ทุกคนคิดยังไงกับการที่เราจะใช้ชีวิตในรูปแบบสังคมไร้เงินสด 100% ในปัจจุบันนี้กันครับ ข้อดี ข้อเสีย หรือมีความเป็นไปได้แค่ไหน
โดยส่วนตัว ผมรู้สึกว่ายังเป็นไปได้ยากด้วยปัญหาหลายอย่าง เพราะหลายครั้งถ้าไม่มีเงินสดติดตัวเลยคืออด เพราะบางทีแอปธนาคารอาจจะล่ม (กรณีที่มีแอปเดียว) มือถือไม่มีเน็ต (กรณีลืมเติมเน็ต) รวมถึงปัญหาเน็ตช้าตามพื้นที่ต่างจังหวัด หรือทางร้านไม่รับโอนเนื่องจากเห็นว่ายุ่งยาก
ถ้าผมออกไปข้างนอก ก็คือต้องมีเงินสดติดตัวสำรองไว้ตลอดไม่มากก็น้อย เพราะไม่อยากยืนเขินในร้านค้า ตอนที่เราโอนเงินไม่ได้ครับ 55
แล้วทุกคนมีความคิดเห็นกันยังไงบ้างครับ
ส่วนตัวเคยไม่พกเงินเลย บัตรก็ไม่พก ก็ไม่ถึงขนาดมีปัญหาซื้อของไม่ได้นะครับ น้อยมากที่จะเจอที่ไม่รับ promtpay/true wallet กรณีเจอจริงๆ ก็แค่เดินหน่อยไปกดตังค์ที่ตู้ผ่าน app แต่ที่เคยมีปัญหาหนักสุดคือ ไม่มีจ่ายบนทางด่วน จนต้องพกเงินสดนิดหน่อยติดรถไว้ขึ้นทางด่วน
แอบสงสัยเหมือนกันว่ายุคนี้แล้วทำไมทางด่วนถึงยังไม่รับสแกนอีก ทั้งที่มันก็ใช้เวลาพอๆกับควักกระเป๋าหาแบงค์ หรือบางทีก็เร็วกว่า
ผมไม่ได้ใช้โทรศัพท์แบบ package internet รายเดือน เพราะไม่อยากติด internet (ถ้าไม่ใช่เวลาเดินทาง ปกติผมก็อยู่หน้าจอ PC เกือบตลอดเวลาอยู่แล้ว)
เวลาจ่ายเงินเลยใช้เงินสดเสียส่วนมาก แล้วเวลาจ่ายเงินผมชอบเตรียมเงินไว้พอดี ไม่ก็ทอนง่าย เลยรู้สึกว่าใช้เงินสดมันเร็วกว่า
ผมมองว่าควรใช้เงินสดเป็นหลักน่ะดีแล้ว ให้วิธีอื่นเป็นทางเลือกไป
ชอบใช้เงินสดมากกว่า รู้สึกสะดวกดี นอกจากลืมเตรียมเงินสดมาถึงจะจ่ายผ่านแอป
บางสถานที่มันก็ไม่เหมาะกับการใช้แอปอย่างเช่นในปั๊มน้ำมัน
เคยเติมน้ำมันรถ คันหน้าสแกนจ่าย ตู้ข้าง ๆ มอเตอร์ไซค์เติมเสร็จไปสองคันแล้วคันข้างหน้ายังจ่ายเงินไม่เสร็จเลย
มันแค่สะดวก แต่ไม่สเถียร์ และไม่มีวันครับ ;)
คนอื่นอยากใช้เงินสดก็แล้วแต่เค้าครับ
แต่ถ้าร้านไหนไม่รับโอน/ไม่รับบัตร ผมก็เลือกที่จะไม่ใช้บริการครับ
ใช้โอนเป็นส่วนใหญ่ครับ รู้สึกมันซิมเปิ้ลดี มีรายรับรายจ่ายติดอยู่ในทุก transaction(อันนี้อาจจะเป็นข้อเสียสำหรับบางคน><)
เงินสดมีพกไว้บ้างเล็กน้อย เผื่อฉุกเฉิน เน็ตล่ม หรือบางทีจ่ายเงินสดมันเร็วกว่า
ข้อเสีย: ความเติมง่ายจ่ายคล่องของมัน ทำให้บางทีไม่ได้สัมผัสถึงความเป็นตัวเงินที่ถูกจ่ายออกไป ต้องเมเนจเงินดีๆ ถ้าจ่ายเพลินๆ นี่มีบาน
ข้อดี เงินเศษถูกใช้งาน
ข้อเสีย ช้า (QR) ระบบล่ม ระบบเสีย ก็ อดใช้ ถ้าเป็นผู้พิการสายตาก็จ่ายเงินช้าลงกว่าเดิมเพราะคลำจอยากกว่าคลำแบงก์
ปล. ผมเว้นวรรคเผื่อโปรแกรมอ่านจอภาพ
ส่วนตัวไม่พกเงินสดเลยมานาน 4 ปีแล้วโอนตลอด แรกๆมีปัญหาบ้าง หลังๆแทบจะโอนได้ทุกร้านเลย
ข้อดี สะดวก มีมือถือเครื่องเดียวอยู่ ไม่ต้องพกเศษสตางค์ มีหลักฐานในระบบตลอด
ข้อเสีย ถ้าเน็ตล่ม แอพล่ม ก็ลำบากกันหน่อย
จุดที่ขัดใจคือเค้าไปผูกระบบเข้ากับ core bank ทำให้ตอนที่เขารัน batch job PP ก็จะพังไปด้วย
เคยคุยกับ ผจก.ร้านอาหารร้านนึง เค้าว่าเคยเจอลูกค้าจ่ายเงินไม่ได้ตอนตีสอง แล้วกว่าระบบจะกลับมาก็นู่นตีสี่ ลูกค้าก็นั่งรอจ่ายเงินไปนั่นแหละ
อย่างของผมที่ใช้ SCB จะเริ่มใช้ PromptPay ไม่ได้ตั้งแต่ห้าทุ่มครึ่ง นานประมาณชม.นึง หรือบางทีตีสองก็ยังใช้ไม่ได้
คือบางทีเราก็สงสัยว่า ทำไม PP มันถึงต้องมีปิดระบบ ต้องรันจ๊อป ในขณะที่ VISA, Master Card ใช้ได้ 24 ชม. ไม่ว่าจะเป็นเดบิตหรือเครดิต เดาว่าเพราะมันดันไปโอนเงินเข้าทันทีนี่แหละก็เลยมีปัญหา
เข้าใจถูกแล้วแหละระบบพวก VISA, Master Card มันทำงานได้ตลอด เพราะมันไม่ได้หักเงินและโอนเงินเข้าบัญชีปลายทางทันที มันแค่ลงบันทึกว่าใช้บัตรกับใคร ที่ไหน เข้าบัญชีอะไร และไม่ให้ยอดการใช้งานเกินกว่าเครดิตที่ให้ไว้ สิ้นวันก็ตัดยอด ในมุมหนึ่งก็คือ semi-offline
ส่วนระบบ PP มันคือระบบโอนเงินตามปรกติ ฉะนั้นจะให้มันทำงานตลอดเวลา ต้องไปแก้ที่ฝั่ง core bank แต่ละธนาคารซึ่งมันทำไม่ได้ในความเป็นจริง เพราะระบบทุกแบงค์ก็มีวิธีคิดไม่เหมือนกัน แถมระบบต้องทำเรื่องปิดยอดรายวัน ทำพวกคิดดอกเบี้ย ฯลฯ ในแต่ละบัญชีอีก (Batch - End Day) ฉะนั้นช่วงกลางคืนจึงเป็นช่วงเสี่ยงในการใช้ PP ไม่ได้
คือระบบ PP มาแก้ปัญหาการเข้าถึงบัตรเครดิตแบบ VISA, Master Card ไม่ได้ ฉะนั้นส่วนตัวผมใช้เสริมกันมากกว่า และพกเงินสดไว้ด้วยเผื่อ PP มีปัญหา (อย่างน้อยก็ค่ารถหรือค่าข้าว)
ผมคิดว่าไร้เงินสดเนี่ยมันมีอยู่ 2 อย่างคือ QR กับบัตรนะครับ
ส่วนตัวผมก็ยังพกเงินสดไว้อยู่แต่ everyday ของผมไม่ได้ใช้เงินสดเลย แต่นั่นก็เป็นเพราะผมใช้แต่บัตรอย่างเดียว ไม่ได้ใช้ QR เลยครับ
ส่วนตัวแล้ว ในการจับจ่ายซื้อของ ผมไม่เคยคิดว่า QR มันสะดวกเลยด้วยซ้ำ ผมมองว่ามันแค่ช่วยอุดช่องว่างมากกว่า แต่ไม่เหมาะจะเป็นช่องทางการจ่ายเงินหลัก เพราะผมรู้สึกมันสะดวกสู้บัตรไม่ได้ และไหนจะเรื่องปัญหาเน็ตหรือธนาคารล่มอย่างที่คุณว่าด้วย เพราะงั้นผมมองว่าการจะเป็นสังคมไร้เงินสดเนี่ย เพียงแค่ QR อย่างเดียวมันไม่เพียงพอครับ (ในความเป็นจริง ถ้าผมต้องใช้ชีวิตแบบแสกน QR เป็นประจำ ผมคิดว่าผมน่าจะพกและได้ใช้เงินสดบ่อยกว่านี้แน่ๆ)
ส่วนบัตรหรือแตะจ่ายทุกอย่าง ผมมองว่าค่อนข้างสะดวกในฝั่งผู้จ่าย แต่ถ้าจะผลักดันสังคมไร้เงินสดต้องผลักดันให้เข้าถึงได้มากกว่านี้ ทั้งฝั่งผู้จ่ายและผู้ประกอบการเลย เช่น เครื่องแตะบัตรฟรีให้ผู้ประกอบการ ธนาคารออกบัตรเดบิตให้ฟรีสำหรับแตะจ่ายอย่างเดียว ให้บัตรประชาชนแตะจ่ายได้ไปเลย ทำระบบให้ทุกบัตรสามารถแตะกันได้หมด (CBDC?) อะไรแบบนี้ครับ
พูดถึงเรื่องบัตรนี่ ถ้าออกต่างจังหวัดมีก็เหมือนไม่มีเลยครับ 55 ถ้าไม่เข้าห้าง
เพราะร้านตามต่างจังหวัดคือ
ส่วนเรื่องจ่ายด้วยบัตร คาดหวังไม่ได้เลยครับ ต้องเข้าห้าง ไม่ก็ปั๊มน้ำมันลูกเดียว
ถ้าพูดถึง QR PromptPay มันสะดวกตรงที่ไม่ต้องพกเงินสดเยอะๆ ก็จริง แต่มันก็ยังช้ากว่าการแตะบัตรอยู่มาก แม้แอพธนาคารหลายเจ้าจะทำ shortcut ให้เข้าสแกน QR ได้จากหน้าโฮมแล้วแต่เชื่อว่าเกือบทุกคนไม่รู้และยังกดเข้าแอพ รอโหลด เข้าเมนูสแกนตามปกติอยู่ดี กว่าจะจ่ายเสร็จก็ต้องมี 40 วิ - 1 นาทีอย่างต่ำ (สำหรับคนที่ยังไม่รู้แล้วผ่านมาเห็นคอมเมนต์นี้ ลองแตะค้างที่ไอคอนแอพธนาคารว่ามีเมนูสแกน QR ไหม ถ้ามีก็กดแล้วจะเข้าไปสแกน QR ทันที)
จริงๆ QR มันไม่ได้เสียหายเพราะ boost การใช้แทนเงินสดได้เร็วมาก แต่ในอีกด้านผมว่ามันก็เป็นการทำให้ประเทศไทยตันอยู่แค่นี้ ไม่ไปถึงการใช้บัตรเครดิต/เดบิตแบบแตะจ่ายที่แพร่หลาย รวมถึง Google Pay/Apple Pay สักที (Google Wallet มีในไทยมาปีนึงแล้วเพิ่งมีธนาคารเข้าร่วมแค่ 3 เจ้า) จะใช้บัตรได้ก็มีแค่ห้างหรือร้านค้าขนาดกลางถึงใหญ่ และถึงแม้เป็นร้านใหญ่บางทีก็ยังเจอกำหนดขั้นต่ำ 2-300 อยู่ดี ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงต้องจำกัด ยังไงก็เสีย fee เป็น % จากยอดอยู่แล้วรึเปล่า หรือยอดเกิน 300 แล้วธนาคารจะเก็บ fee ถูกลง? รวมๆแล้วยังมองไม่เห็นว่าเราจะใช้บัตรเครดิตแบบแพร่หลายจริงๆ ได้ยังไง ทั้งนี้ก็เริ่มเห็นร้านเล็กๆ หลายร้านเริ่มรับ QR แบบบัตรเครดิตกันแล้ว เอาแอพบัตรเครดิตสแกนจ่ายได้ ซึ่งก็พอโอเค แม้จะช้ากว่าเยอะแต่อย่างน้อยก็เหมือนใช้บัตร
พูดถึงเรื่อง QR บัตรเครดิต ใครเป็นผู้ประกอบการแชร์ได้นะครับว่าการรับ QR แบบบัตรเครดิตโดนหัก fee เท่าไหร่ เพราะเคยเจอร้านนึงบอกว่ารูดบัตรขั้นต่ำ 300 แต่พอเปลี่ยนไปสแกนก็เจอว่าเป็น QR แบบบัตรเครดิต สรุปคือค่าเท่าใช้บัตรแต่ไม่มีขั้นต่ำ
Pitawat's Blog :: บล็อกผมเองครับ
คิดยังไง ?
สำหรับผมก็ถือเป็นตัวเลือกนึงแหละ ขอแค่อย่าเป็นตัวเลือกเดียวก็พอ
ตอนนี้หลายๆร้าน เริ่มใช้ cashless เต็มรูปแบบ ตั้ง Promptpay/Credit Card/Wallet ต่างๆ สำหรับผมยังไม่ ok กับแบบนี้นะ
ในชีวิตประจำวันส่วนตัว ก็จะพกเงินสดติดตัวเผื่อๆไว้ซัก 1000-2000 บาท
ที่ไหนจ่ายบัตรเครดิตได้ ก็จ่ายบัตร เพราะมันแค่แตะแค่รูด มันเร็วดี
แต่ถ้าร้านไหนจ่ายด้วยมือถือ ผมไม่ค่อยชอบ ผมว่ามันเสียเวลากว่าบัตรเครดิตเยอะ
อยากให้มีร้านที่ใช้ NFC เยอะๆ ชอบความรวดเร็ว
ถ้าสังคมคงไม่ 100% เพราะคนมีหลากหลายข้อจำกัด หลากหลายพื้นที่ แต่ชีวิตตัวเองในกรุงเทพ มีติดเงินสดเผื่อไว้ จำไม่ได้แล้วว่าหยิบเงินสดออกมาครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ น่าจะไม่ได้ใช่เงินสดจ่ายเลยมาหลายเดือน ถ้ารับบัตรเครดิตแล้วไม่มีบวกอะไรเพิ่มก็บัตรเครดิต ทางด่วนก็ใช้บัตรเครดิต เศษ 1 บาทก็บัตรเครดิต (เคยใช้ coin lotus แล้วมันต้องจ่ายเอง 1 บาท) ถ้าไม่รับบัตรหรือใช้แล้วจะชาร์จเพิ่มหรือส่วนลดน้อยกว่าก็ wallet, pp
อคติทำให้คนรับเหตุผลด้านเดียว
คิดว่าเรา "เกินไป" ครับ
lewcpe.com, @wasonliw
ขอเล่าประสบการณ์การใช้ garmin pay ในการขึ้นรถเมล์ครับ โดยการนั่งรถร้อน 90% ขึ้นไปใช้งานมาเกือบ 2 ปี ปัญหาที่เจอคือ
ทุกครั้งที่จ่ายจะเอ่ยก่อนว่าขอแตะบัตรกันพนังงานไม่เข้าใจ พนักงานประมาณ 10-20% จะมองหาบัตรจริงและบอก "ไหนบัตร" ด้วยความหงุดหงิด พนักงานบางคนจำหน้าได้ยื่นเครื่องมาให้แตะเลยก็มี
การเดินทางอื่นๆ ใต้ดินสายสีน้ำเงิน-ใช้ไม่ได้ สายสีเหลืองเคยลอง 1 ครั้ง-ใช้ไม่ได้
google wallet ยังไม่เคยลอง
เอาจริงๆ รู้สึกเหนื่อยกับการอยากไร้เงินสดของตัวเองอยู่เหมือนกัน หยิบบัตรจริงมาจ่ายไม่ก็ควักเหรียญออกมาก็จบละ 555
เอ อันนี้แปลก ใน 7-11 เห็นมันเร็วเหมือนบัตรจริงเลย แต่ในไทยเครื่องตัดบัตรทำท่าประหลาดกันค่อนข้างเยอะ ที่ใช้ Garmin Pay ด้วยแล้วเจอก็มีแบบ ต้องกดไปแตะสองครั้ง ต้องแตะนานเท่านี้ถึงเอาออกได้ ต้องแตะแล้วเอาออกตอนบอกให้เอาออก เอาออกไม่ทันจะไม่ผ่าน แล้วยังมีที่แตะแล้วเอาออกก่อนบอกให้เอาออกก็จะค้างไปเลยจนต้องรีเครื่องอีก
งงว่าเป็นอะไรกัน 😑 หรือระบบมีการพยายามเปลี่ยนเส้นทางไปที่ค่าธรรมเนียมน้อยที่สุดเลยต้องอ่านหลายรอบอะไรแบบนั้นอยู่ด้วย
ไม่ชอบโอนเพราะไม่มีความเป็นส่วนตัวครับ
ส่วนตัวชอบมี option ในการจ่ายหลายๆ รูปแบบอยู่แล้วเลยไม่ได้เดือดร้อนอะไรครับ
เชื่อว่าคนไทยจะใช้ชีวิตแบบสังคมไร้เงินสดได้ครับ แต่ไม่ใช่ทุกคนแน่นอน
พรี่ๆ ยังมีเงินสดเหลือใช้กันอีกเหรอครับ 😱😲
พูดตรงๆ เลยนะว่า ผมยังใช่เงินสดอยู่ ไม่ชอบระบบไร้เงินสดที่ต้องสแกน QR ด้วยมือถือเนี่ยหละครับ นานที่ผมจะใช้ แต่ส่วนใหญ่ตามร้านธรรมดา ผมยังจ่ายเงินสดเป็นหลักอยู่ สะดวกที่สุดแล้ว พอๆ กับบัตร PayWave
สำหรับผมเลยนะ NFC, Apple/Google Pay และบัตร Debit/Credit ที่มี PayWave เนี่ยแหละ คือระบบจ่ายเงินแบบไร้เงินสดที่ผมต้องการ และสมบูรณ์แบบที่สุดแล้ว แต่ก็ยังดันไปไม่ถึงไหน ถ้าไม่ใช่ห้าง ทางด่วน ร้านสะดวกซื้อ ร้านค้าขนาดกลางขึ้นไป ร้านอาหารในเมือง และปั้มน้ำมัน
แม้แต่ระบบขนส่ง ก็ยังมีแค่รถ Bus, MRT และสายสีแดง ที่พอจะรับบัตร Credit/Debit แบบแตะบ้าง แต่ก็ไม่รับทุกธนาคารอีก
Taxi บางเจ้าก็ต้องลงแอพถึงจะเลือกจ่ายแบบไร้เงินสดได้ บางคันก็มี QR หรือที่แตะบัตร ซึ่งนานทีจะมีให้เห็น แต่ส่วนใหญ่ก็ยังขอเงินสดอยู่ดี
แม้แต่ BTS ยังใช้บัตร Credit/Debit แตะที่ gate ไม่ได้เลย ต้องใช้บัตรรายเดือน บัตรเติมเงิน และบัตร Rabbit ผมเลยไม่ค่อยได้ใช้ ซึ่งมันควรจะรองรับการแตะบัตรได้ทุกระบบการขนส่งได้แล้วด้วยซ้ำไป
ตอนนี้ผมมีมอไซค์ เลยไม่ค่อยได้พึ่งพบระบบขนส่งเท่าไหร่ ชีวิตสะดวกแบบพลิกหลังเท้าเป็นหน้ามือเลย
ความล้มเหลว คือจุดเริ่มต้นสู่ความหายนะ มีผลกระทบมากกว่าแค่เสียเงิน เวลา อนาคต และทรัพยากรที่เสียไป - จงอย่าล้มเหลว
QR ยังไงก็สะดวกกว่าเงินสดเยอะ
แค่การทอนเงินถ้าไม่ใช่จำนวน 5, 10, 20 ก็ใช้เวลาพอสมควรแล้ว
ยังไม่นับแบงค์ใหญ่ไม่มีทอน เศษเหรียญ ขี้เกียจนับ บลาๆๆ
ในมุมมองผม qr มันสะดวกกว่าเงินสดไปแล้ว
ร้านค้าในตลาด 99% มีแผ่น qr ไว้รับเงินกันแล้ว
เข้า 7 ใช้แอป 7/true money จ่ายเงิน
ไปตลาด local หรือร้านค้าทั่วไป ใช้ qr
แท็กซี่ เรียกผ่านแอป ตัดบัตร
โอกาสใช้เงินสดของผมแทบไม่มีเลย
อะรู้แต่ว่า
เหรียญธนบัตรใช้จ่ายได้ทุกที่
ก็ไม่ทุกที่นะ 🥲
ร้านบางร้านรับ cashless only นะครับ เช่น bbq plaza ในห้างบางสาขา
อคติทำให้คนรับเหตุผลด้านเดียว
และ Subway ทุกสาขา
ส่วนตัวไม่ชอบพกเงินสด และรู้สึกดีใจที่ตอนนี้แทบจะไม่ต้องพกเงินสดก็กินเต๋วข้างทางได้
แต่เคยเจอว่าบางทีเน็ตเน่า หรือไม่ก็ระบบโอนเงินตาย กลายเป็นเสียเวลามากๆ
คนที่บอกจะไม่พกธนบัตรติดตัวเลย ถ้าโทรศัพท์หายหรือพัง ระบบล่มจะทำอย่างไร
ถ้าตอบแบบมีสาระ ก็ต้องยืมมือถือคนอื่นมาล็อกอินเข้าบัญชีตัวเอง แล้วถอนเงินสดออกมา ทั้งนี้วิธีนี้ไม่สามารถใช้งานได้ระหว่างที่ระบบล่ม ซึ่งก็ต้องไป "ยืม" คนอื่นมาใช้ก่อน
ท้ายสุดแล้ว มันไม่มีวิธีไหนที่แน่นอน ดีกว่าแย่กว่าแบบสุดทางไปเลย เพียงแต่ว่าระบบออนไลน์ เราไว้ใจในระบบคอมพิวเตอร์ มากกว่าการเก็บเงินสดที่ตัวเราเอง
ทำไม่ได้ในความเป็นจริงครับ ธนาคารหลายแห่งไม่มีให้ใช้เว็บแล้ว ใช้ได้แต่แอป เครื่องนึงล็อกอินได้บัญชีเดียว การขอให้คนอื่นล็อกเอาท์แล้วเราล็อกอินเป็นเรื่องลำบากมาก (บางแบงค์ต้องยืนยันตัวตนหลายขั้นตอน) ไหนจะ 2FA/OTP อีก
iPAtS
ไม่ต้องถึงขั้นเน็ตล่มมือถือหายหรอกครับ แค่ออกไปต่างจังหวัดถ้าไม่พกเงินเลยก็ลำบากแล้ว
ถึงแม้ว่าหลายร้านในต่างจังหวัดจะรับโอน แต่ก็ไม่ใช่ทุกร้าน โอเคแหละ เราอาจะหนีไปซื้อร้านใหม่ได้ แต่คนเสียเวลาก็คือเราเอง
หรือต่อให้ไปร้านที่รับโอน แต่ถ้าแถวนั้นสัญญาณเน็ตไม่ดี หรือแอปธนาคารล่ม และไปตัวคนเดียวไม่มีใครให้ยืมเงิน ก็คืออดครับ
ในกรุงเทพฯ สังคมไร้เงินสดเป็นไปได้ เพราะหลายคนก็ใช้ชีวิตแบบนั้นมาได้ไม่มีปัญหาอะไร หรือมีก็น้อยจนไม่ต้องคิดมาก
แต่ในต่างจังหวัดเป็นไปได้ยากพอสมควรครับ ยังไงก็ควรมีเงินติดตัวเอาไว้สักพันสองพันกันเหนียว นอกจากนี้ยังไม่ควรคิดว่าค่อยไปกดเอาข้างหน้า เพราะบางทีท่านอาจจะเจอตู้กดเงินที่ "ไม่มีเงิน" ไม่ก็เป็นตู้กดเงินที่ "กดเงินไม่ออก" เข้าก็ได้
จริงๆ มันก็ไม่ได้โหดร้ายขนาดนั้น แต่มันก็มีความเป็นไปได้ที่อาจจะเจอแบบนั้นครับ เพราะผมอาศัยอยู่ต่างจังหวัดเรื่องในลักษณะนี้มันก็ยังมีอยู่เรื่อยๆ ถึงต้องบอกตัวเองให้พกเงินสดติดตัวเอาไว้
ผมเองครับ เม้นบนเลย โอนไม่ได้ เบิกไม่ได้ พร้อมเพย์ไม่ได้ เน็ตใช้ได้ แต่ระบบของธนาคารพัง
วิธีของผมคือไหว้สวย ขอติดไว้ก่อน ขอเบอร์แล้วก็เลขบัญชีเอาไว้ พอโอนได้แล้วโทรแจ้งครับ ใช้ไม่ได้กับทุกร้าน แต่อย่างอื่นนี่นึกไม่ออกแล้ว ถึงบอกว่าชอบนะสังคมไร้เงินสด แต่ระบบไม่เล่นด้วย
ถ้ากระเป๋าตังค์หายทำไง ก็ทำแบบเดียวกันแหละครับ
อคติทำให้คนรับเหตุผลด้านเดียว
กระเป๋าตังค์หายไม่ได้หมายความว่าเงินสดหายทั้งหมดด้วยก็มีครับ อย่างผม กระเป๋าตังค์มีเงินสด และก็ยังมีนอกกระเป๋าอยู่บ้าง
ฉะนั้นคอมเม้นด้านบนผมวิเคราะห์ว่า เค้ามองในมุมที่มันควรมีทั้ง 2 แบบ เป็นแผนสำรอง ไม่ใช่พึ่งพาอย่างใดอย่างหนึ่ง 100%
ในทางเดียวกัน มือถือใช้ไม่ได้ ไม่มีธนบัตรแต่มีบัตรเครดิตติดตัวครับ 😅
เห็นด้วยว่าควรมีสำรองครับ ไม่มีอะไร 100% ส่วนตัวก็มีสำรองเผื่อฉุกเฉิน แต่กรณีปกติไม่ได้ใช้เลย โดยเฉพาะกรณีไปที่ที่ไม่ใช่ routine ปกติเช่นไปเที่ยว
อคติทำให้คนรับเหตุผลด้านเดียว
โอกาสที่เงินหายมันน่าจะน้อยกว่าโอกาสที่จะไม่สามารถใช้การจ่ายผ่านโทรศัพท์มาก ตัวแปรสำหรับเงินธนบัตรมันมีอย่างเดียวคือตัวมันเองแต่จ่ายผ่านโทรศัพท์หรือบัตรต่างๆมันมีตัวแปรเยอะ
ได้ตัวเลขนี้มาจากไหน
แต่ที่รู้ ๆ คือ ระบบล่ม ยืมเงินคนอื่นก่อน ระบบกลับมาใช้งานได้ เงินไม่หายแน่นอน ถอนกลับมาคืนได้
แต่เงินหาย คือเงินหายไปเลย หรือไปลุ้นกับโอกาสที่จะได้คืนอีกที
ที่เหลือเห็นด้วย เพียงแต่ว่าจากประสบการณ์ที่เจอ แม้แต่บ้านนอกก็เปิดให้จ่ายผ่าน QR แล้ว (แต่ไม่สะดวกเท่าไร) ถ้าร้านนั้นจ่ายภาษีถูกต้อง
นี้ยังไม่นับเงื่อนไขเพิ่มเติมที่จะใช้ promptpay ได้
- เป็นสัญชาติไทย
- มีบัญชีธนาคารของไทย
nosignal กับ systemdown เราแก้ไขเองไม่ได้น่ะครับ
เงินสดไม่พอ, กับเงินทอนไม่พอนี้ เราแก้ไขเองได้นะครับ
ส่วน large bills with tiny tx นี้มันคืออะไร
ถ้าหมายถึงต้องจ่ายทีละ 10K+ นี้ก็ไม่ค่อยมีใครใช้เงินสดจ่ายตั้งแต่ก่อนมี prompt pay แล้วน่ะครับ
large bills with tiny tx คือเหลือแต่แบงค์พันแต่ต้องจ่ายค่าน้ำ 20 บาทฮะ เคสเดียวกับที่ยกไปนั่นแล
เงินสดไม่พอกับเงินทอนไม่พอ แก้ไขเองได้แต่ cost ในการแก้ไขเท่าไหร่แลกมาด้วยอะไรนี่ว่ากันอีกเรื่อง แต่ว่ากันตาม fact ก็เลยใส่ในตารางเพิ่มไป เรื่องค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ไม่ทันนึก จริงๆ เป็นตัวเปรียบเทียบด้วยก็ได้แต่มันไม่ใช่ยอดในชีวิตประจำวันเท่าไหร่อย่างที่คุณว่ามาน่าจะไม่มีประโยชน์ในหัวข้อนี้เท่าไหร่ เห็นด้วยฮะ
ผมชอบที่เรามีระบบ e-banking เข้ามาช่วยให้การใช้จ่ายเงินก้อนหลักๆ สามารถทำได้เองโดยไม่ต้องใช้เงินสดและไม่ต้องไปทำธุรกรรมที่ธนาคารให้เสียเวลา
ส่วนเงินสด ยังไงก็จำเป็นนะ ยังไงก็ไม่เดินไปถึงจุดที่เป็นสังคมไร้เงินสดได้ภายใน 50 ปีข้างหน้าได้แน่ๆ แค่ระบบ e-banking เข้ามาช่วยให้รัฐลดจำนวนเงินสดในระบบลงไปได้เยอะเลย ผมให้ 50-60% เลยมั้ง ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีมาก เนื่องจากต้นทุนการจัดการเงินสดนั้นสูงกว่าอยู่แล้ว
สำหรับส่วนตัวยังใช้เงินสดในการซื้อของกินทั่วๆไปตามตลาด ที่เน้นความไว เพราะระบบจ่ายเงินด้วยแอพนั้นช้ากว่า แต่ข้อดีของ e-payment ก็คือไม่ต้องกังวลเรื่องเงินทอน ที่พกติดตัวก็แค่พันสองพันเท่าเท่านั้น
..: เรื่อยไป
ส่วนตัวคือมีเงินสดติดเป๋าตังไว้ 3-400 เสมอ
แต่จะไม่ใช้นะ คือพกไว้กันตายจริงๆเผื่อเหตุไม่คาดคิด
ชีวิตประจำวันก็จะโอนจ่ายตลอด
Same same กลัวมากระบบล่มไม่มีจ่าย
มือใหม่!! ใหม่จริงๆนะ