Fortune ออกรายงานพิเศษ โดยได้สัมภาษณ์แหล่งข่าวภายใน OpenAI หลายคน หลังจากผู้บริหารระดับสูงหลายคนประกาศลาออก รวมทั้ง Mira Murati ซีทีโอ ซึ่งก่อนหน้านั้นไม่กี่เดือน ผู้บริหารหลายคนก็ลาออก เช่น Ilya Sutskever ที่เป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง หรือ Jan Leike หัวหน้าทีมความปลอดภัย AI ทั้งหมดเพื่อตอบคำถามว่า เกิดอะไรขึ้นที่ OpenAI?
รายงานบอกว่าความตึงเครียดใน OpenAI เริ่มต้นจากช่วงก่อนการเปิดตัวโมเดล GPT-4o ในเดือนพฤษภาคม ที่เพิ่มความสามารถสูงหลายอย่าง และเป็นการเปิดตัวตัดหน้ากูเกิลที่จัดงาน Google I/O เพียงหนึ่งวัน โดยมีคำสั่งให้เร่งการทดสอบโมเดล เร่งการทดสอบความปลอดภัยของ AI เพื่อให้สามารถเปิดตัวได้ก่อนคู่แข่ง
แหล่งข่าวบอกว่ากระบวนการเปิดตัว GPT-4o นั้นผิดไปจากมาตรฐานของ OpenAI มาก ทีมทดสอบความปลอดภัย AI มีเวลาเพียง 9 วันเท่านั้น ในการประเมินด้านต่าง ๆ ทุกคนต้องทำงานมากกว่า 20 ชั่วโมงต่อวัน เพื่อให้สามารถเปิดตัว GPT-4o ทันตามกำหนด เรื่องนี้ทำให้ Murati ที่เป็นคนกลางระหว่างทีมความปลอดภัยกับทีมธุรกิจต้องรับบทหนัก ทีมความปลอดภัยพยายามเจรจาขอเลื่อนการเปิดตัว แต่ฝั่งธุรกิจไม่ยอม Murati ก็เลือกให้ทีมทำงานตามเส้นตายเดิม
ข้อมูลบอกว่าการทดสอบความปลอดภัย GPT-4o ยังไม่ครบทุกขั้นตอนดี แต่ปลอดภัยพอสำหรับใช้ในการเปิดตัว ซึ่งเวลาต่อมาทีมก็พบช่องโหว่เรื่องการโน้มน้าว AI (persuasion) ว่าเป็นความเสี่ยงใหญ่ที่เกินกว่ามาตรฐาน แต่ตอนนั้นทีมความปลอดภัยระบุความเสี่ยงว่าอยู่ที่ระดับ Medium ไม่ถึงขั้น High หรือ Critical ที่เป็นเกณฑ์ไม่เผยแพร่โมเดลเด็ดขาด
Fortune ให้ข้อสังเกตว่าความขัดแย้งนี้อาจสะท้อนได้จากงานแถลงข่าวเปิดตัว GPT-4o ที่ไม่มี Sam Altman ซีอีโอ มาร่วมงาน โดย Mira Murati เป็นคนนำเสนอหลัก
ปัญหาคล้ายกันนี้เกิดขึ้นที่ OpenAI อีกครั้ง ก่อนช่วงการเปิดตัวโมเดลตระกูล o1 เมื่อเดือนที่แล้ว ซึ่งมีจุดขายคือความสามารถคิดทีละขั้นตอน ทำให้มองเห็นทิศทางการเข้าใกล้ปัญญาประดิษฐ์ความสามารถรอบด้านหรือ AGI มากขึ้น อย่างไรก็ตามแหล่งข่าวบอกว่าฝ่ายวิจัยหลายคนไม่เห็นด้วยที่ให้รีบเปิดตัว o1 เพราะพบความไม่เสถียรในการทำงาน ตลอดจนการประเมินความปลอดภัยก็ยังไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดีพอ
แต่ Sam Altman คือคนที่สั่งเร่งให้เปิดตัว o1 เร็วที่สุด เนื่องจากเขามองว่าโมเดลนี้จะทำให้นักลงทุนเชื่อมั่นว่า OpenAI เป็นผู้นำในการพัฒนา AI ที่เหนือกว่าคู่แข่ง เพราะบริษัทอยู่ในช่วงเจรจารับเงินเพิ่มทุนรอบใหม่อยู่ ส่งผลให้ o1 ที่ยังไม่เรียบร้อยดีนัก จำเป็นต้องปรับแต่งหรือยกเว้นเงื่อนไขบางอย่าง เพื่อให้ออกมาได้ทันตามกำหนดเวลา
ประเด็นนี้ตัวแทนของ OpenAI ได้ชี้แจงกับ Fortune ว่าข้อมูลเกี่ยวกับการตัดสินใจต่าง ๆ ที่มีในรายงานข้างต้นไม่เป็นความจริง โมเดลทั้งหมดถูกตรวจสอบความปลอดภัยตามขั้นตอนก่อนเปิดตัว แต่ยอมรับว่า OpenAI มีการเปลี่ยนผ่านจากบริษัทที่เน้นงานวิจัย มาสู่ผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์ในเวลาแค่สองปี ทำให้บริษัทมีการเติบโตและย่อมมีการเปลี่ยนแปลงภายในบางอย่าง
รายงานนี้ยังพูดถึงความเป็นไปได้เรื่องปัญหาส่วนตัวระหว่าง Altman กับ Murati ซึ่งมาจากเหตุการณ์ที่บอร์ดลงมติไล่ Altman ออกจากซีอีโอ และแต่งตั้งให้ Murati เป็นซีอีโอรักษาการณ์ ผู้บริหารใน OpenAI เกือบทุกคนรู้ข่าวเรื่องนี้พร้อมกับที่ OpenAI ออกประกาศเป็นทางการ (ไมโครซอฟท์ด้วย) แต่ Murati รู้เรื่องนี้ก่อน 12 ชั่วโมง ทำให้หลายคนเชื่อว่า Altman อาจคิดว่าทำไม Murati จึงเลือกไม่มาบอกเขาถึงข่าวสำคัญนี้ก่อน
Murati เองยังเป็นหนึ่งในคนที่รายงานปัญหาเกี่ยวกับสไตล์การบริหารของ Altman ต่อบอร์ด และเชื่อว่าเป็นสาเหตุหนึ่งที่บอร์ดใช้ในการประเมินและไล่ออก Altman ประเด็นนี้โฆษกของ Murati บอกว่า Murati มีการพูดคุยส่วนตัวกับ Altman อยู่ตลอด สิ่งที่แจ้งกับบอร์ด ก็ได้บอกกับ Altman โดยตรงด้วยเช่นกัน ขณะที่ความสัมพันธ์ของสองคนยังเป็นไปด้วยดี
นอกจากนี้ Murati ยังต้องรับบทตัวกลางในหลายครั้ง เช่นกับ Greg Brockman ประธาน OpenAI ซึ่งมีสไตล์ทำงานแบบสั่งแก้ไขในช่วงสุดท้าย และส่งข้อความส่วนตัวตามกับพนักงานโดยตรงตลอด จนทำให้ Altman ต้องขอให้เขาลาหยุดพักไม่มีกำหนด (ประเด็นนี้ OpenAI ชี้แจงว่า Brockman เป็นฝ่ายที่ขอลาพักเอง) แหล่งข่าวเชื่อว่าเรื่องนี้อาจทำให้ Murati หมดไฟเพราะต้องอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งในบริษัทหลายอย่าง
สุดท้าย Fortune ชี้อีกปัญหาใน OpenAI คือการเติบโตที่รวดเร็ว โดยเฉพาะหลังเหตุการณ์ไล่ Sam Altman ที่ตอนนั้น OpenAI มีพนักงานประมาณ 800 คน ผ่านมา 10 เดือน บริษัทมีพนักงานกว่า 1,800 คน แต่จำนวนที่เพิ่มขึ้นนอกจากนักวิจัย โปรแกรมเมอร์ จำนวนพนักงานฝ่ายขาย ฝ่ายดูแลความสัมพันธ์กับนักพัฒนา ฝ่ายดูแลผลิตภัณฑ์ ก็เพิ่มจำนวนมากด้วยเช่นกัน แหล่งข่าวบอกว่าสิ่งนี้ทำให้บรรยากาศใน OpenAI เปลี่ยนไปมาก วงสนทนาพูดคุยเรื่องงานวิจัยน้อยลง แล้วคุยเรื่องการออกผลิตภัณฑ์สู่ตลาดมากขึ้น ข่าวการเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรมาให้น้ำหนักกับส่วน For-Profit ยิ่งย้ำความคิดนี้
ปัจจุบัน OpenAI มีพนักงานที่เป็นกลุ่มผู้ก่อตั้งเหลือ 2 คนจาก 11 คนคือ Sam Altman และ Wojciech Zaremba ที่เป็นหัวหน้าทีม OpenAI Codex
ที่มา: Fortune
Comments
อย่างอย่าง?
พากันย้ายไป Anthropic ดีแล้วครับ หลังๆ มา รู้สึกไม่ชอบ OpenAI ยังไงไม่รู้
เอาจริงๆ ที่อ่านทั้งหมดก็เรื่องปกติในองค์กรทั่วๆไปอยู่แล้ว ยิ่งระดับบนๆที่ต้องชนกับ Regulator ต่างๆด้วย ดูวงการรถยนต์เป็นตัวอย่างที่มี Pressure ด้วย ค่ามาตรวัดมาตรฐานต่างๆในการออก Product ใครบอกว่า Dark แสดงว่าไม่เคยอยู่ใน Inside วงแบบนี้
ภาพลักษณ์ Open AI เดิมผมว่ามันดูไม่หวังผลกำไร เน้นความปลอดภัย เน้นการวิจัยเพื่อมนุษยชาติยังไงยังงั้น พอข่าวออกมาแบบนี้ถึงมันจะเป็นเรื่องปกติขององค์กรทั่วไป แต่คนจะมอง Open AI ต่างไปจากเดิม