เมื่อเดือนเมษายน อิหร่านประกาศเตรียมตัดอินเทอร์เน็ต สร้างบริการอินทราเน็ตใช้ในประเทศภายในห้าเดือน ล่าสุดรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงไอซีทีของอิหร่านได้ประกาศเปิดตัวเครือข่ายอย่างเป็นทางการแล้ว
หลังการประกาศไม่กี่ชั่วโมง รัฐบาลอิหร่านได้ทำการปิดการเข้าถึง Google Search และ Gmail ทันที พร้อมทั้งกรองข้อมูลจากบริการทั้งสองอย่างไม่มีกำหนด โดยประเด็นนี้ ISNA คาดว่าเป็นเหตุมาจากวิดีโอ Innocence of Muslims ที่เผยแพร่ใน YouTube ซึ่งสร้างความระส่ำระสายให้กับโลกมุสลิม แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่มีการยืนยันว่าเกี่ยวข้องกับจริงหรือไม่
ส่วนเครือข่ายอินทราเน็ตของอิหร่านมีแผนจะเปิดใช้จริงภายในเดือนมีนาคม 2013 นี้ครับ
ที่มา - Reuters
Comments
ก็ยิ่งแคบลงไปอีกนะสิ คราวนี้ รัฐบาลจะปลุกปั่นอะไรก็ทำได้สบายๆ เลย น่ากลัวเพิ่มขึ้นไปอีก
ก็ยังใช้ Bing กับ Hotmail ได้อยู่นะ เค้าปิดกั้นแค่ product ของ Google
จากที่ศึกษามาคนประเทศนี้น่ารักมากๆ เป็นประเทศนึงใน list นี่อยากไปเที่ยว
ส่วนเรื่องศาสนามันอ่อนไหว ผมเข้าใจ - -"
บ้านเราควรไปดูงาน เอาเป็นเยี่ยงอย่างครับ
pittaya.com
ที่เป็นอยู่นี่ชีวิตก็ป๊อบจะตายแล้วครับ
ทำอะไรก็เรื่องของเค้าเถอะครับ ประเทศนี้มันเป็นเอกเทศอยู่แล้ว ไม่รู้ป่าวนี้โครงการนิวเคลียร์ไปถึงไหนแล้ว
ผมเห็นด้วยกับเค้านะ เรื่องประเด็นนี้
เหรอครับ สมมติถ้าเปลี่ยนเป็นประเทศไทยเปิดอินทราเน็ตของตัวเอง แล้วกั้นช่องทางอินเตอร์เน็ตทั้งหมด คุณจะยังคงเห็นด้วยมั้ย?
religious right คือเรื่องแหกตาของการใช้ intolerance ครับ ศาสนาไม่ควรได้รับสิทธิอะไรเลยจากทางกฏหมายหรือทางสังคม นอกจากสิทธิในการถูกจำกัดให้เป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล ห้ามไม่ให้ใช้เกินกว่านั้น
สมัยก่อนนี่เป็นประเทศที่เปิดกว้างมากๆ เดี๋ยวนี้ทำไมเป็นแบบนี้ไม่รู้
สมัยก่อนระบอบกษัตริย์ครับ ค่อนข้างละเลยศาสนา เลยโดยกลุ่มเคร่งศาสนาล้มแล้วตั้งเป็นรัฐอิสลาม
ประเทศไทยก็มีคนอยากทำแบบนั้นอยู่ คงจะอิจฉาอิหร่านแย่เลย หึหึ
ถ้าคลิปแค่นี้ถึงกับระส่ำระสายก็คงจะ innocence จริงๆ ล่ะ
มันสะสมกันมามั้งครับ ความรู้สึกระหว่างชาวมุสลิมกับชาวคริสต์
clip มันแค่มาเปลี่ยนความโกรธแค้นให้กลายเป็นรูปธรรมขึ้นแค่นั้น
ก็พอจะเข้าใจที่มานะครับ แต่...โลกจะต้องเดินไปตามเส้นทางแห่งความขัดแย้งแบบนี้จนสูญสลายกันไปข้างจริงๆ เหรอ
ครับ
โลกเรามีวงจรคล้าย sine curve ที่ amplitude สูงขึ้นเรื่อยๆ แหละครับ
มีขึ้นย่อมมีลง มีคนได้ย่อมมีคนเสีย (ไม่งั้นจะได้มาจากใครล่ะ) และนิสัยมนุษย์ชอบพัฒนาตนเองให้สูงขึ้นเรื่อยๆ นั่นหมายความว่าย่อมมีคนต่ำลงเรื่อยๆ เช่นกัน จนสุดท้ายก็ บรึ้ม! กลายเป็นโกโก้ครั้นช์ กันหมดทุกคน
อันนั้นอาจจะเป็นมุมมองความรู้สึกของเราซึ่งรับรู้และอยู่กับเวลาเพียงแค่ไม่กี่ชั่วอายุคน
ผมมีข้อมูลบางอย่างจะให้ดูเกี่ยวกับ trend ของความรุนแรงที่มนุษย์กระทำต่อกัน เป็น trend ที่กินช่วงระยะเวลายาวขึ้นมาสักหน่อย และเป็นการเปรียบเทียบในรูปของเปอร์เซ็นต์ที่ประมาณการณ์หรือบันทึกจากข้อมูลจริง ไม่ใช่จำนวนสุทธิของรายงานความรุนแรงผ่านทางสื่อ
กราฟแรกเป็นร้อยละของจำนวนคนตายในสงครามเทียบกับจำนวนรวมของประชากรท้องถิ่น แท่งกราฟชุดแรกคือยุคก่อนประวัติศาสตร์ ชุดสองคือยุค hunter-gatherer ขุดสามคือยุคที่เริ่มมีเกษตรกรรมและชนเผ่า ขุดที่สี่คือยุคที่มีรัฐ
จะเห็นว่ายุคสมัยของเรา มีจำนวนคนตายในสงครามเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์น้อยกว่าเผ่าส่วนใหญ่ในยุคอดีต แม้แต่เผ่าที่ "สงบ" ที่สุดในยุคอดีตก็ทำได้ไม่ดีไปกว่ามนุษย์ยุคศตวรรษที่ 20 ขนาดในช่วงสงครามโลกที่มีคนตายหลักล้านหรือสิบล้าน เปอร์เซ็นต์คนที่ตายยังน้อยกว่าสงครามระหว่างเผ่าในยุคชนเผ่ากสิกรรมเสียอีก (อย่าลืมว่าเป็นการเปรียบเทียบเปอร์เซ็นต์)
กราฟที่สองเป็นร้อยละของจำนวน homicide (การฆาตกรรม) ต่อ ปี ต่อจำนวนรวมของประชากร 100000 คน ของประเทศยุโรปบางประเทศ ระหว่างปี ค.ศ. 1200-2000
จะเห็นว่ามันลดลงอย่างต่อเนื่อง มีกระตุกขึ้นบ้างในบางช่วงสั้นๆ ถ้าดูเผินๆ มันก็ค่อยๆ ลดลง แต่สังเกตดีๆ ครับ กราฟนี้เป็นกราฟ semilog แกนตั้งเป็น logarithmic scale นั่นคือแต่ละขีดห่างกันสิบเท่า! ขนาดผมที่คิดว่ามาตรฐานจริยธรรมของเรามีแนวโน้มสูงขึ้นมาตลอด ผมยังตกใจเลยเมื่อเห็นกราฟนี้ครั้งแรก เพราะผมไม่นึกว่ามนุษยชาติโดยรวมจะทำได้ดีขนาดนี้ในเวลาไม่กี่ร้อยปีที่ผ่านมา (และหวังว่าเราจะพยายามทำดีต่อไป ไม่ใช่ทำให้มันกลับไปแย่กว่าเก่า)
นอกจากข้อมูลพวกนี้ก็ยังมีหลักฐานอีกหลายอย่างที่ชี้ให้เห็นว่ามาตรฐานของเราดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก เอาเป็นว่าถ้าชาวบ้านในยุคศักดินาข้ามเวลามาโผล่ในยุคของเรา เขาจะตกใจมากที่ได้รู้ว่าเราสามารถเดินทางออกจากบ้านไปทำงานทุกวันได้อย่างสบายใจโดยไม่ต้องกังวลว่าจะถูกโจรฆ่าตายและไม่ต้องคอยห่วงว่าพี่สาวน้องสาวที่บ้านจะถูกอัศวินหรือขุนนางจับไปข่มขืน และเขาจะยิ่งตกใจกว่านั้นอีกเมื่อได้เห็นว่าผู้หญิงชาวบ้านธรรมดาก็ออกไปทำงานนอกบ้านเพียงลำพังในสถานที่เดียวกับผู้ชายต่างหมู่บ้านได้โดยไม่โดนข่มขืน
ภาพกราฟพวกนี้ผมตัดเอามาจากหนังสือของ Steven Pinker ชื่อ The Better Angels of Our Nature
อยู่กลุ่ม Atheist ใน Facebook รึเปล่าครับ? ถ้ายังก็ว่าจะชวนเข้าซะหน่อย
ไม่ครับ ผมไม่คิดว่ากลุ่ม atheist อันไหนๆ ของคนไทยเป็นประโยชน์สำหรับผม ปัญหาหลักของคนที่เรียกตัวเองว่าเป็น atheist ในประเทศไทย คือ ไม่สามารถโยงความสัมพันธ์ในการวิเคราะห์ศาสนา Abrahamic มาใช้กับศาสนา Dharmic (เช่น พุทธ) แม้แต่เรื่องผิดปกติที่เห็นได้ชัดเจน เช่น หลักสูตรวิชาพระพุทธศาสนาในโรงเรียน ผมก็ไม่เคยเห็นมี atheist ไทยคนไหนพูดหรือแม้แต่จะนึกถึง
การประกาศเป็น atheist มันดูเหทือนเท่ แต่มันไม่ยากเลยในบริบทไทยที่ศาสนา Abrahamic ไม่ใช่ศาสนาหลัก แทบไม่ต้องเผชิญอะไรเลยด้วยซ้ำ เพราะศาสนาพุทธก็เคลมตัวเองเป็น atheistic หรือ non-theistic อยุ่แล้ว
ที่สำคัญคือ atheist คนไทยเท่าที่ผมเคยคุยด้วย "อ่านหนังสือน้อยเกินไป" ซึ่งก็ไม่ต่างจากคนไทยส่วนใหญ่ เอาเข้าจริงผมว่า 90% ของคนไทยที่เรียกตัวเองว่าเป็น atheist ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเป็น atheist และศาสนามีปัญหาอะไรกับการพัฒนาวิทยาศาสตร์, สังคม, อำนาจรัฐ บ้าง
โอ้ววว สุดยอดครับ ผมเชื่อมาตลอดว่าคนปัจจุบันศีลธรรมดีขึ้นกว่าในอดีต ^^
อนาถอีกรอบ
Coder | Designer | Thinker | Blogger
จะได้ลง Guinness World Record ว่าเป็น intranet ที่ใหญ่ที่สุดไหมนะ ไม่แน่นะเขาอาจอยากมีอะไรที่เป็นที่สุดในโลกก็ได้!
เค้าคงไม่คิดเหมือนคนไทยมั้งครับ - -"