บริษัทวิจัย Juniper Research (ไม่เกี่ยวข้องกับบริษัทอุปกรณ์เครือข่าย Juniper) ปรับลดยอดประเมินการใช้ NFC ในปี 2017 จากเดิมตีมูลค่า 180,000 ล้านดอลลาร์ ลงมาเหลือที่ 110,000 ล้านดอลลาร์
เหตุผลสำคัญคือแอปเปิลไม่ได้ใส่ NFC ลงมาใน iPhone 5 ทำให้ความเชื่อมั่นของร้านค้าปลีกและแบรนด์ต่างๆ ต่อเทคโนโลยี NFC ลดลง โดยเฉพาะในภูมิภาคอเมริกาเหนือและยุโรปตะวันตก ที่แอปเปิลมีอิทธิพลมากที่สุด
ผลจากการที่แอปเปิลไม่ยอมใส่ NFC เข้ามา ทำให้สองภูมิภาคนี้มีอัตราการใช้งาน NFC ช้าไปกว่าปกติ 2 ปี นอกจากนี้ค่ายอื่นๆ ที่ผลักดัน NFC อย่าง Google Wallet และ ISIS ก็มีอัตราการใช้งานล่าช้ากว่าที่คาด
ส่วนภูมิภาคอื่นๆ ไม่ได้รับผลกระทบจากแอปเปิลมากนัก ตัวอย่างเช่นญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ที่เรียกว่าแทบไม่ได้รับผลกระทบเลย
ที่มา - Juniper Research via IntoMobile
Comments
ก็บอกแล้ว มันจะรุ่งจะพัฒนาให้ปลอดภัยหรือแพร่หลาย แอพเปิ้ลมีส่วนด้วย แต่ตราบใดที่เค้าแนวของตัวเองไม่สนใจใคร ผู้บริโภคที่เป็นแฟนบอยเค้าก็ทำใจได้ เง้ออออ
Apple เห็นคนยังไม่ค่อยใช้เลยไม่อยากลงทุนเปล่า
ผมว่า Apple เขาหลงทางไปทำแต่ passbook อยู่อ่ะเปล่า แต่ไม่เห็นมีใครใช้กันเลย แต่ผมว่า ยังไง NFC มันก็ใช้ง่ายกว่า Passbook
ถ้าจะบอกว่า NFC มันยังไม่แพร่หลาย แล้ว Thunderbolt นี้มีที่ไหนใช้กันบ้าง Apple ก็เลือกเอามาใช้ก่อนเพื่อน และหลายอย่างที่เป็นเทคโนโลยีในอนาคตที่มีแววเติบโตสูง Apple(ยุคSteve) ก็เลือกที่จะลงมาทำก่อนคนอื่น คราวนี้ผมว่าขาดวิสัยทัศน์อย่างแรงเลย
หรือถ้าจะบอกว่าเทคโนโลยี NFC ยังไม่พร้อม ก็มีหลายอย่างที่ Apple(ยุค steve) เป็นคนทำมันให้ดีพอ สำหรับพวกเรา ipad 1 ที่เปิด tap ได้แค่หน้าเดียวเพราะ ram ไม่พอ ทั้งที่ใน PC มันเปิดได้ที่ละหลาย tap ผมก็ถือว่ามันยังไม่พร้อมแต่มันก้าวหน้ากว่าเจ้าอื่น Apple ก็เลือกที่จะทำ
นอกจากว่าเขามีของที่ดีกว่า NFC ซ้อนอยู่ อันนี้ต้องติดตาม........
เฉพาะในด้านธุรกิจนี่นา
อย่าเพิ่งออกตัวแรงครับ เดี๋ยวจะเหมือนเรื่อง"ทำไมiPhoneไม่มีกล้องหน้า" จะเงิบแบบไปไม่เป็น
Apple เขาอินดี้ฮะ
Coder | Designer | Thinker | Blogger
ถ้ากระแส มันมาจริงจริงเดี่ยว Iphone ตัวต่อไปก็ต้องมีเองละครับแต่ดูแล้ว ปีนี้ยั่งไม่ค่อยบูมเท่าที่ควร
จากบริษัทผู้นำเทคโนโลยี การเป็นบริษัทที่ขวางการพัฒนาเทคโนโลยีแล้วสินะ...
จากบริษัทที่ผมหลงไหลที่สุด ตอนนี้เป็นแค่เกรียนในวงการ IT แค่นี้เอง
แค่ไม่ได้ใช้คงไม่ถึงกับขวางการพัฒนา, เกรียนหรอกครับ
...ไม่ทำอะไรตามใจเรา เเปลว่าเกรียนเหรอครับ?
NFC เป็นแค่ส่วนเล็กๆครับ ยังมีอีกหลายเรื่องที่ผมเซ็งมากกับบริษัทนี้ เมื่อก่อนชอบมาก เดี๋ยวนี้เบื่อขึ้นทุกวัน
แล้วตอนนี้หลงไหลบริษัทไหนอยู่ครับ
ไม่มีเป็นพิเศษฮะ อันไหนนวัตกรรมดีก็ชื่นชมกันไป
ถ้า Forstall อยู่ฝ่าย Hardware อาจจะมีมาให้แล้วก็ได้นะ lol
มองย้อนอดีต ส่วนตัวคิดว่า NFC จาก Apple มาแน่แต่ไม่น่าจะมาในแบบมาตราฐานที่สามารถใช้ร่วมกับแบบอื่นได้ ภาระจะตกไปอยู่ที่ผู้บริโภคกับผู้บริการที่ต้องถูกบังคับให้เลือกข้าง
NFC ในไทยมาแน่ฮะ ตอนนี้หลายๆเจ้ากำลังทดสอบระบบอยู่ (ผมลือเอง)
Google Walelt > Google Wallet
ผมอะเป็นคนนึงที่ไม่เห็นประโยชน์ของ NFC แม้ว่าการเชื่อมต่อที่รวดเร็วเพียงแค่การสัมผัสมันดีอยู่ก็จริง แต่ NFC ก็มีมาให้แค่มือถือราคาสูงๆ เท่านั้น ตลาดกลางอย่าได้หวัง ถ้าคิดดีๆ NFC มันต้องการสังคมผู้ใช้ ถ้าหากมี NFC แต่ไม่มีอุปกรณ์รับ(ในที่นี้มายถึง มือถือที่มี NFC ด้วยกัน) มันก็ไร้ความหมาย หรือไม่มีฐานผู้ใช้ที่ทำให้ทุกคนกระตือรือร้นในการใช้ NFC
แต่ก่อนเน็ตในมือถือก็ใช้ได้แต่คนมีกำลังซื้อ สมัยนี้ไม่ต้องแพงมากก็ใช้งานได้แล้ว การจะเห็น NFC บน มือถือ 4000 บาทผมว่าไม่ได้ไกลเกินไปเลยครับ ต่อไปมันคือมาตราฐานที่มากับเครื่อง ยกเว้นจะมีคนขวางซะก่อน
เอาเข้าจริง ผมว่า NFC นั้นเขาไม่ได้เล็งใช้เฉพาะระหว่างโทรศัพท์กับโทรศัพท์นะครับ ในญี่ปุ่นเชือก (พลาสติก) ที่ใช้มือคลองจับโหนบนรถไฟฟ้าเขามี NFC อยู่ แล้วบรรจุข้อมูลผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ไว้เพื่อการโฆษณา และบางประเทศที่จ่ายเงินอย่างร้านกาแฟ หรือขายตั๋วอะไรพวกนี้ เขาก็ใช้ NFC กันบ้างแล้ว เพราะมันสะดวก ปลอดภัย (เพราะระยะทำการไม่ไกลทำให้ปลอดภัยในเรื่องโดน hack จากระยะไกล
ส่วนที่ใช้ระหว่างมือถือกับมือถือนั้นก็เป็นอีกประเด็นสำคัญในการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เน้นความเรียบง่าย ไม่ต้อง pair เหมือน bluetooth ส่วนจะใช้แพร่หลายเมื่อไหร่มันขึ้นอยู่กับว่าเมื่อไหร่ตลาดมันจะเริ่มมีคนใช้เยอะมากขึ้น (จริง ๆ เรื่องตลาดมีมากกว่าแค่นี้) พอคนใช้เยอะสินค้ามีโอกาสผลิตในจำนวนมาก ๆ ก็จะถูกลง หลายบริษัทแข่งกันเข้ามาพัฒนา เข้ามาทำขาย มันก็ถูกลงมากเองครับ
เพจตัวอย่างผลงานถ่ายภาพ / วีดีโอ
คุ้น ๆ ว่า การชำระค่ารถไฟ ค่าตู้กดน้ำ และอื่น ๆ ในญี่ปุ่นที่ใช้โทรศัพท์จ่ายนี่ ก็เป็น NFC นะครับ (ไม่ค่อยแน่ใจ)
ผมว่ามันมีประโยชน์นะ เพราะว่าโทรศัพท์มือถือมันเอาออกมาง่ายกว่ากระเป๋าตังค์ 555
ที่ญี่ปุ่นผมว่า น่าจะเป็นมือถือมันอยู่ในมืออยู่แล้วมากกว่านะครับ ^ ^
แต่ในไทยก็แทบไม่ต่างกัน ขึ้น BTS เกินครึ่งจะมีมือถืออยู่ในมือ
บัตรรถไฟฟ้า BTS, MRT, บัตร711, บัตรเครเงินสด, บัตรสมาชิก ที่เป็น NFC เอามารวมกันใส่ในมือถือผมจะHappy มากเลย ตอนนี้กระเป๋าตุงไปด้วยบัตร (แต่เต็มไปด้วยหนี้ T_T)
แป๊บนะ เดี๋ยวแอปเปิลของคิดวิธีใช้งานในแบบของตัวเองก่อนค่อยทำออกมา
WiFi certified ไม่ดีกว่าเหรอ ปล่อยสัญญาณยิงกันโลด
แซมขายของได้เยอะกว่านี่ แถมมี NFC ด้วย... รอ Apple ทำไม..
ปัญหาคือ เปิด on NFC สูบพลังงานอย่างกะเครื่องยนต์ V8 ติดเทอร์โบครับ ผมว่าแอปเปิลกังวลเรื่องแบตเตอรี่มากเป็นพิเศษครับ ถึงไม่เอามาใส่ในไอโฟน 5
ผมว่าน่าจะเหตุผลนี้เป็นหลักแหละครับ
NFC ปัจจุบันสูบแบตมหาศาล ถ้าใส่มาในไอโฟน 5 อาจจะยังไม่เหมาะ
ถ้า Apple คิดค้น แบตที่ดีกว่านี้มากๆ ขึ้นมาได้ ก็คงเอามาใส่เอง
NFC มันสะดวกดี แต่ถ้าต้องเปิดและปิดเมื่อใช้งานมันก็ไม่สะดวกนัก
ก็เพิ่ม widget เอาไว้ toggle บน home screen ไงครับ อยากใช้ก็แท็บทีนึง
ส่วนใหญ่ก็ใช้แบบนั้นแหละครับ แต่ผมคิดว่า ถ้าจะสะดวกสบายมันต้องไม่มีการ toggle อย่าง รับสายโทรเข้า
หรือ notify email ก็ always on มันจะสะดวกกว่า การที่จะใช้ทีมาเปิดที
ผมมองว่างั้นนะครับ แต่จริงๆ แล้วมันเสียเวลาไม่กี่วิหรอก (แต่ส่วนตัว บ้า always on ไม่มีอะไรหรอกครับ แหะๆ)
เรื่อง email นี่ผมไม่ค่อยแน่ใจว่าเข้าใจในความหมายเดียวกันรึเปล่านะครับ
ต้องบอกว่า โชคดีที่ปัจจุบันมีระบบ push ทำให้ไม่เปลืองแบตเหมือนสมัยก่อนที่ polling เอา :D
NFC ใช้แบตน้อยมากครับ
คุณลองใช้แล้วหรือ อันนื้เถียงเลยครับ ผมเปิดออนไว้ไม่ถึงครึ่งวันแบตหมดแล้ว ไม่ใช้เครื่องใด ๆ ด้วย เปิดทิ้งไว้เฉยๆ ตอนผมได้เครื่องมาใหม่ ชาร์จแบตเต็มก่อนนอน เปิดทิ้งไว้ ตื่นเช้ามาเครื่องดับ มาเช็คเป็นเพราะเปิด nfc ค้างไว้
เอาล่ะ ใครมั่วกันแน่ รอฟังเสียงต่อไป อิอิ
ผมไม่มั่วแน่นอน หาข้อมูลในเน็ตได้เลยครับเกี่ยวกับ NFC บริโภคพลังงานสูง
ผมไม่ได้มีอุปกรณ์ชิ้นเดียวที่มี NFC นะครับ ล่าสุดที่ผมได้ Dev Alpha B ที่ได้จาก RIM มาใช้ทดสอบการพัฒนาแอพ วันแรกที่ผมได้เครื่องมา ผมก็ใช้จนแบตหมดแล้วทำการชาร์จจนเต็มแล้วก็ถอดสายเก็บ เข้านอน ตื่นเช้ามาเปิดเครื่องไ่ม่ขึ้นครับ แบตหมด ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ใช้อะไรวางทิ้งไว้เฉย ๆ อยู่ไม่ถึงเช้า มาตรวจสอบดูเป็นเพราะ NFC on พอมาตั้งเป็น off ก็ใช้งานได้ยาวนานครบวันได้สบาย เครื่อง Dev ที่ได้มา ผมไม่ได้ใส่ SIM นะครับ ใช้แค่ WiFi อย่่างเดียว พอเปิด NFC ยังสูบพลังงานขนาดนี้ ชาร์จแบตจนเต็มวางทิ้งไ้ว้เฉย ๆ อยู่ได้แค่ไม่เกิน 3-4 ชั่วโมงเครื่องดับแล้วครับ
อ่า ผมก็คิดว่ามันน่าจะกินแบตเหมือนที่คุณบอกแหละครับ แต่ยังไม่เคยใช้ก็เลยโพสไปแบบนั้น แอบกัดคนข้างบนด้วยฮ่าๆ เพราะดูจากที่เค้าโพสก็พอจะเดาได้เลยว่าไม่เคยใช้แน่ๆ เชียร์สุดลิ่มทิ่มประตูเชียว
Confirm
เป็นหนึ่งใน FAQ ของ Lumia 920 ตอนนี้เลยว่าแบตหมดไวต้องทำอย่างไรบ้าง
คำตอบแรกที่จะได้รับคือปิด NFC ซะ
แล้วลองมากับตัวแล้ว มันกินมหาศาลจริงครับ
เป็นความจริงรึ
จริงครับ การอ่านหรือเขียนข้อมูล NFC ใช้พลังงานน้อยมากครับ แต่การ "รอ" อ่าน ต้องคอยตรวจจับตลอดเวลานั่นแหละที่เป็นส่วนเปลืองพลังงานครับ
สรุปได้ว่าควรมีปุ่มเฉพาะไว้เปิดเป็นระยะเวลา 15 วินาทีก่อนกลับไปปิดครับ (- -)d
ผมว่าที่เขาบ่นว่ามันเปลืองแบต ทุกคนรู้ว่าประเด็นไหน ไม่เกี่ยวกับเรื่องอ่านหรือเขียนข้อมูลแน่นอนครับ เขาบ่นว่าเวลาเปิดสัณญาณ NFC มันสูบแบต
เดาว่าแอบซุ่มทำโมเดลธุรกิจสำหรับเจ้านี่อยู่ แน่นอนว่าคงกินส่วนแบ่งไม่มากก็น้อย
ใครว่า NFC บนมือถือไม่มีประโยชน์.. ;)
บัตรรถไฟฟ้า-บัตรเงินสดในฮ่องกง นามว่า Octopus (คนไทยชอบเรียกบัตรปลาหมึก) ทำแอพ OctoCheck ที่สามารถเช็ครายการใช้และยอดเงินที่เหลือในบัตรได้จากมือถือโดยตรงแล้วครับ
(เครดิตภาพ: คุณ ซูชิกะมิโซะ @ Pantip.com)
มือถือผู้โชคดีได้แก่
ใครมีมือถือเหล่านี้ และจะไปเที่ยวฮ่องกง อย่าลืมโหลดแอพนี้ไว้เลยครับ จะได้ไม่ต้องเอาบัตรปลาหมึกไปเช็คยอดเงินจากตู้แล้ว สามารถเช็คจากมือถือของตัวเองได้โดยตรงเลย จะได้รู้ว่าเงินเหลือเท่าไหร่ ใช้อะไรไปบ้าง ควรเติมเงินอีกเมื่อไหร่ เท่และไฮเทคสุดๆ
และผมว่าอีกไม่นาน เดี๋ยวบัตรกระต่าย-Rabbit ของบ้านเรา ก็คงทำตามด้วยแน่นอน
เป็นนิมิตรหมายที่ดี ที่เริ่มมีการใช้ NFC บนมือถือกันบ้างแล้ว อาจจะไม่นานเกินรอที่เราจะมีโอกาสได้เอามือถือแตะกับเครื่องอ่านบัตรในระบบรถไฟฟ้าโดยตรง เมื่อถึงวันนั้น คนใช้มือถือที่มี NFC จะกลายเป็นผู้โชคดีทันที
ค่ายไหนอินดี้ไม่ต้องไปรอหรอกครับ อย่าให้เค้าได้มีอิทธิพลกับทั้งวงการเลย ดูเจ้าพออินดี้ในอดีตอย่าง Sony ตอนนี้เป็นไง ใจป้ำติด NFC มาให้แทบจะทุกรุ่นเลย แถม Galaxy S3 คนก็ใช้กันเยอะแยะ ไม่ใช่ว่ามือถือ=แอปเปิลแหว่ง เสมอไป คนอื่นๆ ที่พร้อมและรอใช้เยอะแล้วครับ ในเมืองไทยมาเมื่อไหร่ผมก็พร้อมใช้เลยทันที
+1 แต่อย่างไรสาวกก็สีข้างจนถลอกอยู่ดี
Coder | Designer | Thinker | Blogger
แค่บริษัทเดียวเอง สัดส่วนก็นิดเดียว จะสนใจทำไม
เจ๋งไปเลยครับแบบนี้ ว่าแต่เมื่อไหน่ประเทศไทยจะอัพเกรดระบบเป็นแบบนี้เสียทีนะ (ครั้นจะซื้อ NFC เพื่อเอาไปใช้ที่ HK คงเกินเหตุไปหน่อย เชื่อว่าหลายๆคนอยู่ประเทศไทยครับ) ป่านนั้นมือถือที่มี NFC น่าจะขายดีขึ้นไปอีก.. พอดีเลย ปีสองปีก็คงเปลี่ยนมือถือกันแล้ว เชื่อว่าป่านนั้น NFC คงมีความ "สำคัญ" มากกขึ้น ในการประกอบการตัดสินใจซื้อโทรศัพท์สักเครื่อง ในกรณีที่ "ประเทศไทย" อัพเกรดระบบต่างๆให้รองรับ NFC.. ไม่รู้นะ บางคนชอบที่ปัจจุบัน NFC ติดมาด้วย แต่ผมยังเฉยๆอยู่ เพราะมีก็ยังไม่รู้จะเอาไปใช้กับอะไร คุ้มค่าแค่ไหน ณ ปัจจุบันในประเทศไทย
ปล. แต่ NFC มันเป็นเทคโนโลยีที่ดีมากๆ อยากให้พี่ไทยรองรับไวๆ
ผมว่าคงเพราะ iOS เอง ไม่สามารถส่งไฟล์ได้อิสระเหมือนแอนดรอยด์ แอปเปิลก็เลยยังไม่ใส่มา
Educational Technician
NFC จุดประสงค์มันไม่ได้อยู่ที่รับ/ส่งไฟล์เลยนะครับ - -"
ทำไมถึง "ลดยอดประเมินการใช้งาน NFC" เพราะ "iPhone 5 ไม่มี NFC"
แทนที่จะเปน "ลดยอดประเมินการขาย iPhone 5" เพราะ "ยังไม่มี NFC"?
อันนี้ผมฮา
Apple มี Passbook แล้ว เค้าคงไม่ง้อหรอกครับ NFC
ร้านค้าไม่ต้องลงทุนอะไรมาก แค่เครื่องอ่าน Barcode นิดหน่อย ก็ได้แ้ล้ว
บ้านเรานกแอร์ใช้ได้เรียบร้อยแล้ว รอ starbuck เมืองไทย กับ major
จะมาไหมนะ
ยอดการใช้ passbook เค้าก็ ok นะครับ คงยังไ่ม่ใช้ NFC ตอนนี้
สำหรับคนที่เข้าใจ apple ผิด apple ไม่ได้ดังด้านการเป็นผู้นำคิดค้นอะไรใหม่นะครับ
แต่ดังในด้าน การเอาของที่มีคนคิดค้นอยู่ได้ มีมาตรฐานแล้วระดับหนึ่ง
มาปรับปรุง และประยุกต์ใช้ให้ง่ายตามแบบ apple
ดังนั้น NFC apple น่าจะยังไม่สนใจ
ส่วนตัวผมว่า คนรู้จัก และการใช้งาน ยังอยู่ในวงแคบหรือเปล่า
ผม เพิ่งลองเล่น note2 และ ได้ tag nfc จากเพื่อนมา 3 อัน แล้ว หาโปรแกรมมาอ่านค่า ลองตั้งค่าให้มันเปิดปิดตั้งค่า ต่างๆในเครื่องดู
ก็รู้สึกว่าสะดวกดี แต่ iphone ไม่ค่อยเห็นการตั้งค่าผ่านการสั่งงานข้ามแอพสักเท่าไหร่
ซึ่ง อาจจะเป็นจุดนี้ ที่ ยังไม่เห็น nfc ในiphone5 ก็เป็นได้
หรืออีกเหตุผลนึงอาจจะเพราะ การ เอาไปใช้งาน ยังอยู่ในวงแคบ หรือเปล่า มีหลายคนที่ยังไม่รู้ว่า nfc มีไว้ทำอะไร
ประเด็นคือ NFC มันเป็น "มาตรฐาน" แล้วครับ หลายๆ ยี่ห้อเริ่มติดมาให้กับมือถือตัวเองแล้ว และ 2 OS ใหญ่อย่าง Android กับ WP8 ก็สนับสนุนเต็มที่
NFC ไม่ใช่เกิดมาแค่เพื่อการ "จ่ายเงิน" หรือ "ส่งไฟล์" อย่างที่หลายคนมอง แต่มันเป็นเทคโนโลยีพื้นฐาน เป็นแค่ตัวรับส่งข้อมูลระยะใกล้ ที่จะนำไปประยุกต์ใช้กับอะไรก็ได้ทั้งนั้น หรือใช้ร่วมกับอุปกรณ์อะไรก็ได้ในตอนนี้ที่ใช้เทคโนโลยีเดียวกัน เช่นตัวอ่านบัตรของระบบรถไฟฟ้า หรือแม้แต่ตัวอ่านบัตรตามจุดต่างๆ แม้แต่ร้านสะดวกซื้อ ซึ่งมันก็จะมีซอฟท์แวร์มารองรับการใช้งานอีกที แต่ที่แน่ๆ ถ้าซอฟท์แวร์มันรองรับ มันก็คุยกันได้หมด อันนี้ก็ว่ากันไป
การใช้งานจริงที่เราเห็นได้จากญี่ปุ่น มันก็พิสูจน์ได้แล้วว่ามันเวิร์คแค่ไหน ชีวิตคนสะดวกขึ้นแค่ไหน เอามือถือแตะประตูระบบรถไฟฟ้าได้ทันที ใช้แตะเงินจ่ายเงินในร้านสะดวกซื้อได้ทันที ใช้ทำธุรกรรมต่างๆ แทนบัตร contactless เดิมๆ จะได้ไม่ต้องพกบัตรให้เปลืองทรัพยากรและลำบากพกกันอีก แถมยังเอามาใช้แตะระหว่างมือถือเพื่อแลกข้อมูล หรือลูกเล่นอย่างการแตะ tag ต่างๆ มันเอาไปประยุกต์ใช้ได้อีกเยอะ เช่นต่อไปเข้าพิพิธภัณฑ์ ผู้ชมแตะที่วัตถุจัดแสดง แล้วอาจจะได้ข้อมูลของวัตถุนั้นๆ เก็บไว้ในเครื่องได้เลย
เหลือแค่ผู้ผลิตมือถือชั้นนำ ซึ่งผลิตมือถือที่อยู่ใกล้ชิดชีวิตเราทุกๆ คน จะผลิตมันออกมาสนับสนุนมาตรฐานนี้กันหรือไม่ มันจะได้เป็นที่นิยม และใช้กันแพร่หลายต่อไป Google, Microsoft และอีกหลายๆ บริษัทก็ช่วยผลักดันกัน เพราะรู้ว่ามันเป็นเทคโนโลยีที่สมควรจะเกิดและแพร่หลายเพื่ออำนวยความสะดวกกับเราทุกคนจริงๆ
แต่เผอิญว่าบริษัทผู้นำตลาดหน้าใหม่สุดอินดี้ มัวแต่เล่นตัวนี่สิ คงได้แต่คิดอยู่ว่าทำยังไงตัวเองจะครองตลาดมากที่สุด จะสร้างอาณาจักรของตัวเองยังไงให้ได้มากที่สุด ทำไงที่จะครองตลาดการจ่ายเงินมาไว้ที่ตัวเองมากที่สุด ..มาตรฐานอะไรช่างมัน
คุณเป็นผู้ใช้...คุณเลือกที่จะเป็น เลือกที่จะทำให้โลกดีกว่านี้ได้ครับ คุณเลือกเอง
ปล. ว่าไปถ้าพูดถึง Passbook นี่เป็นสิ่งที่น่าสนใจนะครับ มันทำตัวคล้ายๆ คูปอง ตั๋ว หรือบัตรสมาชิก ที่เสมือนเป็นบัตรนั้นจริงๆ ทั้งแสดงข้อมูล และมีบาร์โค้ดไว้ยืนยัน แอปเปิลทำไว้ก็ดีครับชีวิตสะดวกขึ้นอีกเยอะ แต่ผมว่ามันคนละบริบทกับ NFC อยู่ดี เพราะ NFC ประยุกต์ใช้งานได้หลากหลายกว่ามากๆ รวมถึงสามารถใช้รวมกับเครื่องอ่าน NFC ที่มีอยู่ตอนนี้แล้วเช่นระบบรถไฟฟ้า หรือระบบอะไรก็ตามที่ใช้กับ contactless card ที่ใช้กันแพร่หลายทั่วไป ไม่ว่าจะประตูกั้นเข้าสำนักงาน เข้าห้อสมุดมหา'ลัย ฟิตเนส ฯลฯ ไม่น่าจะเป็นข้ออ้างของแอปเปิลที่ว่าตัวเองมี Passbook แล้วจึงไม่ต้องติด NFC มาน่ะครับ
+1 ทำให้ผมเห็นภาพ และเข้าใจ NFC มากขึ้น
ประเ้ด็นคือ ถ้า NFC มันดีจริง เดี๋ยว Apple ก็ต้องคิดครับ
ผมแค่สงสัยว่า Apple ไม่ติด แล้วมาโดนประนามนี่น่าเกลียดไปนะครับ
มาหาว่าขัดขวางการเจริญโน่นนี่ซึ่งตลกมาก
ถ้ามันดีอย่างที่ว่าจริง ตอนนี้ตลาด andriod นี่ก็ใหญ่พอตัวแล้ว
แต่ผมยังไม่เห็น NFC ใช้อะไรได้จริงใน ตลาดไทยเลย
หรือว่าเป็นความผิดของ Apple อีก ผมว่าแบบนี้ไม่เป็นธรรมฮะ
เราควรต้องในเคารพในตลาดเสรี ใครอยากจะใส่อะไรก็ใช่มา
สุดท้ายตลาดมันก็จะ Drive ไปอยุ่ ไม่ใ่ช่ตลาดมันไม่ไปแล้วมาชี้นิ้ว
โยนแพะให้อีกฝ่ายหนึ่ง
ซึ่งผมยังไม่เชื่อว่า NFC ในบ้านเราจะมีการลงทุน
แค่ทำบัตรร่วม ทุกวันนี้ยังยากเลย แล้วจะเปลี่ยนบัตรร่วมมาเป็น NFC
จากที่เพิ่งลงทุนไปท่าจะยาก
NFC จะดีหรือไม่ดี ก็ขึ้นอยู่กับ NFC เอง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับใครจะใช้อะไร
ผมว่าบริษัีทต่างๆ เค้าก็ทำในสิ่งที่เค้าคิดว่าดี และเหมาะสมในการออกแบบและแข่งขัน
ถ้า NFC แข็งแรงจริง ยังไงก็หนีไม่พ้นฮะ
เราจะยกตัวอย่างต่างประเทศโดยเฉพาะญี่ปุ่นมาเทียบเคียงเรายาก
ดูอย่าง QR Code บ้านเรายังไม่ประสบความสำเร็จเท่าไหร่ในการใช้งานเชิงพานิชย์
ผมว่าไม่ ยุติธรรมอย่างแรงถ้าเราจะไปชี้ว่าไอ้นี่แย่เพราะแค่เค้าไม่สนับสนุนมันลงมา
+1
+2 แอนดรอยด์ออกจะยิ่งใหญ่จะสนใจส่วนแบ่งอันน้อยนิดทำไม
"หรือว่าเป็นความผิดของ Apple อีก ผมว่าไม่ยุติธรรมอย่างแรงถ้าเราจะไปชี้ว่าไอ้นี่แย่เพราะแค่เค้าไม่สนับสนุนมันลงมา"
ทั้งหมดเป็นความผิดของแอปเปิลอยู่แล้ว -,,-
+1 ครับ ผมเองก็อยากให้ Apple ติด NFC มา แต่ถ้าเขาจะไม่มีติดมาก็เป็นสิทธิ์ของเขา ผู้ใช้ก็จะหาวิธีแก้เองถ้าอยากใช้จริงๆ
ที่ญี่ปุ่นเลยมีเคส iPhone ที่เอาบัตร NFC เสียบได้ครับ เวลาใช้ iPhone จะได้ไม่โดนล้อ :P (ล้อเล่นนะครับ แต่เคส NFC มีจริงๆนะ)
Source: http://www.zdnet.com/7000005325/
2 ย่อหน้านี้ขัดแย้งในตัวมันเอง แม้คุณจะบอกว่า NFC สามารถทำได้หลายอย่างไม่ได้เกิดมาเพื่อแค่ "จ่ายเงิน" หรือ "ส่งไฟล์" แต่หน้าที่หลักที่หลายคนรวมไปถึงตัวคุณเองด้วยล้วนเกี่ยวกับการทำธุรกรรมและส่งถ่ายข้อมูลทั้งสิ้น 3 ใน 5 ตัวอย่างการใช้งานที่คุณยกมานั้นก็เป็นการทำธุรกรรม 1 ตัวอย่างเป็นการส่งถ่ายข้อมูลหรือแม้กระทั่งตัวอย่างสุดท้ายที่คุณบอกว่าเป็นหมวดหมู่การใช้ tag แต่อันที่จริงแล้วไม่ใช่เพราะตัวอย่างนี้ก็จัดเป็นการส่งถ่ายข้อมูลจาก device หนึ่งไปสู device หนึ่งอยู่ดี ยิ่งไปกว่านั้นตามหลักจิตวิทยาแบบงู ๆ ปลา ๆ ที่ผมมีนั้นยังตีความไปได้อีกว่าคุณเองลึก ๆ แล้วก็ให้ความสำคัญกับการทำธุรกรรมมากพอสมควรเพราะคุณหยิบยกการใช้งานแบบนั้นมาเป็นตัวอย่างแรกเลยด้วยซ้ำ
NFC นั้นเป็นเทคโนโลยีที่ดี เป็นอนาคตที่จะมาเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้งานในชีวิตประจำวันของคนเรา ในฐานะผู้บริโภคที่มองความต้องการและผลประโยชน์ของตัวเองเป็นหลักย่อมต้องคาดหวังความสะดวกสบายในการดำรงชีวิตที่ดีขึ้นกันทุกคน แต่การที่จะเอาแต่ความต้องการของตัวเองเป็นที่ตั้ง คิดว่าฉันต้องได้อย่างนั้นฉันต้องได้อย่างนี้ ถ้าใครให้ฉันไม่ได้แปลว่าคนนั้นมันแย่ ฉันอยากได้ถ้าใครไม่ได้อยากได้แบบฉันแปลว่าคนนั้นไม่มีเหตุผลดีแต่แถ ผมว่าคนที่คิดด้วยตรรกะแบบนี้ออกจะเห็นแก่ตัวเอาความต้องการของตัวเองเป็นศูนย์กลางเกินไป
หากเราลองมองย้อนว่าบริษัทหรือบุคคลอื่น ๆ ก็ต้องการผลประโยชน์สูงสุดสำหรับตัวเองเหมือนอย่างที่เราเองก็ต้องการ เมื่อต่างฝ่ายต่างก็ต้องการผลประโยชน์ของตัวเองสูงสุดแต่ผลสุดท้ายผลประโยชน์นั้นไม่ได้สอดคล้องกันทุกฝ่าย เราจะสามารถพูดได้เต็มปากหรือว่าการที่บริษัทนั้นกระทำแบบนั้นถือเป็นเรื่องผิด ? ผลประโยชน์ของคนเดินถนนคือความสะดวกสบาย ผลประโยชน์ของบริษัทคือเงิน แต่เรากลับพูดว่าบริษัทที่สนใจแต่เงินนั้นผิดเพราะมันขัดขวางความสะดวกสบายของคนเดินถนน ?
นี่ยังไม่นับว่านโยบายการทำงานของแต่ละบริษัทไม่เหมือนกัน การเปรียบเทียบบริษัทหนึ่งที่มีแนวทางการใส่ feature ลงไปในโทรศัพท์ให้มากที่สุดแล้วให้คนอื่นไปหาทางคิดเอาเองว่าจะใช้ feature นั้นอย่างไรกับอีกบริษัทหนึ่งที่เน้นความสำคัญว่าประสบการณ์ใช้งานทุกอย่างต้องราบลื่นมี solution การใช้งานที่เหมาะสมควบคู่กับทุก feature ที่มีให้ แล้วก็มาตัดสินด้วยความชอบส่วนตัวว่าบริษัทไหนถูกบริษัทไหนผิดมันไม่แปลกหรือ ?
ในโลกของการค้าเสรีไม่มีการกำหนดบทบังคับใด ๆ ให้ต้องซื้อสินค้าที่ตัวเองไม่ต้องการ ผู้ซื้อสามารถตัดสินใจได้เสมอว่าจะซื้อสินค้าที่ตัวเองต้องการจากใคร ในทางกลับกันผู้ขายก็ต้องหาทางทำให้ผู้ซื้อพึงพอใจสินค้าของตัวเอง สุดท้ายทุกอย่างก็จะลงไปอยู่ที่จุดสมดุลเอง
อย่างที่คุณว่าไว้ใครจะเลือกอะไรแบบไหนก็ได้ ถ้าคิดว่าการมีส่วนร่วมช่วยผลักดันมาตรฐาน NFC ให้แพร่หลายเป็นการสร้างประโยชน์ต่อโลกก็เลือกไปทางหนึ่ง แต่หากคิดว่าสิ่งนั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรนักหนาเพราะทุกวันก็ยังเติมน้ำมันขับรถไปทำงาน ไม่เคยปั่นจักรยานไปทำงาน ไม่เคยใช้บริการ car pool เปิดไฟฟ้าทิ้งแม้ไม่ได้ใช้ อาบน้ำก็ปล่อยน้ำไหลเปล่าตอนฟอกสบู่ เลือกสินค้าต่างประเทศมากกว่าของในประเทศตัวเอง ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการทดลองกับสัตว์ ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากหนังสัตว์ขนสัตว์ ต่อคิวซื้อของถ้ามีโอกาสก็แซงคิว จองตั๋วเครื่องบินถ้ามีช่องทางตุกติกจองก่อนคนอื่นก็ทำ คิดว่าตัวเองทุกวันนี้ด้านอื่นก็ไม่ได้รักษ์โลกอะไรมากมายขนาดนั้น ก็เลือกไปอีกทางหนึ่ง และที่สำคัญเรื่องพวกนี้มันไม่ได้มีแค่ 2 ทางแต่มันมีหนทางอีกมากมายที่คนแต่ละคนจะนำมาใช้ในการตัดสินใจเพราะแต่ละคนย่อมมีสิ่งที่ตัวเองให้ความสำคัญไม่เหมือนกัน
ยังยืนยันคำเดิมเหมือน comment ก่อน ๆ ว่าสุดท้ายแล้ว NFC มาแน่แต่จะมาเมื่อไรนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แม้กระทั่งในฮ่องกงเองที่มีการใช้ smartcard อย่างแพร่หลาย (มากกว่าประเทศไทยหลายเท่า) ก็ยังออกมาเพียงแค่ application สำหรับตรวจสอบข้อมูลบน "บัตร" อีกทอดหนึ่งเท่านั้นเอง ยังไม่กล้าลงทุนทำไปถึงขั้นที่ว่าใช้ NFC บนโทรศัพท์มือถือทำธุรกรรมแทน "บัตร" แต่อย่างใด มีแค่บางประเทศ (เท่าที่ผมนึกออกแบบชัด ๆ มีแค่ประเทศเดียวด้วยซ้ำ) ที่ใช้ NFC บนโทรศัพท์มือถือแทน smartcard ไปแล้วก็คือญี่ปุ่น ส่วนตัวผมมองว่าในอเมริกากับยุโรปคงต้องใช้เวลาอย่างน้อยอีก 2-3 ปีกว่าจะไปถึงจุดนั้นได้ สำหรับประเทศไทยผมคิดว่าน่าจะอย่างน้อยอีก 4-5 ปีเป็นอย่างต่ำ เพราะทุกอย่างย่อมขับเคลื่อนด้วยผลประโยชน์ หากทำแล้วไม่ได้กำไรไม่ได้ประโยชน์ต่อบริษัทแล้วจะทำไปทำไม
ลองดูตัวอย่างง่าย ๆ ว่าบัตรเงินสดในร้านสะดวกซื้อชื่อดังของประเทศไทยได้ออกก่อนบัตร "กระต่าย" นานแค่ไหน ทำไมรถไฟฟ้าถึงเลือกที่จะไม่นำบัตรที่มีอยู่แล้วในท้องตลาดเดิมมาใช้แต่เลือกที่จะออกบัตรใหม่ในรูปแบบของตัวเอง และในทางกลับกันทำไมบัตร "กระต่าย" ถึงไม่สามารใช้ที่ร้านสะดวกซื้อนั้นได้ หรือถ้าเอาให้ง่ายกว่านั้นอีกลองมองดูรถไฟฟากับรถไฟใต้ดินว่ามีการใช้บัตรของตัวเองแยกกันมานานแค่ไหนและทำไมจนป่านนี้ยังไม่ออกบัตรที่สามารถใช้ร่วมกันได้มาทั้ง ๆ ที่ 2 เจ้านี้ดำเนินธุรกิจขนส่งมวลชนเหมือน ๆ กัน 2 ตัวอย่างนี้น่าจะอธิบายตัวมันเองได้ชัดเจนพอดู
That is the way things are.
ขอบคุณที่ร่วมอภิปรายครับ
งานนี้ไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ เพราะแต่ละคนมีแนวทางในตัวเองชัดเจน เอาเป็นว่าต่างคนต่างมุมมอง ก็มาร่วมกันแชร์ความคิดกันนะครับ
เพียงแต่คราวนี้ผมรู้สึกมั่นใจในสิ่งที่ผมวิจารณ์ และเชื่อว่าผมระบุเป้าหมายได้ถูกต้อง ..งานนี้หลายสำนักในต่างประเทศยังยำเละเลย ผมแค่เป็นคนตัวเล็กๆ ที่ช่วยออกเสียงเพื่อยืนยันความคิดนั้นครับ
และผมก็ยอมรับและออกตัวเลยครับ ว่าผมเป็นพวก "เห็นแก่ตัวเอาความต้องการของตัวเองเป็นศูนย์กลาง" ตัวพ่อเลยครับ ผมมองว่าเราเป็นฝั่ง customer ก็ต้องเชียร์ฝั่ง customer ครับ ผมไม่เคยสนใจผลประโยชน์ของบริษัทหน้าไหนอยู่แล้ว (ผมไม่ชอบเขียนออกตัวปกป้องบริษัทไหนซะด้วยสิ :P) จะเห็นแก่ตัวก็ว่าได้ครับ ทุกคนมองแต่ผลประโยชน์สูงสุดของตัวเองกันทั้งนั้น แต่ที่ทำได้ก็แค่วิจารณ์ และมาวิพากษ์ร่วมกับคนอื่นว่าคิดเหมือนกันมั้ย แต่จะให้มาบีบคอบริษัทใดๆ ให้ทำตามใจตนเองไม่ได้หรอกครับ เป็นไปไม่ได้ ซึ่งอันนี้เป็นวิถีของมนุษย์อยู่แล้ว ไม่ชอบอะไรก็พูดถึงได้ แต่ไปทำอะไรเขาไม่ได้ เป็นเรื่องปกติมากๆ
ปล. ผมเขียนไม่ขัดแย้งหรอกครับ ประเด็นของผมที่อยากบอกคือ อย่าไปมองไปแบบตื้นๆ ว่ามันทำได้แค่จ่ายเงินหรือส่งไฟล์ แต่มันเป็นเทคโนโลยีพื้นฐานที่จะประยุกต์ใช้ทำอะไรได้มากมายตามที่มนุษย์จะพัฒนามาใช้กับมันครับ ดังนั้นถ้าติดไว้ก่อนและช่วยทำให้มันเป็นมาตรฐานได้จริง เดี๋ยวก็มีรูปแบบการใช้ต่างๆ พัฒนาขึ้นมาตอบสนองเองครับ (แต่ก็หนีไม้พ้นการทำธุรกรรมทางการเงินเป็นหลักอยู่ดีนั่นล่ะ อันนี้ก็เรื่องจริงครับ :P)
สุดท้ายก็กลับมาเรื่องเดิม มันขึ้นอยู่กับมุมมอง =,,=
(ซ้ำครับ)
ขอแย้งนิดหน่อย
ถ้าคิดอย่างนี้ อุปกรณ์บลูทูททั้งหลายคงทำได้อย่างเดียวคือส่งข้อมูลจาก device ไปอีก device น่ะสิ ทั้งคียบอร์ด เมาส์ หูฟัง handset คอมพิวเตอร์คงทำได้อย่างเดียวคือประมวลผล ไม่ต้องสนว่าอุปกรณ์นั้นจะประยุกต์ไปทำอะไร
ขออธิบายเพิ่มเติม
การใช้ tag บน NFC หมายถึงการกำหนดให้โทรศัพท์มือถือทำงานอะไรบางอย่างตามแต่ tag ที่ได้อ่านค่ามา เน้นที่การทำงานอัตโนมัติไม่ใช่การรับส่งข้อมูลเพื่อแสดงผล
ส่วนการ download เนื้อหาคำอธิบายจากวัตถุในพิพิธภัณฑ์มันคือการส่งถ่ายข้อมูลระหว่าง device ดังนั้นผมจึงบอกว่าตัวอย่างนี้ยกมาเป็นตัวอย่างผิดประเภท
บอกตรง ๆ ไม่เข้าใจว่าทำไมคุณอ่านแล้วเข้าใจผิดไปมากขนาดนั้น ลองกลับไปอ่านดูใหม่ครับ ผมพูดถึงหน้าที่การทำงาน ไม่ใช่หลักการทำงานของ NFC หรือจะลองอ่านที่นี่เพิ่มเติมเพื่อประกอบความเข้าใจก็ได้
That is the way things are.
แล้ว Google กับ MS ไม่มีปัญญาทำให้มันใช้ได้กว้างขวางเหรอครับ ถึงต้องออกมาด่า Apple กัน
หรือว่ารอให้ Apple ทำออกมาให้ใช้มันง่ายๆให้ดูก่อนแล้วค่อย"ทำตาม"
+10 กะโหลก
น่าจะอยู่ที่ความเป็นมาตรฐานของ NFC หรือเปล่าครับ
มือใหม่!! ใหม่จริงๆนะ
ถ้าผมมองในมุม apple (เดาๆ) ถ้าตัวเองมีอิทธพลถึงขนาดนี้ และการไม่ได้ใส่ NFC มา ไม่ส่งผลกระทบกับยอดขายมากนัก ก็คงไม่ยัดมันลงหรอก
ยิ่งขืนยัดมา กลับเป็นการไปช่วยสร้างตลาด และโดนคนอื่นแย่งไปอีก.....apple คงคิดเปิดตัวเมื่อพร้อมทั้ง solution แหละมั้ง
มองในมุมผู้บริโภค ก็รอต่อไป
ปล. ถึงแม้ iPhone จะมีฟังก์ชันด้อยกว่า smart phone ที่ญี่ปุ่นในบางเรื่อง แต่มันก็ยังได้รับความนิยมสูงอยู่นะ
ใช่ มันต้องมาเป็นคำตอบครบวงจร ไม่ใช่ใส่ๆมา แล้วก็ชี้ว่าแตะลำโพงฟังเพลง แตะแลกข้อมูล แค่นั้นเอง? ดูกล้องหน้าสิ เจ้าอื่นใส่มาให้แต่ชาติปางก่อน แล้วใช้ยังไง นึกภาพ โนเกีย N series video call ยังไง
ประเทศอื่นผมไม่รู้ รู้แต่ว่าประเทศนึงแถบเอเชียเอา nokia n series มีกล้องหน้าเข้ามาขายตั้งหลายรุ่น จนตกรุ่น มีรุ่นใหม่เข้ามาเปลี่ยนไปเท่าไร ไอ้กล้องหน้าก็ไม่ได้ใช้กันสักที
สมัยนู้น customer เค้าฉลาดเลือกครับ เลือกเครื่องที่ใส่ฟีเจอร์เยอะๆ ใช้หรือเปล่าค่อยว่ากันทีหลัง เหมือนสั่งข้าวราดกับสามอย่าง อะไรไม่กินค่อยมาเขี่ยทิ้งเอาทีหลัง จนเดี๋ยวนี้ customer ก็ยังฉลาดอยู่เหมือนเดิม ตัวอยู่ประเทศนึงแต่พรรณนาถึงข้อดีที่มันสามารถใช้ได้ในอีกประเทศนึง.. คริ คริ
ถ้าหมายถึง reply ด้านบนเรื่องเช็คบัตร octopus ผมบอกได้เลยว่าปีๆ นึงคนไทยไปเที่ยวฮ่องกงกันเยอะมากอย่างมีนียสำคัญครับ ใครไปและมีมือถือ NFC ด้วยก็น่าจะได้ใช้แน่ ผมเองก็ไปหลายครั้งจนมีบัตรปลาหมึกเป็นของตัวเองเหมือนกัน
ผมเองก็เป็นคนนึงที่จะได้ใช้จริงๆ เวลาไปเที่ยวคราวหน้า เพราะจะได้ไม่ต้องเช็คยอดบัตรกับตู้ใน MTR แล้ว ถือว่าสะดวกมาก และเช็คได้ด้วยว่าใช้จ่ายอะไรไปบ้าง
เรื่องข้างบนผมยังเอามาจากพันทิปห้องท่องเที่ยวเลยครับ เพราะ blognone ไม่มีใครพูดถึง แสดงว่ามันเลยจุดที่เป็นเทคโนโลยีของ geek ไปสู่การใช้งานจริงๆ กันแล้ว
ว่าไปโลกเราเดี๋ยวนี้มัน globalization แล้วครับ ไปเที่ยวนั่นเที่ยวนี่ง่ายไปหมด ต่อให้เป็นเทคโนโลยีที่ไม่มีใช้ในเมืองไทย ก็หาเรื่องเอาไปใช้ ตปท. เวลาไปเที่ยวได้ครับ (และเป็นประโยชน์มากด้วย) หมดยุคที่คนจะอยู่แต่ในกะลาไปแล้ว ตัวอยู่ประเทศนึงใช่ว่าจะปิดหูปิดตาสนใจแต่ประเทศตัวเองเสียหน่อย
บ้านเราเองก็สามารถ implement ระบบแบบนี้ได้ครับถ้าจะทำ เพราะว่าบัตร RFID นี่เรามีใช้กันเยอะอยู่นะ (อย่างเช่น บัตร Smart Purse บัตรรถไฟใต้ดิน แม้แต่บัตรสะสมแต้มของ Sony ที่ใส ๆ หรือบัตรพนักงานเข้าตึกก็ยังเป็น RFID) ซึ่งวิธีการ implement มันก็แค่ใช้ NFC อ่าน RFID ขึ้นมาได้ ID ส่งไปดึงข้อมูลลงมาจาก Server ผ่าน internet เท่านั้นเอง
ในขั้นต้นเราอาจจะเริ่มจากใช้มือถือเป็นแค่ตัวอ่านข้อมูลอย่างบัตร Octopus ข้างบน ขั้นต่อไปเราอาจจะใช้โทรศัพท์มือถือทำ transaction ของบัตรได้เลย เรียกว่าใช้แทนตัวอ่านบัตรเครดิต (บัตรเครดิตในอนาคตอาจจะมี RFID นะ 55)หรือไม่ก็ยุบรวมกันไปเลย
การใช้ barcode แบบ apple ก็ดีครับ ผมมองว่ามันเป็นตัวคั่นกลางในระหว่างที่ Apple เองยังไม่ใส่ NFC เข้ามาในโทรศัพท์มือถือ ซึ่งในอนาคต Apple ก็คงต้องทำตามตลาด เมื่อ demand มันมากขึ้น
ปล. ผมจำไม่ได้นะว่า NFC มันกินแบทขนาดไหน คือ ผมชาร์จแบทแทบจะตลอดอยู่แล้วก็เลยไม่ค่อยสังเกตน่ะครับ อยู่ที่ทำงานก็ชาร์ต พอจะกลับบ้านขับรถก็ชาร์ต ชาร์ตมันตลอดเวลา 555 คือวิถีชีวิตของคนสมัยนี้ส่วนใหญ่ (สัก 60-70%) น่าจะหาที่ชาร์ตแบทได้แทบจะตลอดเวลาล่ะมั้ง แบบว่าคงอยู่ห่างจากปลั๊กได้ไม่เกิน 3-4 ชม.หรอก
โอ้ว ขอบคุณมากครับ อยากบอกแบบนี้แหละครับแต่สื่อสารออกมาไม่ถูกจริงๆ ตรงประเด็นและถูกใจครับ ^^
บ้านเรามัน implement มาใช้ได้จริงๆ ถ้าจะทำ เพราะใช้ NFC/contactless card กันเต็มไปหมด ประเด็นมันอยู่ที่มือถือที่จะใช้ด้วยมันยังไม่มีในรุ่นยอดนิยมเนี่ยสิ เลยว่าอีกพักใหญ่ๆ กว่าบริษัทห้างร้านเหล่านี้จะสนใจลงมาใช้ NFC บนมือถือกันน่ะครับ T_T
แต่มันไม่ใช่เรื่องไกลตัวแน่ๆ และไม่ใช่การพรรณนาถึงข้อดีที่มันสามารถใช้ได้ในอีกประเทศนึงแน่ๆ เพราะจริงๆ บ้านเราก็ใช้ contactless card กันเต็มไปหมดแล้ว !!!
บัตรเครดิตที่มี NFC ก็ Blue Wave ของ ธนาคารกรุงเทพไงครับ
พูดกันตรง ๆ แรง ๆ นะ ถึงเราอาจจะไม่พอใจความเห็นใครบางคน แต่เราก็ไม่มีสิทธิหลอกด่าใครทางอ้อมนะครับ ...
ผมอาจจะคิดไปเองนะ ขอโทษด้วยละกัน
ปล. ถ้าใช้ logic เดียวกัน ... ผมว่า Apple ไม่ต้องเอา iPhone 5 มาขายในไทยก็ได้ เพราะว่าเมืองไทยไม่มี LTE เอาเข้ามาก็ใช้ LTE ไม่ได้
เหมือนที่คนใน blognone นั้นพูดถึงบ่อย ๆ ว่า อยากได้ต้องทำเอง กรณีนี้เราคงไม่ได้มีหน้าที่ไปทำโทรศัพท์ใช้เอง แต่เราคงต้องมองถึงเรื่องการผลักดัน
ชุมชน blognone นั้นแตกต่างจากชุมชนอื่นที่ไม่ได้มีโปรแกรมเมอร์ หรือผู้ทำมีอาชีพอยู่ในสายเทคโนโลยีเท่าที่นี่ การร่วมผลักดัน เพื่อให้ผู้ที่มีหน้าที่ผลิต พัฒนาเขาดำเนินการไปในทางที่ควร (ผมเห็นคนที่ออกมาช่วยปกป้อง Apple ส่วนใหญ่ก็เข้าใจว่า NFC นั้นสำคัญ)
จริง ๆ ไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยี หรือแค่ NFC มันหมายถึงระบบ หรือสิ่งใด ๆ ก็ตามที่คนในชุมชนควรร่วมกันผลักดันเพื่อให้มันเกิดขึ้น เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่สังคมโดยรวม
แน่นอนบริษัทย่อมมองถึงผลประกอบการเป็นหลัก แต่เราควรจะมองถึงผลประกอบการของเขา หรือผลประโยชน์ของเหล่าผู้ใช้ดี อีกอย่างในเมื่อหลายคนต่างก็มองว่า NFC เป็นเทคโนโลยีในอนาคต ถ้าไม่ผลักดัน ปล่อยให้เขามองแต่ผลประโยชน์ของบริษัท แล้ว NFC หรือเรื่องต่าง ๆ มันจะต้องใช้เวลาอีกเท่าไหร่ถึงจะพัฒนา
เพจตัวอย่างผลงานถ่ายภาพ / วีดีโอ
+1 เห็นด้วยครับ
+100 เลยครับ โดนใจ ;)
โดนใจให้เลีย
Coder | Designer | Thinker | Blogger
ผมคิดว่า Apple คงมองว่าเมื่อไหร่พร้อม ถึงจะจับ NFC มาใส่นะครับ
ไม่ต้องไปเถียงกัน ยังไงบริษัทไหนก็ต้องยึดผลกำไรสูงสุดเป็นที่ตั้งทั้งนั้น แม้กรณีใส่ NFC มาเขาก็ได้เล็งไว้แล้วว่าต้องมีลูกค้าที่นับ NFC เป็นตัวตัดสินใจในการเลือกซื้อ เพราะฉะนั้นใส่หรือไม่ใส่มาคุณก็ได้จ่ายเขาไปแล้ว ดังนั้นกลับมาจับมือถือในมือคุณแล้วหาทางใช้ฟีเจอร์ที่ได้จ่ายไปแล้วให้คุ้มค่ากันดีกว่าไหม
จริงๆมันก็อย่างที่ศาสดาเคยบอกอะนะ ถ้าของมันห่วยมันก็ขายไม่ออกเอง ถ้าของมันดีมันก็แสดงออกทางยอดขายอยู่แล้ว
อุปกรณ์เล็ก ๆ แต่ทรงอิทธิพล นึกถึงคำพูดของเฮียสตีฟ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง ถึงส่วนครองตลาดจะน้อยลงเรื่อย ๆ แต่คนก็ยังตัดพ้อ