำให้เสียอารมณ์ได้เหมือนกันถ้าทำผ่าน Remote Desktop, VNC
ส่วนข้อความด้านล่าง ผมยังไม่ขอออกความเห็นนะครับ ขอรอดูไปก่อน
Telnet ที่มีนั่น นับตั้งแต่ Windows 95 ครับ ที่ต้องยอมมี เพราะต้องยอมตามก้น Unix ครับผม
ก่อนหน้านั้น Windows ไม่ Support TCP/IP ด้วยซ้ำ แถมยังดูถูกว่า Internet ไม่มีอนาคต (หา Link เอาเองนะครับ)
เพื่อจะรีบเข้าตลาด ต้องถีบทั้ง Trumpet Winsock และ Netscape ให้ตาย จึงได้มี Telnet ครับ
แต่ผมถามว่า ที่ Windows มี Telnet น่ะ เอาไว้ใช้ทำอะไรครับ?
นั่นมันแค่ Telnet Client ครับผม
ถ้า Windows จะมี Telnet Server แล้ว ทำอะไรได้ครับ? แค่ไหน?
ที่ Basic กว่า ssh คืออะไรทราบไหมครับ?
tty ครับ
ต่อกับ Modem ไว้
ทำได้ทุกอย่างจริงๆ ยกเว้นแค่ไม่กี่กรณีกับตัว OS Kernel เท่านั้น
Windows มีอะไรเทียบได้กับอย่างนี้ไหมครับ?
และผมอยากบอกว่า... Windows เป็นเพียง OS เดียวที่ไม่มี... ต่างหากครับ
ไม่ใช่พูดเพื่อจะชี้ว่าผมอยู่ข้าง OS ใด OS หนึ่ง
ผมพูดเพื่อจะชี้ว่า Windows ไม่มีอะไรอย่างหนึ่ง ที่ OS อื่นเขามี จนทำให้ต้องมี Service ที่ใช้เวลานานถึง 2 ชั่วโมง หลอกให้ผู้ที่รับ Service นั้น คิดว่า นั่นคือการ Service ดี.... ครับ
และไอ้สิ่งหนึ่งนี้ ที่ Windows ไม่มี ก็เป็นเหตุให้ Old fashion technical กลุ่มหนึ่ง มีอคติกับ M$ ไปจนรู้สึกเกลียดได้ครับ
ผมไม่ค่อยสนอดีตเสียด้วยสิครับ ถ้าปัจจุบันมีมันก็จบเท่านั้นเอง แล้วไม่ว่าเค้าจะทำผ่านทางไหน นานไม่นานถ้าเค้าทำจนเสร็จก็คือดีนั่นแหละครับ ส่วนของที่ไม่มีก็ไม่เกี่ยวกับว่า service เค้าดีหรือไม่ อยู่ที่ว่าเค้าพยายามจะช่วยเราแก้ปัญหาจนเสร็จได้หรือเปล่าต่างหาก แม้จะไม่มีอะไรช่วยเหลือเลยแต่เค้าบอกวิธีแก้ผ่านโทรศัพท์จนแก้ได้ก็ถือว่า service ดีแม้ว่าต้องนับว่าระบบนั้นแย่มากเสียมากกว่า
จริงอยู่ที่ถ้าเราอยู่ในช่วงที่มันมีปัญหาในอดีตจะทำให้เรามีอคติไป ซึ่งทำให้มีอคติจนถึงปัจจุบันแต่การเกลียดไม่จำเป็นต้องลากยาวไปกับอคติและหายไปได้ครับ
จริงๆแล้วการที่ Windows เน้นการทำงานแบบ GUI การใช้ Remote Desktop เป็นหลัก แทนการใช้ SSH นั้น เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้วครับ ผมคิดว่าคุณคงจะพอเจอกับการพูดเปรียบเทียบ Windows และ UNIX ว่า Windows มี GUI ที่เยี่ยมยอด แต่มี CLI ที่ห่วยแตก ส่วน UNIX นั้นกลับกัน
ดังนั้นคงพอจะให้คำตอบได้ว่า การยัด Remote Desktop เข้ามา เป็นการใช้จุดเด่นของตัวเองให้มีประโยชน์ครับ
ส่วนการ Telnet อืมม ก็รู้ๆกันดีนะครับ ว่า CLI ของ Windows นั้นห่วยแค่ไหน เป็นผม ถ้าผมรู้ว่า CLI ของผมเองห่วยขนาดนั้น ผมไม่เสียเวลามากมาย กับระบบควบคุมระยะไกลผ่านทาง CLI หรอกครับ ตามภาษาวัลแคนเขาเรียกว่า "ไม่สมเหตุสมผล ไม่เป็นตรรกะ" ครับ
เยี่ยมยอดครับ คิดได้เยี่ยมยอด
ผมเห็นด้วยทุกประการครับ
Windows เขาก็ชูจุดเด่นของตัวเอง
แต่... ที่ลุกลามมานี่ มาจาก "2 ชั่วโมงในการ Service" น่ะครับ
เรื่องความเยี่ยมยอดของ Remote Desktop ในแบบ GUI นั้น จริงแท้ครับ
เพราะต้นเหตุที่ผมเน้นคือ การใช้เวลา Service ที่มากเพราะ Remote Desktop ครับ
มันทำให้เกิดมุมมองของลูกค้าบางกลุ่ม ที่ดูว่า Service ดี ใส่ใจดี
แต่ความแข็งแรงของ Netware, Unix, Solaris และ Linux ที่ทำให้ Service time ต่ำมากๆ กลับถูกนำมาใช้โจมตีเป็นว่า จ่ายเงินไม่คุ้ม เพราะไม่เห็นค่อยต้อง Service อะไร...
มันเข้าข่ายทำนองเดียวกับ ที่ User ยินยอมจ่ายค่า Anti Virus เพราะถูกปลูกฝังให้เชื่อว่า เป็นสิ่งที่ตัวเองต้องทำครับ
งั้นผมขอถามคุณง่ายๆนะครับ ถ้าระบบควบคุมระยะไกลของคุณสามารถทำอะไรได้ทั้งหมด แต่ต้องใช้เวลา 2 ชั่วโมง กับการทำอะไรแทบไม่ได้เลย แต่ใช้เวลาแค่ 5 นาที
คุณจะเลือกใส่อะไรมาในระบบครับ ?
ส่วนเรื่องการโจมตีระบบ Unix ว่าไม่ต้องไปเซอร์วิสอะไรมันมากมาย อันนี้ผมไม่เคยเจอนะครับ และที่คุณพ่นมาตลอดว่ามันเป็นการทำให้ผู้ใช้คิดว่าได้รับการดูแลที่ดี อันนี้ผมก็ว่ามีแต่ผู้ใช้นะครับที่คิดกันไปเอง ผมว่าผมไม่เคยเห็นไมโครวอฟท์มาบอกว่า เราดูแลคุณอย่างดี สองชั่วในการรีโมตเข้าไปจัดการ แสดงให้เห็นถึงความแคร์ลูกค้าของเรา
ไม่เคยจริงๆครับ
ผมขอตอบก่อนว่า... ทำอะไรไม่ได้เลยนั้น.. ผิดแล้วครับ ทำได้ครับ ทำได้มากจริงๆ ครับ แค่อย่าปิด Service นั้น และ Port ที่ Service นั้นใช้ ถ้าหาก Planing ดี ทำได้ถึงขนาดเปลี่ยน Kernel เลยครับ อันนี้ชี้แจงให้ทราบว่า การไม่ทราบว่ามันทำได้ขนาดไหน กับ มันทำอะไรแทบไม่ได้เลย มันคนละเรื่องกันนะครับ ตัว M$ Techincal เอง ย่อมรู้ดีที่สุดกับความสามารถสูงสุดของการทำอะไรๆ ผ่าน Remote Desktop ในขณะที่ผมอ้าง Red hat ก็เพื่อความเสมอภาคกัน เพราะ Red hat technical ก็ย่อมทำอะไรๆ ได้มากที่สุด ผ่านช่องทางที่เขาถนัด
ดังนั้น เพราะเราวัดที่ต่าง OS ก็ต้องวัดด้วย Technical ที่ต่างกัน หากใช้ Technical คนเดียว ที่ชำนาญแต่เพียง Remote Desktop เพียงอย่างเดียว ก็ย่อมรู้สึกอึดอัด กับการทำอะไรๆ ในแบบอื่นที่ไม่ใช่ GUI และรู้สึกว่ามันทำอะไรได้น้อย
ผมขอชี้แจงหน่อยว่า... ผมทั้งบริษัท เก่ง และชำนาญทุก OS ทุก Programing skill ตลอดจน Hardware ทั้งหลาย ตั้งแต่ Design ยัน Apply ชนิดเก่งมากๆ ถ้าพูดกันเฉพาะตัว OS ผมไม่ได้มีอคติกับตัวไหนๆ เลย บุคคลากรของผม คนที่มีค่าแรงต่ำสุดที่ผมจ่ายคือ วันละ 15,000 บาท ย้ำว่าวันละ... จึงขอพูดในฐานะ Engineer ที่มีมุมมองทาง Technology กว้างกว่าแค่เรื่อง Windows หรือ *nix style
Windows ติดข้อจำกัดตัวเองด้วยโครงสร้างพื้นฐานที่วางมาตั้งแต่ต้นเพราะต้องอาศัย DOS อีกที ทั้งหมดของ Windows จึงมีจุดอ่อนตรงนี้ ผมบอกทุกท่านเสมอว่า Windows อ่อนแอเพราะเหตุนี้ ผมบอกด้วยเหตุผลทาง Engineering มาเสมอๆ ครับ แต่คนทั่วไปครับ ที่นำมาผสมโรงกันมั่วไปหมด ในทุกๆ มุมมอง จับมาอ้าง งัดง้างทางความคิดกันแบบเละเทะตุ้มเป๊ะไปหมด
ดังนั้น คำถามที่ว่า "คุณจะเลือกใส่อะไรมาในระบบครับ?" ต้องถามว่า ถ้าคุณถามผม ตอนนี้ ผมชอบ ssh ครับ
แต่คำถามเดียวกัน ถ้าถามคุณ คุณอาจจะตอบว่า Remote Desktop ก็เรื่องของคุณ ผมไม่ได้มีอะไรเลยจริงๆ นะครับ
การโจมตี Unix ผมเจอมาเยอะครับ เจอมาตั้งแต่ยุค Solaris แล้ว เมื่อครั้งที่ Windows NT เกิดมาครับ มันเริ่มตอนนั้น สมัยนั้น Linux ยังไม่เกิดครับ ฝั่ง Unix ผมใช้ Solaris เป็นหลัก ด้าน File server ก็ใช้ Netware ส่วน Windows นั้น ใช้ทำ HMI สำหรับควบคุม PCL ใน Production line การผลิตอีกทีด้วย Wonderware Intouch ยังไม่รวมถึง AS400 อีก ซึ่งขาดแค่ผมยังไม่เคยพัฒนา Application บนมัน เนื่องจาก Citicorp พัฒนามาเองจาก USA
ช่วงแรกๆ ตอน Implement โรงงาน Advance Agro ที่ปราจีนบุรี ผมยังเห็นดีด้วยในการใช้ Windows 3.11 WG ไปใช้เป็น HMI ใน Line ทั้งหมดเลย
ผมนี่แหละครับ ที่เห็นดีกับการนำ Windows เข้าไปในโรงงานใหญ่ๆ ในบ้านเราหลายโรงงานเลย (ที่มีบริษัทแม่เป็นต่างชาติ ยกเว้น PTT และ TPI อันนั้นมีขาใหญ่อยู่แล้ว... ปล. ถ้ามาอ่านเจอ ก็อย่ามาเถียงกันในนี้เลยนะครับ เรื่องมันนานเกินไปแล้ว มาเป็นมิตรกันดีกว่า)
จนกระทั่ง DeltaV ของ Fisher Rosemount เกิดขึ้น (ทำงานบน NT Kernel) ก็ยังเห็นดี แต่แล้ว มันไปไม่ค่อยรอด เพราะจุดอ่อนของ Windows เอง จึงทำให้ PLC ทั้งหลาย ยังมีหน้ากันสลอนอยู่ทุกวันนี้ครับ ถ้า Windows แกร่งกว่านี้ PLC คงกระเด็นไปหมดแล้ว เพราะ DeltaV ดีมากนะครับ แต่เลือก Platform หลักผิดไปหน่อย ถ้าเป็นตอนนี้ เขาคงเลือก Linux แล้วล่ะ
จุดอ่อนนั้นเอง ที่ผมมักพูดถึงเสมอๆ เฉพาะในวงการผม ว่าถ้าเพียง Windows กล้าทิ้งข้อจำกัดเดิม ทำ Windows อีกสักตัวที่ไม่ต้อง Compatible กับของเดิมเท่านั้น ปูกันใหม่ตั้งแต่ File system เลย จะเยี่ยมยอดมาก จนเมื่อติดตลาดแล้ว ค่อยๆ ทิ้ง Windows เก่าไป ก็คงจะดีไม่ใช่น้อย
นั่น... ผมพูดถึงตัว Windows โดยเฉพาะ... ในมุมมองแบบ Engineer
แต่ถ้าพูดถึงตัว M$ มันจะอีกมุมมองหนึ่งครับ ดังนั้น การอ้างถึงทาง Technic ในมุมมองนี้ ก็จะมี Focus point ที่ต่างกันออกไปครับ
M$ ไม่เคยบอกอย่างที่คุณว่ามาจริงๆ ครับ
แต่คุณเคยได้พบปะพูดคุยกับเจ้าของจริงๆ ในธุรกิจระดับพันล้านไหมครับ? ที่เขาไม่ได้รู้เรื่อง Computer ลึกซึ้งอย่างพวกเรา...
ผมอยู่ในระดับนั้นครับ งานของผมและบริษัทผมทั้งหมด ถูก Lobby จากระดับบนสุดทั้งสิ้น ผมไม่มี Sale และไม่จำเป็นต้องมี แค่นี้ก็ต้องปฏิเสธงานกันแล้ว ดังนั้น Reflect ที่ผมได้รับ จึงแตกต่างครับ
เจ้าของระดับนั้น ดู IT Report (บ้างก็เรียก MIS Report) แล้วเห็นอะไรครับ?
"อ้อ... M$ บริการดี ดูแลบ่อย"
"อ้อ... Redhat ทำไมเงียบเลยล่ะ ทั้งปี มี event นิดเดียวเอง"
ต้องให้สาธยายต่อไหมครับ ว่ามันมีผลอะไรต่อไป?
แต่... ในแวดวงผม ก็มีไม่น้อยนะครับ ผู้บริหารที่คิดว่า ของที่ดี ต้องไม่โดน Service บ่อย กลุ่มนั้นจะมองต่างออกไปครับ
Redhat มาได้ภาษีกว่าหน่อยตรงที่ เขามักขอโทรศัพท์สายตรงถึง Device ของเขาเลย (ไม่ใช่เฉพาะ Server) ต่อ Modem ไว้เลย ผู้บริหาร/เถ้าแก่/เจ้าสัว/เจ้าของเหล่านั้น ซึ่งไม่ได้รู้เรื่องอะไรมาก ก็จะมองจุดนี้เข้าใจว่าเป็นบริการดี ใกล้ชิด ประมาณว่า 24/7 Monitoring เหมือนกันครับ
ในเรื่องการทำธุรกิจ กับเมืองไทย ผมไม่สนใจแล้วครับ ผมไม่สนใจเลยมา 11 ปีแล้ว
ผมมีรายได้จากนอกประเทศ 100% เต็มครับ สรรพากรอยากเก็บภาษีเต็มเม็ดเต็มหน่วยกับผมผมใจจะขาด แต่เพราะผมอยู่เมืองไทยไม่เกิน 180 วันต่อปีมาหลายปีแล้ว เลยไม่มีกฏหมายข้อไหนมาบังคับผมได้
ปัจจุบัน ผมปฏิเสธงานในเมืองไทยทั้งหมด ยกเว้นลูกค้าเก่าแก่ ซึ่งต้องรักษามิตรไมตรีเอาไว้
ผมสิ้นหวังกับ IT ไทยมา 10 ปีได้แล้ว
คนไทยส่วนใหญ่ไม่พยายามปลดแอ็กตัวเองจริงๆ นะครับ
คนไทยชอบเป็นพ่อค้า พอใจซื้อ พอใจใช้ พอใจแบบนั้น ไม่ผิด และผมไม่ว่าอะไรเลย
11 ปีที่แล้ว ผมเลยรู้สึกว่า ความสามารถตนเองไม่เหมาะกับ Demand ในเมืองไทย
เลยปิดประตูใจเลย แล้วไปสู่ตลาดใหม่ ผมกลับพบว่า... อันนี้เป็นข้อสังเกตุของผมเองนะครับ ย้ำนะครับ...
ประเทศที่เคยเป็นเมืองขึ้น ประชากรเขาจะดิ้นรนและพยายามมาก ที่จะปลดแอ็กตัวเองจากการเป็นทาสทางปัญญาของพวก Caucasoid
นั่นเอง ที่ผมพบจุดที่เหมาะสมต่อตัวเอง จากนั้น ผมเลยรับงานต่างประเทศ 100%
แม้แต่บริษัทสัญชาติ American, Germany, Italy, Finland และ Estonia ผมก็เคยไป R&D งานให้
จนในที่สุด เมื่อ 6 ปีมาแล้วนี่เอง ที่เริ่มหันกลับมามอง Asian เรา และเริ่มปักหลัก พยายามรับแต่งาน R&D ของประเทศแถวนี้ล้วนๆ จนตั้ง Office เองไว้ 4 ประเทศแล้ว
ผมขอเล่าโดยสังเขป เพียงเพื่อชี้แจงว่า ผมมีมุมมองที่แตกต่างและน้อยคนนักครับ ที่จะมีมุมมองเดียวกับผมได้
น้อยคนครับ ที่คนที่อยู่บนหอคอยงาช้างแล้วแบบผม จะยังมีห่วงใยสังคม IT ของคนรุ่นหลังจนลงมาเปลืองตัว เกลือกกลั้ว นั่งพิมพ์อยู่แบบนี้
ผมไม่ต้องสนใจเลยก็ได้ครับ แทบทุก Reply ใน Blognone นั้น จะมองเป็นแค่ Garbage เหมือนคนที่อยู่บนหอคอยงาช้างท่านอื่นๆ ก็ทำได้
ดังนั้น มุมมองของคุณ MrWhisper นั้น สำหรับผมจึงรู้สึกว่า ใกล้ User ทั่วไปมากกว่าครับ ในที่นี้หมายถึง System Admin ด้วย
แต่มุมมองของผู้เป็นเจ้าของเงินก้อนโตที่ทำให้ M$ รวยได้จริงๆ นั้น ผมสิครับ ทราบดีกว่าแน่นอน จึงได้บอกว่า ไอ้ 2 ชั่วโมงนั่นแหละ มีความหมายนักครับ
User ทั่วไป ไม่ซื้อครับ Service แบบนั้น เขาซื้อแค่ License ไปติดตั้งใช้งาน
แต่คุณ MrWhisper ดูสิครับ ดูบรรทัดสุดท้ายของท่านผู้ที่ผม Reply ไปด้วย ขออภัยที่จำนามท่านไม่ได้ ในหน้า Reply นี่ ผมก็ไม่ขอไปย้อนดูนะครับ
ข้อความที่เขากล่าวทำนองว่า... "2 ชั่วโมง ได้ Service ระดับนี้ ดีมากแล้ว"
แนวคิดแบบนี้แหละครับ ที่ผมพบว่า มันมีผลมากต่อผู้เป็นเจ้าของเงินรายใหญ่ๆ ที่ซื้อ M$ Service contract ครับ
เล่ามาดังนี้ ผมผิดไหมครับ ที่นำผลตรงนี้มาชี้ให้เห็น ว่ามันมีผลอย่างไร?
User เป็นแค่มดปลวกของเขาครับ ที่จะส่งผลดัน M$ Product เข้าสู่องค์กร เพราะ User มีองค์ความรู้แค่ Platform เดียว
M$ ไม่ได้แคร์เงินในกระเป๋า User ครับ
แต่ M$ เข้าเป้าตรงที่ ทำให้ User มานั่งแก้ต่างกับผู้ที่เขาไม่ชอบ M$ แบบนี้ ตรงนี้ได้
เพราะ User เหล่านี้แหละ ที่จะส่งผลต่อการตัดสินใจของเจ้าของเงินใหญ่ๆ ที่เป็นรายได้ส่วนใหญ่ของ M$ อยู่ เพราะเจ้าของเหล่านั้น ไม่ได้ลงลึกครับ เขาก็ดูจาก Report ของลูกน้องและปฏิกิริยาของลูกจ้างที่เป็น User ของเขาในองค์กรของเขานั่นแหละครับ
M$ มาเอาเงินในกระเป๋า User ทางอ้อมด้วยต้นทุนทาง IT ที่สูงขึ้นในธุรกิจนั้นๆ เมื่อเถ้าแก่มีต้นทุนที่สูงขึ้น Final product จึงราคาสูงขึ้นตาม เมื่อนั้น User ก็บริโภคสิ่งต่างๆ รอบๆ ตัว โดยจ่ายไปในราคาของเหล่านั้นไงครับ
เจ้าสัวทั้งหลายเขาไม่เคยสนใจดอกนะครับ ว่า IT จะใช้อะไร
ไม่สนด้วยว่า ราคาเท่าไหร่ จะจ่ายเท่าไหร่
เพราะทั้งหมด เป็นต้นทุน ที่ไปถูกคำนวนเป็นราคาขายของ Product เขาในที่สุดอยู่แล้ว
ปลายทาง ก็ User นี่แหละครับ ที่จ่ายไปเอง
Reply นี้ นอกประเด็นกระทู้ไปหน่อยนะครับ ต้องขออภัยทุกท่านด้วย
Reply นี้ ขอเป็นการพูดคุยกับคุณ MrWhisper นะครับ
และสุดท้าย ใจเย็นๆ นะครับคุณ MrWhisper คุณคุยกับผมได้ออกรสนั้น ไม่มีปัญหาครับ แต่ใจเย็นๆ ลงหน่อย
ผมเริ่มสัมผัสได้ถึงอัตตาที่เริ่มมีออกมาครับ
คือผมยังไม่เคยเจอกรณีที่ใช้ CLI ของ Windows ทำได้ทุกอย่างแบบที่ *NIX ทำได้นพครับ ในทางกลับกัน ผมก็เห็นว่า *NIX ไม่สามารถใช้ GUI ทำได้ทุกอย่าง อย่างที่ CLI ทำได้เช่นกัน (หรืออาจจะทำได้ แต่ยุ่งยาก และไม่สะดวก)
ข้างบนน่คือทั้งหมดที่ผมจะสื่อ แค่นั้นเองครับ ผมจะสื่อว่าไมโครซอฟท์รู้ตัว ว่าตัวเองมีอะไรดี จึงใช้ประโยชน์จากสิ่งนั้น แทนที่จะไปทุ่มทำอะไรที่ตัวเองไม่สามารถชูเป็นจุดเด่นได้่ ซึ่งผมพูดตรงๆว่าตัววินโดวส์เนี่ย ถ้าไปเน้นการซัพพอร์ตผ่าน CLI ผมว่าคงไม่รอดครับ (แต่ใน NT6 เห็นมี Power Shell เข้ามา ซึ่งว่ากันว่ามันลอก UNIX CLI มา อันนี้ยังไม่ได้ลองครับ ผมไม่รู้มันทำอะไรได้มากมายขนาดไหน)
อารมณ์คล้ายกับคุณกำลังบอกว่า Windows แย่ เพราะ CLI มันห่วย
ซึ่งผมก็พูดได้เช่นกันว่า *NIX แย่ เพราะ GUI มันห่วย
ส่วนเรื่องที่ผู้ใช้คิดว่าการมาดูแลทีนึง นานๆ มันน่าจะดีกว่า อันนี้ เอิ่ม... มันก็ทางผู้ใช้้ล้วนๆ นะ ซึ่งถ้ามันเป็นปัญหา ผมก็ไม่รู้จะแก้ยังไงเหมือนกัน
อีกอย่าง ผมคิดว่า Remote Desktop แบบบน Windows มันทำให้คนธรรมดาทั่วไป ที่ไม่ต้องเก่งมาก สามารถต่อเข้ามาทำอะไรเล็กๆน้อยได้ อย่างเช่นต่อเข้ามาลงโปรแกรมให้ และคอนฟิกอะไรเล็กๆน้อย ซึ่งผมทำให้เพื่อนผมเป็นประจำ (ซึ่งเวลาที่ใช้ก็ไม่ต่างมาก กับตอน ssh เข้าไปที่เซิร์ฟเวอร์ใน รร)
จริงครับ
งั้นผมต้องชี้แจงเพิ่มว่า ที่ผมชมคุณไปว่า เยี่ยมยอดนั้น จริงใจนะครับ ไม่ได้ประชดประชันอะไรเลยนะครับ
ที่ชมเพราะ คุณมองได้ขาด เรื่องจุดเด่นที่มีกันแต่ละด้านครับ
อารมณ์ผมไม่คล้ายแบบที่ว่ามาครับ ก่อนหน้านั้น ถ้าสื่อไม่ชัดเจน ก็ขออภัยครับ
ผมพยายามสื่อถึง "2 ชั่วโมง" ที่เจ้าของ Reply รู้สึกว่าเป็นบริการที่ใส่ใจดีน่ะครับ
ว่าแท้จริงแล้ว มัน Take time เพราะ Remote Desktop มี Overhead สูงน่ะครับ
ยินดีครับ
อ่านๆ แล้วเหมือนจะกว้างไกลนะครับ
แต่บางอย่างก็ติดขัดด้วยคำพูดท่านเอง
hack linux ต้อง ปิด service บางตัวก่อน สมัยอยู่ด้านมืดไม่เห็นต้องลำบากขนาดนั้นนะครับ
ส่วนเปลี่ยน kernel ใน linux ไม่เห็นต้อง plan อะไรเลยนิครับ
เอาแบบ ง่ายๆ เข้าไป load src copy config เอา บลาๆ รอ...เสร็จ install แก้ ลอง boot ดูจบ
เรื่อง NT มาก่อน linux ถ้าผมไม่พลาดมันมาพร้อมๆ กันนิครับ ออกไม่ต่างกันเกินปีแน่ๆ เพราะจำได้ว่า ได้สัมผัส NT 3.1 กับ Redhat 1.0 พร้อมๆ กัน
Edit ว้าเกินปีเหะพึ่งไปค้นมา
http://en.wikipedia.org/wiki/Windows_NT
http://en.wikipedia.org/wiki/Red_Hat_Linux
สุดท้่าย หากคิดจะกลับมาทำงานในไทย ผมทำสิ่งที่ท่านยกมาว่า Engineer ท่านทำให้ได้หมดฮะ
ค่าแรงผมถ้าให้บริการระยะไกล ทั้ง windows และ linux ค่าตัวผม 5,000 ต่อวันครับ เวลาทำงาน ตั้งแต่ 8 ชม.ถึง 24 ชม. ทำติดต่อได้ 4 - 5 วันฮะ
:)
อีกอย่าง MS ไม่ได้อะไรขนาดนั้นสักทีเดียวนะครับ หลายครั้งที่อุปกรณ์ บางอย่าง linux ไม่มี driver หรือ ออกไม่ทัน ก็เห็น mod ของ windows มาใส่กันทุกที คนที่เคยใช้ ubuntu นี่น่าจะเข้าใจกันดี
Ton-Or
ผมคงพิมพ์สั้นไป... ผมหมายถึงว่า อย่าพลาดไปปิด sshd และปิด Port 22 เท่านั้นครับ
ถ้าปิดแล้วจะ ssh กันต่อไปยังไงล่ะครับ (หมายถึงกรณีที่เราทำทั้งหมด ซึ่ง Service อื่นปิดทั้งหมด)
ต้องขออภัยด้วยครับ สั้นและกำกวมไปหน่อย
เรื่อง Kernel ก็สั้นและกำกวมอีกเหมือนกันครับ ผมไม่ได้หมายถึงการติดตั้งจาก Repository ทั้งหลาย หรือการเอา Source มา Compile ติดเฉยๆ
แต่เพราะผมทั้งบริษัท เรามัก Coding ที่ Kernel module กับ Target machine จริงผ่าน ssh ข้ามประเทศกันเสมอ (ประจำเลยล่ะครับ ยิ่งเห็นว่าเป็นเรื่องสั้นๆ ยิ่งประมาท) ดังนั้น ตอนทดลองผลการแก้ไขของเรา จึงต้อง Planing ให้ดี
หลายทีที่ถึงกับ Kernel Panic ต้องโทรศัพท์กันวุ่นวาย Online Conferrence กันให้วุ่น
จึงต้อง Planing ให้ผู้ดูแลปลายทางทำการ Rollback ได้ง่ายที่สุดน่ะครับ
สำหรับเรื่อง NT กับ Linux ผมก็ต้องขออภัย ที่พิมพ์สั้นไปอีก (พิมพ์ยาวไป ก็กลายเป็นโม้มากไป... ทำไงดีล่ะเนี่ย)
ณ เวลาที่ NT เกิด ตอนนั้น NT พร้อม Implement ไปใช้งานในด้านอุตสาหกรรมแล้วครับ แต่ Linux ตามมาทีหลังปีเศษและยังเพิ่งคลอดครับ มันนำมาใช้เลยไม่ได้ครับ ตอนนั้น Fisher Rosemount ไม่เอาแน่ๆ กับสภาพของ Linux ในตอนนั้นครับ แต่ดูเครื่องจักรอุตสาหกรรมตอนนี้สิครับ ที่ไม่ใช่ PLC Control ว่าเขาใช้อะไรกัน?
ตรงนี้เป็นหนึ่งจุด ที่ผมกล่าวไว้ว่า อย่าให้โดนอักขระวิธีตีกรอบครับ
ความจริงในเรื่องนี้ที่อักขระวิธีไม่ได้บันทึกไว้คือ... ณ เวลานั้น Linux ยังเพิ่งเกิดและอ่อนด้อยเอามากๆ ครับ
wiki ที่ท่าน Link มา จึงมีข้อเท็จจริงที่ไม่ครบถ้วนทาง Environment และ Social เอาเลยครับ
ไม่คิดกลับมาทำงานในไทยครับ
แต่ใช้ชีวิตบั้นปลายในไทย อันนี้แน่นอนครับ ผมชอบทำรถ ผมสะสมรถ ผมจะใช้ชีวิตบั้นปลาย สร้างรถของตัวเองกับมือทั้งคันสักคันให้ได้ก่อนตายครับ
เดี๋ยวตีความไม่ชัดอีก...
ที่ว่าทำรถ คือทำเองจริงๆ ทั้งหมดนะครับ ที่มีหลายคันนั้น ยังวิ่งไม่ได้อยู่ 4 คัน เพราะรื้อค้างไว้หลายปีแล้ว ค่อยๆ ทำไปเวลากลับมาตอนว่างๆ เคาะเอง ปะเอง โป๊วเอง ยกเครื่องเอง ผมหิ้วอะหลั่ยกลับมาด้วยเสมอๆ เวลากลับมามีน้ำหนักเหลือ ก็ Load มาด้วยครับ
สำหรับค่าแรงที่บอกไป ทำไมต้องจ่ายสูงขนาดนั้น... สมมติว่า Diamond cutter control board ชำรุด หรือ Mal-function ขึ้นมา บุคคลากรของผมสามารถหยิบ Stamp board CPU ใดๆ ขึ้นมา (ช่วงนี้กำลังนี้ฝักใฝ่ ARM กันครับ) หยิบ Proto board หรือ Print เอนกประสงค์ก็ได้ขึ้นมา หาอะหลั่ยต่างๆ ไปจน SIP Relay, Proximity switch ต่างๆ จาก IT Junk มาเลาะ แล้ว Design สดในหัว ลง Print เอนกประสงค์หรือ Proto board นั้น เลือก Code ของ OS มาแล้วเขียนโปรแกรมทดแทน เข้าแทนที่ใน Line เพื่อให้ Production เดินต่อได้ในทันทีภายในวันเดียวกันไปก่อนที่เจ้าของเครื่องจักรนั้นจะส่ง Engineer บินมาแก้ไข/Replace ถึง Site งาน
ค่าแรงแค่นี้ จึงคุ้มค่าที่ลูกค้าผมจะจ่ายให้ครับ เพราะ Line หยุดแต่ละวัน เสียหายกว่าค่าแรงแค่นี้มากครับ
Skill เท่านี้ 15,000 ต่อวัน นี่ แพงไปหรือเปล่าครับ? ถ้าคุณมี Skill เท่านี้ ผมสนใจนะครับ อยากมาทำงานกับผมไหมครับ?
กำลังงง ปิด sshd port 22 ก็แค่ ssh เข้าไม่ได้นิครับ เผลอๆ จะเป็นช่องทางที่ป้องกันได้ดีที่สุดเลยก็ว่าได้
เกี่ยวอะไรกับปิดแล้วจะโดน hack เอ หรือผมอ่านอะไรผิด
ตอนที่อยู่ ด้านมืดผมก็ hack มันบน ssh นั่นหล่ะครับ
sniff หา acc ชาวบ้านมาสมัยนั้นยังเป็น hup กันเยอะแยะ ดักทีได้ทั้งห้อง server ,เดา pass , run program สุ่ม
เข้า acc ชาวบ้านหาช่อง run backdoor, explo, etc..
อีกอย่าง ถ้าเป็นงานเฉพาะทาง จริงๆ เขาก็ไม่ใช้่ port ปกติ พวกนี้ให้ scan เจอง่ายๆ นะ อย่างน้อยก็ควรเปลี่ยนหนี
ส่วนพวกที่เข้าทาง bug ของ service มันแล้วแต่ดวง(ได้บ้างไม่ได้บ้าง เท่าที่ลองทำ) ไม่ขอยกมาแล้วกัน
NT linux ผมก็บอกแล้ว ผมจำได้ว่า ผมแตะมันพร้อมๆ กัน ที่จำได้เพราะเป็นช่วงที่กำลังเข้ามหาลัยพอดี
ที่ยก Wiki เพราะผมจำไม่ได้ว่ามันออกต่างกันเกินปีไหมแค่นั้นครับ
ส่วน Red Hat ที่ออกมาตอนนั้นทำอะไรได้มากไหม สำหรับงานที่ผมสนใจมันก็ทำได้เกือบ ครบนะครับ ในเรื่องความสามารถ แต่แตกต่างในเรื่อง ความสะดวกอย่างมาก เมื่อเทียบกับ NT (แต่ผมเฉยๆ ชอบจอดำๆ ที่มีแต่ตัวหนังสืออยู่แล้ว เพราะงานทุกวันนี้ก็ service ให้ร้านลูกค้าผ่าน ssh) ทำให้ผมหันมาทาง linux แทน Windows
เรื่องงานดูจากสายงานแล้ว คงไม่ใช่ที่ผมคิดไว้แล้วน่ะครับ ผมคงไม่สนใจแล้ว
เห็นท่านยก linux ระบบ service ระยะไกลมาซะเยอะ เลยคิดว่าเป็นงานทำอยู่กับบ้าน
ผมเลยแจ้งว่าให้ผมทำงาน อยู่กับบ้าน remote ไปแก้ kernel, check service, compile, จัดการ software, custom kernel, Driver ให้เล็กและเสถียรเฉพาะอุปกรณ์ที่ใช้ภายในเครื่อง อย่างเดียวจากระยะยไกลเนี๊ยะ
ค่าตัวผมลดจาก rate ของท่านให้เหลือแค่นั้นไงครับ
ครั้นจะต้องไปนั่งดมตะกัวตอนเชื่อมโน่นเชื่อมนี่ มาเปลี่ยนอุปกรณ์ตัวเดิมแทนไปก่อน มันกลายเป็นคนหละ fill เลยน่ะครับ เพราะเห็นพูดถึงเรื่องดูแล ระยะไกลมาเยอะ(แต่ทำได้ไหม ถ้าสมัยหนุ่มๆ ยังไม่ได้คืนครูบาอาจารย์ยังพอทำได้อยู่ครับ แต่ปัจจุบันไม่ได้แตะกับ Hardware ระดับวงจร IC มาเกิน 10 ปีแล้วเหมือนกันครับ)
Ton-Or
Reply สุดท้ายสำหรับวันนี้ของผม
พรุ่งนี้ผมยังให้ตัวเองหยุดงานอีก 1 วัน
ผมว่า เรางงๆ กันแล้วล่ะครับ ผมก็หาไม่เจอ ว่าพูดกันเรื่อง Hack เมื่อไหร่? ช่างมันเถอะครับ อย่าไปใส่ใจเลย
ใช่ครับ ผมไม่ได้ใช้ Port 22 ครับ ปกติผมจะใช้ Port xxx22 ครับ แต่อธิบายให้สั้น ก็เลยกล่าวแค่ Port 22 ซึ่งเป็นหมายเลข Port ปกติของ SSH Service ละเชิงลึกทางเทคนิคเอาไว้
ส่วน Port 22 จริงๆ ผมก็เปิดครับ โดยมี Service ของพวกเรากันเองคอยอยู่ เพื่อคอย Capture การพยายาม Hack จากภายนอกครับ เก็บสถิติแล้วประเมินว่า เป็นการจงใจโจมตีหรือไม่ด้วยความถี่และต้นทาง ถ้าต้องสงสัยว่าเป็นการโจมตี ก็จะ email ด้วย ssmtp ผ่าน Service สาธารณะอย่าง imap4 ของ Google แจ้งทีมงาน รวมทั้งส่ง SMS เข้าเบอร์โทรศัพท์มือถือประจำประเทศนั้นๆ ของทีมงาน (พกโทรศัพท์กันทีละ 4-6 เบอร์กันทุกวันครับ)
Service port มาตราฐานทั้งหลาย เราเขียน Service handle หลอก Hacker ดักเอาไว้หมดครับ เลยไม่เคยพลาดเลยมาตลอดชีวิตกับ *nix ครับ
Red hat ตอนนั้น ครบแค่ในเรื่อง Computer Network Server เท่านั้นครับ แต่ถ้ามา Implement ในเรื่อง Industrial control นั้น เท่ากับยังไม่มีอะไรเลยครับ ตอนนั้นแค่ Solaris ก็ยังเพียบพร้อมกว่าครับ
อันนี้คือ Link สำหรับ DeltaV ในปัจจุบันครับ http://www2.emersonprocess.com/en-US/brands/deltav/Pages/index.aspx
บริษัทผม ยึดตัวผมเป็นหลัก เน้นแต่งาน R&D โดยเฉพาะ ผมชอบงาน Hardware มากกว่า บริษัทผมจับไล่ขึ้นมาทุกระดับ แต่ตัวผมเอง ผมจะหยุดอยู่ที่ระดับ Kernel หรืออย่างมากก็ Service
ส่วน Ladder, Batch และ Application ทั้งหลาย ผมไม่ลงมือเองแล้วครับ ไม่สนุกเท่า Hardware (สำหรับผมนะครับ) ใน Layer นั้นขึ้นไป ลูกน้อง Handle ทั้งหมดครับ ผมคุมทิศทางเท่านั้น
นอกจากงาน Industrial control แล้ว บริษัทผมยังรับ Design อุปกรณ์เฉพาะด้วยครับ
เช่น 10W 5GHz Outdoor WDS with POE หรืออุปกรณ์ตรวจจับพิเศษต่างๆ เช่นตรวจนับทองคำใน Line ในเหมืองเพื่อบันทึกปริมาณประมาณการส่งเข้า Server เพื่อป้องกันการลักลอบของคนงาน ไปจนกระทั่งออกแบบ Embedded device เฉพาะทาง และเมื่อก่อนยังทำไปถึงกับอุปกรณ์ทางการแพทย์ด้วยครับ (อันหลังนี้ไม่ได้ทำมา 9 ปีแล้วครับ)
เครียดไปรึเปล่าครับ...ยังไม่เห็นเค้าว่าอะไรค่ายอื่นเลย :D
ผมพยายามบอกว่า ค่ายอื่นที่บริการดีเท่านั้น ไปจนถึงดีกว่า ก็มีครับ
และระยะเวลาที่บริการ มันก็ขึ้นอยู่กับ Overhead อื่นด้วยครับ
และบรรทัดสุดท้าย คือสิ่งที่ผมสังเกตุเห็นได้ตรงที่ความแตกต่างเวลาที่ M$ Supporter กำลัง trouble shooting เมื่อเทียบกับ Supporter อื่นๆ ในขณะกำลัง Trouble shooting อยู่นั้น เห็นได้ชัดคือ "ความสนุกกับงาน" ที่แตกต่างกันมากครับ
หมายถึง จากการเฝ้าดู สังเกตุ พูดคุย นะครับ เราจับอารมณ์และความรู้สึกได้จากปฏิสัมพันธ์เหล่านี้ครับ
แล้วราคา support ของ Red Hat ที่บินข้ามทวีปมันเท่าไหร่เหรอครับ? คือผมเคยใช้ support ของหลายที่ ของ MS นี่แทบจะถูกที่สุดแล้วครับ
ไม่หนีกันนะครับ
ผมจะกล่าวถึงเฉพาะ Premium ของ Red hat นะครับ (เอาที่ดีที่สุด) ซึ่งก็แล้วแต่ Level และ Platform ก็มีตั้งแต่ราคาปีละ $299 จนถึงเกือบ $7,000 (สูงสุดนี่จำไม่ได้แม่นครับ จำต่ำสุดได้)
เกลียด apple
ศาสดา เอา linux มาแต่ง หลอกขายเป็น mac osx ทุนนิยมเกิน os ก็ฟรี hardware ก็เหมือนกัน แค่มาใส่ design แล้วโฆษณา เอาของห่วยมาหลอกขาย
หลังๆมานี่ก็ ด่ายี่ห้อนู้นนี้ไปทั่ว ด่าเพื่อการตลาด
ส่วน iphone ก็มี bug ทุกอย่าง ทุกรุ่น ยิ่งทำยิ่งห่วย เด๋วนี้ เวลา firmware ออกใหม่ ไม่กล้ารีบอัพตาม
ค่า Design นั่นแหละครับ ตัวแพง
ปล. ซอฟท์แวร์ใดไม่มีบั๊ก ซอฟท์แวร์นั้นไม่ใช่ซอฟท์แวร์ที่สมบูรณ์
Design การออกแบบ การคิดค้นอะไรออกมาที่ไม่เหมือนคนอื่นและทำให้คนกลุ่มหนึ่งในสังคมรู้สึกชอบและพึงพอใจ มันไม่ใช่เรื่องง่ายนะครับ ถ้าคิดว่าง่ายลองออกแบบอะไรสักอย่างเองเล่น ๆ ดูแล้วจะเข้าใจครับ
ที่บอกว่าเอา Linux มาแต่งแล้วหลอกขาย ผมว่ามันคงไม่ใช่ง่ายแค่นั้น ถ้ามันเป็นแค่นั้นจริงทำไม Linux ทุกวันนี้ไม่ทำแบบนั้นบ้างจะได้ดังเทียบเท่ากับ OS X จะได้มีฐานผู้ใช้งานมากกว่านี้ ที่เขาไม่ทำเพราะมันไม่ง่ายอย่างที่คิดครับ
That is the way things are.
+1 แต่ 10.10 สวยใช่เล่นนะ ผมว่าไปไกลกว่า 7 เยอะเลยล่ะ
มีครับ เค้าเรียก ubuntu ทุกวันนี้ สวยกว่า mac + windows7 รวมกัน
ศาสดาไม่ได้ใช้ Linux ครับ ถ้าจำไม่ผิดเป็น BSD แล้วไม่ได้เอามาเพียวๆ เขาเอามาแก้ด้วยครับ
ตอนนี้ที่ผมไม่ชอบที่สุดคือ Oracle ครับ
รายนั้นเค้า Be Evil ไปแล้วครับ
อีวิลไม่อีวิล ใครจะไปสนเลี้ยงปากท้อง และลูกน้องได้มันสำคัญกว่านี่นะ
ปล.ผมจะมาดันกระทู้นี้จนปีหน้าเลย ถ้าเป็นไปได้จะขุดให้ถึง 2012 ถ้าหากโลกยังไม่น้ำท่วมนะ
ไม่ชอบ Oracle เหมือนกันครับ
ผมคนนึงครับที่ไม่ได้เกลียด Microsoft เพราะไม่รู้จะไปเกลียดอะไรเค้า
แต่กลับชอบ และยังขอบคุณ Microsoft และ Os Windows อีกซะด้วย
ถ้าไม่มี windows ผมคงไม่มีงานส่งอาจารย์
ถ้าไม่มี windows ผมคงเรียนไม่จบ
ถ้าไม่มี windows ผมคงไม่มีงานทำ
.............แค่นั้น
อิอิ ให้ตายสิบ้างก็ชอบ บ้างก็เกลียด MS ถามจริงๆครับคนที่บอกว่าเกลียดเค้านักหนาเนี้ย ตอนโพสข้อความคุณโพสผ่านพีซีหรือแมคครับ อย่าซีเรียสครับมีให้ใช้ก็ใช้ รักทุกคน(MS & MC)
ผมไม่ได้เกลียดค่ายไหนเลย อันไหนคุ้มค่าก็ใช้ ห่วยก็ว่าไปตามกัน แต่ไม่ขอบคุณนะครับ อิอ
แต่ก่อนผมเกลียดมากเนื่องจากยังหนุ่มไม่ชอบอะไรที่มันเป็นอุดมคติ ไม่ชอบที่ Microsoft ดำเนินธุรกิจแบบฉลาดแกมโกงอย่างเก่งกาจ Bill Gates เก่งในการเล่นไพ่ Poker มากเป็นที่รู้จักกันดี คนเล่น Poker เก่งจะต้องลักไก่เก่ง หลอกล่อเก่ง ไม่มีแต้มหรือเป็นลองก็สามารถชนะได้ ต้องดูหนังที่ดีมากแต่เก่าแล้วคือเรื่อง "Pirates of Silicon Valley" แล้วจะเข้าใจระดับหนึ่ง จริงๆแล้วในสมัยนั้นมีอีกหลายเรื่องที่น่าเกลียด เช่น Microsoft รับจ้างทำระบบปฎิบัติการที่เป็น Window ให้กับ IBM ที่ชื่อว่า "OS2" ตอนนั้น Microsoft ยังไม่มีระบบปฎิบัติการ Windows ยังเป็น MS-DOS เป็นจอดำตัวหนังสือเขียว และจอสีที่มีสีอยู่บ้างไม่กี่สีอยู่ เอาเงิน IBM มาพัฒนารับว่าจะเสร็จในหนึ่งปี แล้วก็เลื่อนเป็น 2 จนในที่สุดสี่ปี่กว่า ไอ้นี่ไม่เท่าไหร่แต่ดันออก Windows ของตัวเองออกมาก่อนนี่สิ แล้ว OS2 ก็ดับตั้งแต่เกิดเลย มันเหมือนหลอกเอาเงินเขามาพัฒนา ถ้าคุณเป็นนักพัฒนาคุณคงรู้สึกบางอย่าง ไมโครซอฟท์ในอดีต Copy สิ่งต่างๆใน UNIX ออกมาแล้วตัดตอนให้มันใช้ได้ไม่เต็มที่ คือมีบั๊กบ้าง ใช้ได้ไม่รัดกุมบ้าง มีช่องโหว่ทางวิชาการบ้าง ทำเครื่องแฮ๊งค์บ้างก็ปล่อยผู้ใช้กันไป ทำลายมาตรฐานทางคอมพิวเตอร์ เปลี่ยนชื่อเทคนิคทางวิชาการมาเป็นของตัวเอง ซึ่งทำให้คนคิดไปว่าอ้อนี่คือเทคนิคทางวิชาการที่ระบุใน Spec. ทั้งๆที่ไมโครซอฟท์ทำไม่ได้ตามเทคนิคหรือตัดส่วนสำคัญออกไป ตอน IE ก็ทำลาย Netscape ทั้งๆที่ Netscape ดีกว่าทุกด้าน และในช่วงแรกก็ Anti Internet พอเห็นว่าเบรคไม่อยู่ถึงจะรีบตามกระแส ผมจึงเห็นว่าไมโครซอฟท์ได้เคยทำลายโอกาสความก้าวหน้าทางด้านคอมพิวเตอร์ไปอย่างมากมาย ข้อดีของไมโครซอฟท์คือ ซื้อ Lotus123 มาทำ Excel ทำ MSWord และ Powerpoint ที่สำคัญคือไมโครซอฟท์เป็นให้ความสนใจต่อภาษาต่างประเทศทั่วโลกได้สมบูรณ์แบบเป็นเจ้าแรกและสำคัญในช่วงเวลาหลายสิบปีก่อน
แต่ตอนนี้ไม่เกลียดแล้ว เห็นว่าเก่งระดับหนึ่งทางเทคนิค แต่ที่เคยเก่งคือการเล่น Poker ทางธุรกิจ
คือการหลอกลวงโลกได้สำเร็จสมบูรณ์ เหมือนกับเราเห็นผู้บริหารอาวุโสของบริษัทเราน่ารักน่านับถือมาก เป็นคนดีพร้อม รักและห่วงใยลูกน้อง แต่ในอดีตเขาได้ฆ่าเพื่อนและคู่แข่งด้วยความเหี้ยมโหด จนคนรุ่นเดียวกันรู้เส้นทางการขึ้นสู่อำนาจได้เป็นอย่างดี
เล่าประวัติได้ดีมากเลยครับ ผมก็ตามอ่านหนังสือ และหนังที่ว่ามาตลอดนะ เลยเฉยๆ ไม่ดีแต่ก็ไม่ถึงกับเลว แต่ก็อย่างว่าแหละ คนจะรวยอันดับต้นๆของโลกได้ไม่ใช่ได้มาโดยไม่รู้ตัว เขาพยายามเพื่อให้ตัวเลขมันพุ่งเหนือคู่แข่งอยู่แล้ว ก็เป็นธรรมดาที่ต้องกำจัดคู่แข่งเพื่อก้าวมาเป็นเบอร์หนึ่ง บนยอดสุดของสามเหลี่ยม self actualization
OS/2 มันไม่ได้ดับตั้งแต่เกิดนะ เพียงแต่มันไม่โตเพราะคนนิยมใช้ดอสมากกว่า
ข้อดีของ OS/2 คือมัลติทาสก์กับใช้หน่วยความจำได้เยอะ ซึ่งไม่มีประโยชน์ในยุคที่ CPU ยังช้าและแรมราคาแพง
นึกถึงหนังเรื่อง Social Network ครับ
"You don't get to 500 million friends without making a few enemies."
มีคนชอบคนเกลียดเป็นเรื่องธรรมดาเหมือน comment แรก เป็นแค่โลกธรรม 8 เท่านั้น
ไม่ได้เกลียด MS แต่แค่ไม่ชอบบาง product และบางแนวคิด
แต่โดยรวมแล้วผมรัก .Net 4.0 ที่สุด
ส่วนเรื่องที่ windows มีbug ทุกรุ่น ขอบอกว่า ต้องมาเป็น developer เอง แล้วจะรู้ว่า การสร้างโปแรกรมให้ไม่มี bug ยากยิ่งกว่าการสร้างบ้านไม่ให้มี defect ซึ่งมันแทบเป็นไปไม่ได้ ยิ่งมีข้อจำกัดเรื่องเวลา และงบเข้ามาด้วยแล้ว อยากจะบอกว่า bug มันเป็นเรื่องธรรมชาติที่ผู้ใช้ไม่เคยเข้าใจ
ส่วนเรื่อง monopoly บ.ใหญ่เป็นหมดครับ ตั้งแต่ intel, ms, apple, oracle, etc เพียงแต่แค่ ms รวยสุด
ลองมองในมุมกลับกัน ms ผลิต os มาขายในราคา 5000บาท ถือว่าต่ำมากๆ แต่คนยังด่าว่าแพง แต่คนไม่เคยคิดเลยว่า production ขนาดนั้น marketing ขนาดนั้น ขายได้ราคานี้ ถือว่าถูกแล้วนะครับ
ผมชอบ MS บางผลิตภัณฑ์ที่ทำขึ้นมา "เพื่อให้คนบ้านๆธรรมดาใช้งานได้เป็น"
และผมก็ไม่ชอบใจ Opensource บางตัวที่ไม่เข้าใจคำว่า "Usability"
Opensource บางตัวที่ไม่เข้าใจคำว่า "Usability"
อันนี้เป็นเพราะว่าคนทำชอบแบบนั้น เค้าก็ทำแบบนั้น ถ้าไม่ชอบใจ "Usability" ก็ลงมือเข้าไปแก้ไขเองครับ folk ออกมาทำใหม่เลยก็ยังได้
แสดงให้เห็นคำตอบว่า ถ้าจะใช้ก็ใช้ถ้าไม่อยากใช้ก็ไปทำเอง
นั่นแหละครับ หมายความว่าอย่างงั้น
โลกของ Open Source เกิดขึ้นมาได้เพราะแบบนั้นจริงๆ
ใช่ครับ อาจจะฟังแล้วรู้สึกแปลกๆ แต่มันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ อยากได้ต้องทำเอง
Opensouce ไม่ได้มีแค่ซ้ายและขวาครับ
สำหรับผม อย่างน้อยมี 3
ดังนี้...
ถ้าอยากใช้ ก็ใช้
ถ้าไม่อยากใช้ ก็ไม่ต้องใช้ ไปใช้ที่ชอบที่ชอบเถิด
ถ้าไม่ชอบใจ เชิญเอาไปยำเองได้เลย
ถ้ามาได้ อยากให้มาทานข้าวราดแกงข้างถนนธรรมดาๆ ในมาเลเซียดูนะครับ
อาจจะเข้าใจ Opensource ได้ดีขึ้นบ้าง
ข้าวราดแกงที่นี่ มีวิธีคิดและวิธีขายที่ต่างจากข้าวราดแกงบ้านเราครับ
มันเปรียบได้กับความแตกต่างระหว่าง Opensource software และ Closesource software ครับ
ข้าวราดแกงในมาเลเซียนี่ หมายถึงว่า ร้านให้เราตักข้าวเอง จะกินข้าวมากแค่ไหนก็ได้
ส่วนแกง ทางร้านจะเป็นคนตักให้เอง แล้วก็มาคิดเงิน แบบนั้นรึเปล่าครับ?
เพิ่งไล่อ่านใหม่เจออันนี้ ตามที่ผมพูดไว้คือ จะทบทวนข้อความของท่านอีกหลายๆ รอบ เลยเพิ่งใช้ Ctrl+F หาชื่อท่าน
ขออนุญาตคุณ DesertWasabi ในการเสวนากับท่านใน Reply นี้นะครับ
เกือบใช่ครับ ตักเองทุกอย่าง ตั้งแต่ข้าว ยันกับข้าว ถ้าเราไม่พอใจที่เขาตักให้
เราเลือกได้เอง ชอบอะไรมาก ก็ตักมาก ไม่พอใจอะไร เราก็เอาออก
แล้วเขาก็คิดราคาจาก Final ที่เรา Customize จนพอใจเราเอง
มักไปทานที่ไหนครับ? ผมทานประจำแถม Medan Tuanku ตักเองทุกอย่างนะครับ
ร้านข้างสถานี KL Sentral monorail ก็ตักเองทุกอย่างนะครับ
ส่วนใหญ่ที่ผมไปทาน ก็ตักเองได้ทุกอย่างครับ
ผมดัดจริตนะครับ ระวังเรื่องความสะอาด เพราะทำอาหารเองเป็นด้วย เนื่องจากเกิดในยุคที่ต้องหุงข้าวขัดหม้อ เช็ดน้ำเอง เลยดัดจริต ปกติข้าวราดแกงข้างถนนบ้านเรา เลยเลี่ยงๆ เพราะกลัวเรื่องความสะอาด เคยอาหารเป็นพิษเข้าโรงพยาบาลไปหลายครั้งแล้ว
แต่ข้าวราดแกงที่มาเลเซียนี่ ถูกใจผมจริงๆ ที่ Customize ได้ตามใจชอบ สำหรับที่นั่น เลยลดความดัดจริตไปได้กึ่งหนึ่งเลยทีเดียว
แต่สภาพแวดล้อมสกปรกนักก็ไม่ไหวครับ
ปล. Reply นี้ นอกประเด็นกระทู้นะครับ
ของผมเคยทานที่ Perlis ครับ สมัยไปเรียนอยู่ที่นั่น เหอๆ ทีแรกก็แปลกใจครับ กับระบบขายข้าวบ้านเขา ที่ให้ตักข้าวเองได้ตามใจชอบ อยากกินแค่ไหนก็ตักเอาเต็มที่ แต่นึกไปนึกมา ก็ไม่เลวเหมือนกัน ช่วงแรกๆ เลยตักข้าวซะพูนจานแทบทุกมื้อเลยครับ 5555 (สงสัยอดอยาก) เจริญอาหารน่าดูครับช่วงนั้น
อ้อ มีเรื่องแปลกอยู่เรื่องนึง ที่ผมได้พบเจอตอนอยู่ Perlis นั่นก็คือ ไม่มีผัดกระเพราครับ หากินยากมาก ไม่ทราบว่าที่ KL หากินง่ายรึเปล่าครับ
ไม่เห็นนะครับ ยังไม่เคยมองหาผัดกระเพราเลยจริงๆ คิดเอาเองว่า คงปลูกยากกระมัง
ผมชอบกับข้าวที่ประกอบไปด้วยไก่ของเขาครับ
ผมว่าเขาประกอบอาหารที่มาจากไก่ได้หลากหลายมาก
Office ที่มาเลเซียผมอยู่ Petaling Jaya ครับ
แต่เข้า KL เสมอๆ เพราะมา Lowyat กับ Time square ครับ
วันหยุด จะเข้ามาพักใน Time square หรือที่ Brisdale เสมอครับ
ขึ้นอยู่กับว่า ถ้าแฟนมาด้วย เธอจะ Shopping และพักหรูๆ สบายๆ ก็ไป Time square
ส่วนถ้าลำพังผม ผมก็จะไป Brisdale เพราะจะไปทานข้าวราดแกงในตลาด Chow kit นั่นแหละ
ทานไม่เบื่อจริงๆ ในตลาดนั้นมีหลายร้าน ผลไม้ตบท้ายก็เยอะแยะครับ
ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ขอโม้ไว้เพิ่มเติมหน่อย เผื่อจะมีคนคุยออกรสได้แบบนี้ ที่คุ้นเคยกับสถานที่ที่ผมคุยได้ด้วยสนุก กลับมาแล้ว ไม่มีใครรู้จัก Environment เดียวกันก็เหงานะครับ เขาคุยกันเรื่องในพันธุ์ทิพย์พลาซ่า ผมก็ใบ้กิน อ่านอย่างเดียว
Office ที่สิงคโปร์ผมอยู่บน HDB ครับ ที่สถิตย์ประจำคือ Simlim ทั้งสองตึกและ Funan ถ้าจำไม่ผิด ในนี้มีคุณ JavaBom หรือ JavaBoom (ขออภัยถ้าสะกดผิด) ที่อยู่สิงคโปร์เหมือนกัน
ที่ฮ่องกงผมอยู่ที่ Langham ครับ ที่สถิตย์ประจำคือ Wan Chai ครับ
ที่ลาวผมอยู่คำม่วนครับ ที่นี่ยังไม่เป็น Office ของตนเองครับ เรื่องเอกสารสิทธิที่นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย ที่นี่ผมอาภัพครับ ไม่มีที่เที่ยวแบบ Modern เลย แต่ถ้าเอาธรรมชาติล่ะ ดีที่สุดเลย
และที่ US ผมอยู่ที่ 8525 NW Blvd, IN ครับ ที่สถิตย์ประจำคือ Circle Square โดยเฉพาะในเดือนที่ WWE มาจัดมวยปล้ำในรัฐ
ที่สิงคโปร์ผมเคยบังเอิญเจอที่ร้านอะไรจำชื่อไม่ได้ อยู่บนถนน Geylang ตรงข้าม Lai Ming Hotel ครับ มีผัดกระเพราขาย แต่ไม่ทุกวันครับ ตัวยืนพื้นคือต้มยำกุ้ง
ที่ฮ่องกง ผมก็ไม่เคยมองหาและยังไม่บังเอิญเจอ
แต่ที่ IN นี่แหละครับ ที่ผมกลับเจอผัดกระเพราครับ เจอโดยไม่ต้องหา
มียี่ปั๊วะที่ Chicago รับวัตถุดิบจากบ้านเรา ส่งร้านอาหารที่ CG และรัฐรอบๆ ครับ
อันนี้แอบภูมิใจเสมอครับ ถึงจะผัดออกมาแล้วเพี๊ยนไปเยอะ แต่ก็ทานครับ เพราะอาหารไทยถือเป็นอาหารจานแพงที่นั่นเลย
แต่ที่สุดท้ายคือคำม่วน ที่ลาวครับ... อันนี้ก็ต้องพูดถึงหน่อย
เพราะน่าจะมีใช่ไหมครับ เพื่อนบ้านกัน วัตถุดิบในการประกอบอาหารก็นำเข้าจากบ้านเราไปเยอะแยะใช่ไหมครับ
กระทั่งติ่มซำ ยังเป็นของแช่แข็งจาก Tesco Lotus บ้านเราไปทำขาย
แต่... ดันไม่มีผัดกระเพรา..
อันนี้ตั้งใจหา แต่ไม่เคยเจอ
ที่คาดหวังว่าจะเจอ กลับไม่เจอ ที่ไม่ได้คาดหวัง ผมกลับบังเอิญเจอครับ
ใครคุ้นเคยที่เหล่านี้ แลกเปลี่ยนกันได้ครับ
อืมๆๆๆ ได้ความรู้ใหม่เยอะทีเดียวครับ
เห็นด้วยครับ ยกตัวอย่าง Opensource ง่ายๆเรื่อง Usability คือ Drupal นี่ล่ะ
เรื่อง Usability ของ Drupal จัดว่าค่อนข้างแย่เลยล่ะครับ (Drupal 7 ผมยังไม่ได้ลอง) แย่กว่า Joomla อีกครับ
คนธรรมดาสามัญใช้ไม่ได้แน่นอน
แต่ที่มันได้รางวัลนี่เพราะเรื่อง scalability นี่ละครับ
ผมละเบื่อจริงๆกับคนที่พิจารณาบางสิ่งโดยใช้ข้อเท็จจริงที่เป็นอดีตมากๆมาอ้างอิง
กลับมายุคปัจจุบันกันเถอะครับ มาดูข้อเท็จจริงว่า MS เป็นอย่างไร
พวกที่อ้างว่า MS ออก pakage มา kill product อื่นผมว่ามันฟังไม่ขึ้นแล้วนะครับเดี๋ยวนี้
ถ้า 10 ปีก่อนผมเป็นคนใจบุญสุนทาน แต่ปัจจุบันผมฆ่าคนเป็นผักปลา คุณจะบอกว่าผมเป็นคนดีอยู่ไหมนี่
เห็นด้วยครับ
เราน่าจะมองแบบสิ่งไหนถูกก็ว่าถูก สิ่งไหนผิดก็ว่ากันไปตามผิดดีกว่านะครับ
เพราะไม่มีใครที่ดี(ถูกใจคนอื่น)ได้ 100% อยู่แล้ว
ผมแค่กลับประโยคนะครับ..
ถ้า 10 ปีก่อนผมฆ่าคนเป็นผักปลา แต่ปัจจุบันผมเป็นคนใจบุญสุนทาน คุณจะบอกว่าผมเป็นคนดีอยู่ไหมนี่
ความรู้สึกต่างกันไหมครับ? ต่างกันอย่างไร?
ก็ต้องบอกว่าเป็นคนดีครับ คนเราทุกคนย่อมสมควรได้รับโอกาสในการกลับตัวและแก้ตัว
ไม่้ควรยึดติดอยู่แต่กับภาพอดีตมากจนเกินไป จนเป็นอคติ กลายเป็นคนให้อภัยคนอื่นไม่เป็น
ถ้าสมมุติเป็นตัวเราเองที่เคยทำผิดมา แล้วเรากลับตัวแล้ว หรืออย่างน้อยก็ชั่วเลวน้อยลง
เราก็อยากจะได้รับโอกาสจากสังคมเหมือนกันครับ หรือใครไม่อยากได้โอกาส?
"เราหยุดแล้ว ท่านต่างหากยังไม่หยุด"
น่าจะใช้ประโยคนี้น่าจะเหมาะนะครับ
ท่านทั้งสองหมายความว่า ท่านเปรียบ M$ ดั่งองคุลีมาลเชียวหรือครับ?
M$ ไม่ได้ละทิ้งอะไรเลยนะครับ แม้แต่จะ Open source หรือแค่ Open file format ก็ยังไม่ทำเลย
ก็ยังค้ากำไร ยังใช้ Marketing tactic ยังใช้ Close foramt บีบตลาดอยู่หนักกว่าเดิมด้วยซ้ำ
แถมยังพัฒนาวิธีการครอบงำเป็นแบบยุคใหม่ตามตลาดทุนนิยม คือการกว้านซื้อ
ซื้อแล้ว นอกจากดองให้ตายแล้ว ก่อนจะตายยังนำไปใช้ฆ่าผู้อื่นต่อไปอีก
ที่ M$ ยังมีรายได้ ร่ำรวยทุกวันนี้ ไม่ใช่เพราะลูกค้าทุกท่านในโลกให้โอกาสอีกหรือครับ?
ไหนครับ ที่ว่า สังคมไม่ให้โอกาส?
มองความเป็นจริงสิครับ อย่าหมกปัญญาตัวเองอยู่ในความ Drama ในความคิด ความจริงคือ M$ ไม่เคยเสียโอกาสเลยต่างหากครับ
M$ เคยแต่มีโอกาสแล้วคว้าไว้ไม่ติด ซึ่งมีน้อยกรณีมาก
เปลี่ยนจุดยืน เปลี่ยนมุมมองคิดดูสิครับ
ถ้าท่านคิดแบบนั้น ท่านน่าจะรัก Sun มากกว่า M$ เยอะนะครับ
เอาอย่างนี้ ที่ผ่านมาจนบัดนี้ มีอะไรสักอย่าง ที่ M$ ประสิทธประสาทให้ความรู้และปัญญาแก่ชาวโลกเขาฟรีๆ โดยไม่หวังผลตอบแทนทั้งเดี๋ยวนั้นไปจนอนาคตบ้างครับ?
นึกออกมาสักอย่างซิครับ
แล้วท่านลองนึกถึงสังคม Open source และ Linux สิครับ ที่ท่านไม่ต้องจ่าย ไม่ต้องเสียอะไรเลย ฟรีจริงๆ Completely free ทั้ง Product ไปตลอดจน Source code ที่เปิดให้ท่านได้ไปทั้งหมด ไม่ว่า Know how หรือ Know why ซอกมุมไหน หลืบใดๆ ก็ยังโดนด่าสาดเสียเทเสีย
เมื่อท่านไม่เคยเป็นผู้ให้ ผู้เสียสละได้เท่า M$ แล้ว ผมไม่แปลกใจอะไร ที่บรรทัดฐานของท่านจะมอง M$ ดีปานนั้น เพราะท่านรู้สึกว่า M$ ทำดีได้มากกว่าที่ท่านเคยทำมา
แต่ท่านลองนึกถึงคนในสังคม Open source สิครับ ที่หลายแสนท่านที่เป็น Developer นั้น เป็นแค่มนุษย์เงินเดือน ชักหน้าไม่ถึงหลังเหมือนคนทั่วไป ก็ยังเสียสละสร้างสรรผลงานให้ชาวโลกใช้กันฟรีๆ
ดังนั้น พวกท่านไปหักล้างเขาไม่ได้ดอกครับ เมื่อเขาจะมอง M$ เทียบกับการเสียสละของตัวเขาแล้ว M$ แทบจะเป็นดั่ง Satan เลยทีเดียว
หลายท่านเขาเสียสละกันมาตั้งแต่ก่อน M$ จะก่อตั้งเลยก็มี แต่เพราะเกิด Opensource concept นี่เอง จึงทำให้พวกเขารวมตัวกันติดขึ้นมา
ถ้าอย่าง M$ ท่านเรียกว่าเป็นคนดี....
ถ้าอย่างนั้น ทุกคนผู้เสียสละในวงการ Opensource คงไม่ใช่คนแล้วล่ะครับ
เวลาท่านพูดถึง Open source product/project ท่านพูดด้วยบรรทัดฐานหนึ่ง
พอพูดถึง M$ ท่านก็พูดด้วยบรรทัดฐานหนึ่ง...
อีกประการคือ ที่ผมลองกลับประโยคให้เจ้าของประโยคเขาคิดน่ะครับ เจตนาก็เพื่อให้เขาพิจารณาได้ว่า...
ระว่างอดีตนักบุญ ที่ทนทานต่อความโหดร้ายของโลกไม่ได้ในปัจจุบัน แล้วมาเป็นคนบาป VS
อดีตคนบาป ที่พยายามแสดงตัวเป็นนักบุญท่ามกลางความโหดร้ายในโลกใบเดียวกันนี่แหละ
ท่านมั่นใจแค่ไหนครับ ระหว่าง 2 คนนี้ ในการกลับตัวเป็นคนดี?
อดีตนักบุญและอดีตคนบาป? ท่านมั่นใจในคนไหนมากกว่ากัน ว่าจะเป็นคนดีได้จริงๆ โดยไม่มีเปลือก
นี่คือเจตนาที่ผมกลับประโยค เพื่อเปรียบเทียบบรรทัดฐานทางความคิดของตนเองครับ
ถ้าท่านแยกคิด ก็เป็นดั่งที่ท่านว่ามานั่นแหละครับ
ขอย้ำว่า ผมออกความเห็นอยู่ในประเด็นที่ว่า "ทำไมคนถึงเกลียด M$" เพียวๆ แท้ๆ นะครับ
@จักรนันท์
@จักรนันท์
"ท่านทั้งสองหมายความว่า ท่านเปรียบ M$ ดั่งองคุลีมาลเชียวหรือครับ?"
@จักรนันท์
"M$ ไม่ได้ละทิ้งอะไรเลยนะครับ แม้แต่จะ Open source หรือแค่ Open file format ก็ยังไม่ทำเลย
ก็ยังค้ากำไร ยังใช้ Marketing tactic ยังใช้ Close foramt บีบตลาดอยู่หนักกว่าเดิมด้วยซ้ำ
แถมยังพัฒนาวิธีการครอบงำเป็นแบบยุคใหม่ตามตลาดทุนนิยม คือการกว้านซื้อ
ซื้อแล้ว นอกจากดองให้ตายแล้ว ก่อนจะตายยังนำไปใช้ฆ่าผู้อื่นต่อไปอีก"
@จักรนันท์
"ที่ M$ ยังมีรายได้ ร่ำรวยทุกวันนี้ ไม่ใช่เพราะลูกค้าทุกท่านในโลกให้โอกาสอีกหรือครับ?
ไหนครับ ที่ว่า สังคมไม่ให้โอกาส?
มองความเป็นจริงสิครับ อย่าหมกปัญญาตัวเองอยู่ในความ Drama ในความคิด ความจริงคือ M$ ไม่เคยเสียโอกาสเลยต่างหากครับ"
@จักรนันท์
"เปลี่ยนจุดยืน เปลี่ยนมุมมองคิดดูสิครับ
ถ้าท่านคิดแบบนั้น ท่านน่าจะรัก Sun มากกว่า M$ เยอะนะครับ"
แล้วก็ถามคุณจักรนันท์หน่อยเถอะครับว่า มานั่งเลือกฝ่ายอยู่แบบนี้นี่ ได้อะไรบ้างครับ? แทนที่จะได้ประโยชน์จากทั้ง Sun และ MS ทั้งสองฝ่าย แต่คุณกลับมานั่งเครียด ขอรับประโยชน์แค่ฝ่ายเดียว ฉลาดรึเปล่าครับเนี่ย? เลือกฝ่ายแบบนี้ ตายไปก็ไม่มีใครมาให้โล่ห์ (เอ๊ะ หรือ Sun จะมาให้โล่ห์?) และไม่เคยมีกฏหมายบังคับว่าให้ต้องเลือกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งครับ
@จักรนันท์
"เอาอย่างนี้ ที่ผ่านมาจนบัดนี้ มีอะไรสักอย่าง ที่ M$ ประสิทธประสาทให้ความรู้และปัญญาแก่ชาวโลกเขาฟรีๆ โดยไม่หวังผลตอบแทนทั้งเดี๋ยวนั้นไปจนอนาคตบ้างครับ?
นึกออกมาสักอย่างซิครับ"
@จักรนันท์
"แต่ท่านลองนึกถึงคนในสังคม Open source สิครับ ที่หลายแสนท่านที่เป็น Developer นั้น เป็นแค่มนุษย์เงินเดือน ชักหน้าไม่ถึงหลังเหมือนคนทั่วไป ก็ยังเสียสละสร้างสรรผลงานให้ชาวโลกใช้กันฟรีๆ
ดังนั้น พวกท่านไปหักล้างเขาไม่ได้ดอกครับ เมื่อเขาจะมอง M$ เทียบกับการเสียสละของตัวเขาแล้ว M$ แทบจะเป็นดั่ง Satan เลยทีเดียว"
ผมว่ามันเป็นเรื่องทางเลือกของแต่ละคน แต่ละสังคมเองครับ ว่าอยากจะทำออกมาขาย หรือทำให้ใช้ฟรี ผมว่าไร้สาระครับ ที่คนขาย จะมาตำหนิคนแจกฟรี หรือคนแจกฟรี จะมานั่งตำหนิคนที่ขาย ในเมื่อมันเป็นสิทธิของเขาเหล่านั้นเอง เป็นสิทธิที่จะเลือกได้เอง จะไปนั่งบังคับให้เขาทำแบบเดียวกันไปเพื่ออะไรครับ? ส่วนคุณจักรนันท์นี่ ผมเห็นคุณนิยมสิ่งที่มันฟรี คุณชอบการแจกฟรี งั้นผมขอดูผลงานที่คุณทำออกมาแจกฟรีหน่อยครับ ว่าทำออกมาได้เยอะกว่า MS หรือยัง
@จักรนันท์
"ถ้าอย่าง M$ ท่านเรียกว่าเป็นคนดี....
ถ้าอย่างนั้น ทุกคนผู้เสียสละในวงการ Opensource คงไม่ใช่คนแล้วล่ะครับ
เวลาท่านพูดถึง Open source product/project ท่านพูดด้วยบรรทัดฐานหนึ่ง
พอพูดถึง M$ ท่านก็พูดด้วยบรรทัดฐานหนึ่ง..."
@จักรนันท์
"ขอย้ำว่า ผมออกความเห็นอยู่ในประเด็นที่ว่า "ทำไมคนถึงเกลียด M$" เพียวๆ แท้ๆ นะครับ"
อคติจริงครับ แต่ไม่ได้เกลียด
ใช่ครับ ผมเขียนเอง และเขียนชัดด้วยว่า "เปรียบดั่ง" ไม่เช่นนั้น คุณจะเปรียบการกลับตัวของ M$ ในวิธีที่คุณพูดถึงนั่นกับใครครับ? Robinhood งั้นหรือครับ?
บริษัทอื่นทำครับ แต่ไม่ทำหน้าตายครับ
ผมกล่าวจากมุมมองของอดีต Inside man ครับ ดังนั้น กลวิธีในการครอบคนรุ่นใหม่ที่เริ่มมาตั้งแต่ปี 1980 จนมาเป็น Computer man รุ่นทุกวันนี้ มันเริ่มมานานแล้วครับ และจนบัดนี้ก็ยังดำเนินอยู่ตาม Road map ครับ
ผมไม่ได้เลือกฝ่ายใดๆ ทุกๆ Comment ในกระทู้นี้ ล้วนแต่ผมเสริมเพื่อ Break ทั้งสิ้นว่า ประเด็นของกระทู้ ตั้งขึ้นมาว่า "ทำไมคนถึงเกลียด M$" ดังนั้น หากว่ากระทู้นี้ M$ Inside man เป็นคนตั้งขึ้นมาเอง ผมก็ยังว่าเขาตั้งขึ้นมาได้ดี เพราะเขาต้องการ ทราบสาเหตุทั้งหมด ที่ทำให้คนเกลียดบริษัทของเขา เขาจะไม่สนใจข้อแก้ตัวใดๆ ของสาวกเขาเพียงสักนิดครับ ด้วยประเด็นที่ผู้ตั้งกระทู้ต้องการ คือ... ทำไม!!! คนถึงเกลียด M$ ผมอธิบายให้เห็นว่า คุณไปเปลี่ยนความคิดของคนเกลียดไม่ได้ดอกครับ ทุกคนมีบรรทัดฐานของตนเองครับ
ผมแยกแยะธุรกิจกับการกุศลไม่ออกนั้นหรือครับ? ไม่ใช่ผมหรือครับ ในกระทู้นี้ ที่พยายามบอกว่า มูลนิธิเกตส์ไม่ใช่เป็นข้อพิสูจน์ว่าบริษัท M$ เลิก Evil แล้วโดยสิ้นเชิง...? แม้แต่คุณ ยังกล่าวเหมือนเอาจุดนี้มาอ้างว่า "M$ กลับตัวเป็นคนดีแล้ว" ถ้าไม่ใช่อ้างเพราะจุดนี้นั้น ทำไมไม่ตอบผมล่ะครับ ว่านึกออกมาสักอย่างสิครับ ว่า M$ ทำอะไรให้โลกฟรีๆ ได้ ก็ไม่เห็นคุณอ้างอย่างอื่นใดเลย ผมว่า... เรื่องแยกแยะธุรกิจกับการกุศลไม่ออกน่ะ น่าจะเป็นคุณนะครับ ถ้าหาเหตุอื่นมาแสดงความเป็น Angel ของ M$ ไม่ได้นอกจากมูลนิธิเกตส์เนี่ย
Developer ที่ไม่รับบริจาคก็มีเยอะ ก็โดนด่าว่า "จองหอง จึงได้ทำอะไรออกมาจึงไม่เห็นหัวผู้ใช้" ตกลง... จะให้คนดีๆ ในโลกเขาวางตัวอย่างไรครับเนี่ย... เขาไม่ได้ออกไปเดินบิณฑบาตนะครับ ย้ำว่า ไม่ได้ออกไปเดินบิณฑบาตนะครับ ไม่ได้ตั้งราคา ไม่ได้ขอด้วยซ้ำครับ อีกอย่างคือ.. มันไม่ไร้สาระครับ.. คนที่ขายครับ มีสิทธิถูกตำหนิ เพราะคนซื้อจ่ายเงินไปเพื่อได้มันมา แต่คนที่แจกฟรีสิครับ คุณใช้สิทธิอะไร ข้อไหนหรือครับ ไปตำหนิเขา ในเมื่อเขาไม่ได้หาประโยชน์จากคุณเลย มีกฏหมายประเทศใดในโลกที่ให้สิทธิคุณในการตำหนินักบุญเหล่านั้นครับ นี่ไม่ได้ไร้สาระแล้วครับ สาระมันมีชัดตรงที่ เส้นแบ่งความมีอิสรภาพของคุณมันล้ำเส้นคนอื่นเขาโดยที่คุณคิดว่าคุณมีสิทธิ คุณลองพูดสิว่า "Linux มัน Hang คนทำมันห่วยนี่หว่า" ทีนี้ คำพูดนี้ คุณว่า Linux Community ฟ้องคุณด้วยกฏหมายใดๆ ในทุกประเทศทั่วโลกในข้อหาหมิ่นประมาท ทำให้ผู้อื่นได้รับความเสียหาย เสียภาพลักษณ์ ได้ไหมครับ? ใช่ครับ... ฟ้องได้ แม้มันจะ Hang จริงก็ตาม เพราะคุณไม่ได้ซื้อครับ แต่คำพูดเดียวกัน ถ้าคุณพูดว่า "Windows มัน Hang แบบนี้ M$ ห่วยนี่หว่า" ในขณะที่คุณซื้อของเขามาใช้ล่ะก็ M$ มีสิทธิฟ้องคุณไหมครับ? ใช่ครับ... ไม่มี แต่ถ้าคุณลักลอบใช้ของเขาแล้วพูดแบบนั้น... ทีนี้มันกลับกันเลยใช่ไหมครับ? ผมว่า มันก็เข้าทำนองเดิมนะครับ คุณพูดถึง M$ ก็ด้วยบรรทัดฐานอย่างหนึ่ง พอพูดถึงอย่างอื่น คุณก็ใช้อีกบรรทัดฐานหนึ่งเป็นตัวตัดสิน
ไม่ได้บังคับครับ คุณเคยเห็น Opensource community บังคับใครครับ? บังคับอย่างไร? เราพยายามทุกอย่าง ที่จะ Support ทุกๆ Output product ที่มาจาก Windows แต่ Windows ล่ะครับ? เขาล้างสมองคุณไว้เสร็จสรรพให้คุณคิดว่า เมื่อ Windows เปิดไฟล์ไหนไม่ได้ ไฟล์นั้นไม่ได้มาตรฐาน ไฟล์นั้นไม่ดี... เมื่อ OS อื่นเปิดไฟล์ของ Windows ไม่ได้ OS นั้นไม่ได้มาตรฐาน OS นั้นไม่ดี... แต่พอ M$ Office เอง ต่าง Version กันเองก็ยังเปิดเพี๊ยน ทีนี้นั่งเงียบกันหมด ก้มหน้าก้มตารับเคราะห์กรรม รับ Bug ของ M$ ไปอย่างที่รู้สึกว่าเป็นหน้าที่ที่จะต้องรับเคราะห์นั้น ที่สำคัญ... ผมต่างหากครับ ที่พยายามบอกว่า คุณอย่าไปบังคับให้คนที่เขาเกลียด M$ หายเกลียดด้วยมูลนิธินั่นเลย แล้วอธิบายด้วยว่า ในมุมมองของพวกเขา เขาฟังไม่ขึ้น.... การบังคับให้คนอื่นทำแบบเดียวกันนั่น ผมว่าประเด็นนี้ มันต้องย้อนกลับไปที่ M$ นะครับ
ผมไม่ได้นิยมสิ่งที่มันฟรี ผมแน่ใจด้วยว่า ผมจ่ายเงินให้ M$ ไปมากกว่าคุณหลายเท่านัก ด้วยวิธีคิด การมองโลก ในแบบที่คุณร่ายออกมา ทำให้ผมประมาณได้ว่า ผ่านร้อนผ่านหนาวมาไม่มากกว่าผมอย่างแน่นอน ลองกลับไปค้นคว้าดูนะครับ นักพัฒนาไทย ที่รับจ้าง/ลูกจ้างทำให้ M$ ตั้งแต่ Windows 3.0 เพื่อให้ Support ภาษาไทยได้เสร็จสรรพในตัวน่ะ (มี Key พิเศษแอบฝังไว้ด้วยนะครับ) แต่ละคน มีใครได้ดีเพราะ M$ ไปแล้วบ้าง... มีแต่หมาหัวเน่ากันทั้งนั้น... หรือจะหานักพัฒนาต่างชาติเองก็ตาม... ผมพูดถึง Inside man นะครับ M$ ไม่ได้ Fiar และใจกว้างอย่าง Wall-Mart มาตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยนะครับ สำหรับผลงานของผมหรือ.. ผมไม่ภูมิใจเลยสักนิด ว่า Windows ที่คุณใช้กันอยู่ทุกวันนี้ มันก็มีร่องรอยของผมเหลืออยู่นั่นแหละครับ ในปัจจุบันนี้ ผมและคนไทยอีกหลายคน มีส่วนใน Linux กันทั้งนั้นครับ ตามความชอบและความถนัดของตนเอง เราทำกันเยอะแยะโดยไม่ต้องโปรโมท ไม่ต้องตั้งมูลนิธิเพื่อสร้าง Image หรือถ่ายเทอะไรนั่น... แต่บริจาคเพื่อหักภาษีเงินได้ของบริษัท อันนี้ผมทำนะครับ ตามธรรมเนียมเถ้าแก่... คือเอาเงินภาษีประชาชนมาบริจาคในรูปของการหักภาษีเงินได้คืน แล้วยังได้หน้าอีก ผลงานของผมมีมาตลอดชีวิต เป็นร่องรอยที่ยังมีอยู่แม้แต่ใน Windows 7 ปัจจุบันผมมาสนุกกับ kernel มากกว่า เพราะผมถนัด Hardware และใกล้ชิดกับ VIA, Samsung และ Realtek อยู่แล้ว
ผมไม่ได้เกลียดกับการเรียกว่า M$ เป็นคนดีครับ ผมเห็นค้านที่พวกคุณยกมูลนิธิเกตส์ (ไม่ใช่มูลนิธิ Microsoft ด้วยซ้ำไป) มาอ้าง นำมาหักล้าง เหตุผลของความเกลียดของคนอื่น อย่างไม่ลืมหูลืมตา ไม่ฟัง ไม่สนอะไรเลย ไม่สนแม้กระทั่ง กระทู้เขาตั้งขึ้นมา ด้วยประสงค์อะไร?
ครับ M$ ไม่เคยแจกอะไรฟรีให้ผม... อ้อ เคยสิ ผมก็ได้ Licensed ฟรีจนถึง Windows Me นี่นา ลืมไป... ผมถือว่าคุ้มกับส่วนที่ M$ ได้ฟรีไปจากผม ดังนั้นไม่ใช่เหตุที่ผมอคติแน่นอน สำหรับเรื่องเสียเงินหรือครับ... ไม่ใช่เหตุสำหรับผมครับ ผมมีมากพอตัวทีเดียว
อย่ามารู้จักผมเลยครับ อยากใช้อะไรก็ใช้ไปเถอะครับ ผมไม่ได้บังคับคุณเปลี่ยน OS นะครับ แต่ผมพยายามจะบอกว่า อย่าเบี่ยงประเด็น หรืออ้างแบบหลายบรรทัดฐาน เพื่อสกัดให้คนที่เกลียด M$ ให้เขาไม่อยากแสดง ว่าเขาเกลียดเพราะอะไร? ถ้าคนตั้งกระทู้นี้ เป็นฝ่ายวิจัยตลาดของ M$ ล่ะก็ ผมว่า เขาเกลียดคุณเสียแล้วครับ โทษฐานไม่รู้อะไรแล้วมาขัดขา ทำให้เขาวางกระทู้ล่อเป้า เก็บสถิติ รวบรวมเหตุผล เพื่อนำไปปรับปรุงแผนการตลาดเขาได้ไม่เข้าเป้าดี
@จักรนันท์
ผมอ่านข้อความของคุณแล้วฮามากครับ พอทำท่าจะไปไม่รอดก็ไปอ้างข้อความของคนอื่นมาเหมารวมกับของผม คุณจักรนันท์ไม่ต้องไปอ้างข้อความของคนอื่นที่ผมไม่ได้เขียนหรอกครับ เอาแค่คุณกับผมก็พอ
ความจริง ผมเข้ามาในเว็บ blognone เพราะเพื่อจะเข้ามาหาอ่านข่าวสารต่างๆ ซึ่งได้ข้อมูลค่อนข้างกว้าง และอาจจะมีการแสดงความคิดเห็นบ้างเล็กๆ น้อยๆ ผมรู้สึกดีที่เข้ามาในเว็บนี้ แต่ผมกลับต้องเซ็งสุดๆ ที่ต้องมาเจอคนแบบคุณจักรนันท์ ที่ไม่ได้รู้จักมักจี่อะไรกับผมมาก่อน แต่ดันเข้ามาเขียนดูถูกดูแคลนกัน ยิ่งพอได้อ่านความคิดเห็นของคุณจักรนันท์ ที่เอาแต่จะหาเหตุให้ได้มีเรื่องมาเกทับคนอื่นว่า ข้าเหนือกว่า ข้าเจ๋งกว่า ข้าเก๋ากว่า บอกตรงๆ ว่าเบื่อครับ และรู้สึกว่าคุณจักรนันท์ไร้สาระ
@จักรนันท์
"อคติจริงครับ แต่ไม่ได้เกลียด
ใช่ครับ ผมเขียนเอง และเขียนชัดด้วยว่า "เปรียบดั่ง" ไม่เช่นนั้น คุณจะเปรียบการกลับตัวของ M$ ในวิธีที่คุณพูดถึงนั่นกับใครครับ? Robinhood งั้นหรือครับ?"
@จักรนันท์
"บริษัทอื่นทำครับ แต่ไม่ทำหน้าตายครับ"
@จักรนันท์
"ผมกล่าวจากมุมมองของอดีต Inside man ครับ" + "แต่ละคน มีใครได้ดีเพราะ M$ ไปแล้วบ้าง... มีแต่หมาหัวเน่ากันทั้งนั้น"
@จักรนันท์
"ทำไม!!! คนถึงเกลียด M$ ผมอธิบายให้เห็นว่า คุณไปเปลี่ยนความคิดของคนเกลียดไม่ได้ดอกครับ ทุกคนมีบรรทัดฐานของตนเองครับ"
@จักรนันท์
"ผมแยกแยะธุรกิจกับการกุศลไม่ออกนั้นหรือครับ? ไม่ใช่ผมหรือครับ ในกระทู้นี้ ที่พยายามบอกว่า มูลนิธิเกตส์ไม่ใช่เป็นข้อพิสูจน์ว่าบริษัท M$ เลิก Evil แล้วโดยสิ้นเชิง...? แม้แต่คุณ ยังกล่าวเหมือนเอาจุดนี้มาอ้างว่า "M$ กลับตัวเป็นคนดีแล้ว" ถ้าไม่ใช่อ้างเพราะจุดนี้นั้น ทำไมไม่ตอบผมล่ะครับ ว่านึกออกมาสักอย่างสิครับ ว่า M$ ทำอะไรให้โลกฟรีๆ ได้ ก็ไม่เห็นคุณอ้างอย่างอื่นใดเลย ผมว่า... เรื่องแยกแยะธุรกิจกับการกุศลไม่ออกน่ะ น่าจะเป็นคุณนะครับ ถ้าหาเหตุอื่นมาแสดงความเป็น Angel ของ M$ ไม่ได้นอกจากมูลนิธิเกตส์เนี่ย"
@จักรนันท์
"Developer ที่ไม่รับบริจาคก็มีเยอะ ก็โดนด่าว่า "จองหอง จึงได้ทำอะไรออกมาจึงไม่เห็นหัวผู้ใช้" ตกลง... จะให้คนดีๆ ในโลกเขาวางตัวอย่างไรครับเนี่ย... เขาไม่ได้ออกไปเดินบิณฑบาตนะครับ ย้ำว่า ไม่ได้ออกไปเดินบิณฑบาตนะครับ ไม่ได้ตั้งราคา ไม่ได้ขอด้วยซ้ำครับ อีกอย่างคือ.. มันไม่ไร้สาระครับ.. คนที่ขายครับ มีสิทธิถูกตำหนิ เพราะคนซื้อจ่ายเงินไปเพื่อได้มันมา แต่คนที่แจกฟรีสิครับ คุณใช้สิทธิอะไร ข้อไหนหรือครับ ไปตำหนิเขา ในเมื่อเขาไม่ได้หาประโยชน์จากคุณเลย มีกฏหมายประเทศใดในโลกที่ให้สิทธิคุณในการตำหนินักบุญเหล่านั้นครับ นี่ไม่ได้ไร้สาระแล้วครับ สาระมันมีชัดตรงที่ เส้นแบ่งความมีอิสรภาพของคุณมันล้ำเส้นคนอื่นเขาโดยที่คุณคิดว่าคุณมีสิทธิ คุณลองพูดสิว่า "Linux มัน Hang คนทำมันห่วยนี่หว่า" ทีนี้ คำพูดนี้ คุณว่า Linux Community ฟ้องคุณด้วยกฏหมายใดๆ ในทุกประเทศทั่วโลกในข้อหาหมิ่นประมาท ทำให้ผู้อื่นได้รับความเสียหาย เสียภาพลักษณ์ ได้ไหมครับ? ใช่ครับ... ฟ้องได้ แม้มันจะ Hang จริงก็ตาม เพราะคุณไม่ได้ซื้อครับ แต่คำพูดเดียวกัน ถ้าคุณพูดว่า "Windows มัน Hang แบบนี้ M$ ห่วยนี่หว่า" ในขณะที่คุณซื้อของเขามาใช้ล่ะก็ M$ มีสิทธิฟ้องคุณไหมครับ? ใช่ครับ... ไม่มี แต่ถ้าคุณลักลอบใช้ของเขาแล้วพูดแบบนั้น... ทีนี้มันกลับกันเลยใช่ไหมครับ? ผมว่า มันก็เข้าทำนองเดิมนะครับ คุณพูดถึง M$ ก็ด้วยบรรทัดฐานอย่างหนึ่ง พอพูดถึงอย่างอื่น คุณก็ใช้อีกบรรทัดฐานหนึ่งเป็นตัวตัดสิน"
@จักรนันท์
"ไม่ได้บังคับครับ คุณเคยเห็น Opensource community บังคับใครครับ? บังคับอย่างไร? เราพยายามทุกอย่าง ที่จะ Support ทุกๆ Output product ที่มาจาก Windows แต่ Windows ล่ะครับ? เขาล้างสมองคุณไว้เสร็จสรรพให้คุณคิดว่า เมื่อ Windows เปิดไฟล์ไหนไม่ได้ ไฟล์นั้นไม่ได้มาตรฐาน ไฟล์นั้นไม่ดี... เมื่อ OS อื่นเปิดไฟล์ของ Windows ไม่ได้ OS นั้นไม่ได้มาตรฐาน OS นั้นไม่ดี... แต่พอ M$ Office เอง ต่าง Version กันเองก็ยังเปิดเพี๊ยน ทีนี้นั่งเงียบกันหมด ก้มหน้าก้มตารับเคราะห์กรรม รับ Bug ของ M$ ไปอย่างที่รู้สึกว่าเป็นหน้าที่ที่จะต้องรับเคราะห์นั้น ที่สำคัญ... ผมต่างหากครับ ที่พยายามบอกว่า คุณอย่าไปบังคับให้คนที่เขาเกลียด M$ หายเกลียดด้วยมูลนิธินั่นเลย แล้วอธิบายด้วยว่า ในมุมมองของพวกเขา เขาฟังไม่ขึ้น.... การบังคับให้คนอื่นทำแบบเดียวกันนั่น ผมว่าประเด็นนี้ มันต้องย้อนกลับไปที่ M$ นะครับ"
@จักรนันท์
"ผมไม่ได้นิยมสิ่งที่มันฟรี ผมแน่ใจด้วยว่า ผมจ่ายเงินให้ M$ ไปมากกว่าคุณหลายเท่านัก ด้วยวิธีคิด การมองโลก ในแบบที่คุณร่ายออกมา ทำให้ผมประมาณได้ว่า ผ่านร้อนผ่านหนาวมาไม่มากกว่าผมอย่างแน่นอน"
@จักรนันท์
"สำหรับผลงานของผมหรือ.. ผมไม่ภูมิใจเลยสักนิด ว่า Windows ที่คุณใช้กันอยู่ทุกวันนี้ มันก็มีร่องรอยของผมเหลืออยู่นั่นแหละครับ" + "ผลงานของผมมีมาตลอดชีวิต เป็นร่องรอยที่ยังมีอยู่แม้แต่ใน Windows 7 ปัจจุบัน"
@จักรนันท์
"ผมไม่ได้เกลียดกับการเรียกว่า M$ เป็นคนดีครับ ผมเห็นค้านที่พวกคุณยกมูลนิธิเกตส์ (ไม่ใช่มูลนิธิ Microsoft ด้วยซ้ำไป) มาอ้าง นำมาหักล้าง เหตุผลของความเกลียดของคนอื่น อย่างไม่ลืมหูลืมตา ไม่ฟัง ไม่สนอะไรเลย ไม่สนแม้กระทั่ง กระทู้เขาตั้งขึ้นมา ด้วยประสงค์อะไร?"
@จักรนันท์
"ครับ M$ ไม่เคยแจกอะไรฟรีให้ผม... อ้อ เคยสิ ผมก็ได้ Licensed ฟรีจนถึง Windows Me นี่นา ลืมไป... ผมถือว่าคุ้มกับส่วนที่ M$ ได้ฟรีไปจากผม ดังนั้นไม่ใช่เหตุที่ผมอคติแน่นอน สำหรับเรื่องเสียเงินหรือครับ... ไม่ใช่เหตุสำหรับผมครับ ผมมีมากพอตัวทีเดียว"
@จักรนันท์
"อย่ามารู้จักผมเลยครับ อยากใช้อะไรก็ใช้ไปเถอะครับ ผมไม่ได้บังคับคุณเปลี่ยน OS นะครับ แต่ผมพยายามจะบอกว่า อย่าเบี่ยงประเด็น หรืออ้างแบบหลายบรรทัดฐาน เพื่อสกัดให้คนที่เกลียด M$ ให้เขาไม่อยากแสดง ว่าเขาเกลียดเพราะอะไร? ถ้าคนตั้งกระทู้นี้ เป็นฝ่ายวิจัยตลาดของ M$ ล่ะก็ ผมว่า เขาเกลียดคุณเสียแล้วครับ โทษฐานไม่รู้อะไรแล้วมาขัดขา ทำให้เขาวางกระทู้ล่อเป้า เก็บสถิติ รวบรวมเหตุผล เพื่อนำไปปรับปรุงแผนการตลาดเขาได้ไม่เข้าเป้าดี"
โอ.. จริงครับ
ผมต้องกราบขออภัยคุณ DesertWasabi เป็นอย่างสูงด้วยครับ ที่ผมเหมารวมไปจริงๆ
สี่เท้ายังรู้พลาดครับ
ผมตีความผิด เพราะผมยึดเกาะอยู่กับประเด็นหลัก 3 บรรทัดของผู้ตั้งกระทู้น่ะครับ
ซึ่งบรรทัดที่ 3 พูดถึงกรณีมูลนิธิเกตส์ ที่นำมาใช้อ้างแก้ต่างให้แก่บริษัท M$
ในขณะที่ผมเห็นประโยคของคุณที่ว่า "ผมว่าคุณคงจะสับสน แยกแยะอะไรไม่ออก ระหว่างองค์กรธุรกิจ กับองค์กรการกุศลนะครับ" จึงทำให้เข้าใจคุณผิดไปในการตีความ เข้าใจว่าคุณหมายถึงกรณีบรรทัดที่ 3 นั่น
ผมต้องขออภัยอย่างมากจริงๆ ครับ ถ้าหากรู้สึกว่าผมล่วงเกินใดๆ ก็ขอโทษไว้ตรงนี้ด้วยครับ
ผมเป็นผู้ใหญ่ที่ผิดแล้วรู้จักว่าตนเองผิดครับ ผมละทิ้งอัตตาได้เกือบสิ้นเชิงมานานแล้ว
อะไรๆ ที่คุณตำหนิผมมา ผมขอน้อมรับด้วยความเต็มใจ และขอโทษด้วยการไม่โต้แย้งใดๆ นะครับ
หลายอย่าง คุณคาดถูกแล้ว เช่นเรื่องผมเป็น 1 ในหมาหัวเน่านั่นเอง
ผมใช้ชื่อจริงเสมอ ในไม่กี่ Web ที่ผมลงไปพ่น Garbage เอาไว้
ชื่อผมในปัจจุบัน ก็มีแค่ไม่ถึง 10 คนในประเทศ และผมก็แก่ที่สุด นอกนั้นยังเด็กๆ อยู่
ผมขอสารภาพเลยว่า มันลำบากนะครับ ที่ผมจะพูดอะไรโดยอ้างประสบการณ์ตนเอง
มันก่อความรู้สึกแบบที่คุณต่อว่าผมมานั่นแหละครับ เหมือนข่ม เหมือนคุย ทั้งที่จริงผมพยายามหลีกเลี่ยงมากจริงๆ นะครับ
นี่เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัด ที่ผมพยายามบอกคุณ mk ว่า ผมวางตัวกับคนรุ่นหลังลำบากมากครับ
ปลีกวิเวกเหมือนท่านอื่นๆ ดูจะสงบสุขกว่า
อย่างไรก็ตาม ถ้าใครๆ รู้สึกเช่นนั้น ผมก็ขอโทษอย่างสูงไว้ตรงนี้ ผมไม่ได้มีเจตนาใดๆ จะเกทับใครๆ ว่าเหนือกว่า ว่าเจ๋ง อะไรเลย...
แต่... จะกล่าวด้วยวิธีใดเล่าครับ จึงจะไม่มีใครรู้สึกเช่นนั้นได้เลย
ครั้งแรกที่ผมมาที่นี่ ไม่ใช่เพราะความเป็นที่นี่
ผมมาที่นี่เพราะ Link จาก opentle.org
ก่อนหน้านี้ ผมใช้เวลาว่างเผื่อแผ่ความรู้แต่ที่นั่นเท่านั้น
ความรู้ทั้งหลายที่ผมเคยถ่ายทอดนั้น เป็นหลักฐานเพียงพอที่ Technical ด้วยกันจะทราบได้ทันทีถึงความสามารถทาง Technic ที่ผมมี
แต่โดยปกติ ผมหลีกเลี่ยงที่จะฝอยถึงความสำเร็จอื่นๆ ในชีวิต เพราะพยายามระวังมากอยู่แล้ว
คุณ DesertWasabi จะคิดว่าผมโม้ มั่วซั่ว ผมก็ไม่แปลกใจ ยินดีรับคำตำหนิและเตือนสติให้ผมทบทวนและคิดได้ ว่าผมเข้าใจคุณผิดไป ผมกลับต้องขอขอบคุณมากๆ ที่พยายามเสวนากับผมต่อจนผมรู้ตัว ไม่ทอดทิ้งให้ผมเข้าใจผิดและเหมาขลุมอยู่อย่างนั้น
ขอขอบคุณในน้ำใจครับ
ขอบคุณจริงๆ
ไม่งั้น คนอื่นคงได้ฮาผมต่อๆ ไปอีก
ดีใจ ที่คุณพยายามเตือน เพื่อผมจะได้ไม่เป็นตัวตลกต่อไปอีกโดยไม่ทันฉุกคิดครับ
สำหรับมุมมองของคุณ DesertWasabi ทั้งหมดที่กล่าวมา ผมจะอ่านทบทวนอีกหลายๆ ครั้ง พินิจพิเคราะห์ และพยายามเข้าให้ถึงมุมมองของคุณนะครับ
ถ้าผมอยากถามความเห็นของคุณอีก คุณจะยังยินดีเสวนากับผมต่อไปหรือเปล่าครับ?
ถ้าผมไม่คู่ควรแก่การเสวนากับคุณอีก ขออย่าได้ลังเลที่จะปฏิเสธนะครับ ผมเข้าใจและน้อมรับครับ
ด้วยความขอบคุณจากใจ
จักรนันท์
ส่วนตัวผมมองไม่เห็นประโยชน์อะไรที่จะเกิดขึ้นกับการสนทนาต่อเลยครับ ที่อธิบายมายาวๆ ทำให้ผมรู้สึกแค่ว่ามันเป็นเพียงคำพูดที่สวยหรูเท่านั้นเอง
Mac windows linux ผมไม่เคยมีปัญหาอะไรกับมันเลย แต่ผมมักจะเห็นมันจะเป็นปัญหาเสมอๆ เมื่อ user ของ 3 ก๊กนี้ มาเกทับกันไปมา แล้วบทสรุปมันก็มีแค่การถกเถียงรูปแบบเดิมๆ ออกทะเลบ้าง เข้าประเด็นบ้าง แต่สุดท้ายมันก็ไม่มีใครเปลี่ยนทัศนคติกับแค่การถกเถียงกระทู้เดียวสักที ซ้ำยังทำให้ตอกย้ำอคติให้ถาโถมลึกลงไป ทั้งๆ ที่เจ้าของสามก๊กก็ไม่เคยรับรู้อะไรเลย
ออกตัวแรงก็แหกโค้งได้เสมอครับ
ผมละทิ้งอัตตาได้เกือบสิ้นเชิงมานานแล้ว < ข้อความนี้อธิบายอะไรๆได้หลายๆอย่างมากๆครับ
-.,-a
Blognone = 138.1 news/w เยอะมากๆ
+1
ใช่ครับ ผมมิกล้าพูดว่าผมละได้อย่างสิ้นเชิงดอกครับ
แต่ผมยืดอกรับ เมื่อผมผิดพลาดอะไร ไม่ว่าจะกับเด็กหรือผู้ใหญ่ ผมไม่ถือฟอร์มอะไรทั้งนั้นครับ
นั่นคือสิ่งที่ผมละ วาง ได้มานานแล้ว ยิ่งอายุมากขึ้น ยิ่งต้องละ วางให้ได้
อัตตาธรรมชาติของคนอายุมากขึ้นโดยปกติ มันก็มีเกิดขึ้นมาเองอยู่แล้วครับ เป็นไปตามอายุ
จึงต้องตั้งใจ ที่จะระมัดระวังครับ
+3โลกครับ
เหอๆ ถ้าคุณว่ามาแบบนี้ ผมไม่มีเหตุผลใดๆ เลยที่จะปฏิเสธครับ ที่คุณขอโทษผมมา ผมยกโทษให้หมดครับ แล้วก็ขอให้คุณจักรนันท์ยกโทษให้ผมด้วยนะครับ ที่เขียนอะไรทั้งหมดไม่ดีกับคุณไป ที่แล้วก็ให้แล้วกันไปนะครับ
ส่วนถ้าคุณจักรนันท์จะเสวนา หรือถามความเห็นอะไรจากผมอีก ก็ยินดีครับ
+1 ผมคิดว่าผมเห็นภาพได้ชัดนะ เป็นอะไรที่ผมคิดไว้ในใจเสมอ คล้ายๆกับ "การทำบุญ ด้วยเงิน 1 ล้านของคนรวยกับ กับการทำบุญด้วยเงิน 1 สลึงของคนจน คุณคิดว่าใครได้บุญมากกว่ากัน" สำหรับประเด็นนี้
ผมว่าที่บรรทัดแรก กับบรรทัดที่สอง มันพอฟังได้
มันเป็นเรื่องธรรมดาทุกบริษัท ทุกผลิตภัณฑ์ต้องมีคนรักและคนเกลียด
แต่บรรทัดสุดท้ายมันไม่น่าเป็นเหตุเป็นผลกันไงครับ เป็นคนดี เพราะมีมูลนิธิเยอะ
มาม่าที่นี่อร่อยนี่เอง ถึงว่า มาทีหละหลาย comment
ส่วนตัวเรื่อง Service หรือบริการหลังการขาย สำหรับผมแค่เงินเสียเปล่า น่ะครับ เฉพาะตัว OS Windows และ linux แก้เองได้ ไม่ง้อฮะ
:P
...
Ton-Or
อ่านไม่ไหวครับ ยอมแพ้ - -"
คุยกันสั้นๆ ก็ได้ม้าง เอาตรงๆไปเลย
+1 T-T
+1 ผมละตาลายเลยละ
^^^^ ใช้ Opensource แล้วเครียดขนาดนี้เลยเหรอ ^^^^
ที่เราได้ใช้ PC + H/W ราคาถูก เนี่ยส่วนหนึ่งต้องยกความดีความชอบให้ MS เขานะครับ
+1 ครับ ถ้าเข้าเส้นมากๆ ก็จะเครียดมากตามลำดับครับ ฮ่าา
Blognone = 138.1 news/w เยอะมากๆ
+1
ใช้ MS ต่อไป หัวโล่งดี มีเวลาหาเงินใช้อีกหลายทาง ไม่ต้องมาอ่านอะไรเยอะแยะให้วุ่นวาย จริงๆ ทุกวันนี้ไม่ได้อ่านเลยต่างหาก ฮ่าๆ กด IntelliSense อย่างเดียว ยอมโง่ต่อไปครับ สุดท้าย คนทำนาเป็น ปลูกเผือกปลูกมันกินเองเป็นจะอยู่ได้ครับ สุดท้ายก็ไปอยู่วัดอยู่ดี จะเป็นกระดูก หรือจะไปบวชก็อีกเรื่องนึง
ปล. ผมชอบ MS เพราะ เวลาสอนพิเศษก็สอนแต่ MS ง่ายดี เด็กๆมีงานทำ สบายๆ เรียนง่าย ทำง่าย จบง่าย หาเงินง่าย
+1เห็นด้วย
คนเราจะมีเวลาอะไรมาเรียนรู้มากมาย ชีวิต1 มีก็ไม่เกิน100ปี 50ปีจะถึงไหมจ้ะ
เอาเวลาเรียนสิ่งที่เกินความจำเป็น ไปนั่งเล่นกับน้องสาว(แฟนอะ)และลูกดีไหม
หรือใช้เวลานอนแต่หัวค่ำเพื่อที่จะได้ตื่นเช้ามาทักทายเพื่อนบ้านข้างและพระอาทิย์ก็ดีนะ
หรือคนข้างล่างคิดว่าไง
+1
ขอเสริมว่า เอาเวลาเหลือเยอะๆไป เรียนรู้ตัวเองดีกว่า
ถ้าเรียนรู้ตัวเองทะลุ รับรอง ไม่มานั่งบ่นยาวๆโชว์ภูมิที่นี่แน่ๆ
มีท่านนึงเรียนไปไกล ไปถึงนาซ่า ถึงดาวอังคาร สุดท้ายก็กลับมาเปิดศูนย์ปฏิบัติธรรมอยู่ดีแหละหนา
เกต เค้าก็ไปไกลแล้ว ก็เลยหยุดกลับมาทำบุญแทน
ถกกันยาวเลย อ่านไม่ไหว --'
สำหรับผม ตอนนี้หัดเล่น linux อยู่ หลังจากอยู่ในโลก Windows มานาน
และต่อไปถ้ามีสตางค์มากขึ้น ก็คงจะหัดเล่น Mac อะนะ
+1 ถามสั้น ถกยาว อ่านได้ครึ่งเดียวก็ยกธงขาว
ผมฝึกจาก MacOS ตั้งแต่ 6.07th มั้ง แล้วไปหยุดตอน OS9 แล้วย้ายไปเป็น Win98 เพราะด้วยสายงานเปลี่ยน และโปรแกรมที่จะต้องใช้ร่วมกับผู้อื่น แต่ก็ศึกษาวิธีใช่ร่วมกันกับ Mac ตั้งแต่ Win3.11
จะไม่ชอบใจ M$ ก็ตรงที่ไอเดียของเขามักจะมีหลายส่วนที่ลอกเลียนแบบคนอื่นมา (มากเกินไป) ตอนเห็น Win95 นี่พับตาปริบๆ เลย แค่มองก็รู้แล้วว่าหน้าตามันคล้าย OS ตัวไหน
แต่ความไม่ชอบใจก็มีแค่นั้นแหล่ะครับ ยังไงมันก็เป็น OS และ Application ที่คนใช้ค่อนข้างมากอยู่ดี จนกว่าประเทศบางประเทศจะเลิกอุ้ม และใส่ใจให้คนในประเทศมีทางเลือกในระบบปฏิบัติการมากกว่านี้
+1
ไมโครซอร์ฟชอบลอก แต่ก็เป็นนักลอกที่ฉลาด ต่อยอดได้เก่ง และที่สำคัญยังขายของเก่งด้วย นี้หละหนาโลกของธุรกิจ
อูยยย กว่าจะอ่านจบ ... สุดท้ายได้อะไรมานิดหน่อย น้ำเยอะเหลือเกิน
อ่านไม่ไหว ยอม!!!
I need healing.
ไม่ไหวเช่นกัน ยอม!!!
อีกสักพักจะติดอันดับความยาวหน้า/จำนวนเม้นเยอะที่สุดในเว็บ
มี Badge longgggg commenter มั้ยครับเนี่ย
ผมจะได้สักอันมั๊ยนะ ฮ่าาา
Blognone = 138.1 news/w เยอะมากๆ
ฟอรั่มนี้ได้ความรู้จากคุณจักรนันท์เยอะเลย ขั้นเทพ
สงสัยผมจะเกิดไล่หลังมาไม่นานเลยมองภาพออก (แต่ก็ไม่เก่งแถมบางอารมณ์เกรียนต่างหาก แฮ่ะๆ)
เนื้อหาที่ถกกันส่วนตัว ผมคิดว่ากระทู้นี้ภาค 2010 ให้มุมมองอะไรใหม่ๆ หลายด้านเลย แต่ถ้ากระชับกว่านี้ได้จะดีมากครับ คนอ่านจะได้ไม่หลุดประเด็น คนเขียนจะได้ไม่ต้องเสียเวลาครับ ตรงไปตรงมา ไม่อยากให้เหมือนแบบอภิปรายในสภาเลย
{$user} was not an Imposter
เพราะเรื่อง IE กับเน็ตสเคปมั้ง
มีคนชอบก็ต้องมีคนเกรียจอ่ะนะครับ
มือใหม่!! ใหม่จริงๆนะ
มันอยู่ที่อคติของเรา ว่าเราจะมองเขาอย่างไรครับ
Pages