ธนาคารแห่งประเทศไทยชี้แจงถึงกรณีที่ปปง. มีคำสั่งให้ธนาคารพาณิชย์ต้องยืนยันตัวตนผู้ฝากเงิน ทำให้การใช้ตู้ฝากเงินอัตโนมัติ (CDM) ต้องใช้งานโดยมีบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตเสียก่อน โดยระบุว่ากระบวนการนี้เป็นการทำตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย ของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ซึ่งทางปปง. ก็มีข้อชี้แจงออกมาวันนี้
สำหรับผู้ได้รับผลกระทบจากแนวทางนี้ ทางธนาคารแห่งประเทศไทยระบุว่ายังสามารถฝากเงินที่สาขา, ร้านสะดวกซื้อ, ไปรษณีย์, หรือช่องทางตัวแทนรับฝากเงินอื่นๆ และจากนี้จะเร่งให้ธนาคารรองรับกระบวนการยืนยันตัวตนรูปแบบอื่นๆ ทั้งบัตรประชาชน และการยืนยันตัวตนแบบไม่ใช้บัตร (cardless) โดยเร็วต่อไป
ที่มา - จดหมายข่าวธนาคารแห่งประเทศไทย
(17 ต.ค) ธปท. ชี้แจงกรณีการปรับขั้นตอนการฝากเงินผ่านเครื่อง CDM ให้ต้องมีการยืนยันตัวตนผ่านบัตรเดบิต บัตรเอทีเอ็ม และบัตรเครดิต
นางบุษกร ธีระปัญญาชัย ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายระบบการชำระเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ชี้แจงกรณีข่าวที่ธนาคารจะปรับขั้นตอนการฝากเงินผ่านเครื่อง CDM ซึ่งต้องมีการยืนยันตัวตนผ่านบัตรเดบิต บัตรเอทีเอ็มหรือบัตรเครดิต ทุกครั้ง โดยจะเริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 15 พฤศจิกายน 2565 เป็นต้นไป นั้น เป็นการปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย ของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ตามที่ ปปง. ได้มีข้อชี้แจงเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2565
ทั้งนี้ การยืนยันตัวตนของผู้ทำรายการฝากเงินเป็นสิ่งที่ต้องดำเนินการเพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการทำธุรกรรมทางการเงินมากขึ้น โดยธนาคารให้มีการยืนยันตัวตนผ่านเครื่อง CDM ของแต่ละธนาคาร สำหรับประชาชนที่ไม่มีบัตรเดบิต บัตรเอทีเอ็มหรือบัตรเครดิต ทำให้ไม่สามารถฝากเงินที่เครื่อง CDM ได้ จะยังคงสามารถฝากเงินโดยใช้บัตรประชาชนผ่านช่องทางอื่นนอกเหนือจากฝากที่สาขาธนาคารได้ ได้แก่ ตู้เติมเงิน เคาเตอร์ของร้านสะดวกซื้อ ไปรษณีย์ และตัวแทนรับฝากเงินอื่นของธนาคาร ทั้งนี้ ธปท. จะเร่งให้ธนาคารพาณิชย์ดำเนินการพัฒนาระบบให้สามารถรองรับการยืนยันตัวตนรูปแบบอื่น ๆ เช่น การใช้บัตรประชาชน หรือการยืนยันตัวตนในลักษณะ cardless เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนทุกกลุ่มโดยเร็วต่อไป
Comments
สรุปคือบีบให้ทำบัตรก่อนแล้วค่อยมาทำปลอบใจทีหลังสินะ
เค้
บล็อกส่วนตัวที่อัพเดตตามอารมณ์และความขยัน :P
นึกว่าจะส่งเสริมพร้อมการ์ด (Promt Card) ซะแล้ว
ธนาคารยิ้มครับ เพราะได้ค่าธรรมเนียมบัตรเดบิตมาอีกเพียบ
Coder | Designer | Thinker | Blogger
บัตรเดบิตในไทย พวก visa mastercard unionpay ก็ไม่ใช่ของจริง ตัดเงินผ่าน itmx เหมือนกัน พอเอาไปใช้ ขึ้น tba(thai bankers association) card บัตรบางธนาคารให้ใช้แต่ในประเทศด้วย ทำให้ไม่ต่างอะไรกับ promptcard ที่มีโปรโมชั่นเพิ่ม
แล้วจะเสียเงินให้ต่างชาติทำไมครับ ในเมื่อวิ่งในประเทศมันถูกกว่า
จริงๆในบัตรมี 2 App ครับ คือ TBA กับ พวก Payment Network ที่อยู่ตามหน้าบัตร แต่เครื่อง EDC ที่ธนาคารในประเทศไทยใช้จะเลือก App TBA เป็น Priority แรกในการทำธุรกรรมครับ ถ้าไปต่างประเทศที่เครื่อง EDC ไม่รู้จักTBA ก็จะวิ่งเข้าอีก App นึงตามปกติครับ
ง่ายๆ ก็คือเป็นบัตรที่เชื่อมต่อได้หลาย Payment Network แต่ตอนนี้ทำได้แค่ 2 ส่วนคือ สำหรับใช้งานในประเทศ (TBA) กับใช้งานต่างประเทศ (Visa/MasterCard/UnionPay etc. ตามที่ออกบัตรจากธนาคาร)
ซึ่งผมมองว่ามันควรจะทำเป็นบัตร Universal คือไม่ต้องขึ้นกับเจ้าใดเจ้าหนึ่ง และสามารถติดต่อและชำระค่าบริการได้จากทุก Payment Network พร้อมจ่ายค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมในบัตรเดียวไปเลยก็น่าจะดี หลังรูดซื้อสินค้าและบริการ หรือกดเงินสดจากตู้ ATM
ความล้มเหลว คือจุดเริ่มต้นสู่ความหายนะ มีผลกระทบมากกว่าแค่เสียเงิน เวลา อนาคต และทรัพยากรที่เสียไป - จงอย่าล้มเหลว
ก็ใช้บัตรประชาชนนั้นล่ะครับ น่าจะทำได้
ตอนส่งเงินยังใช้แค่เลขประชาชนได้เลย
ไม่พร้อมก็อย่าเริ่ม ที pdpa ไม่พร้อมยังเลื่อนเอาๆ
ไม่ทันแล้วล่ะ ลานจอดรถหน้าแบงค์รถทัวร์เพียบละครับ
เหมือนออกมาตรฐานอะไรสักตัวนึง...ที่องค์กรที่ออกมาตรฐานเอาแต่ใจชะมัด ประมาณว่าออกเวอร์ชั่นใหม่ 3.0 แต่กลับไปใช้มาตรฐาน core เวอร์ชั่น 1.0 ที่ต้องใช้บัตรเดบิตฝากเงินที่ตู้ แล้วยกเลิกฟีเจอร์ของเวอร์ชั่น 2.0 ที่ฝากเงินแบบไม่มีบัตรที่ไป(ชั่วคราว) อะไรไปประมาณนั้น ทั้งๆ ที่ควรจะออกเวอร์ชั่นใหม่มาซัพพอร์ตเวอร์ชั่นเก่า เช่น ออกฟีเจอร์ใหม่มาเสริมฟีเจอร์เก่าให้มันปลอดภัยมากขึ้น
ป้องกันฟอกเงินนี่เข้าใจ
แต่การใช้บัตรเดบิตนี่มันป้องกันได้ยังไง ? เอาบัตรให้คนอื่นเอาไปฝากแล้วตู้มันจะรู้เหรอว่าคนที่มาฝาก เป็นเจ้าของบัญชีหรือเปล่า ?
ใช้บัตรประชาชนยังดูมีเหตุผลมากกว่า
ถ้าเป็นบัตรเดบิตของบัญชีม้า ก็ปฎิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ไงครับ
แต่ถ้าให้ใครก็ได้มาฝาก โดยไม่ต้องยืนยันตัว มันเปิดกว้างสุดๆ มีแค่กล้องถ่ายหน้า แต่ปกติตอนนี้ใส่หน้ากากอนามัยกันเป็นปกติ ปิดบังใบหน้าสบายๆ
บช.ม้า มันผิดตั้งแต่เปิดแล้วเอาไปให้คนอื่นแล้วละครับ ยิ่งเอาไปก่อเหตุ ผมว่าไม่มีเหตุผลที่จะต้องทำอะไรเพิ่มเลย
ยังคิดไม่ออกว่า มันป้องกันอะไรได้
สมมติเจ้าของบัญชีม้า ให้ยืมบัตรเดบิตให้คนร้ายไปฝากเงินแทน ก็จับเจ้าของบัญชีม้าได้ไงครับ สมมติบัญชีม้า1 ไว้รับเงิน บัญชีม้า2ทำบัตรเดบิต ไว้ฝากเงิน ก็จับได้สองคนละ
แต่ตอนนี้คือคนฝากเงิน เป็นใครก็ได้ เลยตามจับคนในวงจรไม่ได้ อาจจะอายัดได้แค่บัญชีที่รับฝาก(สมมติบัญชีม้า1) แต่คนฝากที่อาจจะมีหลายสิบคนวนกัน ก็ลอยตัว เพราะไม่ต้องยืนยันตัวตน กล้องมีก็เหมือนไม่มีเพราะใส่หน้ากากกันหมด
Point คือตอนนี้เจ้าของบช.ม้าก็โดนจับอยู่แล้วครับ
คนฝาก ? ต่อให้มีบัตรก็จับไม่ได้ เพราะไม่เห็นหน้า ไม่รู้ด้วยว่าเป็นใคร บัตรมันเปลี่ยนมือไปได้เรื่อยๆ
แล้วมันต่างกับตอนนี้ยังไง ? คือถ้าเอาเรื่องบช.ม้ามาเป็นต้นเหตุของเรื่อง ผมว่ามันไม่ใช่ละ
กลับกันถ้าเปลี่ยนเป็นบัตรประชาชน อันนี้จบเลย Solve ทุกเรื่อง
point คือจับคนในวงจรให้ได้มากที่สุดไงครับ
ต่อให้ทำบัญชีม้า 2-3-4 เพื่อให้คนมาฝากเงินสดได้ แต่มันก็ยังมีร่องรอยให้ตาม(บัญชีม้า) มากกว่าแค่ภาพจากกล้องที่ติดตามอะไรไม่ไ่ด้เลยในปัจจุบัน เพราะปิดหน้ากันหมด (ส่วนบัญชีรับเงินม้า1 จับได้อยู่แล้ว)
แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นบัตรประชาชน ก็ไม่ต่างจากบัญชีม้าครับ ก็ไปยืม/เช่า มาได้ไม่ต่างกัน เพราะไม่ต้องยืนยันตัวตน ว่าคนที่กำลังฝาก เป็นคนเดียวกับบัตรที่เสียบไปสักหน่อย แต่เจ้าของบัตรที่ให้ยืม/เช่า ก็ต้องรับผิดชอบไม่ต่างจากบัญชีม้าแบบเก่าเช่นกัน มีข้อดีคือคนทั่วไปไม่ต้องเสียเงินค่าทำบัตรATMเพิ่ม
แยกประเด็นนะครับ สิ่งที่ธปท.ต้องการ คือเพิ่มการยืนยันตัว ซึ่งช่วงแรกใช้บัตรเดบิต ATM ง่ายสุดเพราะรองรับทุกตู้ ต่อไปก็อาจจะให้ธนาคารต้องติดเครื่องอ่านchip บัตรประชาชน จะได้เปิดกว้างขึ้นโดยที่ยังยืนยันตัวได้เท่ากัน อันนี้เห็นด้วยนะครับ หรือบางแบ๊งค์อาจจะทำแอพ ฝากเงินโดยไม่ต้องใช้บัตร ได้เหมือนที่ถอนเงินโดยไม่ใช้บัตร ก็น่าจะได้เช่นกัน
คือตอนนี้เหมือน เอาสองเรื่องมาปนกัน คือไม่อยากยืนยันตัวตน กับ ไม่อยากเสียเงินค่าทำบัตร ซึ่งส่วนหลังแก้ได้ด้วยการใช้บัตรประชาชน/แอพ แต่อย่างแรกก็ต้องยอมรับ เพื่อลดความเสี่ยงในการฟอกเงินลงครับ
เอางี้นะครับ ตอบคำถามผมที
การใช้บัตรเดบิต หรือเครดิต ธนาคารจะรู้ได้ยังไงว่า "ใคร" มาฝากเงิน ?
ถ้าคำตอบคือไม่รู้ว่า "ใคร" แต่รู้แค่ว่า "บัตรของใคร" มันต่างอะไรกับปัจจุบันนี้ครับ ? เพราะเจ้าของบัญชีม้าก็โดนเล่นงานหนักอยู่แล้วตอนนี้
การบังคับให้ใช้บัตร มันจะทำให้ธนาคาร(หรือตำรวจ) จับใครได้มากขึ้นเหรอครับ ?
การใช้บัตรประชาชนมันเหมือนเวลาไปส่งของที่ไปรษณีย์แหละครับ ของในกล่องไม่มีใครรู้หรอกว่าคืออะไร แต่ถ้ามีปัญหา เจ้าของบัตรที่ใช้ตอนส่ง ต้องรับผิดชอบ เคสนี้ผมก็ว่าไม่ต่างกัน
คุณจะเอาบัตรใครมาเสียบเพื่อฝากเงินก็ได้ แต่ถ้ามีปัญหา เจ้าของบัตรซวย
เคสนี้ก็เหมือนกัน เจ้าของบัตรเดบิตซวย แต่ประเด็นคือเจ้าของบัตรเดบิต ก็คือเจ้าของบัญชีม้า (หรือคุณกำลังคิดว่าคนร้ายจะไปใช้บัตรของคนอื่น?) ซึ่งก็ซวยอยู่แล้วไงครับ แล้วจะบังคับทำบัตรไปอีกทำไม ? ในเมื่อมันแก้ไขอะไรไม่ได้
คือนอกจากจะไม่แก้ปัญหาเก่าแล้ว ยังสร้างปัญหาใหม่ด้วย (คนที่ใช้งานแบบถูกต้องลำบาก)
คือมันต่างกันกรณีที่ คนฝาก ไม่ได้เป็น หรือ “อ้างว่า” ไม่ได้เป็นเจ้าขงงบัญชี
เดิมทีการฝากเงินผ่านตู้ มันแค่รู้บัญชีปลายทางก็ฝากได้
สมมติว่า ผมต้องการฟอกเงิน ซึ่ง ปปง มีเกณฑ์ตรวจสอบการเคลื่อนใหวของเงินที่เกิน 5 ล้านบาทต่อวัน
สมมติว่าผมใช้วิธี โอนเงินจากบัญชีนึง กระจายไปยังบัญชีม้า แล้วถอนออกเป็นเงินสด แล้วเอาไปฝากเข้าบัญชีของผมเองอีกบัญชี
เจ้าหน้าที่จะหาความเชื่อมโยงได้ยากมาก
แต่ถ้าบังคับยืนยันตัวตนตอนฝาก เท่ากับอย่างน้อยบัญชีม้าก็ต้องยืนยันตัวตนก่อน หรือต่อให้เอาไปให้คนอื่น หรือบัญชีม้าอื่นๆ ฝาก ก็ยังตามเจอตัวคนฝาก แล้วสอบสวนต่อได้ว่า คนฝากเอาเงินจากไหนมา เกี่ยวข้องกับใคร
ถ้าเป็นระบบปัจจุบันมันจะจับมือใครดมไม่ได้เลย
เขาต้องการความเชื่อมโยงครับ
ต่อให้บัญชีม้า เขาก็ไล่สืบสวนจากเจ้าของบัญชีม้า หรือเจ้าของบัตรประชาชนที่ไปฝากเงินได้
แต่ตอนนี้คือมันตามไม่ได้เลยไง ได้แค่ฝั่งรับ แต่ฝั่งเอามาฝาก ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นเงินร้อน เห็นแค่ภาพจากกล้องที่แทบไม่เห็นใบหน้าเพราะใส่หน้ากากหมด
เคยเห็นข่าวแก๊งค์call center ไหมครับ ทำไมเขายังทำอยู่ได้ การไล่จับบัญชีม้า ก็เป็นการป้องปรามแบบหนึ่ง ให้คนที่คิดจะรับเงินค่าเปิดบัญชีไม่กี่ร้อยหรือไม่กี่พัน ได้เกรงกลัวมากขึ้น
ผมยังงงที่คุณไม่เข้าใจว่าปัจจุบัน ใครก็ได้มาฝากเงิน แค่รู้เลขบัญชีปลายทาง โดยที่ไล่ตามเบาะแสคนฝากแทบไม่ได้เลย เขาพยายามเพิ่มมาตรการยืนยันตัวตรงนี้มากขึ้นนี่แหละ
แต่คนฝากกับคนรับก็เป็นคนเดียวได้ใช่ไหมครับ
กลุ่มผู้กระทำผิดก็น่าจะเปลี่ยนให้ม้า 1 คน เปิดบัญชีเพิ่มสำหรับเปิดบัตร ATM ฝากเงินกระจายกันไปใช้ได้ แค่ยอมจ่ายเพิ่มหน่อย
เพราะยังไงเจ้าของบัญชีม้าก็ต้องเป็นผู้ต้องหาอยู่แล้ว จะเป็นชื่อคนฝากด้วยก็ไม่น่าจะโดนโทษหนักกว่าเดิม
ยังไงก็ต่างกับตอนนี้ครับ
ปัจจุบัน
บัญชีรับเงิน ระบุตัวตนได้ทุกกรณี ถ้าเป็นม้าก็สืบต่อจากม้านี่แหละว่าใครจ้างให้มาเปิดบัญชี
บัญชีจ่ายเงิน กรณีฝากตู้จะระบุตัวตนไม่ได้ ไม่รู้จะไปตามสืบต่อจากใคร เงินมาจากไหนก็ไม่รู้
อนาคต
บัญชีรับเงิน ก็เหมือนเดิม ถึงจะเป็นม้า ก็สืบต่อต่อจากม้าได้
บัญชีจ่ายเงิน จะระบุตัวตนได้ทุกกรณีเช่นเดียวกัน ถึงเป็นม้า ก็ยังสืบต่อจากม้าได้ ว่าให้เป็นคนให้บัตรมาฝาก
แบบนี้ก็จะไล่สืบไปได้เรื่อยๆ ทั้งฝั่งคนรับ และคนจ่าย
ตอนนี้คือ
ใครก็ไม่รู้ เอาเงินสดฝากเข้าเครื่องได้
จะตามตัวก็ตามยาก/ไม่ได้ เพราะไม่มีหลักฐานอะไรเลย
เขาเลยบังคับให้ใช้บัตร เวลาฝากเงินสดเข้าเครื่อง
จะตามตัวก็ตามเจ้าของบัตร = บัญชีม้า ได้นี่แหละ
นั่นคือคำถามของผมไงครับ บัตรมันเปลี่ยนมือได้เรี่อยๆ แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าใครถือบัตร ? สุดท้ายก็ไม่พ้นเจ้าของบัญชีเหมือนเดิม ? แล้วมันต่างอะไรกับตอนนี้ ?
คือผมเห็นด้วยกับการยืนยันตัวตกเพื่อเอาเงินเข้าระบบ แต่ต้องเป็นบัญชีของตัวเองเท่านั้น
เช่นบัญชีชื่อผม จะฝากเงินเข้าบัญชีนี้ได้ ต้องใช้บัตรประชาชนของผมยืนยันเท่านั้น อันนี้ผมเห็นด้วย
แต่การที่บอกว่าบัญชีชื่อผม แต่ใครที่ไหนก็ได้แค่มีบัตรเดบิต(ที่อาจยืมมา ขโมยมา หรือเจอตกข้างทาง) เอามาใช้ยืนยันตัวตนเพื่อฝากเงินเข้าบัญชีผม มันจะแก้ปัญหาอะไรได้ ? ผมยังมองไม่ออกเลยจริงๆ
มันก็ไม่ต่างจากโอนเงินนี่ครับ รัฐต้องการรู้แค่ว่าเงินมาจากใคร (เจ้าของบัตร) ไปหาใคร (เจ้าของบัญชี) ไม่ได้ต่างจากการโอนระหว่างบัญชี เขาสาวหาต้นทางได้
lewcpe.com, @wasonliw
คำว่า "เจ้าของบัตร" นี่แหละครับ คือจะมีโจรคนไหนบ้างที่จะใช้บัตรของตัวเองฝากเข้าบัญชีม้า ?
แต่คืออย่างน้อย มันไม่ควรสร้างผลกระทบให้คนใช้งานส่วนใหญ่ ที่ไม่ได้ทำอะไรผิดไม่ใช่เหรอครับ ?
ผมเข้าใจว่าประเด็นที่คนโวยกันคือคนเดี๋ยวนี้ แทบไม่ได้ใช้บัตรเดบิต,ATM กันแล้ว เพราะตั้งแต่มีฝากเงิน/ถอนเงินไม่ใช้บัตร บัตรก็แทบไม่มีความจำเป็น
ออกกฎมาแบบนี้นอกจากสร้างความลำบากให้คน(ส่วนมาก)แล้ว ยังไม่สามารถขยายผลจับกุมได้ด้วยซ้ำ เพราะสุดท้ายโจรก็จะใช้บัตรเดบิตของเจ้าของบัญชีม้า ที่ได้มาพร้อมกันตอนจ้างเปิดบัญชีอยู่แล้ว
คืออย่างน้อยมันก็ต้องหาตัวใครสักคนให้ได้แหละครับ ต่างกับปัจจุบันคือใครก็ไม่รู้ เอาเงินมาใส่ตู้ เปิดกล้องอาจจะเห็นหน้า แต่จะตามยังไงต่อ
ต่อให้ไม่ใช่เจ้าของบัตร แต่เจ้าของบัตรก็โดนเล่นก่อน แล้วค่อยสาวไปยังคนฝากจริงๆก็ได้
ส่วนที่ให้ใช้บัตร เดบิตเครดิต ผมว่ามันเป็นมาตรการตั้งต้น เพราะบัตรพวกนี้ ตู้มันรับอยู่แล้ว บัตร ปชช ตู้ส่วนใหญ่ ยังไม่รับ
ผมเห็นด้วยนะครับ ว่ากฎรอบนี้แน่นเกินไป เกินสัดส่วน แก้ปัญหาไม่ได้หมด แต่สร้างความลำบากวงกว้าง ปปง. ควรเว้นอย่างน้อยๆ ก็ฝากเข้าวันละ 10,000 แรกไม่ต้องใช้บัตรอะไร
แต่การยืนยันตัวตนก่อนทำธุรกรรมมันก็เข้าใจได้ และบัญชีม้านี่เป็นอีกปัญหาที่เราต้องแก้ไปว่าการให้คนอื่นทำธุรกรรมทางการเงินในชื่อเรานี่มันเรื่องใหญ่
lewcpe.com, @wasonliw
กฎรอบนี้แน่นเกินไป เกินสัดส่วน แก้ปัญหาไม่ได้หมด แต่สร้างความลำบากวงกว้าง > โดนใจมากครับ ปปง. เก่งแต่สร้างปัญหาให้คนส่วนมาก คนส่วนน้อยที่สร้างปัญหาก็จับไม่ได้
ลองคิดถึงแนวๆ คนเดินยาเสร็จ
พ่อค้ายาเลยมาฝากเงินให้ผ่านเครื่อง
พอตำรวจจับเด็กเดินยาได้ จะสาวไปถึงพ่อค้ายาไม่ได้ ลอยนวล
ถ้าบังคับยืนยัน พ่อค้ายาต้องหาบัตรบัญชีม้ามาใช้
ตำรวจก็จะตามบัญชีม้าที่อาจเลือกซัดทอดพ่อค้ายาได้
หรืออย่างน้อยก็เอาบัญชีม้าเข้าคุกไป พ่อค้ายาก็ต้องลำบากหาบัญชีม้าใหม่
จากนั้นพอมีข่าวบัญชีม้าเข้าคุกบ่อยๆ คนจะไม่ยอมเป็นบัญชีม้าในที่สุด
ก็บัญชีม้า 1 คนนี่แหล่ะครับ เปิดได้หลายบัญชี
เจ้าของบัญชียิ่งชอบ ยิ่งเปิดมากยิ่งได้เงินมาก คนที่มันเข้าตาจน มันไม่ได้กลัวเข้าคุกในอนาคต
ขนาดทุกวันนี้มีข่าวประจำ แต่บัญชีม้าก็ไม่ได้หาซื้อยากขึ้นเลย
ให้ม้าคนเดียวนั่นแหล่ะ เปิดทั้งบัตร ATM สำหรับฝากเงิน และบัญชีสำหรับรับเงิน
สรุปม้าคนเดียว ชื่อเดียว ทั้งรับทั้งฝาก ยังไงก็ติดคุกเท่าเดิมอยู่แล้ว
ก็ต้องไล่จับเข้าคุกกันไงครับ ที่ผ่านมาเริ่มจับกันแล้ว บัญชีม้าเจอคุกกันคนละหลายปีโดยไม่รอลงอาญาฯ ก่อนหน้านี้แทบไม่เคยมีข่าวนะครับ เพิ่งมีมาราวๆปีนี้เอง ช่วงแก๊งค์คอลเซนเตอร์ดังๆ
คนเห็นข่าวจะได้เกรงกลัวกันมากขึ้น อย่างน้อยก็จะยากขึ้น คนพวกนี้ไม่ได้เข้าตาจนหรอก แต่ทำไปเพราะไม่คิดอะไร ไม่คิดว่าจะโดนเองไง ในกระทู้พันทิปยังมีแนวๆ มาถาม ไปซื้อมือถือติดสัญญาค่าบริการเดือนละเกือบสองพัน โดยใช้ชื่อตัวเองให้เพื่อน รับมา500 จะโดนอะไรไหม (แล้วโดนผู้ให้บริการฟ้องส่วนต่างค่าเครื่องเกือบสองหมื่นไง) มีกระทั่งจะเอาผิดเพื่อนได้ไหม คือคนที่ไม่คิด มันก็ไม่คิดอะไรจริงๆ
และในความเป็นจริง ระบบใหม่ที่กำลังจะทำ มันยุ่งยากขึ้น เพราะถ้าจะใช้เด็กเดินยา หลายๆคนกระจายกันฝากกันง่ายๆ มันก็ต้องสมัครม้าหลายบัญชี ยิ่งมีร่องรอยให้สืบสาวง่ายขึ้นอีกตะหาก โดยเฉพาะจะใช้บัตรประชาชนม้า มันก็ดูน่ากลัวกว่าแค่ให้เปิดบัญชีเปล่าๆเยอะเลย ค่าใช้จ่ายม้าเพิ่มขึ้นตามความเสี่ยงแน่นอน
ผมเห็นด้วย 1 ข้อครับ คนเปิดบัญชีม้า (นาย A) ย่อมให้ทั้งสมุดบัญชี และบัตร ATM กับผู้กระทำความผิด (นาย B) ไปแล้ว
นาย B ก็ใช้บัตร ATM ของนาย A นั่นแหล่ะครับ ในการฝากเงินเข้าบัญชีของนาย A
สุดท้ายนาย A ก็โดนอยู่แล้วต่อให้ไม่ต้องยืนยันตน ก็จับใครเพิ่มไม่ได้อยู่ดี
ที่ผ่านมา เขาใช้เด็กเดินยาหลายๆคน ขายได้ ก็เอาเงินสดมาฝากเข้าบัญชีครับ ไม่มีหลักฐาน นอกจากจะจับได้คาหนังคาเขาตอนฝาก แต่ถ้าจับได้แค่เด็กเดินยา หลักฐานในตัวก็แทบไม่มีอะไรเลย
แต่ถ้าต้องยืนยันตัวก็ยากขึ้น ต้องมีเด็กเดินยาที่พกบัตรATM หรือแม้แต่ใช้บัตรประชาชนตอนฝาก(ซึ่งคงหาของม้ามาใช้ยากหน่อย) มันก็มีหลักฐานให้สืบสาวมากขึ้นเยอะ
แล้วทำไมไม่ให้ ธนาคารรองรับ บัตรประชาชน ก่อน ป้องกันการฟอกเงินมันเร่งด่วนขนาดนั้นเลย?
แถมไม่มีข้อบังคับว่าให้ ธนาคารจะต้องรองรับ เมื่อไรด้วย แบบนี้ ธนาคารยิ้มเลย กินค่าธรรมเนียมได้เรื่อย ๆ
ก็รองรับบัตรประชาชนก่อนดิ ค่อยประกาศ
ทำงานเป็นลำดับไม่เป็นเลยใช่มั้ยประเทศนี้
เห็นด้วยกับข้างบนว่าควรรอให้ระบบรองรับบัตรประชาชนก่อนค่อยบังคับใช้ เรื่องนี้ ธปท. สอบตกสำหรับผม
..: เรื่อยไป
แบบเก่าสะดวกดีนะ เคยโอนไปหาคนรุ้จัก บ่อยครั้ง มันก็ไม่ระบุว่าใครโอนมา เห็นแต่เงิน สะดวกดี แแถมแอบได้ด้วยนะ
ก็เพราะแอบได้นี่แหละ เลยเป็นช่องให้โจรทำมาหากิน
บัตรปชช. มันใช้ได้แค่คนไทยหรือเปล่า กรณี ต่างด้าวเปิดบัญชี ก็คงใช้ไม่ได้ แต่ควรจะใช้ได้ทั้ง บัตรเดบิต บัตรปชช. หรือการยืนยันผ่านแอฟมือถือ เพราะจุดประสงค์หลักคือการยืนยันตัวตนของผุ้ฝากเงิน ดังนั้นมันควรจะยืนยันได้หลายช่องทางไม่ใช่แค่บัตรเดบิต เพราะหลายคนเขาก็ไม่เปิดบัตรเดดิตกันแล้ว
The Dream hacker..
เอาจริงๆ มันควรจะยกเลิกการฝากเงินเข้าบัญชีตรงๆผ่านเลขบัญชีรึปล่าว
แล้วยืนยันก็ใช้บัตร ATM นั้นแหล่ะ บัตรของบัญชีไหร ก็ฝากเข้าบัญชีนั้น
ถ้าจะฝากเข้าบัญชีคนอื่น ก็โอนเอา จบ