แอปพลิเคชันโซเชียลมีเดีย Mastodon เผยตัวเลขผู้ใช้ลดลงกว่า 30% และยังคงลดลงอย่างต่อเนื่องหลังจากมีผู้ใช้เพิ่มขึ้นสูงสุดเพราะผู้ใช้ย้ายมาจาก Twitter หลังมีประเด็นต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ Elon Musk โดยในช่วงสัปดาห์แรกของเดือนนี้มีผู้ใช้ราว 1.8 ล้านรายขณะที่ในเดือนธันวาคมปีที่แล้วมีผู้ใช้กว่า 2.5 ล้านคน
Mastodon กลายเป็นตัวเลือกของผู้ใช้ Twitter ที่ย้ายแพลตฟอร์มจากเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ Elon Musk ทั้งเรื่องปลดพนักงานเพราะต้องการลดต้นทุน พนักงานลาออกเองจากนโยบายทำงานแบบ”ฮาร์ดคอร์” รายได้โฆษณาลดลง เปลี่ยนนโยบายยืนยันตัวตน ไปจนถึงความกังวลของผู้ใช้ว่า Twitter จะล่ม จนในเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว Mastodon มีผู้ใช้เพิ่มขึ้นเป็น 2.5 ล้านบัญชีจาก 3 แสนบัญชีภายใน 2 เดือน
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ Mastodon มีผู้ใช้ลดลงเรื่อย ๆ Meg Coffey นักกลยุทธ์ด้านโซเชียลมีเดียมองว่าผู้ใช้เริ่มกลับไปใช้ Twitter เหมือนเดิมหรืออาจจะเลิกเล่นโซเชียลมีเดียไปเลย เพราะ Mastodon ใช้งานได้ยาก ไม่เหมือน Twitter
ที่มา - The Guardian
Comments
กะไว้แล้วตั้งแต่แรก ระบบ distributed มันไม่ได้ดีอะไรขนาดนั้น ยังไม่รวมปัจจัยของคนที่ยังห่วงจำนวนผู้ติดตามบน Twitter กับคนที่ไม่ได้รู้ดราม่าอะไรแล้วก็ใช้งาน Twitter ไปตามปกติ
ถ้าจะให้ success คือ Twitter ต้องเดี้ยงแบบคาที่เท่านั้น หรือเอาแบบ Softcore คือต้องมีแอปที่ merge ระหว่าง Twitter และ Mastodon ให้ใช้งานร่วมกันได้เนียน ๆ
Twidere
WE ARE THE 99%
Minds เป็นระบบรวมศูนย์ แต่ก็อาการคล้าย ๆ กันครับ มีคลื่นคนย้ายไปใช้ แล้วก็ซาซาไป
twitter จริงๆมันเป็นผลิตภัณฑ์ที่ค่อนข้างจะสมบูรณ์แล้วนะผมว่า มีจุดยืนของตัวเองอย่างชัดเจน
เรื่อง technology หลังบ้านคงไม่ได้ยากไปกว่าโพรดักซ์อื่นๆในตลาด ส่วนหน้าบ้าน ก็พอได้แล้วมั้ย เว้นแต่จะมีลูกเล่นใหม่ๆที่คนใช้นิยมกันสุดๆถึงจะต้องปรับตาม
ปัญหาเดียวคือทำยังไงถึงจะมีรายได้ให้พอมีกำไรได้บ้าง ซึ่งความยากก็จะตกอยู่ที่ทีมควบคุมเนื้อหานี่แหละ เพราะส่งผลโดยตรงต่อการขายโฆษณา
ถ้าอีลอนคิล twitter จริง ผมว่าโอกาสกลับมาก็ไม่ค่อยง่ายเท่าไหร่
..: เรื่อยไป
กระแสประเดี๋ยวประด๋าว SNS ขึ้นกับคนเล่นดังๆ ว่ามีเล่นไหม ย้ายไปไหม ถ้าคนที่เราฟอลฯ ไม่ย้ายไปหมด ก็คงไม่ย้ายตามง่ายๆ
กระแสย้ายพวกนี้ ถ้าย้ายไม่จริง ย้ายไม่หมด ก็เงียบ เหมือนช่วงนึงมีการเมืองในไทยแรงๆ มีคนปล่อยข่าวว่าเหมือนFB ไทยให้ข้อมูลภาครัฐในการพาไปจับตัวแกนนำ คนประกาศเลิกใช้ FB กันเพียบ ก็ยังเห็นใช้กันเหมือนเดิม
บางวงการคนดังก็โพสต์ลงมัสโตดอนอยู่บ้างเหมือนกัน เช่น Martin Fowler ถึงจะแค่ cross post ไม่ได้ย้ายมาเต็มตัวก็ตาม ส่วนทางของไทยนักการเมืองก็มาแล้ว ทั้งหมดยังไม่เยอะ แต่ก็เริ่มหลากหลายขึ้นครับ
มันก็อบอุ่นเฉพาะกลุ่มดี จะใช้จะต้องเข้าใจเบื้องต้น (คนใช้ mastogdon ส่วนมากจะ Geek ซึ่งจะใช้อะไรก็ง่ายไปหมด) ก็คัดกรองคนที่ใช้ไปได้เยอะพอสมควร (เกาหลีพิมพ์ไทย สแปมแฮชแท๊กเว็บพนัน บลาๆ) .. ถ้าอยากแมส อยากดราม่า ขอไฟขอแสง mastodon คงไม่เหมาะจริงๆ
WE ARE THE 99%
product มันต้องทำเงินให้ได้อ่ะครับ ตัดความแมสออกก็ทำเงินได้ช้าลง หรือไม่ก็ทำเงินไม่ได้เลย
ผมว่าจะได้เงินจาก geek นี่ยากมากครับ
mastodon เกิดมา ไม่ใช่จุดประสงค์นั้นครับ
WE ARE THE 99%
ไม่กำไร แต่ก็ควรมีรายได้นะครับ ไม่งั้นจะอยู่กันอย่างไร อิ่มทิมพ์หรือมีคนบริจาคกันเหรอครับ
ไม่เห็นต้องสนใจ ตัว mastodon โดยแท้แล้ว ก็คือตัวซอร์ฟแวร์ซึ่งเป็น open source ภายใต้ AGPL 3.0 ดังนั้นมันไม่ใช่สาระสำคัญว่าคนใช้เยอะน้อยหรือต้องแข่งขันกับใคร ต่อให้ไม่มีใครใช้ ก็จะยังคงอยู่ตลอดไป แต่คงยากที่จะไม่มีคนใช้ ต่อไปก็อาจจะมีการ fork ไปเป็นตัวอื่นต่อไปได้
ตัวซอฟต์แวร์โอเพนซอร์ส แต่ค่าเซิร์ฟเวอร์ที่รันก็ต้องมีคนจ่ายเงินนะครับ
แน่นอน ถ้าเขาเปิดไม่ไหวก็ปิดไป แค่นั้นเอง พูดกันอย่างกับจะเป็นจะตาย ก่อนหน้านี้มันอยู่ของมันดีอยู่แล้ว ไม่เคยมีข่าว อยู่มาผู้ใช้เพิ่มขึ้นมาเอง จะกลับไปเป็นแบบเดิม มันก็ปกติดีนี่ เดี๋ยวเขาก็เพิ่มพวกลูกเล่นใหม่ตามคิว เพราะมันเป็นโอเพ้นซอร์ส จะไปเร่ง pull request อะไรได้ ก็ทำไปทีละนิด ปรับปรุงไปทีละหน่อย นั่นแหละ
งั้นผมก็พูดถูกอ่ะครับ ไม่เห็นมีใครต้องออกมาโต้ตอบเม้นของผมเลย
มันต้องทำเงินอ่ะครับ ไม่มีเงินมันก็ต้องปิด มันเป็น product และต้องมีค่าเมนเทนเป็นอย่างต่ำ
@whitebigbird
ก็หลายมุมมองว่าจะตีความยังไงล่ะครับ
ถ้าเป็นโปรดัก ที่สร้างขึ้นมาเพื่อตั้งใจขาย(เช่น ข้อมูลพฤติกรรม , โฆษณา) ต้องทำเงิน ต้องแมส มันก็ต้องเดินด้วยธุรกิจนำ เป็นบริษัท ไม่มีเงินไปต่อไม่ได้ อันนั้นถูกต้องที่สุดเลยครับ
mastodon แตกต่างออกไป เปิดกว้าง ใครอยากเอาไปติดตั้งเป็นโฮสต์เองก็ได้ สร้างคอมมิวนิตี้ของกลุ่มตัวเอง (แต่ลิงค์กันกับเพื่อนบ้าน หรือโลกภายนอกได้ผ่าน activitypub) จ่ายค่าเปิดเซิฟเอง ไม่ต้องทำเงินก็ได้ ซึ่งคนเปิดโอสต์ก็เข้าใจลักษณะแพลตฟอร์มตั้งแต่แรกแล้วว่า เปิดแล้ว ให้มา join ฟรี ไม่ต้องมีคนช่วยซับพอร์ตค่าใช้จ่ายก็ได้นะ รวย เปิดเอามันส์จบ :D
WE ARE THE 99%
ถูกต้องเลยครับ และต่อให้ไม่มีเงิน มันก็ไม่หายหรอกโปรเจคนี้เนี่ย แต่ผมไม่อยากอธิบายให้มันมาก เลยตัดจบไปว่าถ้าไม่มีเงินเปิดเซิฟเดี๋ยวก็ปิดไปเอง ซึ่งมันผิดตั้งแต่มองเป็น product ในแง่ธุรกิจแล้ว
mastodon เป็น open source ครับ แค่นั้นเพียงพอแล้ว ที่มันจะคงอยู่ต่อไป ทุกวันนี้แม้แต่ระบบ forum แบบ phpbb dizcuz smf ระบบเว็บแบบ joomla wordpress ไม่เห็นมันมีตัวไหนตายเลย แล้วจะมาบอกว่าต้องแมส ต้องหาเงิน ผมว่าไม่ใช่
มันไม่จำเป็นเลย จะบอกว่าอิ่มทิพย์ก็คงได้ มีคนพร้อมจ่ายเงินเพื่อโฮส source code ของโปรเจคนี้และโปรเจค open source อื่นอีกเพียบครับ
ส่วนสำคัญคือ ผมไม่ได้บอกว่ามันจะตายครับ ไม่มีพูดตรงไหนเลย ส่วนสำคัญของผมคือมันต้องทำเงินให้เลี้ยงตัวมันเองได้ไม่ทางใดก็ทางนึง และผมไม่ได้พูดถึงตัว software ที่เป็น sourcecode แต่ผมหมายถึงคนเปิดเซิร์ฟเวอร์ครับ มันต้องทำเงินให้ได้ เพราะอย่างน้อยเพื่อเลี้ยงตัวเซิร์ฟเวอร์เอง
แล้วมีมั้ยครับคนที่เปิดเอามันอย่างเดียว
*ซ้ำ
WE ARE THE 99%
ไม่ถูกครับ ไม่ทำเงินมันก็อยู่ของมันได้ ส่วนเหตุผล ผมให้ไว้ด้านบนแล้ว
มันก็ทุกบริการทุกผลิตภัณฑ์ป่ะครับ แค่บอกว่า sourcecode ยังอยู่ = ยังไม่ตาย ทีนี้ sourcecode จะเป็น open รึเปล่ามันก็คนละเรื่อง
ส่วนผลิตภัณฑ์ที่หวังทำเงิน แต่ทำเงินไม่ได้เลย แต่เจ้าของก็ทู่ซี้ไปเรื่อยๆ มันก็อยู่ของมันได้ เหมือน mastodon เช่นกัน จะเปิดไปเรื่อยๆ ก็ได้ เข้าเนื้อแน่นอนแต่เปิดเอามันส์ ต่อให้ปิด server หมดแต่ sourcecode ยังอยู่ก็ถือว่ายังไม่ตาย
อันนี้ผมประชดนะ เพราะผมไม่เห็นด้วยกับลอจิคเลย
blender ก็เป็น freeware https://www.blender.org/
เบลนเดอร์ได้เงินจากการบริจาค มี subscription model มีการขายพรีเมียม และการจัดสัมมนาครับ
พูดง่ายๆ ว่าอย่างน้อยมันต้องเลี้ยงตัวเองได้ครับ เพราะนักพัฒนาต้องกินต้องใช้ เซิร์ฟเวอร์ก็ต้องเช่า
ผมว่าการเลือกอุดมการณ์มันก็ไม่ได้ผิดครับ ถ้าเลือกอุดมการณ์ก็ต้องโยนเงินพันล้านทิ้งเพราะรายได้Twitterปีล่าสุดห้าพันกว่าล้านเหรียญไม่รู้กี่สิบปีบริษัทระดับนี้จะพลาด ในแง่ธุรกิจมันเป็นTimingที่ดีที่สุดครั้งนึงในชีวิตเลย ย้ำว่าเขาไม่ผิดนะแล้วแต่เขาจะเลือก
Pleroma นี่ผมยอมรับว่าแรก ๆ งงมาก หรือไม่ใช้นาน ๆ กลับมาก็งง
โดยส่วนตัวไม่ถูกจริตครับ สมัยแรกๆ ของทวีตเตอร์ มันเหมือนห้องแชตรวมมากๆ เพราะคนยังเล่นกันไม่เยอะ แค่ทวีตลอยๆ ก็รู้ว่าพูดถึงใคร แทบจะรู้จักกัน หรือคุ้นเคยกัน ส่วนใหญ่แรกๆ มีไว้บ่นสัพเพเหระ ตามชื่อเว็บ แต่หลังๆ มากลายเป็นแอพสำหรับติดตามข่าวสาร แทบไม่ค่อยบนอะไรเลย พอมีการบ่นเยอะๆ จะมีคน(ใช้รุ่นใหม่ๆ)ว่าว่า ทวีตบ่นอะไรเยอะแยะ 555
The Dream hacker..
UX แย่มาก ต่อให้โซเชียลใหญ่ๆอย่าง tw และ fb ปิดตัวถาวรไปพร้อมกัน แอปนี่ก็ไม่เกิด มันจะเกิดแอปใหม่ที่ใช้ง่ายกว่าขึ้นมาแทน พวก geekๆ nerdๆ เวลาทำโปรดักละตายแบบนี้ตลอด ไม่ค่อยจะคิดถึงอะไรที่มัน human related
geekๆ nerdๆ มักจะสวนทางกับเรื่อง UX/UI เสมอ 555
The Dream hacker..
อันนี้ผมว่าผมเห็นด้วยนะ การทำเว็บ พวก UI หรือความน่าใช้งานสำคัญมาก ไปๆ มาๆ จะสำคัญกว่าพวกฟังก์ชันการใช้งานซะอีก
ถ้าเป็นสายเว็บจ๋าทำกันเอง ส่วนใหญ่เว็บก็จะดูเรียบๆ เน้นใช้งานได้ก็พอ คือถ้าคนที่เขาไม่อะไรมาก มันก็คือใช้งานได้แหละ แต่พวก User ธรรมดาเขาไม่คิดแบบนั้นไง เขาจะมองว่าเว็บไม่สวย เมนูต่างๆ ใช้ยาก เว็บไม่ดึงดูดให้ใช้ ทำไมไม่เหมือนเว็บตัวนั้นตัวนี้ก็ว่าไป
ถ้ามันไม่สำคัญจริงๆ พวกเว็บใหญ่ๆ เขาคงไม่แบ่งพวกหน้าบ้านหลังบ้าน หรือพวกออกแบบ UI กันจริงจัง
ความยากมันมาสองอย่างครับ
ผมว่ามัสโตดอนยากเพราะอย่างที่สอง เพราะส่วนต่างจากทวิตเตอร์คือ federated อะไรคือ local ซึ่งมันไม่มีในระบบรวมศูนย์
ส่วนกรณีที่บอกว่าระบบกระจายอำนาจมันยากให้กลับไปใช้ระบบรวมศูนย์ก็มี Minds มี Tumblr อยู่แล้วก็ใช้พวกนั้นแทนก็ได้ ไม่ต้องใช้มัสโตดอน แต่ว่าก็จนวนกลับไปปัญหาเดิมคือวันนึงก็อาจจะเลิกทำไปเหมือน Orkut Multiply หรือเปลี่ยนไปจนนึกว่าคนระตัวแบบ Hi5 หรือโดนคหบดีซื้อไปแบบทวิตเตอร์ได้อยู่ดี
Mastodon ไปเป็นคู่แข่ง Twitter ตั้งแต่เมื่อไหร่นิ
คลื่นลักษณะแบบนี้เกิดขึ้นหลายรอบแล้วครับ คือมีคนหนีมาจากที่อื่นแล้วก็มีส่วนหนึ่งอยู่ต่อ ส่วนหนึ่งก็รู้สึกว่าไม่ไหว แต่โดยรวมแล้วผ่านคลื่นไปแต่ละรอบสมาชิกก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ครับ ช่วงเวลาที่น่าเป็นห่วงคือเวลาที่คนย้ายกันมาใหม่ ๆ คนดูแลเซิร์ฟเวอร์ก็ต้องปรับตัวด้วยทั้งด้านทักษะ การเงิน เวลา และจิตใจ
ชุมชนมัสโตดอนไทยก็มีคนที่ไม่ได้มาจากสายไอดีบ้างเหมือนกันครับ เช่น นักเขียนนิยาย แม่บ้าน ฯลฯ นอกจากนั้นมัสโตดอนเชื่อมต่อระบบอื่นได้ด้วยถ้าไม่ชอบหน้าตาหรือการใช้งานก็ตาม เช่น Misskey จากญี่ปุ่น และ Akkoma หรืออยากลองทำเองก็ได้ครับ ตอนนี้ก็เห็นมีคนไทยทำอยู่
ของญี่ปุ่น ผมเข้าไปที่เว็บที่ pixiv ให้บริการอยู่ (ไม่แปะลิงค์ละกันนะครับ คอนเทนท์บนนั้นค่อนข้าง hardcore) จำนวนคนใช้ก็ไม่ธรรมดาครับ
ที่นั่นยอด user มันเบอร์สองของโลกแล้วครับ
(เปลี่ยนมือมาสองรอบแล้วครับ เจ้าของตอนนี้ก็ที่เดียวกะที่ซื้อ mstdn.jp
mstsn.jp ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี่เสียวมากครับ ก่อนนั้นเหมือนมี Nico หรืออะไรสักอย่างที่อยู่ ๆ ก็หายไป 🙀
หน้าตาคล้าย ๆ Misskey เหมือนกันนะครับ สงสัย Misskey ได้แรงบันดาลใจหารือเปล่า
ใช่เว็บที่คล้ายๆชื่อเจ้าของเว็บ E-commerce สัญชาติไทยบ้าวฮะ
สงสัยครับที่ญี่ปุ่นนี้ระหว่าง Misskey กับ Mastodon เขานิยมตัวไหนมากกว่ากันครับ
บล็อก: nitpum.com
มัสโตดอนครับ คุยเพิ่มเติมที่ mastodon.in.th/@veer66 เพราะติด limit ของ Blognone ทำให้ reply ต่อไม่ได้แล้วครับ
ความ decentralized ทำให้เลือกเซิฟผิดชีวิตเปลี่ยนเลยนะ ไม่ต่างอะไรกับระบบ irc เลย โดยรวม twitter ยังคงความน่าใช้ไว้อยู่แหละ ความแอคหลุม ดราม่า ความเฟียส การแหก ของเหล่านี้ mastodon ยังให้ไม่ได้เลยครับ
เหมือนมัน export/import ข้ามกันเพื่อย้าย server ได้ไหมนะครับ
แต่ผมว่ามันก็ประหลาดอยู่ดี ตอน import จะ add/delete อะไรก็ได้ด้วย 🤔
ผมสมัครแยก server นะ (แล้วสลับแอคเคาท์ในแอปเอา) ผมว่าดูแลง่ายกว่าใช้แอคเดียวข้ามเซอร์เวอร์ โดยเฉพาะตอนกด follow
เอาตรงๆ ถ้าไม่ตามข่าวดราม่าเจ้าของและบริษัททวิตเตอร์
ผู้ใช้ทั่วไปแทบไม่รู้สึกถึงรอยต่ออะไรเลยนะครับ
ท่ามกลางการก่นด่าการบริหารที่ว่ากันว่าห่วยแตก
แต่ถ้าคนไม่ตามข่าวก็จะไม่พบว่าแอพมีปัญหาอะไรเลย
ถ้าทวิตเตอร์ไม่ตายแบบฉับพลันแบบดับไปเลยทันที
ผมก็นึกไม่ออกว่ามันจะล้มได้ยังไงใน 5-10 ปี
เห็นว่าล่าสุดมีอีเมล์ลูกค้าหลุดมา 300M บัญชี (ผมก็โดนด้วย) อันนี้นับไหมครับ?
ถ้าคนไม่ตามข่าวเลย ใช้อย่างเดียวก็ไม่รู้เรื่องอยู่ดีครับ
อาจจะรู้แค่ตอนสลับปุ่ม like retweet แล้วมันไม่สัมพันธ์กันกับ ตัวเลข like retweet ข้างบน (เห็นคนด่าอยู่บ้าง)
เปิด Firefox ขึ้นมา มันก็แจ้งให้ผมตกใจเล่นไปพักนึงแล้วครับ 555
พอวิ่งไปเปลี่ยนพาสเวิร์ดเสร็จเพิ่งมาหาเห็น อ้าว อีเมล์หลุดนี่หว่า นึกว่าพาสเวิร์ด ่... มิน่าช่วงนี้สแปมเยอะขึ้นพอสมควร (คือปรกติก็เยอะอยู่แล้วแหละ)
Mastodon ทวิตเตี้ยนน่าจะไม่ชอบกฎข้อห้ามเยอะ พวก 18+ จะไปก็ไม่ได้เพราะเขาห้ามเนื้อหา 18+
ไม่เกี่ยว มันแล้วแต่ว่าเจ้าของ node จะอนุญาตหรือไม่
Mastodon ให้นึกถึง webboard เลยครับ ต่างคนต่างเปิด server ใครอยากจะตั้งกฏยังไงก็ได้
แต่ว่าเราสามารถไปตามคนบน server อื่น กด follow มันก็เข้ามา feed เราเองได้ คนอื่นก็มา follow เราได้เหมือนกัน
แล้วแต่เจ้าของบ้านเลยครับ บางบ้านเน้น 18+ แฟนตาซี ไปเลยก็มี
WE ARE THE 99%
Platfrom Decentralized (วัยรุ่นคริปโต) ที่สามารถทำ [User]@[Domain] อะไรก็ได้ รู้สึกจะปลอมตัวได้เยอะแน่ๆ
อันนี้ไม่ใช่คริปโตนะครับ แต่เป็นเครือข่ายสื่อสังคมออนไลน์ที่ไร้ศูนย์กลาง ไม่ใช่ scam ไม่ใช่ web3 ไม่ใช่ blockchair ไม่ต้องซื้อเหรียญ ไม่ใช่ metaverse ไม่ใช่ NFT
บล็อก: wannaphong.com และ Python 3
นิสัยแบบ ความคิดข้าต้องเป็นใหญ่นี่ ท่าทางจะหายยากจริงๆ