NASA ประกาศว่าภารกิจส่งมนุษย์เดินทางไปดวงจันทร์ 2 ภารกิจข้างหน้า ได้เลื่อนกำหนดการออกไป โดย Artemis II ที่จะส่งนักบินอวกาศ 4 คน เดินทางวนรอบดวงจันทร์ แล้วเดินทางกลับโลก เลื่อนออกไปเป็นเดือนเมษายน 2026 และ Artemis III ที่จะส่งนักบินอวกาศไปเหยียบดวงจันทร์บริเวณขั้วใต้ เลื่อนออกไปเป็นกลางปี 2027
NASA ให้เหตุผลของการเลื่อนภารกิจจากความปลอดภัย หลังผลการสอบสวนเพิ่มเติมของภารกิจ Artemis I ที่ส่งยานอวกาศเดินทางรอบดวงจันทร์แบบไม่มีมนุษย์ พบปัญหาการสูญเสียแผ่นป้องกันความร้อนเมื่อเดินทางกลับโลก ทำให้ต้องแก้ไขปัญหาส่วนนี้ให้เรียบร้อยก่อน
ภารกิจส่งมนุษย์ไปดวงจันทร์ทั้ง Artemis II และ Artemis III นี้ ถูกเลื่อนกำหนดไปแล้วครั้งหนึ่งเมื่อต้นปี โดย Artemis IV และ Artemis V ยังไม่มีการเลื่อนกำหนด
Comments
ทำไม่ไม่ให้ spaceX ทำ และสงสัยว่าจะส่งคน 4 คนไปบินวนทำไม พอขึ้นไปขนาดนั้นก็ลงจอดดวงจันทร์เลย จะได้ไม่เสียเที่ยว เทคโนโลยีเราผ่านมากี่ปีแล้ว
Hardware ใหม่ ระบบใหม่ มันต้องเทสต์น่ะครับ ไม่ได้ใช้ยานเดิม
วิธีการเดินทาง กับ trajectory ก็ใหม่ เลยเข้าใจได้ว่าต้องเทสต์ก่อนลง
สมัยอพอลโลใช้ตั้งหลาย mission กว่าจะลงได้ครับ
ไปถึงดวงจันทร์ที่ 8 ลงตอน 11
ก็ให้ SpaceX ทำนี่ล่ะครับ
บางทีเลยเริ่มสงสัยตามทฤษฎีสมคบคิดจริงละว่าสรุปเราเคยไปดวงจันทร์มาแล้วจริงๆ ใช่มั้ย
อ่านจากข่าวและความผิดพลาดหลายๆ ครั้งแล้ว คิดว่าไม่เคย เป็นไปได้ยากมาที่ทุกอย่างในครั้งแรกจะ Perfect ขนาดนั้น
ลองคิดแบบนี้ครับ ในยุคนั้น (ปี 1950-1970)
งบประมาณรัฐมีอยู่มหาศาล
ทุ่มไปกับงานวิจัย พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และงานพัฒนาอย่างเต็มที่แทบจะไร้ขีดจำกัด (เหมือนที่จีนเป็นในตอนนี้)
วัตถุดิบและวิศวกรก็เยอะ (บางส่วนก็ดึงมาจากอดีตนาซีอีก)
เป็นช่วงที่พื้นตัวจากสงครามโลกแล้วต่อด้วยสงครามเย็นอีก
แล้วก็เศรษฐกิจยุคนั้นก็ไปได้ดีด้วยเนี่ยสิ ธุรกิจไปได้สวย มีเงินภาษีเข้ารัฐเรื่อยๆ
ก็ไม่แปลกที่ยุคนั้นจะมีการพัฒนาและออกนวัตกรรมใหม่แบบก้าวกระโดดมากๆ ออกมาได้
ความล้มเหลว คือจุดเริ่มต้นสู่ความหายนะ มีผลกระทบมากกว่าแค่เสียเงิน เวลา อนาคต และทรัพยากรที่เสียไป - จงอย่าล้มเหลว
คุณรู้มั้ยว่ากว่าจะถึงอพอลโล 11 นาซ่าต้องผ่านอะไรบ้าง
เมอร์คิวรี่ 6 ภารกิจ
เจมิไน 12 ภารกิจ
ยานสำรวจไร้มนุษย์ เรนเจอร์ เซอร์เวเยอร์ เอ็กซ์พลอเรอร์ อีกเป็นสิบ
อพอลโล่กว่าจะไปถึง 11 ก็อีกหลายลำ
1 ทดลองล้มเหลว เสียชีวิต 3 คน
4 ทดลองปล่อยยาน
7 ปล่อยยานแบบมีนักบิน
8 ไปถึงดวงจันทร์
9 เทสต์ลูน่าแลนเดอร์
10 จำลองการจอดแต่ไม่จอด
11 จอดจริง
จรวดอีกเป็นสิบๆรุ่นที่พัฒนามาระหว่างทาง
และงบประมาณมหาศาล peak สุดที่เกิน 4% GDP อเมริกา (ปัจจุบันไม่ถึง 0.5%)
รวมแค่ช่วง 1960-1969 ที่อพอลโล 11 ลงดวงจันทร์ NASA ได้งบในเชิง %GDP รวมมากกว่าที่เหลือทั้งหมดตั้งแต่ 1970-ปัจจุบันเสียอีก
เสริม งบประมาณทั้งโครงการ Apollo ปรับตามค่าเงินเฟ้อ 2020 คือ $250B
งบประมาณปัจจุบัน "สิบปี" ของโครงการ Artemis อยู่ที่ ราว ๆ $100B ไม่ถึงครึ่งของที่เคยได้มา
เพราะการที่เราเคยไปดวงจันทร์มาแล้วนี่แหละคือสาเหตุที่เราไม่กลับไปดวงจันทร์อีก (ในตอนนี้)
ถ้าขี้เกียขดูวิดีโอ เนื้อหาสรุปได้ตามนี้
ทำไมการไปดวงจันทร์ถึงเป็นของจริง
- ภาพถ่ายดาวเทียมและการสแกนภูมิประเทศของดวงจันทร์สัมพันธ์กับภาพถ่ายจากภารกิจ Apollo 13
- การยืนยันจากหลายชาติ รวมไปถึงชาติที่เป็นศัตรูกับอเมริกาด้วย
- สปายของโซเวียตไม่สามารถหาหลักฐานได้เลยว่าการไปดวงจันทร์ของอเมริกาเป็นของปลอม
- มีการถ่ายทอดสดจากยานอวกาศโดยตรง (เป็นผลข้างเคียงของระบบสื่อสาร) ไม่ว่าใครก็สามารถดักจับสัญญาณและฟังแบบสด ๆ ได้ทันที
ทำไมเราไม่กลับไปอีก
- ยุคนั้นอเมริกาแข่งกับโซเวียตด้านอวกาศอย่างหนัก
- NASA ช่วงนั้นมีงบประมาณแทบจะไม่จำกัด ปัจจุบันงบเหลือเสี้ยวเดียวเท่านั้น
- ยานอวกาศ Saturn V คือโลงศพอวกาศดี ๆ นี่เอง เพราะ Failure Rate สูงเกินไป แถมราคาสูงหลุดโลกอีกด้วย
- การไปดวงจันทร์ยุคนั้นทำเพื่อ "อวด" ฝั่งตรงข้ามอย่างเดียว ไม่ได้มีเหตุผลดี ๆ อื่น ๆ เลย
เป้าหมายของ Artemis คือการไปดวงจันทร์ "อย่างยั่งยืน" ลดค่าใช้จ่าย และมีความปลอดภัยสูงสุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ส่วนตัวไม่เชื่อว่ามนุษยย์เคยไปบนดวงจันทร์จริง แต่คิดว่านาซาเคยส่งรถสำรวจไปดวงจันทร์จริงซึ่งเราก็เห็นได้จากหลักฐานต่างๆ(แต่โดนเหมารวมว่าเป็นหลักฐานของมนุษย์บนดวงจันทร์) แต่การส่งมนุษย์ไม่ง่ายขนาดนั้นเพราะขนาดสถานีอวกาศเมกายังจำเป็นต้องร่วมมือกับรัสเซียเพื่อที่จะสร้างที่อยู่ให้มนุษย์ให้อยู่บนอวกาศได้นานๆและปลอดภัย การเดินทางไปดวงจันทร์ไม่ได้ใช้เวลา2-3วันแปปเดียวไปกลับโดยเฉพาะเทคโนในอดีต
อเมริกากับรัสเซียต่างก็ทำสถานีอวกาศเองได้ทั้งคู่ ไม่ต้องอาศัยกัน
อเมริกามี Skylab
รัสเซียมี Mir
แต่ทั้งสองประเทศเลือกที่จะสร้างสถานีร่วมกันโดยมีโครงสร้างที่บังคับให้ต้องพึ่งพาอาศัยกัน เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพระหว่างกัน และเป็นจุดสิ้นสุดของสงครามเย็น
อย่างที่เมนต์บนบอก การส่งมนุษย์ไปไม่ง่ายเลย ตอนนั้นแค่เฉพาะโครงการ Apollo ยังต้องใช้เที่ยวบินหมายเลข 11 ถึงจะได้ลงจอด ในขณะที่แผนปัจจุบันคือตั้งใจจะลงจอดตั้งแต่เที่ยวบินที่ 3 ด้วยซ้ำ เพราะมีข้อมูลหลายอย่างจากการเดินทางครั้งก่อน ๆ แล้ว แต่เนื่องจากจรวดเป็นของใหม่ ระบบไม่เหมือนเดิมกับของ Apollo ก็เลยต้องมีการทดสอบเป็นธรรมดา
ไม่ว่ายุคสมัยใหน ต่อให้มีเงินมากๆแต่ก็ใช่ว่าจะประสบความสำเร็จ ซึ่งมันก็คือคำว่า "ข้อจำกัดทางเทคโนโลยี" ทั้งสถานีอวกาศ Skylab และ Mir ต่างออกมาหลังโครงการ Apollo 11 ยิ่งตอกย้ำความน่าสงสัยกับเทคโนโลยีเพื่อช่วยเหลือมนุษย์ให้เดินทางในอวกาศได้นานๆในอดีต ผมไม่ได้ปฏิเสธโดยสิ้นเชิงนะครับ เราต่างใช้หลักฐานในการคิดวิเคราะห์ เพียงแต่หลักฐานทุกวันนี้ยังไม่ได้ชัดเจน ภาพหลักฐานที่นำมาแสดงก็เป็นภาพเบลอๆทั้งๆที่เมกาสามารถถ่ายบนโลกได้ระดับเซ็นติเมตรตั้งนานแล้ว และหลักฐานยังไม่สามารถบอกได้ว่าเกิดจากกิจกรรมของมนุษย์หรือเป็นการ automated
ขอหลักฐานที่ว่าอเมริกาสามารถถ่ายภาพบนโลกได้ในระดับเซ็นติเมตรหน่อยครับ (เข้าใจว่าหมายถึงการถ่ายภาพจากอวกาศใช่ไหม?)
"centimeter level space image" ลอง search เลยครับ ข้อมูลที่เผยแพร่ส่วนใหญ่เป็นข้อมูลระดับ commercial ข้อมูลทางทหารจะเหนือกว่าไปอีกขั้น
.
Satellite imagery สูงจากโลกราวๆ 500-700 กิโลเมตร
ส่วนระยะทางเฉลี่ยระหว่างโลกถึงดวงจันทร์คือราว 384,400 กิโลเมตรนะครับ
มันไม่ได้เป็นปัญหาในยุคปัจจุบันหรอกครับ ปัจจุบันเมกาส่งดาวเทียมไปดวงจันทร์หลายดวงแล้ว แต่กลับยังไม่มีภาพถ่ายความละเอียดสูงให้เห็นหักฐานชัดๆ ทั้งๆที่มีเทคโนโลยีการถ่ายภาพความละเอียดสูงอยู่แล้ว ผมก็พูดตามหลักฐานนะครับ ไม่ได้ใช้ความเชื่ออะไร แต่ผมก็ไม่ได้ปิดกั้นนะครับ ถ้ามีความชัดเจนด้านหลักฐานผมก็ยอมรับ แต่จะให้เชื่อจากหลักฐานเบลอๆก็กระไรอยู่ เรื่องจริงคือหลักฐานที่มีอยู่มันเบลอและยังบอกไม่ได้ว่าเป็นกิจกรรมของมนุษย์บนดวงจันทร์หรือเกิดจากการ automated
ขอดูหลักฐานครับ
คุณต้องปากล้องออกไป 5 เมตร กับปากล้องออกไป 3 กิโลเมตรแล้วตรงจุดเป๊ะๆ คุณคิดว่าจะสามารถปากล้องแบบเดียวกันได้รึเปล่าครับ
และข้อจำกัดทางเทคโนโลยีเหล่านัั้น ก็ส่งผลให้มีมนุษย์ต้องสูญเสียชีวิตไปในโครงการนี้นั่นเอง
ทั้งๆที่ระดมคนเก่งจำนวนมหาศาลมาช่วยกัน ก็ยังมีข้อจำกัดหลายอย่าง
เสี่ยงขนาดนั้น แต่ทำไม่ยังเดินหน้าต่อ
เพราะมันเป็นสงคราม
และทุกวันนี้ประเทศศัตรูของอเมริกาอย่างรัสเซียก็ยอมรับความสำเร็จของโครงการ Apollo ไปแล้ว
รู้ว่าทางการทหารมีกล้องถ่ายที่ resolution ระดับ cm แต่ปฏิเสธหลักฐานเกี่ยวกับดวงจันทร์นี่ก็ย้อนแย้งดีนะครับ
เพราะถ้ารู้แบบนั้นจะเข้าใจว่ากล้องที่ใช้ถ่ายภาพระดับนั้นไม่เคยถูกติดไปกับยานสำรวจอวกาศลำใดๆเลยไม่ว่าจะเป็นดาวดวงไหน
เพราะมันกินที่เยอะมากและกินพลังงานสูง รวมถึงแพงมาก ต้องระดับงบเหลือๆอย่างกลาโหมของชาติมหาอำนาจถึงจะสร้างมันไว้ใช้ได้สบายๆ
สมการฟิสิกส์ง่ายๆเรื่อง angular resolution (1.22/lambda) ก็มีอยู่ มันบอกว่าต้องใช้ขนาดกล้องเท่าไหร่เพื่อได้ภาพที่ต้องการ แน่นอนว่าการสร้างกล้องที่ละเอียดสูงมากยิงขึ้น LEO กับยิงไป TLI นี่ใช้เชื้อเพลิงคนละเรื่องกัน
และก็คงไม่มีชาติไหนเอางบและเวลาไปทิ้งกับแค่การส่งยานไปยืนยันสิ่งที่ชัดเจนอยู่แล้วตั้งแต่แรกหรอก
ภาพที่ LRO กับยานอินเดียถ่ายมาได้ก็ถือว่าเป็นหลักฐานที่ดีมากพอแล้ว (กล้องของยานสองลำนี้เน้นถ่ายภาพพื้นผิวมุมกว้างของพื้นผิว และศึกษา spectrometer เพื่อหาน้ำและองค์ประกอบเคมีต่างๆบนดวงจันทร์ ไม่ใช่เพื่อหาอพอลโล)
คนเชื่อทฤษฎีสมคบคิดแนวนี้มักจะมองด้านเดียว แล้วก็ดันต่อว่า "นี่ไง หลักฐานไม่พอ ผมไม่เชื่อ" ตลอดแหละ
บางคนเอารูปถ่ายตอนอยู่บนดวงจันทร์
บางคนเอาเอาคลิปวิดีโอ
บางคนเอา spec จรวด
บางคนเอาเรื่องการเมือง
บางคนเอาเรื่องการไม่กลับไปดวงจันทร์อีกครั้ง
ฯลฯ
ไม่มีคนไหนมองรอบด้านหรอก เพราะถ้าประกอบหลักฐานแล้วมันแถออกจากข้อเท็จจริงไม่ได้นี่แหละ
ผมก็มองจากหลักฐานนะครับ ไมได้ใช่ความเชื่อไม่เชื่อจากความรู้สึก คุณเองก็ยืนยันไม่ได้หรอกว่าหลักฐานที่มีเกิดจากการกิจกรรมของมนุษย์หรือเกิดจากการ automated การเชื่อจากหลักฐานเบลอๆน่าจะเป็นเรื่องทฤษฎีสมคบคิดมากกว่าอีก ผมไม่ได้พูดผิดหรอกนะครับ
อ่อครับ ก็ใช่ครับ หลักฐานเบลอๆแหละ ตามที่ผมเดาไว้ในตอนท้ายของความเห็นก่อนหน้าเลย
ภาพถ่ายจากวงโคจรก็เบลอๆ
ภาพถ่ายจากภารกิจก็เบลอๆ
บันทึกวิดิโอก็เบลอๆ
อุปกรณ์วิทยาศาสตร์ก็เบลอๆ
ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ก็เบลอๆ
เบลอไปเสียทุกแง่มุมเลยเนอะ
การสร้างเทคโนโลยี่ที่ด้อยกว่าในภายหลัง ไม่ได้หมายความว่าเราไม่เคยมีเทคโนโลยีที่เหนือกว่า (ถ้าไม่อย่างนั้นเราก็ควรทิ้งทั้ง 6502, Z80, หรือเหล่า Arduino ไปได้แล้ว เพราะ Intel, AMD เหนือกว่ามาก) และโครงการ Apollo ไม่ได้มีเป้าหมายสูงสุดเกี่ยวกับความปลอดภัย และ Failure Rate สูงในระดับที่ปัจจุบันถือว่ายอมรับไม่ได้แล้ว ถ้าให้มากกว่านั้นก็คงต้องให้นักบินอวกาศเป็นศพตรงนั้นเลยคนถึงจะเชื่อ แต่ถ้าเกิดจริงก็ไม่น่าแปลกใจอะไรเพราะ Saturn V ก็คือโลงศพอวกาศดี ๆ นี่แหละ
อเมริกาไม่จำเป็นต้องร่วมมือกับชาติไหนก็ทำได้อยู่แล้ว โซเวียต ก็เช่นกัน ทั้งคู่รู้วิธีการไปอวกาศอยู่แล้ว แค่ยังไม่เก่งเรื่องเอาชีวิตรอดแค่นั้น (โซเวียตก็เคยพยายามมาก่อนแล้วล้มเลิกไปหลังจากที่อเมริกาทำสำเร็จก่อนจะล่มสลายภายหลัง) ไม่จำเป็นต้องพึ่งพากันและกัน อย่าลืมว่าเป้าหมายหนึ่งอย่างของ ISS คือการสานสัมพันธ์กับชาติอดีตศัตรู ไม่ใช่การร่วมมือกันไปอวกาศ (เพราะทั้งสองชาติเคยทำมาก่อนแล้ว) การร่วมมือกันก็ย่อมดีกว่าการทำคนเดียวอยู่แล้ว
่
และก็อย่าเทียบเทคโนโลยีภาพถ่ายดาวเทียมกับภาพถ่ายกล้องไซส์คนถือได้ เทคโนโลยีอยู่คนละโยชน์กันเลย
อันที่จริง คุณหยิบข้อมูลมาคุยกันก็ได้นะ คุณพิมพ์มาสามย่อหน้า มีอวดคุณภาพ Logic ตัวเองอยู่สักสองย่อหน้าได้
ผมไม่ได้คิดวิเคราะห์จากความรุ้สึก ผมก็คิดจากข้อมูลและหลักฐานที่มี ซึ่งมันไม่ได้ผิดอะไรอยู่แล้วใช่ใหมหละ การที่มีคนไม่เชื่อก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะข้อมูลและหลักฐานมันยังไม่ได้ฟันธงอะไรขนาดนั้นมีแค่ภาพเบลอๆ ซึ่งใครจะเชื่อหลักฐานภาพเบลอๆนี้ผมก็ไม่เคยต่อว่าหรือวิจารน์อะไรด้วย ผมก็บอกในส่วนของผมว่าไม่เชื่อเพราะอะไรแค่นั้น ถ้าคุณพอมีหลักฐานที่หนักแน่นตอบได้ว่ามีกิจกรรมของมนุษย์บนดวงจันทร์ที่ไม่ใช่การ automated ผมเองก็พร้อมรับฟัง และไม่เคยปิดกั้นอยู่แล้ว
ตราบใดที่ยังไม่มีหลักฐานเพียงพอ คำถามที่ว่าเมกาเคยส่งมนุษย์ไปดวงจันทร์ก็ยังคงมีอยู่เรื่อยๆ ไม่ใช่แค่ผมคนเดียวหรอกที่คิดแบบนี้ อย่าไปมองว่าคนเหล่านี้ผิดอะไร เมกาเองก็คงไม่ได้แคร์อะไร ไม่อย่างนั้นก็คงส่งดาวเทียมถ่ายภาพความละเอียดสูงไปดวงจันทร์แล้ว ปัญหามันยังไม่มีหลักฐานที่หนักแน่นพอที่จะตอบว่าเคยส่งไปหรือไม่เคยส่งไปแค่นั้นเอง
หลักฐานที่ NASA มีเยอะแยะแล้วไม่ใช่เหรอครับ ห้องเก็บของเขาหินดวงจันทร์ที่ต้องเก็บในตู้พิเศษไม่ให้สัมผัสอากาศของโลกที่มีออกศิเจน คนทำงานก็ต้องใส่ชุดแบบห้องปลอดฝุ่นงี้ laser วัดระยะ ภายถ่ายที่นักบินอวกาศเยอะแยะ ภาพที่ถ่ายทอดสดมานั้นเบลอๆ ก็จริง แต่หลังจากนั้นมีเก็บไว้ชัดโคตรๆ https://www.flickr.com/photos/projectapolloarchive/with/48264717322
ในยุคหลังๆ รูปคงน้อยแล้ว คงไม่เองน่าสนใจ ภาพสีปกติเห็นกันมากมาย เดี่ยวนี้ใช้ภาพภ่ายย่านอื่นๆ เพื่อสำรวจบ้างแล้วนะครับ แล้วคงไม่เอาถ่ายเล่นๆ แบบทั่วๆ ไปด้วย ส่งสัญญาณกลับมาต้องใช้ให้คุ้มทุก Bandwidth ที่มี
ถ่ายมาโลกก็มีนะครับ เยอะมากๆ เห็นในไทยจะมีจัดงาน SPACE JOURNEY BANGKOK น่าจะชิ้นส่วนอะไรบ้างลองไปดูก็น่าจะได้ถ้าอยู่ กทม.
ข้อมูลพวกนี้ผมก็เห็นมาหมดแล้วครับ แต่ส่วนตัวผมมันยังมีคำถามที่ยังสงสัยอยู่ดี แต่จะให้พูดโต้ตอบก็คงไม่จบง่ายๆ เผลอๆกลายเป็นการล่อคนเข้ามาอีกแล้วไปจบตรงทฤษฏีสมคบคิด ผมเองก็ไม่อยากตอบอะไรกระเทือนจิตใจฝ่ายที่สนับสนุนการส่งมนุษย์ไปบนดวงจันทร์ เราต่างให้เกียรติซึ่งกัน แต่เชื่อเถอะกิจกรรมของนาซ่าต่อจากนี้มันจะสะท้อนความสงสัยว่าเคยส่งมนุษย์ไปจริงๆเหรอ ฝ่ายที่ไม่เชื่อก็จะมีคำถามมากขึ้นเรื่อยๆ ฝ่ายที่เชื่อก็จะหาเหตุๆผลมาแก้ต่างให้เรื่อยๆ จนกว่าจะเห็นรอยเท้าจากภาพถ่ายปัจจุบัน
พอมีภาพใหม่ก็บอกปลอมได้ CGI เดี่ยวนี้คนก็บอกเนียนๆ อยู่ดี เลยไม่เข้าใจว่าถ้ามีภาพใหม่แล้วมันจะยังไงนะครับ เลยมองว่าภาพถ่ายปัจจุบันกับอดีตก็ไม่ต่างกันเลย แค่ต่างยุคสมัยเฉยๆ คอมจอตู้เป็นจอ LCD แบนๆ ไรแบบนี้
ภาพมันส่วนหนึ่งเท่านั้นเอง ซึ่งมันก็ต้องได้รับการตรวจสอบจากหลายๆที่ ซึ่งตอนนี้ศักยภาพไม่เหมือนเมื่อก่อน ซึ่งทำให้ไม่ต้องมานั้งจินตนาการเอาแล้วครั้งนั้น โครงการอวกาศนาซ่าล่ำๆมีเยอะไปแต่ที่เป็น controversy ก็มีอันนี้เท่านั้นแหละ ซึ่งถ้ามันไม่มีมูลมันก็คงไม่เป็น controversy จะบอกว่าเมกาไม่เคยโกหกก็คงไม่ใช่ เพราะ national security เมกาก็เคยโกหกมาหลายครั้งแล้วเช่นเหตุผลการบุกยึดอิรัก ผมไม่อยากนอกเรื่องมาก แต่แค่ให้เหตุผลเพิ่มว่ามันมีแรงผลักดันให้เมกาต้องโกหก และมันไม่ใช่สิ่งที่เมกาจะไม่ทำ ยิ่งพูดก็ยื่งบานปลายถึงไม่อยากพูดอะไรเยอะ เอาเป็นว่าหลักฐานที่มีอยู่ตอนนี้มันไม่สามารถหักล้างกับ controversy ได้ มันไม่ได้ทำให้เกิดการยอมรับแบบเอกฉันท์แบบโครงการอวกาศอื่นๆของนาซา นี่คือสิ่งที่ต้องยอมรับแหละครับ
ปกติผมจะหลีกเลี่ยงการตอบโต้กับการสนทนาที่พุ่งเป้าไปที่คุณภาพการใช้ตรรกะ ผมชอบคุยด้วยข้อมูล แต่ครั้งนี้ผมหลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะคุณยัดเยียด Topic นี้มาตั้งแต่แรก งั้นผมเริ่มเลยละกัน
Logic คุณพังตั้งแต่ไม่เชื่อภาพถ่ายเบลอ ๆ แล้วไปเทียบกล้องถ่ายแบบคนถือได้กับกล้องดาวเทียมแล้ว และถามก่อนทำไมต้องไปตั้งดาวเทียมถ่ายภาพที่ดวงจันทร์ ๆ ทั้ง ๆ ที่มันเกิดขึ้นไปแล้วโดยโซเวียต และศักยภาพและแรงผลักดันของทั้งอเมริกาและโซเวียตคือการไปดวงจันทร์ด้วยตัวคนเป็น ๆ ทำไมต้องทำเรื่องที่ทำให้ทุกอย่างช้าลงและ "สมเหตุสมผล" ในขณะที่สองชาติมหาอำนาจกำลังแข่งขันอวกาศดุเดือดมาก เพราะคุณเลือกที่จะมองข้ามวัตถุประสงค์แรกเริ่มของโครงการ Apollo ตั้งแต่แรกแล้ว นั่นคือ "การส่งคนไปดวงจันทร์เป็นชาติแรก" แค่นั้นเลย มันคือ Hype Train ที่ทั้งสองชาติมหาอำนาจพยายามสร้างเพื่อเชิดชูเกียรติและทำให้คนในชาติภาคภูมิใจ ไม่ได้มีอะไรเกินไปกว่านั้น และนั่น
ทั้งนี้ Luna 3 ของโซเวียตเองก็ถ่ายภาพมาเบลอมาก ถ้า Apply ตรรกะเดียวกับที่คุณใช้อยู่ คุณจะบอกว่าภาพจาก Luna 3 เป็นของปลอมหรือเปล่า เรามีแค่ไม่กี่ภาพด้วยนะ
หลักฐานมันมีมากเกินพอที่จะพิสูจน์ได้เกินกว่าที่จะพิสูจน์เรื่องนี้อยู่แล้ว และในงานวิจัยต่าง ๆ คุณจะได้เจอกับการสรุปจากหลักฐานไม่กี่ชิ้นที่ผ่านการประเมินเชิงคุณภาพที่ต้องใช้วิจารณญาณของคนอยู่เป็นประจำ และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมถึงต้องมืคนมากกว่า 1 คนมาประเมินคุณภาพของงานวิจัยและไม่ใช่จากเจ้าของงานวิจัยเอง เรื่องนี้ก็เช่นกัน หลักฐานที่ทุกคนหยิบขึ้นมาในคอมเมนต์นี้เองไม่ได้มีแค่ 1 หรือ 2 ด้วย มันมีมากมายก่ายกองเลย แล้วแต่ว่าคุณอยากจะหามันหรือเปล่า อย่างที่ไม่ได้มาจากอเมริกาเจ้าของต้นเรื่องก็มีแบบล้น ๆ แต่ถึงกระนั้นคุณก็เลือกที่จะไม่เชื่อ "หลักฐานอื่น" จาก "กลุ่มบุคคลที่ไม่ได้มีเอี่ยวกับอเมริกา" (รวมไปถึงชาติศัตรู) ซึ่งก็สามารถสรุปได้ทันทีว่าคุณเลือกจะอยู่กลุ่มเดียวกับกลุ่มที่สร้าง Echo Chamber มาตั้งแต่แรก ซึ่งกลุ่มนี้ก็เรียกได้ว่าเป็นกลุ่ม "ชนกลุ่มน้อยเสียงดัง" ที่ตั้งใจปั่นเรื่องการไปดวงจันทร์เป็นของปลอม เรื่องคนไม่เชื่อมันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วบนโลกอินเทอร์เน็ต แต่มันจะเป็นอีกเรื่องทันทีถ้าเรื่องนั้น ๆ เป็นเรื่องที่ได้รับการพิสูจน์โดยองค์กรวิทยาศาสตร์ ที่ไม่ได้ขึ้นตรงต่อกลุ่มที่อ้างหลักฐานนั้นขึ้นมา ถ้าคุณเลือกที่จะไม่เชื่อองค์กรเหล่านี้ คุณก็ต้องหาวิธีการที่ดีกว่าในการพิสูจน์หรือโน้มน้าวให้คนคล้อยตามได้ ซึ่งกลุ่มไม่เชื่อเรื่องการไปดวงจันทร์ไม่สามารถทำแบบนั้นได้เลย ได้แต่แค่พูดถึงสมมติฐานนั่นนี่นู่น อ้างถึงความไม่ชัดเจนของหลักฐานแบบไร้ข้ออธิบายไปเรื่อย ๆ แบบนี้แหละ และก็จะได้พบกับการตอบกลับโดยกลุ่มที่มีหลักฐานที่ได้รับการพิสูจน์แล้วไปเรื่อย ๆ การที่คุณเคลมว่า "ผมไม่ได้เป็นคนเดียวที่คิดถึงเรื่องนี้อยู่แน่ ๆ" จึงไม่มีน้ำหนักแต่อย่างใด เพราะคุณใช้ประโยคนี้กับเรื่องที่ได้รับการพิสูจน์เรียบร้อยแล้ว
สุดท้ายนี้ ผมยังยืนยันเหมือนเดิมตามคอมเมนต์ที่ผมพิมพ์ไว้ด้านล่าง ว่าคนที่ตั้งคำถามกับการไปดวงจันทร์ไม่ใช่คนโง่ การตั้งข้อกังขาอย่างสมเหตุสมผลเป็นหนึ่งในวิธีการที่เราจับผิดเรื่องเท็จมาหลายต่อหลายครั้ง เพียงแค่ว่าครั้งนี้คุณไม่ได้อยู่ในกลุ่มนั้น การที่คุณบอกว่า "ผมไม่เชื่อเรื่องนี้" ก็เช่นกัน ยกเว้นว่าการที่คุณตอบคอมเมนต์ในลักษณะแบบนี้ก็ไม่ต่างกับการสร้าง Echo Chamber น่ารำคาญที่ไม่มีหลักฐานรองรับ และสร้างความเข้าใจผิดไม่ต่างจากข่าวโคมลอย
[[[Logic คุณพังตั้งแต่ไม่เชื่อภาพถ่ายเบลอ ๆ แล้วไปเทียบกล้องถ่ายแบบคนถือได้กับกล้องดาวเทียมแล้ว]]] <-
อันนี้คุณไปอ่านท่อนใใหนมาถึงบอกว่าผมเอากล้องดาวเทียมไปเทียบกับกลั้องคนถือ
เอาจริงๆผมก็อ่านเค้าวิเคราะห์ทั้ง2ฝั่งนั้นแหละ มันก็มีเหตุผลทั้ง2ฝั่ง ซึ่งมันก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะเชียร์ฝั่งใหนแบบที่คุณพูด เชียร์ฝั่งใหนฝั่งนั้นก็จะมีน้ำหนักเหตุผลมากกว่า (คุณเองก็ตกอยู่ในวังวนนี้) แต่ใครหละจะตัดสินถูกผิดจริงๆ มันก็เหมือนเรื่องโลกร้อนนั้นแหละที่มีเสียงแตก มันมีความเป็นไปได้ที่เมกาจะโกหก (เมกาทำมาตลอด) (ผมไม่ขอพูดซ้ำ หาอ่านได้จากคอมเม้นก่อนหน้า และขอความกรุณาอย่าขยายส่วนนี้) และมีความเป็นไปได้ว่ากิจกรรมบนดวงจันทร์เกิดจากการ automated เพราะเทคโนที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์บนอวกาศค่อนข้างที่จะเป็นอะไรที่ใหม่มากๆในสมัยนั้น ทั้งๆที่ควรจะต้องมีการทดลองหลายๆอย่างและหลายๆปีก่อน และความล้มเหลวของโครงการอวกาศนาซ่าตอนนี้แสดงให้เห็นว่าเมกายังมีข้อจำกัดทางเทคโนโลยีบางอย่าง ซึ่งการอ้างงบประมาณนั้นฟังไม่ขึ้นเพราะหลายๆเทคโนมันคิดค้นมาแล้วมันไม่จำเป็นต้องใช้งบประมาณเท่าเมื่อก่อนอยู่แล้ว สิ่งที่เมกาต้องทำคือการปรับปรุงประสิทธิภาพของเทคโนให้ใหม่เท่าปัจจุบันแค่นั้นเอง ส่วนข้ออ้างการพัฒนาแบบยั้งยืนก็ส่วนหนึ่ง แต่ Artemis 1-3 มันยังเป็นการทดลองสิ่งที่เคยทำมาแล้ว มันยังไม่ใช่การทดลองใหม่และยังไม่ใช่การทดลองเพื่อการเดินทางไปกลับดวงจันทร์แบบ regularly หรือการตั้งถิ่นฐานแบบถาวร ดังนั้นคุณไม่ควรแก้ต่างให้ความล้มเหลวของโครงการนาซ่าตอนนี้หรอกครับเพราะฟังไม่ขึ้น ผมคงไม่สามารถทำให้คุณถูกใจได้ แต่ผมก็ไม่ใช่คนหัวรั้นซ้ายจัดขวาจัด ผมพร้อมจะเปลี่ยนความคิดถ้ามีหลักฐานที่หนักแน่นมากกว่านี้
อ้ะ ทบทวนความจำให้
...ภาพหลักฐานที่นำมาแสดงก็เป็นภาพเบลอๆทั้งๆที่เมกาสามารถถ่ายบนโลกได้ระดับเซ็นติเมตรตั้งนานแล้ว
ต่อให้คุณไม่ได้บอกว่าเป็นดาวเทียมตรง ๆ แต่ประโยค "ถ่ายบนโลก" มันสื่อได้ความหมายเดียว
โทษทีนะ ถ้าคุณเรียกว่าการใช้หลักฐานที่ได้รับการพิสูจน์แล้วคือการตกอยู่ในวังวน อย่างนั้นนักวิจัยอวกาศทั้งโลกก็ตกอยู่ในวังวนเดียวกันแล้วล่ะ ผมเองก็ขออยู่ที่นี่อย่างเต็มใจด้วย ต่างจากการใช้ความรู้สึกส่วนตัวว่ามันไม่น่าเชื่อถือ ภาพเบลอเอย เราพลาดมาหลายครั้งในครั้งนี้ฉะนั้นมันเป็นไปไม่ได้เอย ฯลฯ เอาจริงผมเองก็เป็นบ่อยนะ แต่พอดีผมเลือกอ่าน Paper ที่พิสูจน์มาแล้วมากกว่าที่จะวิเคราะห์เองเพราะการมานั่งเทียนเองผมก็ไม่สามารถตรัสรู้เองได้หรอก แต่ดูเหมือนว่าคุณสามารถทำได้นะ เก่งจัง
ต่อให้ห้ามผมก็จะทำ เพราะนี่คือตัวอย่างของการจับแพะชนแกะ ปัญหาโลกร้อนเป็นปัญหาที่ซับซ้อนมากและมันแล้วแต่ว่าใครจะอยากหยิบยกมุมไหนมาพูดและคุณอยากได้ Mob ฝั่งไหนมามากที่สุดเพราะแทบทุก Mob ต่างก็มีมุมมองที่ถูก อันดับแรก โลกที่ร้อนขึ้นจะไม่ทำให้คุณอยู่บนโลกไม่ได้อีกต่อไป เพราะโลกมีคาร์บอนจำกัด และโลกหาจุดสมดุลเก่งมากตราบใดที่วัฏจักรคาร์บอนยังดำเนินต่อไป (หลัก ๆ จากระบบบรรยากาศ และการเคลื่อนที่ของเปลือกโลก) การมีคาร์บอนน้อยเกินไปต่างหากที่จะทำให้โลกแห่งสิ่งมีชีวิตล่มสลาย ต่อมาคือการที่น้ำแข็งละลายจะก่อปัญหากับมนุษย์มากที่สุดเพราะพื้นที่มนุษย์หลายที่อยู่ใกล้กับทะเล ท้ายสุดคือสิ่งมีชีวิตต่างก็สูญพันธ์และเกิดสายพันธุ์ใหม่อย่างต่อเนื่องยู่แล้ว มนุษย์แค่เร่งให้มันเกิดเร็วขึ้น ทุกอย่างของปัญหาโลกร้อนคือมันกระทบกับมนุษย์ทั้งสิ้น มันจึงเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันได้หลายมุมมาก ต่างจากปัญหาคนไปดวงจันทร์มากเพราะคำตอบมันอยู่แค่ว่าไปจริงหรือเปล่าแค่นั้นเอง แต่พอดีคุณไม่เชื่อในหลักฐานที่ได้รับการพิสูจน์มาแล้วมันก็ไม่จำเป็นต้องพูดถึงต่อ ผมเล่นงานคุณอย่างเดียวน่าจะมีประโยชน์มากกว่า
ไม่ใช่แค่มีความเป็นไปได้ แต่คุณไม่รู้เลยว่ามันเกิดขึ้นมาหลายครั้งและล้มเหลวมาก่อนหน้านี้ก็หลายครั้ง และมีคนตายด้วย ระลึกให้ได้ก่อนว่าอเมริกาและโซเวียตแข่งกันด้านอวกาศกันหนักมาก ข้อผิดพลาดมักเป็นสิ่งแรก ๆ ที่ทั้งสองฝ่ายไม่อยากให้เราได้ยิน แต่หลักฐานมีให้เสมอ Apollo 13 ก็เช่นกัน ในบันทึกเอง ภารกิจนี้เกือบคร่าชีวิตนักบินทั้งหมดด้วยซ้ำเพราะข้อผิดพลาดระหว่างทางมีเยอะมาก มันไม่ได้ Sail Smooth เลยแม้แต่น้อย
ตั้งสติ และจับประเด็นให้ได้ก่อน จะพูดถึง Apollo หรือ Artemis หรือนาซ่า ผมยังไม่ได้พูดถึงสภาพของนาซ่าในตอนนี้เลยนะ และคุณยังแยกไม่ได้ด้วยซ้ำว่าการไปดวงจันทร์เพื่ออวดชาวบ้านแบบเงินไม่จำกัดแถมเกือบพานักบินทั้งหมดตายคาลำ กับการไปอวกาศอย่างยั่งยืน ปลอดภัย และเงินแทบไม่เหลือมันต่างกันยังไง ต่อให้ Artemis ล้มเหลวไปอีก 30 ปีผมก็ไม่แปลกใจเลย ดีด้วยซ้ำเพราะผมก็ไม่อยากให้มีโครงการผลาญเงิน/ชีวิตคนเล่นแบบ Apollo อีก
มันเหมือนว่าในโลกของคุณมันต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ใครไม่ได้คิดแบบนี้มันผิดหมด ส่วนตัวผมยังไม่ได้ปฏิเสธโครงการบนดวงจันทร์ 100% ถ้าคุณไม่หลอกตัวเองก็จะรู้ว่าโครงการส่งมนุษย์ไปดวงจันทร์มีความน่าสงสัยหลายอย่างในเรื่องเทคโนโลยีของมนุษย์บนอวกาศ และความล่าช้าของโครงการ Artemis2-3 ทั้งๆที่องค์ความรู้อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนเยอะ เราคุยกันมาหลายเรื่องหลายๆเรื่องคุณก็เข้าใจผิดไปเอง หลายๆคุณพยายามบิดเบือนหาว่าจับประเด็นไม่ถูกทั้งๆที่มีความเกี่ยวเนื่องด้วยกัน ผมไม่รู้ว่าเราจะถกเถียงกันไปอีกเท่าไหร่ ต่างคนต่างก็อ้างหลักการและมุมมองของตัวเอง แต่ผมบอกได้ว่าผมคงทำให้ถูกใจคุณไม่ได้ ผมมาที่นี่ไม่ได้มาบอกว่าโครงการอวกาศนาซ่าผิดอย่างไร แต่มาบอกว่าโครงการอวกาศนาซ่าน่าสงสัยอย่างไร และไม่ได้ให้ข้อมูลอะไรผิดๆอะไร หวังว่าคุณควรเข้าใจ และเคารพความเห็นซึ่งกันและกัน ผมเองก็ไม่เคยโจมตีคนที่ปฏิเสธแนวคิดผม ข้อพิรุธของโครงการอวกาศนาซ่ามีอยู่จริง มันถึงเถียงกันไม่จบทุกวันนี้ นี่คือสิ่งคุณไม่เคยเข้าใจมากกว่า
ไม่ได้บอกเลยนะว่าอะไรถูกผิด แค่ Debunk ความสงสัยที่ไม่สมเหตุสมผลของคุณก็เท่านั้น และถ้าผมหลอกตัวเอง คนทั้งโลกก็โดนหลอกเหมือนกัน ชาติอื่น ๆ ก็โดนหลอกเหมือนกัน รวมไปถึงชาติศัตรูที่มีเทคโนโลยีระดับเดียวกันในยุค 60s ด้วย แค่นี้มันก็ชัดเจนแล้วว่าใครหลอกตัวเองกันแน่ และผมไม่จำเป็นต้องเคารพความเชื่อไร้เหตุผลที่ส่งผลเสียต่อผู้ที่รับสารจากความคิดเห็นของคุณได้ และผมจะเคลียร์ประเด็นทั้งหมดตราบใดที่คุณยังตอบความคิดเห็นไปเรื่อย ๆ
เพิ่งบอกไปหมาด ๆ ว่าโครงการ Apollo คือการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำและเทคโนโลยีเดิมไม่สามารถนำมาใช้ได้ ยังจะติดหล่มความคิดอยู่อีกเหรอ และ Citation ไหนที่บอกว่าโครงการนี้ไม่จำเป็นต้องลงทุนเยอะ เพราะ Apollo หมดไป 250 พันล้านดอลลาร์ (Inflation Adjusted)
คุณสงสัยในสิ่งที่มีคำตอบทั้งหมดอยู่แล้ว และคุณไม่คิดที่จะรับมัน นั่นคือปัญหาของคุณ ไม่ใช่ปัญหาของคนอื่นที่จะต้องมาทำความเข้าใจ
คุณจะอ้างและยกเหตุผลลยังไงก็ได้ แต่คุณคิดว่าห้กล้างผมความคิดผมจริงๆได้แล้วเหรอ คุณอาจจะหยุดในบอร์ดนี้ได้ แต่ความสงสัยในโครงการอวกาศเมกายังมีอยู่ทั่วโลก(ย้ำนะครับทั่วโลก) และผมยังยืนยันว่าหลายๆคำตอบของคุณมันคิดไปเอง อะไรคือโครงการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ อะไรคือเทคโนที่พัฒนามาแล้วแต่นำกลับไปใช่ใหม่ไม่ได้ ฟังดูไม่เข้าท่าเหมือนกับว่าเทคโนโลยีต่างๆรวมถึงระบบ automation ต่างๆที่นาซ่านำไปใช้กับโครงการอวกาศอื่นๆนอกเหนือดวงจันทร์จะไม่ได้ใช้เทคโนพวกนี้จากโครงการ Apollo เลย อย่าอ้างเหตุผลนี้เลยครับ แล้วอย่าอ้างว่าหลังจบ Apollo แล้วนาซ่าจะไม่ลงทุนการศึกษาอวกาศอีกเลย ระบบเซ็นเซิอร์เปลี่ยนจาก analog มาเป็น digital โครงการสถานีอวกาศที่นาซ่าส่งมนุษย์ไปประจำทุกปี อย่าทำยังกับว่าเทคโนโลยีของโครงการพวกนี้นำไปใช้กับอะไรไม่ได้
ความสงสัยมีทั่วโลกจริงๆแหละ หลังยุคอินเตอร์เน็ตนี่ยิ่งมาซะด้วย เพราะเป็นพื้่นที่ที่ทำให้คนโง่เสียงดังได้
ทฤษฎีสมคบคิดส่วนใหญ่บนโลกตอนนี้ก็เกิดมายุคอินเตอร์เน็ตนี่แหละ
นาซ่าไม่เคยเหยียบดวงจันทร์ โลกแบน วัคซีนอันตราย 5G อันตราย อิลูมินาติ QAnon อะไรเทือกๆนี้อยู่ในเลเวลเดียวกัน
คนไม่ศึกษาก็คือไม่คิดจะศึกษาอยู่แล้ว เขาจะอยู่ใน echo chamber ของตัวเองตลอดไป
แทงผิดไปหน่อย
ตอนแรกทายว่า II จะเลื่อนไปปลายปี 2025 แต่นี่ไป 2026 เลย
ส่วน III คิดว่าไป 2027 อยู่แล้ว
เทคนิคเข้าโลกแบบใหม่ save เงิน สรุปปัญหาใหม่แทน
มีคนพยายามเตือนมาเป็นปีละ
https://www.youtube.com/watch?v=OoJsPvmFixU
ไม่น่าเชื่อว่าในเว็บที่มีแต่คนสายเทคโนโลยีขนาดนี้ ยังมีคนที่ไม่เชื่อเรื่องมนุษย์ไปดวงจันทร์อีก
การศึกษาไม่ช่วยอะไร ในมุมกลับ บางครั้งระดับการศึกษาทำให้คนมีอีโก้และคิดว่าตนเองฉลาดกว่าคนอื่นเลยกล้าแทงสวน เพื่อนคนไอทีของผมบางคนจึงกลายเป็นสลิ่มนับสิบปี ทุกวันนี้ยังไม่หาย
การตั้งคำถามกับเรื่องใหญ่ระดับมนุษยชาติแบบนี้เป็นสิ่งที่ดี และมันก็ช่วยทำให้เราสามารถจับผิดเทคโนโลยีลวงโลกได้หลายครั้งแล้ว (อย่างเช่นกรณีของ Theranos) เพียงแต่ว่าก่อนที่เราจะตั้งคำถาม ก็ควรให้คำถามที่ตั้งขึ้นมีความสัมพันธ์กันเองก่อนที่จะเชื่อมไปยังปัญหาของเรื่องนั้น ๆ
ดีที่ว่าเรื่องไปดวงจันทร์นี้เรามีคำอธิบายเกี่ยวกับคำถามต่าง ๆ ของเรื่องนี้อยู่เพียบเลย ซึ่งถ้ายังมีคำถามอีกก็คือต้องเช็กคำถามตัวเองดี ๆ แล้วว่า มัยเคยถูกตอบไปแล้วหรือยัง หรือว่าคำถามที่เราตั้งขึ้นสมเหตุสมผลหรือไม่
ผมว่ามีไม่กี่คนหรอกครับในนี้ น่าจะปล่อย ๆ ผ่านได้ แปลกใจว่าทำไมมีคนไปพยายามอธิบายเค้าเยอะจัง คนไม่เชื่อ หลักฐานเห็นจะ ๆ อยู่ตรงหน้าก็ทำเป็นมองไม่เห็นแหละ ปล่อยไปก็ไม่น่าเป็นอะไรนะไม่ได้อันตรายอะไรกับสังคมขนาดนั้น คนเรามีสิทธิ์ที่จะเชื่ออะไรแบบไหนก็ได้แค่อย่าเอาความเชื่อผิด ๆ ไปฝังหัวคนอื่นเท่านั้นเอง เชื่ออยู่คนเดียวเงียบ ๆ ไป อันนี้ไม่เท่าไร ไอเรื่องโลกแบนเนี่ยสิหนักกว่านี้อีก ยังมีคนเชื่อเลย อย่างฮา
ทฤษฎีสมคบคิดพวกนี้เป็นจุดเริ่มต้นของหลายๆอย่างครับ ผมเห็นมาหลายคนแล้ว
ไม่เชื่อว่านาซ่าไปดวงจันทร์ ไม่เชื่่อใจอเมริกา ไม่เชื่อข่าวกระแสหลัก ไม่เชื่อวัคซีน ไม่เชื่อเรื่องโลกร้อน เชื่อว่าโลกแบน เชื่อว่ามีผู้คุมโลกนี้อยู่เบื้องหลัง ไม่เชื่อในกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ฯลฯ แนวคิดพวกนี้มันลุกลามต่อๆกันไปได้และมันอันตรายมาก
ผมที่คุยกับคนประเภทนี้มาเยอะแยะตั้งแต่สมัยเล่นพันทิปก็รู้ว่าเปลี่ยนคนพวกนี้ไม่ได้อยู่แล้ว
แต่สิ่งที่ทำคือเอาข้อมูลและเหตุผลมาโยนทิ้งไว้ ปัดตกข้อสังเกตประหลาดๆของทฤษฎีสมคบคิดไป เพื่อให้ใครก็ตามที่มาอ่านไม่มาคล้อยตามพวกสมคบคิดน่ะครับ
คุณเป็นคนที่อดทนดีมาก ผมจะข้ามไปไม่อ่านเลย