ผมได้รับโอกาสจากทาง Blognone ให้รีวิวเจ้า Dell Latitude E6430s ดูครับ ก็ต้องขอขอบคุณทาง Blognone ที่ให้โอกาสลองใช้นะครับ เป็นรีวิวครั้งแรกของผมด้วยถ้าผิดพลาดประการใดขออภัยมา ณ ที่นี้ครับ
ในฐานะที่เคยใช้ E6400 รุ่นพี่เป็นเครื่องหลักมาก่อน แต่ตอนหลังผมเปลี่ยนมาใช้ ThinkPad x220 ด้วยเหตุผลด้านน้ำหนัก ก็จะขอรีวิวเทียบกันกับทั้งเครื่องรุ่นพี่อย่าง E6400 กับ x220 ตัวประจำที่ผมใช้อยู่ในปัจจุบันด้วยกันเลย โดยทั้งสามตัวนี้อยู่ในตลาดผู้ใช้ในกลุ่มธุรกิจเหมือนกันครับ (จริงๆ ถ้าเทียบกับ ThinkPad รุ่นที่ชนกันตรงๆ น่าจะเป็น T430 ครับ)
เท่าที่ทราบมาโน้ตบุ๊ค Latitude E นี้ในประเทศไทยจะมีช่องทางในการจัดจำหน่ายเฉพาะกลุ่มลูกค้าองค์กรเท่านั้น ซึ่งก็เป็นมาตั้งแต่สมัย E6400 แล้ว คนที่อยากได้ก็จะอาจจะต้องฝากที่ทำงานซื้อ หรือไม่ก็เข้าเว็บชุมชนอย่าง ThaiDellClub ซึ่งมีคนมาปล่อยเป็นระยะๆ (เข้าใจว่าสั่งมาพร้อมกับองค์กรอีกที) ผิดกับทาง Lenovo ThinkPad ซึ่งมีขายตามหน้าร้านทั่วไป ไม่ต้องลำบากมากในการหา สำหรับสนนราคาค่าตัวของเจ้า E6430s รุ่นที่ผมได้รีวิวนี้ราคาตลาดอยู่ที่ประมาณ 35,000 บาท (ซึ่งอยู่ในระดับราคาใกล้เคียงกับ ThinkPad x series อีกด้วยครับ)
สาเหตุที่ค่าตัวมันดูจะแพงกว่าโน้ตบุ๊ครุ่นอื่นๆ ที่ขายกันอยู่ในปัจจุบันส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะระบบดูแลหลังการขายของลูกค้าองค์กรของ Dell และประกันเครื่องแบบ Complete Cover ที่ประกันแม้คุณจะทำเครื่องเป็นรอยหรือโดนน้ำก็ยังสามารถเคลมได้ และจากที่เคยใช้บริการพบว่าทาง Dell ก็ส่งช่างมาให้บริการถึงที่และไม่มีปัญหาในการเคลมเลย เรียกว่าเคลมง่ายกันมากๆ ซึ่งก็น่าจะเป็นจุดแข็งที่ทำให้หลายๆ คนยังมีความสนใจในเครื่องในรุ่นธุรกิจของ Dell อยู่
สเปคคร่าวๆ ของเครื่องที่ได้รับมารีวิวคือ (สเปคเต็มๆ สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามต้องการ และดูรายละเอียดได้จากเว็บของ Dell)
Latitude E series นั้นเปลี่ยนตัวถังล่าสุดเมื่อครั้งที่เปลี่ยนจาก E6410 มาเป็น E6420 ครับ ต้องยอมรับว่าตัวถังเดิมนั้นมีความเป็นเหลี่ยมมากกว่า อีกทั้งตำแหน่งของโลโก้ก็จัดวางอยู่ในมุมที่ดูดี ในขณะที่ตัวถังใหม่นั้นโลโก้ถูกจัดวางไว้ตรงกลางและมีวงกลมล้อมรอบ เข้าใจว่าเพื่อที่จะให้ดูเหมือนกับโน้ตบุ๊ครุ่นอื่นๆ ของเดลล์ แต่การทำแบบนี้ก็ทำให้ดูลดความเป็นมือโปรไปสัก 10%
จากรูปด้านซ้ายคือ E6430s ด้านขวาที่อยู่ข้างใต้คือ E6400 ครับ
อย่างไรก็ดีสำหรับวัสดุแบบ Tri-Metal ที่ประกอบไปด้วย Brushed Aluminium ที่ฝาหน้า, Magnesium Alloy ที่ขอบสีเงินของตัวเครื่อง และฝาหลังที่เป็น Magnesium Alloy เคลือบแบบด้าน ประกอบกับงานประกอบที่ต้องยอมรับว่าแข็งแรงและไม่มีเสียงกรอบแกรบแม้แต่น้อย ทำให้เมื่อได้ใช้มือจับแล้วก็รู้สึกถึงความแข็งแรงทนทานทีเดียว ก็พอจะชดเชยข้อเสียของรูปร่างภายนอกไปได้บ้าง สำหรับงานประกอบและวัสดุนี้เมื่อเทียบกับ ThinkPad x220 ที่ผมใช้อยู่แล้วผมขอให้เจ้า E series ชนะไปได้เลยครับ (ของแบบนี้ต้องลองจับดูเองด้วยนะครับ) อ้อ เนื่องจากตัวเครื่องเป็นโลหะทำให้บางครั้งเมื่อไม่ได้ต่อสายดินมีไฟดูดเล็กน้อยพอคันมือครับ
ส่วนเรื่องขนาดและน้ำหนักของตัวเครื่อง ต้องยอมรับว่ามีขนาดใหญ่และดูหนากว่าเครื่อง 13-14 นิ้วทั่วๆ ไป และน้ำหนักที่โฆษณาไว้ว่า 1.7 กก.นั้นก็ต่อเมื่อใช้แบตขนาดเล็กและไม่ใส่ DVD เท่านั้น ซึ่งในความเป็นจริงถ้าเราใช้แบต 6 เซลล์ที่มากับเครื่องพร้อมกับ DVD แบบเครื่องที่ใช้นี้จะได้น้ำหนักประมาณ 2 กิโลกว่าๆ ซึ่งก็นับว่าหนักกว่าโน้ตบุ๊คแบบ Ultrabook ที่เป็นที่นิยมกันมากพอควร (ทั้งนี้ยังไม่นับ Adaptor อีกซึ่งหนักประมาณ 300 กรัม)
ด้านหน้าของตัวเครื่องเลยจะพบกับที่เสียบการ์ด SD อยู่ตรงกลาง และมีรูระบายอากาศด้านข้าง
ด้านซ้ายของเครื่องมีพอร์ต VGA, ที่เสียบหูฟัง 3.5 มม., ช่องสำหรับเสียบ Smart Card (ซึ่งมีใน Latitude E6xxx แทบทุกรุ่น) และด้านล่างเป็นช่องสำหรับถอดฮาร์ดดิสก์ออกมาได้ครับ
ด้านขวาของเครื่องนั้นไล่จากด้านหลังก็มีพอร์ต Combo USB 2/SATA ตามมาด้วย USB 3 หนึ่งช่อง สวิตช์เปิดปิด Wireless, ช่องสำหรับเสียบ Express Card/34 หนึ่งช่อง และ Drive Bay ที่มี DVD มาพร้อมกับเครื่อง (สามารถซื้อ HDD หรือแบตเตอรี่เสริมมาแทน DVD ได้)
ส่วนด้านหลังเครื่องนั้นก็จะมีพอร์ต RJ 45 สำหรับเสียบ Gigabit LAN, Mini HDMI และอีกฝั่งเป็น USB 3 อีกหนึ่งช่อง และที่เสียบสายชาร์จ สำหรับแบตเตอรี่แบบ 6 เซลล์นั้นเวลาใส่แล้วมันจะดูยื่นๆ ออกจากตัวเครื่องหน่อยซึ่งทำให้ดูเทอะทะเล็กน้อย
โดยรวมแล้วโน้ตบุ๊คตัวนี้เสียบ USB ทั้งหมดได้สามช่อง (นับ Combo USB 2/SATA แล้ว) ซึ่งผมว่ามันน้อยไปนิดหน่อยสำหรับโน้ตบุ๊คแบบ 14 นิ้ว เพราะตัวเก่า E6400 นั้นสามารถเสียบได้ถึง 4 ช่องด้วยกันครับ และเมื่อเทียบสัดส่วนกับ E6400 แล้วพบว่าเจ้า E6430s นั้นมีความกว้างน้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัดครับ (ยิ่งถ้าใช้แบตเตอรี่ 3 เซลล์น่าจะยิ่งเห็นความแตกต่างเนื่องจากจะไม่ยื่นออกมาจากตัวเครื่องแบบนี้)
เทียบกันระหว่าง iPad2, E6430s และ E6400 ครับ
ที่เสียบสายชาร์จนั้นจะมาในรูปแบบทำมุมเอียงกับตัวเครื่อง ทำให้เวลาเสียบสายแล้วจะดูแปลกๆ เล็กน้อย มีโอกาสเสียบผิดได้เพราะไม่ได้ตั้งฉากกับตัวเครื่อง แต่ผมก็ยังไม่พบปัญหาในเบื้องต้น ที่ชาร์จ ที่ให้มากับเครื่องเล็กกว่าแบบบางของ E6400 ที่ผมมี โดยมีขนาดใกล้เคียงกับที่ชาร์จที่มากับ ThinkPad x220 ซึ่งมีขนาด 65 Watt เท่ากันครับ แต่ตอนนี้ไฟแสดงผลของที่ชาร์จนั้นย้ายกลับไปที่ตัว Adaptor แล้วไม่เหมือนกับตัวเก่าที่มีไฟขึ้นที่หัวเสียบทำให้รู้ได้ว่ามีไฟเลี้ยงในกรณีที่เราวาง Adaptor ไว้ไกลจากตัวเครื่อง
ฝาหน้าของเครื่องเป็นแบบพับขึ้นโดยไม่มีตัวขาล็อกซึ่งนิยมในช่วงหลังๆ โดยเราสามารถเปิดได้ถึง 180 องศา เท่าที่เปิดปิดก็ยังไม่พบว่ามีปัญหาใดๆ เปิดฝาได้ราบลื่นไม่มีสะดุด และตอนปิดก็ไม่พบว่ามีปัญหาฝาอ้าใดๆ ครับ อ้อ มีอีกอย่างที่เป็นข้อสังเกตเล็กน้อยคือเวลาเปิดฝาหน้าซึ่งมีรอยเว้าอยู่ตรงกลางนั้น จะมีโอกาสที่นิ้วโป้งไปสัมผัสกับกล้องของเว็บแคม อาจทำให้เป็นรอยได้ครับ
เมื่อเปิดฝาเครื่องเข้ามาก็จะพบกับจอขนาด 14 นิ้ว ซึ่งให้ความสว่างในเกณฑ์ดี ตัวจอนั้นเป็นแบบด้าน (matte) ซึ่งเป็นธรรมดาของโน้ตบุ๊คธุรกิจในการลดแสงสะท้อนจากตัวจอ และมีเว็บแคมอยู่ด้านบนเหนือจอภาพครับ
สำหรับบริเวณคีย์บอร์ดนั้นด้านซ้ายมือจะเป็นไฟแสดงสถานะของฮาร์ดดิสก์ แบตเตอรี่และ Wireless ด้านขวามือบนเป็นปุ่มเปิดปิดเครื่อง และมีปุ่มเพิ่มลดเสียง และปิดเสียงอยู่ด้านขวามือของคีย์บอร์ด
คีย์บอร์ดในตัวที่ผมได้ใช้นั้นเป็นแบบมีไฟส่องมาจากด้านล่าง (Back-lit) (จากประสบการณ์ในฐานะผู้ใช้ที่พิมพ์สัมผัสได้นั้นพบว่าแสงไฟคีย์บอร์ดนั้นจริงๆ แล้วแทบไม่จำเป็นเลยนอกจากเอาไว้ให้สวยงามเล่นๆ) ไฟจะดับเองเมื่อไม่มีการใช้งานคีย์บอร์ดครับ
สำหรับสัมผัสของคีย์บอร์ดนั้นพบว่าทำได้นุ่มนวลกว่าที่คาด ถึงแม้แป้นนั้นจะไม่ได้เป็นแบบ Chicklet ตามสมัยนิยม แต่ระยะห่างระหว่างคีย์และสัมผัสที่นุ่มได้ที่ของคีย์นั้นทำได้ดีทีเดียวครับ
ปุ่มต่างๆ บนคีย์บอร์ดนั้นอยู่ในแบบมาตรฐาน โดยมีปุ่ม Ctrl อยู่ด้านล่างซ้ายสุด และ Fn อยู่ถัดมาผิดกับบางรุ่นที่จะสลับกัน (ThinkPad x220 ที่ผมใช้อยู่มันสลับกันทำให้ใช้ไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ ถึงแม้ว่าจะปรับกลับใน Bios ได้ก็เหอะ) และนอกเหนือจากปุ่มเหย้าอย่าง F, J ที่มีพลาสติกนูนขึ้นเล็กน้อยเพื่อให้สะดวกแล้ว ปุ่มอย่าง ESC, Delete, ปุ่มกดลงล่าง ก็มีพลาสติกนูนขึ้นเล็กน้อยเหมือนกันทำให้เราไม่ต้องละสายตามาหาคีย์บอร์ดเท่าใดนัก
ข้อดีอีกอย่างของโน้ตบุ๊ค Dell คือเราสามารถกด Fn พร้อมกับปุ่มตัวเลขเพื่อพิมพ์ตัวเลยได้เลยโดยไม่ต้องกด Numlock ไว้ซึ่งทำให้สะดวกมากเวลาต้องพิมพ์เอกสารที่มีทั้งตัวอักษรและตัวเลขสลับกัน
นอกจากนี้เมื่อวางอุ้งมือลงบนคีย์บอร์ดแล้วตัวพลาสติกที่อุ้งมือก็ให้ความรู้สึกนุ่มนิดๆ (และอุ่นนิดๆ ด้วยจากตัวเครื่อง) ทำให้การพิมพ์บนคีย์บอร์ดของรุ่นนี้ได้ความรู้สึกดีทีเดียวเลยครับ
เครื่องนี้มาพร้อมทั้ง Pointing Stick และ TouchPad ตามแบบฉบับของโน้ตบุ๊คธุรกิจ สำหรับคนที่ใช้คีย์บอร์ดบ่อยๆ แล้วการมี Pointing Stick นี่ทำให้เราไม่ต้องเคลื่อนมือของเราออกมาเพื่อไปหา TouchPad เลย โดย Pointing Stick ของ Dell นั้นจะต่างจาก “จุกแดง” ของ ThinkPad ตรงที่มันจะเป็นตุ่มบุ๋มลงไปผิดกับตุ่มแดงที่นูนออกมาของ ThinkPad ครับ ซึ่งเท่าที่ใช้งานมาไม่แตกต่างกันเท่าไหร่นัก และใช้ได้ลื่นไม่มีปัญหาอะไร
ในส่วนของ TouchPad นั้นก็มีขนาดมาตรฐาน และสามารถใช้สองนิ้วแตะเพื่อเลื่อนได้ แต่คงไม่สามารถไปเทียบกันได้กับความลื่นของ Trackpad ของฝั่ง Mac ซึ่งผมคิดว่าส่วนหนึ่งนั้นมาจากตัว OS ด้วย
บริเวณด้านล่างขวามือของคีย์บอร์ดก็จะมีจุดแตะการ์ดแบบ RFID ซึ่งก็มีอยู่ตั้งแต่ E6400 เช่นกันครับ และแน่นอนสำหรับโน้ตบุ๊คแบบนี้ก็คงจะขาดกันไม่ได้สำหรับตัวอ่านลายนิ้วมือครับ แต่ไม่มีไฟแสดงผลว่ากำลังใช้อยู่แบบ ThinkPad ครับ
สำหรับโน้ตบุ๊คธุรกิจแล้วเชื่อว่าหลายๆ คนคงไม่ได้ซื้อกันที่ความสวยงามภายนอกแต่เพียงอย่างเดียว การปรับแต่งให้ตรงกับความพอใจน่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่โน้ตบุ๊คแบบนี้ยังคงขายได้อยู่ สำหรับ Dell E6430s นั้นก็ยังสามารถเข้าถึงตัวเครื่องด้านในได้จากฝาด้านใต้เครื่องครับ
ด้านใต้เครื่องนั้นก็จะมีช่องสำหรับเชื่อมต่อกับ Port Replicator เหมือนทั่วๆ ไป ซึ่งทำให้มีความสะดวกสำหรับคนที่ต้องย้ายเครื่องจากที่บ้านไปที่ทำงานบ่อยๆ ไม่ต้องมาถอดสายเสียบสายกันให้วุ่นวาย และยังสามารถเพิ่มพอร์ตให้ต่อออกจอได้ รวมถึงเพิ่มพอร์ตที่หาได้ยากจากโน้ตบุ๊คทั่วไปอย่าง PS/2, Serial และ Parallel Port อีกด้วย (น่าเสียดายที่ผมไม่ได้รับตัว Port Replicator นี้มารีวิวด้วยครับ) อย่างไรก็ดีเนื่องจากแบนด์วิธของสายเชื่อมต่อภายนอกที่มากขึ้น (เช่น USB 3 หรือ Thunberbolt) ที่มากขึ้นทำให้ผู้ผลิตหลายรายเริ่มจะเลิกใช้ Port Replicator หันไปใช้พอร์ตเหล่านั้นในการส่งข้อมูลแทน
ในการเปิดเข้าสู่ตัวเครื่องด้านในนั้น เราจำเป็นต้องไขน็อตสี่แฉกด้วยกันถึง 5 ตัว ซึ่งยุ่งยากกว่าในรุ่น E6400 ที่ไขเพียงแค่ตัวเดียวก็สามารถเปิดฝาหลังออกมาได้ทั้งแผงครับ
เมื่อเปิดฝาหลังออกมาแล้วเราจะพบกับแรมซึ่งอยู่บริเวณตรงกลางของเครื่องเลย ในเครื่องที่ทดสอบนั้นได้ให้แรม 2 GB มาสองแผง ทำให้ใช้เต็มสล็อต 2 อันที่มีอยู่ครับ
สำหรับมินิการ์ดที่มากับเครื่องนั้นมีเพียงการ์ด Wireless แบบครึ่งใบเพียงตัวเดียวครับ ทำให้เหลือช่องแบบเต็มใบและครึ่งใบอีกอย่างละช่องครับ
ฮาร์ดดิสก์ที่ให้มากับเครื่องทดสอบเป็น Seagate Momentus Thin ซึ่งเป็นแบบบาง (ความหนาของตัวฮาร์ดดิสก์เพียง 7 มม. นิยมใช้กับโน้ตบุ๊คขนาดเล็กมากกว่า) ความเร็ว 7200 RPM ความจุ 320 GB ซึ่งจริงๆ แล้วตามสเปคโน้ตบุ๊คตัวนี้สามารถใส่ฮาร์ดดิสก์ 2.5 นิ้วขนาดหนาได้ครับ
ระบบปฏิบัติการที่ให้มากับเครื่องที่ทดสอบนั้นเป็น Windows 7 Professional SP1 ซึ่งก็ทำงานเข้ากันกับไดรเวอร์ที่ให้มาได้ดีไม่มีปัญหาอะไรครับ
โปรแกรมควบคุมเครื่องที่มาพร้อมกันก็จะมีโปรแกรม Dell Access ไว้ดูแลด้านความปลอดภัยของตัวเครื่อง, โปรแกรม Smart Settings เป็นตัวตั้งโปรไฟล์ของเครื่อง, Dell Battery Information ดูข้อมูลแบตเตอรี่, Dell Backup and Recovery Manager สำหรับแบคอัพระบบ และโปรแกรมทดลองการใช้งานเว็บแคม
ในจุดนี้ผมมองว่าโปรแกรมที่ให้มาของ Dell นั้นยังคงด้อยกว่าของ ThinkPad เนื่องจากไม่มีโปรแกรมช่วยตั้งโปรไฟล์การเชื่อมต่อแบบ Access Connections ของ ThinkPad ที่อำนวยความสะดวกในการตั้งค่า IP, DNS, Proxy ให้อัตโนมัติได้เมื่อเราอยู่ที่ทำงานครับ
สำหรับการตั้งค่าใน Bios นั้นของ Dell จะใช้แบบกราฟฟิค ซึ่งสามารถใช้เม้าส์ได้ ในจุดนี้ผมว่าสะดวกกว่า ThinkPad ที่ใช้โหมดตัวอักษรครับ
ทางด้านประสิทธิภาพของตัวเครื่องนั้นผมได้ลองทดสอบด้วยการลง Microsoft Office 2013 Preview, Visual Studio 2012 Express พบว่าความเร็วอยู่ในเกณฑ์ดีครับ ไม่รู้สึกว่าหน่วงหรือช้าอะไรถึงแม้เปิดเอกสารหลายอย่างในเวลาเดียวกัน นอกจากนี้แล้วผมยังได้ลองลงเกมอย่าง Starcraft 2 (ซึ่งผมเชื่อว่ากลุ่มเป้าหมายน่าจะเล่นเกมอยู่บ้างแต่ไม่ได้เล่นเกม 3D โหดๆ) ต่อออกจอภายนอกความละเอียด 1920x1200 ปรับได้สูงสุดที่ Moderate ครับ ปรับสูงกว่านั้นจะเริ่มหน่วงแบบรู้สึกได้ อย่างไรก็ดีหากต้องการเล่นเกมหรือใช้โปรแกรม 3D หนักๆ ก็ควรสั่งการ์ดจอ Quadro มาใช้มากกว่าครับ
เนื่องจากโน้ตบุ๊ครุ่นนี้นั้นออกแบบมาสำหรับองค์กร จึงมีระบบดูแลความปลอดภัยของตัวเครื่องที่ค่อนข้างรัดกุม โดยระบบความปลอดภัยนั้นจะใช้งานร่วมกับชิป Trusted Platform Module ซึ่งจะปกป้องข้อมูลสำคัญไม่ให้ผู้ที่ไม่ได้รับอนุญาตสามารถเข้าใช้งานตัวเครื่องได้ โดยระบบนี้จะใช้งานร่วมกับโปรแกรม Dell Protection Access ซึ่งจะทำงานร่วมกับไบออส และวินโดวส์
เนื่องจากตัวเครื่องสนับสนุนการยืนยันตัวทั้งแบบใช้การพิมพ์รหัสผ่าน, การสแกนลายนิ้วมือ, การใช้การ์ดแบบ contact ที่มีตัวเชื่อมต่อสีทอง (แบบซิมการ์ด), และการ์ดแบบ RFID ทำให้มีความสะดวกในการยืนยันตัวมากทีเดียวครับ เจ้า x220 ที่ผมใช้งานอยู่นั้นยังมีแค่ตัวสแกนลายนิ้วมือเพียงอย่างเดียวครับ
นอกจากนี้ตัวซอฟต์แวร์ที่ใช้นั้นเมื่อตั้งค่าใช้การ์ดแบบ RFID แล้วสามารถที่จะใช้บัตรพนักงานที่เราใช้แตะเข้า-ออกงาน หรือเข้าที่จอดรถกันทุกวันนี้ในการอนุญาตผ่านเข้าใช้เครื่องได้เลย ซึ่งน่าจะสะดวกมากสำหรับผู้ใช้แบบองค์กร (เท่าที่ผมได้ลองสามารถใช้บัตรพนักงานของผมได้ แต่จะใช้กับบัตรที่มีการเข้ารหัสอย่างบัตรรถไฟฟ้าไม่ได้) และตัวอ่านลายนิ้วมือของเดลล์ผมว่ามันอ่านได้แม่นกว่าของ ThinkPad ที่ผมใช้อยู่ โดยของ ThinkPad ผมต้องสแกนโดยเฉลี่ย 4-5 ครั้งกว่าจะเข้าได้เนื่องจากมันอ่านแล้วขึ้น Bad Quality ตลอดในขณะที่ของ Latitude ผมสแกนครั้งเดียวก็ผ่านเลย
อย่างไรก็ดีสิ่งที่ ThinkPad ยังเหนือกว่าก็คือสามารถตั้งค่าให้ตัวสแกนลายนิ้วมือทำหน้าที่แทนปุ่มเปิดเครื่องได้ด้วย (คือถ้าสแกนถูกก็จะเปิดเครื่องพร้อมเข้าวินโดวส์ให้ทีเดียวเลยไม่ถามอะไรอีก) ซึ่งของ Latitude เรายังคงต้องกดเปิดเครื่องก่อน แล้วค่อยสแกนลายนิ้วมืออีกที ซึ่งทำให้เสียเวลานิดหน่อยครับ
ผมได้ลองใช้เครื่องตั้งแต่ตอนแปดโมงเช้าจนถึงสิบเอ็ดโมงโดยปรับหน้าจอสว่างสุด เปิดการใช้งาน Wireless LAN และใช้งานโปรแกรมเอกสารทั่วไปและเล่นอินเทอร์เน็ต พบว่าเมื่อถึงตอนสิบเอ็ดโมงแบตเตอรี่ก็ยังเหลืออยู่ประมาณครึ่งหนึ่งครับ และสามารถใช้งานต่อในช่วงบ่ายได้ถึงประมาณบ่ายโมงเครื่องจึงแจ้งเตือน ทำให้ได้ระยะเวลาทั้งหมดในการใช้งานประมาณ 5 ชั่วโมงซึ่งก็ไม่ต่างกับโน้ตบุ๊คอื่นๆ แต่ข้อดีของรุ่นนี้คือเราสามารถใส่แบตเตอรี่เสริมได้อีกสองก้อน (ก้อนหนึ่งแทน DVD และอีกก้อนใส่ที่ฐาน) ก็น่าจะเหมาะกับผู้ที่ต้องการใช้โน้ตบุ๊คที่สามารถเก็บแบตเตอรี่ได้นานๆ ครับ
กล่าวโดยสรุปแล้วเท่าที่ผมได้ลองใช้งานเครื่องนี้พบว่า Latitude ก็ยังเป็นตัวเลือกที่ดีอีกตัวเลือกหนึ่งของโน้ตบุ๊คธุรกิจ โดยเฉพาะกับผู้ที่เคยใช้ Latitude รุ่นเก่ามาก่อน เพราะอุปกรณ์บางอย่างเช่น Adaptor นั้นสามารถใช้ของเดิมได้
สำหรับความคุ้มค่านั้นถ้าเทียบกับวัสดุ การประกอบ และประกันที่ได้รับแล้วก็นับว่าไม่เลวทีเดียวครับ นอกจากนี้แล้วการที่เราสามารถแกะเครื่องออกมาเปลี่ยนอุปกรณ์ได้เองนั้นก็น่าจะถูกใจหลายๆ คน และอุปกรณ์เสริมอันหลากหลายที่มีให้เลือก(ซื้อ) ก็เป็นสิ่งที่หาได้ยากจากโน้ตบุ๊คทั่วๆ ไปครับ
สิ่งที่ชอบ
สิ่งที่อยากให้ปรับปรุง/ข้อสังเกต
Comments
ด้วยความเคารพ เห็นแวบแรกนึกว่าโน้ตบุ๊กซีรีส์ Inspiron
ความดุดันเคร่งขรึมเดิมๆ มลายสิ้น ...
ที่ทำงานใช้ Solution ของ Dell ครับ
ตอนนี้มีโครงการให้เปลี่ยนจาก Desktop มาเป็น Laptop ทั้งบริษัท ผมเลยคุยกับแผนกITขอรุ่นE6410ใด้มั้ยครับ
IT บอกว่ามีคนขออย่างงี้จะร้อยรายแล้ว เหตุผลเดียวกับที่reviewนั่นแหละครับ (-_-)
ดีไซน์ห่วย
+1 ตัวใหม่นี้จริง ตัวเก่าดูดีกว่า
ปล. ความรู้สึกส่วนตัว
โน้ตบุ๊คหรือเขียงค้าบเนี่ย
ตอนนี้ผมใช้ E5400 อยู่ครับ ผมยังรู้สึกว่าโครงแบบเก่ามันดูดีกว่าเยอครับ
+1024
โบราณมาก
ลืมใส่น้ำหนัก Adapter นะครับ
ช่างไฟสมัครเล่น (- -")
ใส่แล้วครับ ขอบคุณครับ
บริษัทผมใช้อยู่ครับ หนักและหนามากๆ แบกไปทำงานทีไหล่แทบหลุด
ผมว่าเป็นโน๊ตบุ้คกรรมกร มากกว่าโน้ตบุคธุรกิจครับ
+2048
เรียกซะเสียเลย 555
เดียวนี้เข้าไม่ทำปุ่มตัวเลขอยู่ด้านขาวมือแล้วเหรอ
ถ้าจอไม่ใหญ่ มันจะใส่ไม่พอครับ ต้องรุ่น 15" ขั้นต่ำ
กำลังมีโครงการจะปลดเจ้า E6410 อยู่เหมือนกัน แต่ดูทรงแล้ว ยอมแบกตัวเดิมไปก่อนดีกว่า
รูปร่างแบบนี้ไม่สวยเลยครับ อยากให้เปลี่ยนดีไซน์ = =
ที่ออฟฟิตผมใช้ DELL E6400 ก็เป็นสวยแบบปกติๆ พอมันหมดอายุไขก็ได้สั่ง DELL E5420 มาใช้ ตอนเห็นเครื่องแว๊บแรกแล้วแบบว่า ไม่มีความสวยเลย 90% ของคนในออฟฟิตบอกเลยว่าไม่สวยเลยสักนิด แล้วก็ได้มีการสั่ง DELL E6320 มาอีกเครื่องตอนโทรไปถาม sale เค้าบอกว่าหนัก 1.6 โล ผมก็แบบว่าโอเค เพราะคนที่จะใช้เค้าแบกคอมหนักๆไม่ได้ จะสั่ง LENOVO ให้แก Sale ก็ดูแลไม่ดี ไม่ทำ Quotation ให้สักที ก็เลยจัด DELL ไป พอมาถึงจริงๆ E6320 ล่อหนักไป 2.2 โล โอ้วมายก๊อด คนใช้บ่นกระจุย แต่ซื้อมาแล้วก็ต้องทำใจ
แต่ถ้าพูดถึงอุปกรณ์ภายในของเค้า ก็ต้องยอมรับว่าใช้ของดีจริงๆ HDD ใช้ WD Black หมดเลย แรมก็จัดเต็ม 4GB (แต่ Windows ที่ Office ให้ลงดันเป็น 32 bits ฮ่าๆ เห็นได้แค่ 3GB)
อีกเรื่องก็คือ บริการหลังการขายดีมากๆ พวกรุ่นหลังๆมัน cover ประกันมาให้หมดเลย ประกันแบตให้ 3 ปี ประกันนู่นนี่นั่น (โน๊ตบุ๊คใช้ปี2 ปี ยังไงแบตก็เสื่อม ได้เปลี่ยนแน่นอน ค่าแบตก็ 3xxx และ)
ปล. ผมไม่ได้มาโฆษณาให้ DELL นะครับ ผมชอบ DELL ตรงบริการหลังการขาย ส่วน LENOVO ก็ดีแต่ไม่ถึงที่สุด
ปล 2. ที่ทำงาน ตัวผมใช้ LENOVO เพราะผมไม่ชอบคีย์บอร์ด DELL กดแล้วไม่มันส์ = =
+1 ครับ
ประกัน Dell ดีจริง ส่วน lenovo Think ประกัน กากลงๆๆ เรื่อยๆ
แต่ชอบ design Dell latitude แบบเก่ามากกว่าหง่ะ สวยกว่าเยอะเลยครับ
หนักมาก ! ดูดีไซน์เเล้วเหมือนย้อนไปอีกเจ็ดปีที่
หนามากเลย
ขอบคุณคร้าบ เขียนอ่านง่ายดี
หนาไปนะ ไม่เหมาะกับการเปลี่ยนโน้ตบุ๊กของผม
Coder | Designer | Thinker | Blogger
ผมว่าเรื่องหนามันเป็นเรื่องปกติของรุ่นนี้อยู่แล้วครับ
โน๊ทบุ๊กธุรกิจก็ต้องการรูปทรงที่สวยเช่นกันนะคร้าบบ
แถมหนามาก..
ผมใช้อยู่นะครับ เป็น E6420 ขอบอกว่าเป็น 14 นิ้วที่ใหญ่และนักกว่ารุ่นนี้อีกครับ (E6430s คือการเอาเครื่องบอดี้ 13 นิ้ว มายัดจอ 14 นิ้วเข้าไป แต่ก็ใหญ่กว่าคู่แข่งอยู่ดี)
บอกข้อเสียก่อนเลยว่ามัน โครต หนัก มาก ใหญ่ เทอะ ทะ ด้วย
แต่ข้อดีที่ผมรักมันมากคือมันโครตทน ดูน่าไว้ใจที่จะเอาไปลุยด้วย และจากภาพโครงสร้างที่เห็น ผมก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเครื่องมันต้องหนาขนาดนั้น บวกกับวัสดุที่ดูแข็งแรงก็ทำให้อุ่นใจเวลาพกเครื่องไปไหนมาไหน เคยยัดใส่กระเป๋าแบคแพคแบบไม่มีอะไรป้องกันเลย เครื่องก็ยังไม่เป็นไร จอภาพยังสมบูรณ์ดี ถ้าเป็นรุ่นตลาดรุ่นอื่นนะเก็บเครื่องแบบนี้ป่านนี้จอช้ำไปแล้ว อีกเรื่องก็คือดูเสถียร เปิดข้ามวันข้ามคืนก็ไม่งอแง เครื่องระบายความร้อนดีทีเดียว
เรื่องความทน dell เองก็เคยสาธิตให้ดู ทั้งปล่อยตกจากที่สูง เอาน้ำราดคีย์บอร์ด เครื่องก็ยังรอด เห็นแล้วยิ่งอุ่นใจครับ บวกประกันดีด้วยมันก็ใช้ได้อย่างสบายใจมากๆ)
แว้บแรกที่เห็นคือ มันดูโบราณมาก (แต่จะว่าไป Thinkpad มันดูโบราณไม่ต่างกันอยู่แล้ว XD) แต่ถ้ามองในแง่ดีคือมันดูภูมิฐานเป็นผู้ใหญ่ครับ อย่างน้อยออกแบบไม่สวย แต่วัสดุนี่ดูรู้เลยว่ามีราคา เป็นรุ่นราคาแพง เพื่อนผมเห็นก็ยังบอกว่าดีไซน์ไม่สวยและใหญ่ไป แต่ยังดูกันออกเลยว่ามันใช้วัสดุดี ดูออกว่าเป็นรุ่นแพงจริงๆ (ถ้าเห็นตัวจริงแล้วจะไม่คิดว่ามันเป็น Inspiron แน่นอนครับ :P)
feeling ในการใช้นี่ประทับใจเลยครับโดยเฉพาะคีย์บอร์ด ผมเองเป็นคนเรื่องมากเรื่องคีย์บอร์ดอยู่แล้ว แต่มาจับรุ่นนี้นี่หลงรักเลย (ไม่เคยชอบ chiclet keyboard แบบ macbook เลยครับ ทำใจใช้ไม่ได้จริงๆ -"-) อีกอย่างถูกใจตรงที่วางปุ่ม Ctrl / FN ไว้แบบนี้ เพราะผมชินกับ layout แบบนี้ไปแล้วด้วย อย่างแผงข้างคีย์บอร์ดที่เป็นลักษณะคล้ายยาง ตอนแรกเห็นแล้วไม่ชอบเลย แต่พอใช้จริงแล้วให้รสสัมผัสที่ดีมากๆ ครับ ทำงานแล้วให้ความรู้สึกที่ดีจริงๆ
สเป็คที่ได้ก็ค่อนข้างพอใจพอสมควร รุ่นผมได้ Core i5 2520M 2.5GHz, 14" HD+ 1600x900, Quadro NVS4200M, RAM 8GB, HDD 500GB 7200RPM, Battery 6 Cell (อยู่ได้ 5-6 ชั่วโมงครับในโหมด Power Saver) ก็มี CPU กับ GPU ที่ง่อยไปบ้าง แต่อย่างอื่นจัดเต็มก็ถือว่าน่าพอใจ ในราคาที่ไม่ถึง 4 หมื่นดีแถม complete cover 3 ปีครบ ประกันเคลม HDD ไม่ต้องคืนลูกเก่า แถมได้กระเป๋า dell targus ด้วยอีก :)
คนที่ใช้จริงจังอาจจะต้องใช้ E6430 รุ่นขนาดปกติอยู่ดี เพราะตัวเลือกการ์ด Quadro มีให้เฉพาะรุ่นนี้ขึ้นไปนะครับ (เข้าใจว่าบอดี้แบบ E6430s ที่ไม่พอยัดการ์ดจอแยก) แถมพอร์ตต่างๆ ผมคิดว่ารุ่นขนาดปกติจัดมาให้ครบกว่า เต็มที่กว่า อย่าง USB เองนี่ก็ให้มา 4 รูเลย เท่าๆ กับ E6400 เดิมแหละครับ ที่เสียบชาร์จก็เป็นรูตรงๆ ไม่ได้เอียงเหมือนตัวในรีวิวนี้
ข้อดีอีกเรื่องสำหรับ Latitude E คือเรื่อง customize เครื่องได้นี่แหละครับ แกะฝาได้ง่ายด้วยโดยไม่หมดประกัน ผมเห็นหลายคนเอาเครื่องมาโม เปลี่ยนนั่นเปลี่ยนนี่ได้ แถมอะไหล่เพียบ ใครเป็น advance user แล้วอาจจะถูกใจ เพราะทุกวันนี้พวก laptop ที่จะจับมาโมนั่นโมนี่ได้เริ่มหายากทุกทีแล้วครับ ส่วนใหญ่ไปเน้นบางเบากันแล้ว
สำหรับ RFID ในการปลอดล็อกเครื่อง จะบอกว่าบัตร Airport link น่ะใช้ได้ด้วยนะครับ เอามาใช้ปลดล็อกเครื่องได้ เท่เลยครับ (ส่วนบัตร Rabbit, MRT แม้แต่บัตรประจำตัวผมเองใช้ไม่ได้ เข้าใจว่าเข้ารหัสบัตรกันหมด)
ความทนคือ priority แรกของผมแล้วครับ รองลงมาคือประกัน หลังจากที่จมทุกข์กับเห็ดผี DV2000 มาสามปี มาใช้เดลนี่จบเลยครับ ทนและประกันดี ..ต่อให้ไม่ว่าเครื่องจะใหญ่ จะไม่สวย ไม่เป็นไรผมรับได้หมด!!!
(แต่ยังไงผมก็ชอบดีไซน์ E6400-E6410 มากกว่าอยู่ดี!! สวยจบอยู่แล้ว ไม่รู้จะเปลี่ยนดีไซน์ทำม้ายยย ตอนแรกที่จะซื้อก็มีลังเลว่าจะเอาตัว E6410 ดีกว่ารึเปล่า แต่ยังไงรุ่นใหม่ย่อมดีกว่าแน่นอน อย่างน้อยตัวใหม่ตอนนั้นก็เป็น sandy bridge ก็เลยยอมเลือกตัวใหม่ไม่สวยไป แต่ก็เซ็งกับดีไซน์มันนะเนี่ย)
ผมเข้าใจ Priority ท่านดีมากเลยครับ ผมในฐานะหัวอกเดียวกัน แต่ที่แย่กว่าคือผมใช้ได้หนึ่งปีกับสองเดือนเอง (กับมูลค่าสี่หมื่นกว่า เครื่องแรกในชีวิต) เข้าใจเลยว่าใครที่เคยผ่านชะตากรรมเดียวกันนี้ ความทนและคุณภาพจะกลายเป็นปัจจัยแรกที่ติดสินใจเลือกซื้อโดยไม่เกี่ยงเรื่องราคา ขอแค่คุณภาพอย่างเดียว โดยส่วนตัวแล้ว ผมรอ Thinkpad E430U อยู่ แต่รอแล้วรอเล่าก็ไม่มาซักที Announce ตั้งแต่เดือนกุมภาฯ เปิดตัวในไทยเดือนกรกฏา เดือนนี้ตุลาก็ยังเงียบกริบ ตอนนี้รอไม่ไหวไปจบที่ Macbook Pro แทนแล้วครับ เครื่องความถึกไม่เท่าไหร่ ขอแค่มีคุณภาพดีใช้แล้วไม่อยู่ดีๆ เจ๊งก็พอ ซึ่งในใจผมวางใจแค่สองตัวเท่านั้นคือ Thinkpad กับ Macbook Pro ส่วนยี่ห้ออื่น ยังไงก็ไม่สนใจครับ (เข็ดและเสียหายมากจนทำให้พาลเกลียดยี่ห้ออื่นๆ ตาม)
โอ้ ขอบคุณที่ช่วยให้ข้อมูลเสริมครับ
มองดูแล้ว ThinkPad ที่ถึกๆ ดำๆ โบราณๆ มีเอกลักษณ์กว่าแหะ
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า Thinkpad กำลังถูกเปลี่ยนแปลงเอกลักษณ์ จนในที่สุดก็อาจไม่เหลือความเป็น Thinkpad ก็ได้นะครับ
ดีไซน์ ดูเรียบๆ น่ะ
ติดอย่างเดียว... หนัก -_-'
ผมยังใช้งาน E6400 อยู่ครับ (เครื่องที่ใช้อยู่นี้แหละ) ผมค่อนข้างแฮปปี้มาก แม้ว่าตอนซื้อในยุคนั้นแพงพอสมควร (37,000 บาทจาก ThaiDellClub ซึ่งถือว่าถูกกว่าสั่งเองพอสมควร)
จนผมเห็นเครื่อง E6430 ผมยังรู้สึกว่าเครื่องผมยังปึ๋งปั๋งอยู่เลย (แม้ว่าแรมจะเป็นแค่ DDR2 และซีพียูกลางๆ ค่อนล่างไปหน่อยก็ตาม) แต่ปัญหาตั้งแต่ผมเจอมาในช่วงสามปีกว่าคงไม่พ้น
อ้าว กลายเป็นบ่นยาวเลยแฮะ
dell ถอยหลังลงเหวชัดๆ ยิ่งกว่าก้อนอิฐของ CEO hp อีก นี่มัน Barrier ชัดๆ
Dell สายคอมซูเมอร์บางๆ น่ารักๆ ก็มีเยอะครับ พวก Inspiron ทั้งหลาย ส่วนตัวนี้เป็นสายเอนเตอร์ไพร์สเลยออกแนวถึกๆ ครับ
ดูไปดูมา ไอ้ E4300 สีน้ำเงินที่ผมใช้อยู่ ยังสวยกว่าอีกนะ (ไม่รู้ลำเอียงเปล่า) อิอิ
ตอนแรกผมก็สนใจ Latitude นะครับแต่ พอเห้นเพื่อนๆหลายคนใช้แล้ว รู้สึกจะผิดหวัง ไปตามๆกัน ตอนแรกกะจะย้ายจาก thinkpad ไปแล้วเชียว r61 ผมยังนิ่งกว่าเลย ^^
ป.ล. แอบชอบตรงที่ใส่ alt text ของรูปเป็นตัวเลขนะครับ คือถ้าไม่ได้จะใส่คำอธิบายรูปจริงๆ ใส่เป็นอะไรสั้นๆ แบบนี้ดีแล้วครับ เวลาอ่าน(ด้วย screen reader) แล้วมันสั้นดี ดีกว่าแบบที่ก็อบโค้ตมาจากพวกบริการเว็บฝากรูปแล้ว alttag กลายเป็นอะไรไม่รู้ยาวววๆ อ่านไปเจอแล้วมึนครับ ;D
@ Virusfowl
I'm not a dev. not yet a user.
ขอบคุณมากครับแก้แล้วครับ
ผมว่า E6400 Series นี่สวยมากเลยนะ
thinkpad เจ๋งกว่านะ