เมื่อโลกดิจิทัลเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น Digital Identity หรือ อัตลักษณ์ตัวตนดิจิทัล ก็ยิ่งมีความสำคัญมากกว่าเดิม เพราะมันคือสิ่งที่สามารถระบุตัวตนบุคคลใดบุคคลหนึ่งได้หากมีข้อมูลที่เพียงพอ ยิ่งถ้าตกไปอยู่ในมือผู้ไม่ประสงค์ดีก็ยิ่งสร้างผลกระทบให้กับบุคคลดังกล่าวได้อย่างมาก
ดังนั้นแพลตฟอร์มต่าง ๆ จึงเริ่มให้ความสำคัญด้านความปลอดภัยกับ Digital Identity มากขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดผลเสียกับผู้ใช้งาน แต่ก็ต้องแลกมากับความไม่สะดวกในบางประการ เช่น การยืนยันตัวตนที่ยุ่งยาก หรือหากยืนยันตัวตนผิดพลาดกว่าจะได้บัญชีผู้ใช้กลับมาก็ต้องเสียเวลานาน
จุดนี้เองจึงเป็นโอกาสทางธุรกิจที่ Sumsub ผู้ให้บริการระบบยืนยันตัวตนด้วยแพลตฟอร์มกลางจะเข้ามาตอบโจทย์ ซึ่ง Blognone มีโอกาสพูดคุยกับ Penny Chai รองประธานฝ่ายพัฒนาธุรกิจ (APAC) ของ Sumsub เพื่อให้ผู้อ่านได้รับรู้เรื่องราวของ Digital Identity และรูปแบบธุรกิจของ Sumsub ดังนี้
จากอัตลักษณ์ทางกายภาพสู่โลกดิจิทัล
Penny Chai เริ่มต้นโดยชี้ให้เห็นว่าในอดีต อัตลักษณ์ของบุคคลถูกผูกติดอยู่กับความเป็นจริงทางกายภาพ แต่เมื่อเข้าสู่ยุคดิจิทัล อัตลักษณ์ได้ขยายขอบเขต และเกิดเป็น Digital Footprint ผ่านการทำกิจกรรมต่าง ๆ บนโลกออนไลน์ ดังนั้นการมี Digital Identity ที่มั่นคง และสามารถพิสูจน์ตัวตนได้อย่างน่าเชื่อถือในโลกดิจิทัลจึงกลายเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง คล้ายกับการที่มนุษย์เมื่อเติบโตก็ย่อมมีอัตลักษณ์ทางกายภาพ ไม่ว่าจะเป็น การแจ้งเกิด หรือบัตรนักเรียน ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถใช้เพื่อยืนยันตัวตนได้
Digital Identity ที่มีประสิทธิภาพ ต้องมีความสามารถในการระบุว่าบุคคลดังกล่าวเป็นใครในพื้นที่ดิจิทัล คล้ายกับกรณีของเอกสารทางกายภาพ อย่างไรก็ตาม เมื่อ Digital Identity นั้นสำคัญ การเกิดขึ้นของกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลจึงเริ่มมีผลบังคับใ้ช้ และเริ่มไม่ให้แพลตฟอร์มต่าง ๆ ละเมิดในการเข้าถึง Digital Identity โดยไม่ได้รับอนุญาต คล้ายกับกรณีของการนำบัตรประจำตัวประชาชนไปลงทะเบียนเพื่อแลกของรางวัลโดยไม่คิดไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนว่าจะถูกนำข้อมูลส่วนบุคคลไปใช้หรือไม่
“ชื่อ และที่อยู่อีเมลเพียงอย่างเดียว ไม่เพียงพอต่อการพิสูจน์ตัวตนในโลกดิจิทัลที่เต็มไปด้วยการฉ้อโกงและการแอบอ้าง ดังที่เราได้ยินข่าวการหลอกลวงทางออนไลน์ที่มีผู้เสียหายจำนวนมากอยู่เสมอ Digital Identity ที่แข็งแกร่งจึงเป็นรากฐานสำคัญของการทำธุรกรรมออนไลน์ที่ปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นการธนาคาร การเข้าถึงบริการทางการเงิน หรือแม้แต่การซื้อประกันภัยต่าง ๆ ข้อมูลพื้นฐาน เช่น ชื่อ นามสกุล หรือแม้แต่สถานที่เดินทาง กลายเป็นข้อมูลสำคัญที่ต้องได้รับการยืนยันอย่างแม่นยำ”
Digital Transformation คือตัวเร่ง
Penny Chai อธิบายว่า Digital Transformation เป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้ Digital Identity ทวีความสำคัญยิ่งขึ้น การดำเนินชีวิตในโลกปัจจุบันจำเป็นต้องมีร่องรอยดิจิทัลเพื่อการติดต่อสื่อสาร การทำธุรกรรม และการเข้าถึงบริการต่างๆ สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ยิ่งเป็นตัวเร่งให้ความจำเป็นนี้ชัดเจนขึ้น เมื่อการปฏิสัมพันธ์ทางกายภาพถูกจำกัด การพิสูจน์ตัวตนออนไลน์จึงกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และสังคม
“ในระยะแรก การพิสูจน์ตัวตนออนไลน์อาจทำได้ง่าย ๆ เพียงแค่ชื่อผู้ใช้ และรหัสผ่าน แต่ในเวลาต่อมา เราตระหนักดีว่าข้อมูลเหล่านี้สามารถถูกคาดเดาหรือถูกโจรกรรมได้ง่าย การโจรกรรมบัญชีออนไลน์ และการแอบอ้างตัวตน (Identity Theft) กลายเป็นปัญหาที่แพร่หลาย ทำให้เราต้องพัฒนากระบวนการพิสูจน์ตัวตนที่เข้มงวดและต่อเนื่องมากขึ้น นี่คือที่มาของความพยายามในการสร้าง Digital Identity ที่เชื่อถือได้และปลอดภัย และนี่คือสิ่งที่ Sumsub มุ่งมั่นที่จะพัฒนา”
แม้ว่าการเข้าถึงบริการทางการเงินจะเป็นหนึ่งในประโยชน์ที่ชัดเจนของ Digital Identity แต่ Penny Chai มองว่าขอบเขตของมันกว้างขวางกว่านั้นมาก Digital Identity เป็นพื้นฐานสำคัญของการเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานของพลเมือง แต่ต้องควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้งาน การแบ่งปันข้อมูลต่าง ๆ ต้องอยู่ภายใต้กรอบของความยินยอมและความโปร่งใส เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในระบบของผู้ให้บริการต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงทาง Sumsub เอง
ตัวอย่างที่น่าสนใจของการใช้ Digital Identity
Penny Chai ยกตัวอย่างว่า หลายประเทศทั่วโลกได้เริ่มดำเนินการสร้างระบบ Digital Identity ของตนเองแล้ว เช่น ฐานข้อมูล Aadhaar ของอินเดีย ระบบ BBS ของออสเตรเลีย MyInfo ของสิงคโปร์ และ CPF ของบราซิล ประเทศเหล่านี้ตระหนักถึงความสำคัญของการมีฐานข้อมูลกลางที่น่าเชื่อถือสำหรับ Digital Identity ของพลเมือง ซึ่งในประเทศไทยจะมี ThaiID รวมถึง NDID ที่เป็นอีกตัวอย่างที่ดีในการประยุกต์ใช้
สำหรับกระบวนการพิสูจน์ตัวตนทางดิจิทัล (e-KYC: Electronic Know Your Customer) ที่คุ้นเคยกันดี เช่น การแสดงบัตรประชาชนและถ่ายภาพเซลฟี่เพื่อยืนยันตัวตนนั้น เป็นแค่จุดเริ่มต้น เพราะเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ายังสามารถตรวจสอบความมีชีวิต (Liveness Detection) และเปรียบเทียบใบหน้า (Facial Comparison) เพื่อป้องกันการปลอมแปลงได้อีกด้วย ซึ่ง Sumsub สามารถเข้าไปช่วยเหลือเรื่องนี้ได้ด้วยการร่วมมือกับรัฐบาลต่าง ๆ เพื่อรับหน้าที่ยืนยันตัวตน พร้อมตรวจสอบข้อมูลกับหน่วยงานรัฐ
“การทำแบบนี้ช่วยให้ผู้ที่เคยถูกกีดกันทางการเงินสามารถเข้าถึงบริการทางการเงิน, เปิดบัญชี, โอนเงิน หรือแม้กระทั่งกู้ยืมเงินได้ ถือเป็นการส่งเสริมเศรษฐกิจ และสร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้กับผู้ที่ไม่เคยมี Identity หรืออัตลักษณ์ใด ๆ มาก่อน” Penny Chai กล่าว พร้อมยกตัวอย่างปัญหาในการยืนยันตัวตนในปัจจุบัน เช่น ตัวระบบมีขั้นตอนที่ซับซ้อน รวมถึงทำให้ผู้ใช้เสียเวลา และสร้างผลเสียให้กับแพลตฟอร์มต่าง ๆ ที่ต้องการลูกค้ามาใช้บริการ
สร้างสมดุลระหว่างความปลอดภัย และความสะดวก
ตัวอย่างของความยุ่งยากมีจะเป็นเรื่องการซื้อสินค้าออนไลน์ ที่บางแพลตฟอร์มต้องขอข้อมูลบัตรประชาชนทั้งหน้า และหลัง รวมถึงการถ่ายภาพเซลฟี่เพื่อยืนยันตัวตน ซึ่งบางขั้นตอนบริษัทมองว่ามากเกินความจำเป็น ทำให้การสร้างสมดุลระหว่างความปลอดภัย และความสะดวกสบายจึงเป็นสิ่งสำคัญ ต้องพิจารณาว่าเมื่อใดควรมีขั้นตอนการยืนยันตัวตนที่เข้มงวด และเมื่อใดควรลดขั้นตอนลงเพื่อให้ผู้ใช้งานได้รับประสบการณ์ที่ดี
“แนวคิดของ "Reusable ID" เป็นอีกก้าวสำคัญในการพัฒนา Digital Identity แทนที่ผู้ใช้งานจะต้องทำการยืนยันตัวตนซ้ำแล้วซ้ำเล่าสำหรับแต่ละบริการ หากมีระบบ Reusable ID ที่ปลอดภัยและน่าเชื่อถือ ผู้ใช้งานจะสามารถใช้ชุดข้อมูลอัตลักษณ์ที่ได้รับการยืนยันแล้วเพื่อเข้าถึงบริการต่าง ๆ ได้อย่างราบรื่น ซึ่งจะช่วยลดความซ้ำซ้อนและประหยัดเวลาได้อย่างมาก Sumsub เองก็กำลังพัฒนาโซลูชันในลักษณะนี้ เพื่อให้การยืนยันตัวตนเป็นไปอย่างราบรื่นในหลากหลายภาคส่วนและข้ามพรมแดน”
สำหรับตัวอย่างของ Reuseable ID ที่ Sumsub จะให้บริการนั้นหากผู้ใช้งานเคยยืนยันตัวตนกับบริการหนึ่งของ Sumsub แล้ว เมื่อต้องการใช้บริการอื่นที่อยู่ภายใต้ Sumsub ก็ไม่จำเป็นต้องทำการยืนยันตัวตนใหม่อีกครั้ง ซึ่งจะช่วยลดความยุ่งยากและประหยัดเวลาได้อย่างมาก เช่น เมื่อผู้ใช้ยืนยันตัวตนกับบริษัท A ที่ใช้บริการของ Subsub และต่อมาต้องการใช้บริการของบริษัท B ที่ใช้บริการของ Sumsub เช่นกัน ก็สามารถใช้ข้อมูลเดิมได้ เพียงแต่มีการตรวจสอบเล็กน้อย เช่น ถ่ายเซลฟี่ว่าเป็นบุคคลเดียวกัน
ปลอดภัยตามหลักเกณฑ์การควบคุมข้อมูล
ทั้งนี้ข้อมูลที่ได้รับการยืนยันจะถูกเข้ารหัสและจัดเก็บอย่างปลอดภัยตามมาตรฐาน GDPR และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มั่นใจในความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของผู้ใช้งาน เพราะ Sumsub ในฐานะที่เป็นกลาง จะให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของข้อมูลและการปฏิบัติตามกฎระเบียบ เพื่อให้มั่นใจว่าข้อมูลของผู้ใช้งานจะได้รับการปกป้องอย่างดีที่สุด โดยปัจจุบัน Sumsub มีลูกค้าที่ใช้งานระบบ Reusable ID แล้วกว่า 1 ล้านราย และคาดว่าจะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคต
ขณะเดียวกันจากรายงาน Fraud Report 2024 ของ Sumsub พบว่า อัตราการฉ้อโกงทางตัวตนทั่วโลกเพิ่มขึ้นกว่าสองเท่าในช่วงปี 2021 ถึง 2024 และในปี 2024 การฉ้อโกงทางตัวตนมีแนวโน้มหลักคือ Democratization of Fraud ซึ่งหมายถึงการที่กลุ่มนักต้มตุ๋นสามารถก่อให้เกิดความเสียหายได้ถึง 2,500,000 ดอลลาร์สหรัฐภายในหนึ่งเดือน โดยใช้เงินทุนเพียง 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ และเกือบครึ่งหนึ่งของบริษัท (45%) และผู้ใช้งาน (44%) รายงานว่าตกเป็นเหยื่อของการฉ้อโกงทางตัวตน
สำหรับเอกสารที่ถูกปลอมแปลงมากที่สุดคือ บัตรประจำตัวประชาชน และใบขับขี่ของประเทศไอซ์แลนด์เป็นเอกสารที่ถูกปลอมแปลงบ่อยที่สุด ส่วนประเทศอาร์เจนตินามีอัตราการเติบโตของการฉ้อโกงสูงสุด (509%) ในขณะที่ประเทศโอมานมีจำนวนผู้สมัครที่เกี่ยวข้องกับเครือข่ายการฉ้อโกงมากที่สุด และประเทศเกาหลีใต้มีอัตราการเติบโตของการโจมตีด้วย Deepfake สูงที่สุด (735%) และ Deepfake ได้แทรกซึมเข้าไปในพื้นที่สำคัญ เช่น กระบวนการเลือกตั้ง