Financial Times มีบทความสอบถามคนในแวดวงคริปโตของเกาหลีใต้ บ้านเกิดของ Do Kwon และ Daniel Shin สองผู้ก่อตั้ง Terraform Labs ที่ออกเหรียญ Luna/UST
สถานการณ์ในเกาหลีใต้ยุค Luna รุ่งเรือง และแนวทางการที่เจ้าของเหรียญ Luna สามารถนำเหรียญไปปล่อยกู้ แลกกับผลตอบแทนถึง 20% ทำให้คนเกาหลีใต้จำนวนมากแห่เข้ามาลงทุน
ตัวอย่างคือแม่ลูกสามคนหนึ่งที่นำเงินเก็บทั้งหมดมาซื้อ Luna โดยเชื่อมั่นในตัวของ Daniel Shin ที่เคยเป็นผู้ก่อตั้งเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ Ticket Monster และประสบความสำเร็จมาก่อน เธอยอมรับว่าผิดพลาดที่ไม่พิจารณาให้ดีก่อนลงทุน และตอนนี้เงินทั้งหมดสูญสลายไปแล้ว
ความเสียหายของ Luna ยังส่งผลกระทบในวงกว้าง โดยเฉพาะกลุ่มนักลงทุนรายย่อยๆ ที่อาจหมดตัวและตัดสินใจฆ่าตัวตาย ตอนนี้ตำรวจเกาหลีใต้ยังเพิ่มการลาดตระเวณที่สะพาน Mapo Bridge ในกรุงโซล ซึ่งเป็นจุดฆ่าตัวตายยอดนิยมด้วย
ล่าสุดมีนักลงทุนคริปโตเกาหลีใต้ 5 ราย รวมตัวกันฟ้อง Terraform Labs ในข้อหาฉ้อโกงและละเมิดกฎหมายการเงิน มีค่าเสียหายรวมกัน 1.4 พันล้านวอน (ประมาณ 38 ล้านบาท) และหน่วยงานภาครัฐของเกาหลีใต้ก็เริ่มเข้ามาสอบสวนแล้ว
Donghwan Kim ผู้ก่อตั้งบริษัทให้คำปรึกษาคริปโต Blitz Labs ให้สัมภาษณ์ว่า Do Kwon เคยมีสถานะเป็น "ผู้นำลัทธิ" (cult leader) แต่ตอนนี้เขาคือคนที่ถูกเกลียดมากที่สุดในเกาหลีใต้ไปแล้ว
ภาพ Do Kwon ผู้ก่อตั้งเครือข่าย Terra จาก @terra_money
Financial Times ยังสัมภาษณ์อดีตพนักงานของ Terraform Labs ที่ระบุว่านักลงทุนทั่วโลกถูก Kwon สะกดจิต เขาสามารถดึงดูดนักลงทุนชื่อดังๆ ด้วยปรัชญาเรื่องการกระจายศูนย์ (decentralized finance หรือ DeFi) ที่คนเหล่านี้เชื่ออยู่แล้ว ส่วนโมเดลของเหรียญ UST ที่ใช้อัลกอริทึมตรึงมูลค่าก็ดูแปลกใหม่ เมื่อรวมเข้ากับบุคลิกของ Kwon ที่ฝีปากกล้า ตอบโต้กับผู้ที่มาวิจารณ์เสมอ (เขาเคยโพสต์ว่า I don’t debate the poor on Twitter) ทำให้มีแฟนๆ จำนวนมากที่เรียกตัวเองว่า Lunatic
Kang Hyung-suk อดีตพนักงานอีกคนใน Terraform Labs ยังระบุว่าวิศวกรในบริษัททุกคนรู้ว่าการให้ผลตอบแทน 20% นั้นเสี่ยงมาก ไม่ยั่งยืน เพราะบริษัทมีเงินทุนไม่มากพอในการค้ำมูลค่า แต่ไม่มีใครกล้าพูดเรื่องนี้กับ Kwon เพราะรู้อยู่แล้วว่าเขาไม่ฟังความเห็นที่ขัดแย้งกับเขา
Kim Hyoung-joong หัวหน้าศูนย์วิจัยคริปโตที่มหาวิทยาลัย Korea University บอกว่า Kwon เรียกร้องให้โลกมี decentralized finance แต่ก็ย้อนแย้งตรงที่ เขาเป็นผู้ตัดสินใจทุกเรื่องเพียงคนเดียว
ที่มา - Financial Times
Comments
Hero to zero อีกหนึ่งราย
อ่านเรื่องแม่ลูกแล้วเศร้า
ส่วน "นักลงทุนทั่วโลกถูก Kwon สะกดจิต เขาสามารถดึงดูดนักลงทุนชื่อดังๆ"
แปลกดีเวลาเกิดอะไรเสียหายแบบนี้ ชอบโทษเรื่องเหมือนถูกสะกดจิต
ไม่เคยเจอใครที่พูดเก่งๆบ้างรึครับ
ไม่ได้หมายความว่าเขาพูดมาก แต่เขาพูดได้น่าฟังเข้าถึงจิตใจคู่สนทนา บวกน้ำเสียงลีลาการพูดแล้วทำคนหลงเชื่อได้ไม่ยากเลย เชื่อว่าคนๆนี้จริงใจไม่โกหก
"ผมพูดจริง ไม่น้ำลาย" อันนี้แค่ lv1 แต่หลอกคนได้เยอะมาก
การพูดโน้มน้าวจิตใจคน การสร้างเรื่องราวเป็นศาสตร์อย่างหนึ่ง ไม่แปลกอะไรที่คนทั่วไปจะเชื่อถือคำพูดหรือเรื่องราวเหมือนถูกสะกดจิต ถ้าคุณเคยฟังไลฟ์สดแล้วเผลอกดซื้อของ หรือแม้แต่ดูโฆษณาบ่อยๆ จนสุดท้ายก็ไปซื้อสินค้าชิ้นนั้นโดยที่ต้องมาหาเหตุผลว่าซื้อมาทำไมคุณก็กำลังเชื่อในเรื่องราวเช่นกัน มืออาชีพบางคนสามารถพูดให้คนซื้ออากาศที่เขาหายใจยังได้เลยครับ
ความเชื่อมันอยู่ใน DNA ของมนุษย์ครับ ใครสร้างความเชื่อได้ก็สร้างพระเจ้าได้
พูดแบบนี้แสดงว่ายังไม่ตื่นสินะครับ
Charisma นี่มันมีจริงๆนะ
อยู่ที่คนที่มีจะใช้มันแบบไหน ถูกจุดหรือเปล่า
และอยู่ที่คนฟังด้วย
ถึงได้มีคนอย่างพระบิดาหรือ จิม โจนส์
ผมว่าเรื่องแบบนี้ในไทยก็มีตัวอย่างมากมายเลยนะครับ อย่างเรื่องล่าสุดก็ลัทธิที่กินxี้ เจ้าลัทธิไงครับ ถ้าเก่ากว่านั้นก็จะเป็น xxxxxx x@#$_% ฯลฯ
ลองเจอคนโน้มน้าวเก่งๆสิครับ ทั้งจังหวะการพูด ทั้งน้ำเสียง ไม่เทียบกับสะกดจิตก็ไม่รู้ว่าจะเทียบกับอะไรแล้วล่ะครับ มันถึงมีคำว่า charisma ไงครับ
บางครั้งเราชอบไปโทษตรงที่โดนผลตอบแทนบังตาซะอย่างเดียว
เคยไปฟังแชร์ลูกโซ่มารอบนึงสมัยยังไม่มีเงินเก็บ ผมว่าความยากคือ "เราอยากให้มันเป็นจริง" ครับ เราอยากบอกตัวเองว่าเราเจอธุรกิจที่เราจะไม่ต้องทำงานอีกตลอดชีวิตแล้ว
ไม่ใช่แค่สู้กับคนที่มาโน้มน้าว แต่ต้องสู้กับตัวเองที่อยากให้มันเป็นจริงด้วย
lewcpe.com, @wasonliw
นี่ก็จะเป็นอีกจุดที่ยาก และจะทำให้เราพลาด
จากประสบการณ์ตรงของผม ผมเคยก้าวขาเข้าไปก้าวนึง เกือบหลุดเข้าไปในวงจร และเพราะทีมนั้น(ซึ่งเป็นทีมที่ Efficiency สูงมาก) คาดว่าผมจะเอาด้วยแน่ กะตั้งเป็นแม่ทัพใหญ่ เลยส่งเอกสารมาให้
ในเอกสารจะเป็นวิธีต่างๆ ทั้งวิธีมองคน คัดเลือกคน และการรับมือกับคนแต่ละแบบ ดังนั้นที่คุณ lew บอกว่าสิ่งที่ยากคือ สิ่งที่"เราอยากให้มันเป็นจริง" อันนี้เนี่ย เค้ามีวิธีในการอ่านเราตั้งแต่แรกแล้วว่ามันคืออะไร และมีแนวทางคำพูดในการหว่านล้อมเราเตรียมไว้แล้ว
ที่จะพูดก็คือ ถึงเราพยายามระวังตัวเอง แต่เค้าก็มีวิธีการในการอ่านเกม มองจุดอ่อน และเลือกอาวุธที่เหมาะสมในการเจาะกำแพงของเราด้วย เราอาจจะคิดว่าเค้าพูดไปเรื่อยเพราะมันแนบเนียน แต่จริงๆเบื้องหลังเค้ามีกลยุทธมาแล้ว
อย่างไรก็ดี นี่อาจจะเป็นประสบการณ์ของผมคนเดียว อาจจะไม่ใช่ทั้งหมดที่เป็นแบบนี้ก็ได้
แล้วสรุปเงิบหายไปไหนละเนี่ย
คริปโตเคอร์เรนซีถูกสร้างมาเพื่อปฏิวัติวงการเงินfiat แต่สุดท้ายก็ถูกนำไปเพื่อหาผลกำไรแลกเปลี่ยน
ซาโตชิที่เริ่มแนวคิดbtcคงเศร้าใจ หรืออาจคิดเรื่องนี้ไว้ก่อนแล้ว ?
เอ่อ...ผมว่ามันไม่เกี่ยวอะไรกับ btc หรือซาโตชิอะไรเลยนะเคสนี้...
เจ้าของเม้นน่าจะหมายถึงประมาณว่าสิ่งที่ซาโตชิพัฒนาขึ้นมาดันมีคนเอาไปต่อยอดในทางที่ไม่ดีจนเสียหายมากมาย
Bitcoin ยังเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง
เห็นว่า satoshi แค่ "ทดลองคอนเซพท์ของ blockchain" (หรือแค่ส่วนการ transaction processing) เฉย ๆ ผมมองว่า crypto currency เป็นแค่ผลพลอยได้ครับ
ไม่ว่าเหตุคืออะไร แต่ผลลัพธ์คือคริปโตอื่นๆอาศัยเกาะความดังของบิตคอยในการโปรโมตตัวเองกันทั้งนั้นแหละครับ
คงเป็นมุกใหม่สำหรับเกาหลี ในไทยนี้มุกเก่ามาก
โชว์บ้านโชว์รถ อยากรวยแบบนี้ เอาเงินมาสิ
ถ้ามีเซนส์หน่อย ก็จะรู้สึกไม่ชอบมาพากล ถ้าได้เงินง่ายอย่างนี้ ก็ไม่มีคนจนแล้ว