Amazon เตรียมเงินราว 1 พันล้านยูโร เพื่อใช้จ่ายลงทุนกับรถบรรทุกและรถตู้ส่งของในยุโรปให้เปลี่ยนมาใช้ระบบไฟฟ้าทั้งหมดภายใน 5 ปีข้างหน้า
ในปัจจุบันนี้ Amazon ระบุว่ามีรถตู้ส่งของในยุโรปที่เป็นระบบไฟฟ้าอยู่แล้วส่วนหนึ่ง ซึ่ง Amazon อ้างว่ารถกลุ่มดังกล่าวได้ถูกใช้งานส่งสินค้าไปแล้ว 100 ล้านชิ้นเมื่อปีก่อน ซึ่งแม้ไม่ได้มีการระบุตัวเลขที่แน่นอนแต่ก็พึงประเมินได้ว่าจำนวนรถตู้ไฟฟ้าของ Amazon ที่ถูกใช้งานอยู่มีจำนวนหลายร้อยคันหรือหลักพันคัน และส่วนหนึ่งของแผนงานที่กล่าวไปข้างต้นจะเป็นการเปลี่ยนรถตู้เพื่อการส่งของทั้งหมดในภาคพื้นยุโรปรวมมากกว่า 10,000 คันให้เป็นระบบไฟฟ้าภายในปี 2025
นอกเหนือจากการลงทุนซื้อรถใหม่แล้ว เงินลงทุน 1 พันล้านยูโรนี้ยังรวมการติดตั้งระบบชาร์จไฟรถยนต์ในพื้นที่สำนักงานและอาคารปฏิบัติงานต่างๆ ของ Amazon ทั่วทั้งยุโรปด้วย
Amazon ไม่ได้ระบุอย่างชัดเจนว่าจะซื้อรถตู้ไฟฟ้าและรถบรรทุกไฟฟ้ารุ่นใดมาใช้งานเพิ่มเติม ก่อนหน้านี้ Amazon ได้สั่งซื้อรถตู้ไฟฟ้าจาก Rivian รวม 100,000 คันก่อนหน้านี้ (ไม่ได้มีการระบุว่าสั่งซื้อเพื่อใช้งานในพื้นที่ไหน) ทั้งนี้ Rivian เป็นบริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่ Amazon ร่วมลงทุนในปี 2019 ด้วยเงิน 700 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อีกด้านหนึ่ง Amazon ก็เคยสั่งซื้อรถตู้ไฟฟ้าจาก Mercedes-Benz ด้วยเช่นกัน
ในขณะที่การเลือกใช้งานรถบรรทุกนั้น Amazon เคยสั่งซื้อรถบรรทุกไฟฟ้าจาก Volvo, Lion Electric และล่าสุดยังประกาศความร่วมมือกับ Mercedes-Benz เพื่อร่วมทดสอบใช้งานรถบรรทุกไฟฟ้า eActros LongHaul ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา
ที่มา - Electrek
ภาพ: Wikimedia Commons: Philafrenzy, License CC-BY-SA 4.0
Comments
นอกเรื่องนิดนึง
จากในภาพนี่ ผมสงสัยนะว่า Amazon ไม่กลัวรถพังหรอ ถึงได้ใช้ Maxus... (เจ้าของเดียวกันกับเม้งกวง)
Coder | Designer | Thinker | Blogger
น่าจะประกอบในยุโรปครับ ซึ่ง part น่าจะพร้อมอยู่แล้ว
EV ปัญหาน่าจะไม่เยอะ และระดับ Amazon น่าจะซื้อบริการรับประกันแบบbussiness
พวกมีรถสำรองให้ใช้ระหว่างซ่อม หรือซ่อมเสร็จใน 24 ชม. อะไรแบบนี้ด้วย
นั่นแหละครับ แต่ผมก็ไม่น่าไว้ใจยี่ห้อนี้อยู่ดี แม้เป็นรุ่น EV ก็เหอะ
Coder | Designer | Thinker | Blogger
MG ZS EV, MG EP เป็นรุ่นที่ไม่ค่อยมีคนพูดถึงในทางเสียหายเลยนะครับไม่ต้องขึ้นยานแม่เหมือน ZS ธรรมดา ผมว่ารถไฟฟ้านี่ข้อได้เปรียบคือชิ้นส่วนมันน้อย มันเลยโอกาสเสียน้อยตามไปด้วย ไม่ได้บอกว่า MG มันดีเทพนะครับ 555
ส่วนรถ Fleet มันไม่มีปัญหาอยู่แล้วครับถ้าเสียก็เปลี่ยนคันใหม่แล้วส่งคันนั้นไปซ่อม แค่นั้นเองครับ แล้วก็เก็บข้อมูลดูว่าปี ๆ นึงเสียเยอะมั้ย เทียบกับราคารถที่ซื้อมันลดค่าใช้จ่ายได้รึเปล่าเทียบกับแบรนด์อื่นถ้ามันไม่คุ้มเสีย พอรถหมดสัญญาก็เปลี่ยนยี่ห้อ จบ ไม่เหมือนรถบ้านที่มีอยู่คันเดียวเสียแล้วเข้าศูนย์รอซ่อมนานแล้วมันจะมีปัญหา