Sam Bankman-Fried (SBF) ซีอีโอและผู้ก่อตั้ง FTX ออกมาโพสต์ข้อความต่อสาธารณะเป็นครั้งแรก หลังวิกฤต FTX ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา
SBF ขอโทษในสิ่งที่เกิดขึ้น ยอมรับว่าเขาทำผิดพลาด (I fucked up) อย่างแรง เขาควรออกมาสื่อสารให้เร็วกว่านี้ แต่ไม่สามารถทำได้ระหว่างการเจรจาดีลกับ Binance แต่ภาพรวมเกิดจากความผิดพลาดของเขาเองตั้งแต่แรก
เขาอธิบายว่าปัญหาของ FTX เกิดจาก FTX International ที่ทำธุรกิจนอกสหรัฐอเมริกา (แยกจาก FTX.US) ซึ่งลงบัญชีทรัพย์สิน-หนี้สินไม่ดีพอ ทำให้เขาประเมินสภาพคล่อง (liquidity) ผิดพลาดไป เขาคิดว่า FTX มีสภาพคล่องสูงกว่าอัตราถอนเงินของลูกค้าในวันปกติถึง 24 เท่า แต่วันที่เกิดเหตุแห่ถอนสูงถึง 5 พันล้านดอลลาร์ จึงมีสภาพคล่องเพียง 0.8 เท่าของการถอน ไม่เพียงพอต่อการถอนเงินของลูกค้า
SBF บอกว่าเขาจะรับผิดชอบต่อเงินของลูกค้า โดยพยายามหาเงินมาเติมสภาพคล่องให้ลูกค้ากลับมาถอนเงินได้ ตอนนี้เขายังไม่สัญญาว่าจะหาเงินได้หรือไม่ แต่จะพยายามอย่างเต็มที่ เงินที่ได้มาจะนำมาคืนให้ลูกค้าก่อน จากนั้นจะเป็นคิวของนักลงทุนและพนักงาน
SBF ยังบอกว่าบริษัทลงทุน Alameda Research ซึ่งเป็นอีกบริษัทของเขา (ไม่เกี่ยวข้องกับ FTX ในทางกฎหมาย แต่มีผู้ก่อตั้งคนเดียวกัน) จะหยุดเทรดบนตลาดแลกเปลี่ยน FTX และ FTX เองจะเปิดเผยข้อมูลเพื่อความโปร่งใส
สุดท้าย SBF ยังโพสต์ข้อความถึง "คู่แข่งรายหนึ่ง" (a particular sparring partner) ว่าเล่นเกมได้ดี คุณชนะแล้ว (well played; you won)
1) I'm sorry. That's the biggest thing.I fucked up, and should have done better.
— SBF (@SBF_FTX) November 10, 2022
อย่างไรก็ตาม หลัง SBF โพสต์ว่า FTX.US ไม่ได้มีปัญหาสภาพคล่องเหมือน FTX International เว็บไซต์ของ FTX.US ก็ประกาศว่าอาจหยุดการเทรดสักหลายวัน แต่การถอนเงินยังสามารถทำได้ตามปกติ
ที่มา - CoinDesk
Comments
ไร้ศูนย์กลาง ไร้การควบคุม ไร้มาตรฐานการสำรองเงิน ไร้มาตรฐานการลงบัญชี
lewcpe.com, @wasonliw
เคสนี้คือบริษัทแห่งหนึ่งนะครับ
เช่นเดียวกับ LUNA, Voager, ไล่ถอยไปจนถึง MtGox
lewcpe.com, @wasonliw
FTX ไม่เคยเคลมว่าตัวเองไร้ศูนย์กลางนะครับ
"Those who make peaceful revolution impossible will make violent revolution inevitable." JFK.
ตอนไปขอ Binance มากู้ชีพยังบอกว่าเป็นการกู้ decentralized economy อยู่เลยครับ ไม่กี่วันนี่เอง
โดยรวมวงการคริปโตเลิกไร้ศูนย์กลางไปนานแล้วครับ สินทรัพย์ส่วนมากถูกออกโดยหน่วยงานรวมศูนย์ Tether/BUSD ฯลฯ อยากไร้ศูนย์กลางอย่างเดียวคือไร้การกำกับดูแล ให้ดีมากๆ คือทำเหมือนมีการกำกับดูแลแต่อยากทำท่าประหลาดที่วงการการเงินเดิมๆ ทำไม่ได้ ทำแล้วติดคุกฯลฯ
lewcpe.com, @wasonliw
ที่ตา sam mentions เรื่อง decentralize เค้าก็ไม่ได้หมายถึงว่าตัวเองหรือ FTX เป็น decentralize platfrom นะครับปัญหาของ FTX เป็นเรื่องการใช้ระบบ fractional reserved แล้วเกิด bank run ครับ (ซึ่งเกิดขึ้นได้กับทุกระบบการเงินที่ใช้ระบบ fractional reserved)
"Those who make peaceful revolution impossible will make violent revolution inevitable." JFK.
ผมเข้าใจดีครับว่า FTX เองไม่ใช่ decentralized
ที่ผมจะชี้คือวงการ decentralized ทุกวันนี้ไม่มีจริง คนกลุ่มน้อยมากๆ ที่อยู่กับ decentralized จริงๆ ความสะดวกสบาย ความนิยมสารพัดที่บอกว่า decentralized มี use case จริง มีคนเข้าถึงได้จำนวนมากมักอยู่กับระบบ centralized ที่แนบบางส่วนของระบบพยายามชี้ว่าเราเป็น decentralized เท่านั้น ไม่นับว่าที่ว่า decentralized จริงนี่มีความรวมศูนย์ในบางระดับ (51% ของ hash ใน bitcoin นี่กระจายถึง 10 รายไหม?)
โดยวงการแทบทั้งวงการมีคุณสมบัติอิหลักอิเหลื่อ อยากไม่ยุ่งกับรัฐ พอรัฐไม่ให้ยุ่งก็กลัวไม่มีคนใช้ กลัว cash out ไม่ได้ คนที่เล่นจำนวนมากก็หลอกตัวเองว่าระบบ X มัน decentralized ไม่มีใครคุมได้ ทั้งที่คนคุมได้เต็มไปหมดสารพัดจุด และคนเหล่านี้ไม่มี accountability เหมือนหน่วยงานกำกับดูแลเติมๆ
lewcpe.com, @wasonliw
นาทีนี้ใครจะกล้าช่วยพี่ครับ เรือจมน้ำไปครึ่งลำแล้วมีแต่จะพาจมไปด้วย ให้ความหวังลมๆแร้งๆนักลงทุนไปงั้น
ไม่มีการตรวจสอบ ไร้การควบคุม จริงๆ เราก็ควรสอบ กระดานในประเทศเราเป็นระยะก็ดีนะ กลต แบบส่งเป็น report แล้ว กลต audit ปี ล่ะ 2 ครั้งกำลังดี จะได้รู้ว่าถ้ามีปัญหาจริงๆเราจะมีเงิน ไหนๆก็ได้ถูกต้องตามกฎหมายแล้ว
กระดานบ้านเราบางเจ้า แรกๆยังไม่ยอมเปิดเผยhot-cold wallet ของexchange เลย ว่ามีเหรียญคงคลังเท่าไรกันแน่ จนคนกลัวว่าแอบโอนออกไปลงทุนข้างนอก
แต่พรี่ๆหลายคนที่เทรด crpyto เค้าก็ชอบแถวคิดไร้ศูนย์กลางนะครับ เวลาจะมีคนทำ audit มักจะโดนด่าประจำ ก็ปล่อยให้พรี่ๆรับผิดชอบตัวเองไปก็ดีเหมือนกัน
เห็นมีแต่ ไม่อยากกกต มาคุมนะครับ
ไร้การตรวจสอบ เวลาสะดุดก็อย่างที่เห็น
ขออภัยที่ถามนะครับ ผมเริ่มงงแล้ว่า crypto มันคืออะไรนะ แล้วประโยชน์มันคืออะไรหรอ
แล้วที่มันเป็นแบบนี้แสดงว่าประโยชน์ตอน design มันไม่ได้เป็นเหมือนอย่างที่ design แล้วใช่มั๊ย
คือพอดีผมมองว่ามันคือหุ้นตัวนึงไปแล้ว ขึ้นๆลงๆแบบไร้พื้นฐาน เลยงงละว่าเค้ามาทำทำไมนะ
ปล. ผมไม่ได้คลุกคลีกับทั้งหุ้นและcrypto แต่มันสงสัยในใจ ไม่รู้จะถามใคร ไม่เข้าใจคำถามผมพร้อมอธิบายต่อได้นะครับ
ในมุมมองของผมนะครับ ในโลกอุดมคติ crypto เป็นสกุลเงินที่ไว้ใช้ซื้อขายแลกเปลี่ยนกัน
ในโลกความเป็นจริง อะไรขายได้มันมีการเก็งกำไร พอมีการเก็งกำไรมันก็มีคนเข้ามาหาผลประโยชน์ พอมีแต่คนเข้ามาหาผลประโยชน์เยอพๆ มันก็ออกมารูปแบบนี้ ทั้งเสกเหรียญมาขาย ทั้งปั่นราคากันขึ้นลง สนุกเลย
เริ่มต้นผมก็มองว่ามันดีนะ ดูเป็นการเงินในอุดมคติ
แต่ความที่มันไร้ศูนย์กลางเลยกลายเป็นไร้การควบคุม
หลังๆ ยิ่งเละเทะ กลายเป็นลุกช้าจ่ายรอบวงซะงั้น😂
มองเป็นแต้มแบบแสตมป์เซเว่นก็ได้ครับ
มีทั้งแบบ เอาไว้ส่งแต้มให้กัน หรือเอาแต้มไปแลกของ หรือมีแต้มแล้วมีสิทธิในการโหวตในกิจกรรม หรือเอาแต้มไปฝากแล้วจะได้แต้มคืนมาเพิ่มเป็นดอกเบี้ย
บางคนก็เอาเงินจริงไปแลก บางคนก็เก็งกำไร
ตอนแรก crypto พยายามจะเป็น crypto currency คือ เป็นสื่อการซื้อขายสินค้าแทนเงิน
แต่ภาคปฏิบัติมันกลายเป็น crypto asset คือ เป็นทรัพย์สินอย่างนึงที่คนเอาเงินเข้ามาซื้อขายเก็งกำไรกัน
แล้วปัญหาคือ crypto มันไม่ได้มีมูลค่าจริงๆ
ที่มาก็เสกจากอากาศ มาเขียนใน blockchain ว่าคนสร้างมี 1พันล้านcoin นะ
จากนั้นก็เอามาเข้ากระดานเทรดให้ดูมีมูลค่า
ถ้าปั่นให้ถึง 10$ ด้วยการซื้อไม่กี่coin เช่น 1000coin(สมมติ) ก็เท่ากับว่าลงทุนแค่ 10,000$ ในการปั่นเท่านั้น
พอเอา 10$ x 1พันล้านcoin ก็มาอ้างได้ว่าตัวเองมีทรัพย์สิน 1หมื่นล้าน$ !!
จากนั้นก็เอาไปเป็นทรัพย์สินค้ำประกันเงินกู้ จนได้เงินจริงมา
ก็เอามาใช้จ่าย ตั้งแต่ ค่าดำเนินงาน ค่าการตลาด
หรือแม้แต่เอามาใช้ปั่นต่ออีกให้กลายเป็น coin ละ 100$ ด้วยการซื้อ 10,000coin ก็ยังใช้แค่ 1ล้าน$ ก็เป็นไปได้
เงินหมด ก็เอาเหรียญออกมาค้ำเพิ่มในราคาที่สูงขึ้นเรื่อยๆ
จนไปค้ำตอนยอดดอยที่ 1000$
พอตลาดซบ ปั่นต่อไม่ขึ้น เงินที่กู้มาก็หมด มูลค่าเริ่มตก
คนให้กู้ก็จะมาเอาสินทรัพย์ค้ำประกันเพิ่ม แต่เจ้าตัวไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย โดน force sell ราคายิ่งดิ่ง
สุดท้ายก็ซวยกันหมด ทั้งคนกู้ และคนให้กู้ รวมถึงคนมาเล่นซื้อขายที่ยอดดอยด้วย
เหมือนเคยได้ยินว่า bitcoin แรกเริ่มมันเป็นเพียงแค่ PoC เฉยๆ ไม่ได้กะใช้งานจริงจังครับ ซึ่งประโยชน์ของมันก็คือสกุลเงินดิจิตอลแบบกระจายศูนย์นั่นแหละ แต่ปัจจุบันที่การเงินแทบทุกที่ขึ้นตรงกับธนาคารมันเลยยังหาที่ใช้ประโยชน์ครบทุกอย่างไม่ได้ (แต่บางอย่างพอเอาไปใช้ได้ อย่างพวกสกุลเงินดิจิตอลที่หลายๆประเทศกำลังทำ)
ประเด็นก็คือ... มันมีคนบางกลุ่มที่ไม่รู้คิดยังไงรับซื้อเหรียญที่ว่านั่น ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็ไม่รู้หรอกว่าเขาซื้อไปทำไม รู้แค่ว่าขายได้เงินจริง เขาก็เลยไปเฮโลหามาขายกัน พอซื้อขายไปมาเสกลใหญ่ขึ้นมันก็เลยกลายเป็นมูลค่าลวงๆอย่างในปัจจุบันนี่แหละครับ
ซึ่งเอาจริงๆเรื่องทำนองนี้มันเกิดขึ้นตลอดทั่วโลกแหละ แต่คริปโตน่าจะเป็นครั้งแรกกับวัตถุดิจิตอลแค่นั้นเอง ถ้าให้เปรียบกับในไทยเองก็อารมณ์พระเครื่องหรือไม้ด่างนั่นแหละครับ
บางที... ของพวกนี้อาจจะเป็นแค่เกมคนรวยเฉยๆก็ได้ แกล้งรับซื้อให้มันมีมูลค่าปลอมๆ แล้วปล่อยขายเอากำไร ยิ่งคริปโตที่หาตัวจับยากว่าใครเป็นเจ้าของยิ่งทางสะดวก
ก็ง่ายๆคือ คนแรกเขาเห็นว่าน่าจะเอามาใช้เหมือนเงินได้ เพราะว่าปัจจัยมันเอื้อ แต่ทำไปทำมา เจอปั่นราคาเลยตู้ม
ระบบการเงินโลกผ่านมาเรื่องนี้มาเป็นร้อยปี - มาตรฐานการลงบัญชี
ไม่ลงบัญชี เพื่อจะโกงได้ เพื่ออ้างว่าพลาดเพราะไม่ลงบัญชี
ความโลภไม่เคยปราณีใคร เมื่อไรที่เราคิดว่าเราฉลาดสุด นั่นแหล่ะเริ่มเข้าสู่หนทางหายนะแล้ว
ล้มแล้ว ก็ไปสร้างใหม่สิ ง่ายๆเอง เดี่ยวก็มีคนเอีกมากมาย เอาเงินไปลงอีก