หนึ่งปีมาแล้ว หลังจากที่แอปเปิลได้ปล่อยแผนที่ของตัวเองออกมา Google Maps ก็ได้เริ่มใช้เทคโนโลยี Flyover เช่นเดียวกันในการทำแผนที่ที่แสดงให้เห็นถึงตึกและสภาพแวดล้อมจริงในแบบสามมิติ แต่สุดท้าย Google Maps ก็หนีไม่พ้นปัญหาที่แอปเปิลเจอมาก่อนหน้านี้ นั่นก็คือ "ปัญหาเมืองพัง" (กดอ่านต่อเพื่อเข้ามาดูภาพประกอบ)
ในส่วนที่ Google Maps มีปัญหานี้ เมื่อเปิด Apple Maps เปรียบเทียบตำแหน่งเดียวกัน จะพบว่าบน Apple Maps จะไม่พบปัญหานี้แล้ว โดยก่อนหน้านี้ผู้ใช้ Apple Maps ได้พบกับปัญหาลักษณะเดียวกันนี้มากมาย แต่แอปเปิลก็ได้ไล่แก้ปัญหาทีละจุด ๆ ไป
เว็บ AppleInsider ยังบอกอีกว่าสำหรับสถานที่เด่น ๆ หรือสถานที่ที่มีความสำคัญอย่างอาคาร Empire State บนเกาะแมนแฮตตัน กูเกิลสามารถทำภาพได้ออกมาดีกว่าแอปเปิล แต่เมื่อดูอาคารรอบ ๆ แล้ว จะพบว่าแผนที่ของแอปเปิลมีรายละเอียดที่ดีกว่า
ที่มา - AppleInsider
ภาพบน Google Maps (บน) เปรียบเทียบกับ Apple Maps ที่ตำแหน่งเดียวกัน (ล่าง)
เปรียบเทียบอาคาร Empire State
Comments
Inception สินะ
กำลังจะเมนต์ถามเลยว่าแบบนี้เคยเห็นในหนังเรื่องอะไร
มีท่านใดได้ใช้แล้วบ้างครับ
ผมได้แล้วครับ แล้วก็คนที่รู้จักมีได้แล้วบางท่าน
ได้เล่นแล้วครับ รู้สึกยังช้ากว่าแบบเก่าอยู่มาก
ได้ใช้แล้วเช่นกันครับ เยี่ยมเลย
WOW
ผมว่าทั้งสองค่ายนั้นก็มีปัญหาเดียวกันแต่แค่ภาพเบี้ยวบ้างโลกตั้งกว้างคงไม่ต้องอะไรมากนักขอแค่ตำแหน่งใกล้เคียงความจริงที่สุดพอ แต่ว่าไปแข่งกันก็ดีนะได้ประโยชน์กับคนใช้งาน
ถามคนที่ใช้ ว่ามันขาดๆเกินไหมครับ
มีอะไรอีกบ้าง ผมว่าผมเจอเยอะเหมือนกันนะเนี่ย
ตอนนี้ผมกลับมาใช้ version classic เหมือนเดิมละครับ
ผมไม่คาดหวังอะไรกับตัว Beta หรอกครับ เพราะยังไงเดี๋ยวมันก็ดีขึ้นอยู่แล้ว
ไม่มี Bing maps มั่งหรือคับ
พอ apple ทำกาก กระหน่ำ พอ google เป็นบ้างไม่คาดหวังกับ เบต้า อิอิ
แต่ทีแรก Apple ทำห่วย ก็เอามาใส่ iOS ให้คนเขาด่ากันเลย
แต่ Google อยู่ในช่วง Beta ยังทดสอบ ในอุปกรณ์ที่ต้องการความเสถียรก็ยังไม่ได้ใช้นี่ครับ
blog
+1
เอาเถอะครับผมว่าแล้วแต่มุมมอง ดีคือดีห่วยคือห่วย gmail ยังขึ้น beta มาได้ตั้งหลายปี
+1 มั่นใจเกินเหตุ นำเสนอเกินจริง หากหมายเหตุไว้หรือเพิ่มทางเลือกให้บ้างก็จะดี (เสียความรู้สึกตอนอัพ ios6 ตอนออกใหม่ ๆ)
Like เลย
อย่างบริการgoogleนี้ก็มีเอามาใช้กับพวก S4 ราคาก็ไม่ได้ต่างจาก i5
ตอนนี้รู้ดู iOS7 OSX.9 iLife13 iWork13 ว่าจะออกมาเป็นไง เพราะทาง Google ไม่มีอะไรใหม่ในปีนี้เลย
จากภาพ ของ Apple เหนือกว่าทั้งความสวย ภาพสมจริง และความไม่ผิดเพี้ยนของแผนที่ ไม่รู้จะรอ Google Map ไปทำไม
อีกหน่อย Siri ก็สามารถมาทดแทน Google.com ได้ มันโออยู่นะ ถ้าภาษาเราโอ
เวลาฟังเพลงหลักๆเน้นก็ iTunes อยู่แล้ว ไม่ใช่ Youtube
อีกหน่อยผู้ใช้ Apple ก็ไม่มีความเกี่ยวข้องกับGoogle อีกต่อไป
"apple มันเคยสนใจประเทศเราด้วยเหรอ"
3D ในกรุงเทพ เผลอๆ google map เสร็จก่อน
สาวกที่มัวแต่คลั่ง apple ช่วยดูด้วยนะว่าอยู่ในประเทศอะไร แล้ว ศาสดาเค้าสนใจมั้ย 555
+999
ปัญหาดราม่า ระหว่างผู้ใช้ Apple กับ Google จะสร้างความเดือดร้อนให้กับ Google เอง บริการปัจจุบันมีร้อยแปดพันเก้า ถ้ารู้รู้สึกเกียด Google แฟนคลับ Apple ก็จะไม่ใช้ ไม่ว่าด้วยเหตุผลกลใด
ณ ตอนนี้ Apple ไม่มีบริการใน OS ของ Google และ Google ต้องพึ่งพา แน่ใจหรือว่า ไม่มี Google Map คนใช้ Apple จะอยู่ไม่ได้
เราจะเลิกใช้ youtube ไปเลยไปใช้แต่ iTunes , Social Cam , Vimvo ก้ได้
เราจะเลิกใช้ Google ไปใช้บริการ Bing Yahoo Yelp Siri ก็ได้
แผนที่นอกจากเราจะใช้ของ apple เราก็ยังมี Tomtom Garmin และอื่นๆ
Social เราไม่มีปัญหาและเราก็ไม่จำเป้นต้องใช้ G+
มีแนวโน้มได้อย่างแน่นอนว่าถ้าเกิดความตึงเครียดและความเกลียดชัง Google ฝ่าย Google เองคือผู้เสียผลประโยชน์
เรื่องโหษณาก็เช่นกัน SAMSUNG มักจะกัดสาวก Apple และเมื่อคนดูโฆษณานี้ขึ้นมา ออ เราก็คนนึงในแถวนั้น ออ คุณกำลังหมายถึงผมโง่ ออ งั้นดิสิ เชิญคุณโฆษณาฉลาดๆแบบนี้ต่อไปเถอะ การโฆษณางี่เง่าแบบนี้มันทำลายตัวเองและสาวก Apple ก็เกิดความเกลีย้ SAMSUNG ขึ้นมา ไม่ใช่ว่าสินค้าจะยังไงนะ เพราะมันด่าเรานี่หว่า แหล่มมากเลยว่ะ
แทนที่จะลองใช้ของมันซะหน่อย เอาเป้นว่า อย่ามายุ่งกันเลยจะดีกว่า
ใกล้สงครามศาสนาไปทุกขณะแล้ว :p
คุณนี่ตลกดีนะ อยากเป็นเสียงแทนสาวกทั้งโลกเลยทีเดียว
อะไรมันเหมาะกับเราแล้วมีให้ใช้ก็ใช้เถอะครับ เสียเงินซื้อของมาแล้วต้องมาดูค่ายอีก ถ้าจะเปิดเพลงที่เพื่อนแชร์แล้วแบบ เอ้านี่มัน youtube ฟังไม่ได้ บาป! มันก็น่าเสียดายนา
ผมว่าไม่จริงเลยนะสิ่งที่คุณคิดเนี่ย
ขาด search engine Google ไปคนที่อยู่ใน USA อาจจะใช้ Bing แทนได้แต่คนประเทศอื่นที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักนี่ตายเลย Bing ค้นอะไรภาษาไทยหาเจอน้อยกว่า Google มาก ๆ (เคยลองใช้ Bing แล้วหรือยังครับ ??) บางคนต้องการใช้ search engine แบบจริงจัง เช่น ใช้เพื่อการทำงาน ใช้เพื่อการดูแลสุขภาพ ใช้เพื่อการรักษาโรค เป็นต้น เขาไม่มาทนใช้ search engine ที่หาอะไรไม่ค่อยเจอเพียงเพราะว่าความเกลียดชังไม่เข้าท่าแบบนี้แน่ ๆ
ขาด Google Maps ในขณะที่ Apple Maps ยังไม่มี POI ใด ๆ ในต่างประเทศเลยแถมยังไม่มีแผนที่บน web ให้เข้าไปค้นหาอีก ผมว่าแบบนี้คนที่เจ็บมากกว่าคือ Apple นะ ผมคนหนึ่งเลยในฐานะที่ใช้ Apple Maps มาสักพัก (ก่อนที่ Google จะออก Google Maps บน iPhone อีกรอบเอง) พบว่ามันน่ารำคาญมากที่หาสถานที่อะไรก็ไม่เจอ จะ search ชื่อถนนชื่อซอยก็ห้ามพิมพ์ผิดเพราะ engine ไม่ได้ฉลาดพอที่จะรู้ว่าผมหมายถึงอะไร รับรองได้เลยว่าวันไหนที่ Google เอา Google Maps ออกจาก iPhone วันนั้น Apple หุ้นตกกระฉูดแน่นอน
หากคุณสังเกตคุณจะพบว่าราคาหุ้น Apple ตกลงมาจาก $700 จนถึง $400 ตั้งแต่ iPhone 5 เปิดตัวแล้วกลับมาดีดตัวขึ้นมาเป็น $450 หลังจาก Apple ประกาศขายหุ้นกู้ของบริษัท ในขณะที่หุ้น Google ตอนนี้ทะลุ $900 ไปแล้ว คุณคิดว่าเพราะอะไรครับ ?
ส่วนตัวถ้าผมมีหุ้น Apple อยู่ที่ราคา $700 เปิดตัว iPhone 5 มาแบบนั้นผมก็เทขายหมด port เหมือนกัน
That is the way things are.
ถ้าหาข้อมูลใช้ Wiki แทนได้ครับ และส่วนใหญ่คนเราจะหาข้อมูลจาก Wiki ส่วนถ้าเป็นข้อมูลทางวิชาการใน Google ไม่มีแน่ ต้องไปซื้อที่ศูนย์หนังสือจุฬาหรือไม่ก็ ร้าน iBook ของ iTunes ก็ได้(ถูกกว่า พวกหนังสือแปลเยอะ ภาษีหนังสือโหดโครต) หรือจะดูจาก iTunes U ก็มีจำนวนมาก ส่วน Map Garmin แหล่มกว่านะสำหรับความเข้าใจส่วนตัวผมนะครับ
ข้อมูลสุขภาพผมไม่เชื่อ Google นะถ้าในเวบมันดันมั่วขึ้นมาแล้วยิ่งเป็นการโพสประเภทเวบบอร์ดทั่วไปอีก ไปกินอะไรตามบอกนั่นก็แย่กันพอดี ผมจะโทรไปหาหมอประจำตัว ไม่งั้นก็เบอร์ของ รร.รามาฯ รร.จุฬาเขามีบริการด้านสุขภาพ
ส่วนเรื่องข้อมูลงาน Know How ยังไงๆทั้งด้าน IT Business จิตวิทยา และอื่นๆก็เป็นความรู้จากฝั่งภาษาอังกฤษทั้งนั้น Bing มันหาเจอตลอดนะ
หุ้นตกมันมีสาเหตุมากมาย แต่เราต้องดูกันต่อไป
ข้อมูลใน Wikipedia ใช่ว่าจะถูกครับ อย่าลืมว่าใครก็แก้ไขมันได้เหมือนกัน อีกอย่างหนึ่งคือข้อมูลใน wiki อาจจะใช้ไม่ได้ในหลายๆ กรณี อย่างเช่นการเตรียมตัวเดินทาง เอาเงินไปเท่าไหร่ดี เรื่องเทคนิคต่างๆ เช่นจะมองหุ้นยังไงให้ขาด การหาข้อมูลพวกนี้ในเสิร์ชเอ็นจิ้น จะเจอเยอะกว่า wiki มาก ในขณะที่ไปหาในวิกิคุณมักจะเจอแค่หุ้นคืออะไร
ข้อมูลทางวิชาการ กูเกิลมี Google Book สำหรับหาหนังสือ และ Google Scholar สำหรับหาเอกสารทางวิชาการครับ
แมพการ์มินเสียเงินครับ หลายๆ คนแค่ต้องการดูสถานที่ วางแผนการเดินทางคร่าวๆ เขาไม่ค่อยอยากจะเสียเงินซื้อแผนที่การ์มินหรอกครับ เว้นแต่จะเอาไปติดรถนำทาง ไปเที่ยวไหนจริงๆจังๆ ซึ่ง Google มี Street View ที่ครอบคลุมกว่า Streetside ของ Bing มากๆ ครับ
เรื่องข้อมูลสุขภาพเป็นสิทธิ์ของคุณครับที่จะไม่เชื่อข้อมูลที่ได้จากกูเกิล อันที่จริงเรื่องสุขภาพบางทีก็หาไปหามาแล้วเจอบน wiki ที่คุณบอกใช้หาข้อมูลได้นะครับ (เท่าที่เจอคือจะเป็นประมาณว่าอะไรที่ทำให้เกิดโรค)
เอาจริงๆ ผมก็ไม่ได้ชอบกูเกิลอะไรนัก พยายามจะออกห่างๆ ด้วยซ้ำไป แต่หากจะปฏิเสธกูเกิล 100% ผมว่ามันเพ้อฝันมากครับ
Google Book และ Google Scholar ยังห่างไกลจาก iBook และ iTunes U ของ Apple นะครับ
ส่วน Wiki จะเป็นข้อมูลเชิงนิยาม ความหมาย สถิติ และเชิงวิชาการ(ซึ่งแม้จะไม่น่าเชื่อถือปแต่ข้อมูลทางวิชาการก็เป็นที่คาดหวังมากกว่า Google Google เราจะหาข้อมูลในลักษณะ หาเวบเกี่ยวกับด้านนี้ และค้นหาเพื่อซื้อสินค้า ดูรายละเอียดเกี่ยวกับบล็อกหรือเวบต่างๆ จะมีผลแม่นยำก็ต่อเมื่อเป็นเวบของเจ้าขององค์กรธุรกิจหรือองค์กรนั้นๆเอง ถ้าเป้นเวบทั่วไป ความน่าเชื่อถือก็ไม่ต่างจาก Wiki มากนัก และโดยทั่วไปอย่างที่บอกจะไม่เจอข้อมูลเชิงวิชาการมากเท่า Wiki ถ้าจะมีจะเป็น Know How ในระดับนำไปใช้มากกว่า อ้างอิงหลักการ อย่างจะค้นหาคำว่า กลูต้าโธโอน ใน Wiki จะมีข้อมูลเชิงเคมี ชีว ส่วนของ Google เรามักจะเจอขายกลูต้นราคาเท่าไหร่ หรือให้กินวันละเท่าไหร่ซะมากกว่า ส่วนถ้าจะหาข้อมูลเชิงวิชาการ ถ้าเอาแบบคร่าวๆทั่วไปคนก็นิยมดูจาก Wiki เป็นหลักกันอยู่แล้ว
ผมอ่านความเห็นคุณแล้วปวดหัวในความไม่รู้แจ้งของคุณมากครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณเอา Google Scholar มาเปรียบเทียบกับ iTunes U ได้ …
@TonsTweetings
คุณ POR4U (ชื่อเก่า S อะไรซักอย่างโดนแบนไปแล้ว) เค้าเคยบอกว่าเค้าเป็นเซลครับ ไม่แปลกที่จะมีตรรกะแบบนั้น
ข้อความบางส่วนเค้าก็มีเหตุผลนะ แต่เหตุผลของเค้ามักเอาไปอ้างเป็นข้อสรุปไม่ค่อยได้เนี่ยแหละปัญหา - -"
Russia is just nazi who accuse the others for being nazi.
someone once said : ผมก็ด่าของผมอยู่นะ :)
ผมไม่ได้ดูถูกเซลล์นะ แต่ผมไม่ใช่คนที่จะไปยืนขายของหน้าร้านหรือไปเสนอขายของที่ไหน ผมไม่ใช่ลูกจ้าง และตอนนั้น มีปัญหาเรื่อง 3G TOT ที่เป็นประเด็นปัญหาตอนนั้น ไม่เคยบอกแม้แต่ครั้งเดียวว่าเป็นเซลล์นะ
แต่ก็หน้าที่เกี่ยวกับเซล(การขาย)ใช่ไหมครับ?
ผมไม่ได้บอกว่าคุณเป็นพนักงานขายหน้าร้านนะครับ อาจจะเป็น dealer ติดต่อรัฐบาล หรือหน่วยงานใหญ่ๆก็ได้
Russia is just nazi who accuse the others for being nazi.
someone once said : ผมก็ด่าของผมอยู่นะ :)
นรรกกะของคุณหมายถึงคนทำธุรกิจคือเซลล์?
เซลล์คือการติดต่อ เพื่อที่จะ 'ขาย' อะไร 'บางอย่าง' และมีความ 'เชื่อมั่น' ใน'สินค้าที่ตนจะขาย' หากผู้ที่ติดต่อด้วย'สงสัย'ว่าสินค้าที่จะขายนั้นดีกว่าหรือทำอะไรได้ไม่ได้ ก็พร้อมจะบอกว่า 'ทำได้' และ 'ทำได้ดีกว่าคู่แข่งแน่นอน'
บุคคลข้างต้นคือเซลล์ครับ
Russia is just nazi who accuse the others for being nazi.
someone once said : ผมก็ด่าของผมอยู่นะ :)
ผมอยู่ในฐานะ แฟนคลับมากกว่า
ในความคิดผม ผมว่าคุณเป็นมากกว่าแฟนคลับ เป็นมากกว่าสาวกด้วยซ้ำ
ผมเข้าใจว่าคุณอาจจะมีส่วนได้ส่วนเสียกับสินค้าของแอปเปิ้ล อาจจะขายอะไรต่างๆนาๆ
แต่การที่คุณมาโกหกว่าไม่ใช่กูเกิลเลย มันดูตลก หลอกลวง บิดเบือน เพื่อ discredit กูเกิลจนน่าเกลียด
แล้วเห็นคุณก็ยังใช้ youtube google+ อยู่ด้วยซ้ำ
https://plus.google.com/111176360843019408463/posts
http://www.youtube.com/user/MSPSnetwork
หมายถึงพยายามหลีกเลี่ยงไปใช้บริการอื่นๆครับ
แต่อันนี้ก็ยอมรับตามตรงว่าบริการ Google ใช้ทำ การค้าทางเน็ท ได้ง่าย เช่นถ้าเรามี Blogger แล้วมีเพื่อนใน G+ ในระดับหนึ่ง โพสที่เราโพสถ้าเลือกคำ ประโยคให้ดีๆ มันจะขึ้นหน้า 1 google ได้เลย โดยไม่ต้องทำการโฆษณาแต่อย่างใด คีเวิร์ด คำ ประโยคที่ผมเลือกใช้ในบ็อกเกอร์ ถ้าค้นใน google ของผมขึ้นหน้า 1 ทุกอัน ไม่ใช่แค่หน้า 1 ทุกอัน ขึ้นอันดับ 1-3 อีกด้วย โดยไม่เสียเงินโฆษณาเวบแต่อย่างใด Blogger ผมมีคนเข้ามาอ่านหลักหมื่นคน!! อันนี้ช่วงเวลา 1 เดือนนะครับ ตามสถิติจะมาจาก g+และ google.com
จริงๆแล้วมันก็ไม่ได้เสียหายอะไร เพราะแม้ Apple เองก้ยังใช้บริการ Google เพราะเป็นบริการที่ออกแนวเปิดกว้างดี
แต่หลายๆบริการผมไม่รู้จัก เพราะผมสนใจฝั่ง apple แต่ตัวหลักๆจะรู้จักอยู่แล้ว
ส่วนจะพยายามหลีกเลี่ยงไปใช้อย่างอื่นมั้ย ถ้าความตรึงเครียดมันสูง ก็จะพยายามหลีกเลี่ยงไปใช้บริการที่ผมพูดถึงในโพสอื่นๆ
ส่วนตัวมองว่าในแง่ของ การค้าทางเน็ท อาจจะดูเหมือน Blogger มีประสิทธิภาพกว่า WordPress นะในแง่การทำให้ blog ของเราขึ้นหน้า 1 google และมีผู้เข้ามาอ่านจำนวนมากในเวลาอันรวดเร็ว โดยที่เราไม่เสียเงินแม้แต่บาทเดียว ตามที่คุณเอาลิ้งมา ผมก็นำเสนอทั้งโรงงานน้ำที่บ้าน ธุรกิจเครื่องถ่ายเอกสรที่บ้าน และอื่นๆที่ผมทำเองด้วย google ก็มีผลดีต่อผมเยอะ(คุณประโยชน์ ไม่อยากเรียกพระคุณ)
เอิ่ม ..
แสดงว่าที่พ่นออกมาทั้งหมด ก็แค่ความคิดเอง ทำจริงๆไม่ได้ กระทั่งตัวเองก็ยังใช้บริการของกูเกิลเป็นหลัก เพราะบอกว่ามันดีกว่า แล้วก็พยายามโน้มน้าวให้คนอื่นทำ ทั้งๆที่ไม่ได้ทำเองด้วยซ้ำ
ในความหมายข้างต้น ที่อธิบายในกรณี ภาษาไทยครับ แต่ในภาษาต่างประเทศหลายๆภาษา WordPress หรือ WEB SITE / Blog ที่ทำจาก iWeb + Facebook + Bing/Yahoo + Twitter +Vimeo + Social Cam + Podcast + Yelp ก็สามารถใช้การได้อย่างดี และได้ประสิทธิผลที่ดีกว่าด้วยครับ
กรณี G+ ไปดูก่อนว่าผมใช้บ่อยขนาดไหน ไม่ได้เข้าไปแตะอะไรบ่อยนักเลย และที่มีคนติดตามไม่ใช่ระดับที่น้อยจึงดูเหมือนผมว่าใช้งานG+จริงๆจังๆ แต่ในความเป็นจริงก็แค่โพสเล็กๆน้อยๆ เพราะผมโพสตามนั้นแหละ แบบนานๆทีเข้าไปโพส(แต่อาจจะเยอะ) อย่างหน้า Page พี่เบริด ที่เข้ามาติดตามผมก็เข้าใจว่า มาตามเพื่อดูความเคลื่อนไหวด้าน IT สุขภาพ ความงามและศาสนา เพราะผมไม่ค่อยมีโพสบันเทิง นอกจากสาวๆสวยๆนักร้องเกาหลี แต่ที่น่าสนใจคือ แม้แต่หน้า Page ซุปเปอร์สตาร์ระดับพี่เบริด ใน G+ ก็เงียบเหงาเว่อ
=_=
ไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว
สมมติคุณปวดท้องสงสัยว่าจะเป็นโรคติดต่อทางเพศแต่ก็ยังไม่แน่ใจ คุณจะ search Wiki ด้วย keyword ว่าอะไร ? ใช้อาการที่เกิดไป search หรือว่าคุณรู้ชื่อโรคติดต่อทางเพศนั้นๆ เองแล้ว search ดูข้อมูลเอาเองเรียงไปทีละโรค ?
บทความแก้ปัญหา IT ปัญหามือถือภาษาไทยมีมากมาย คุณคาดหวังให้ทุกคนไปอ่านบทความภาษาอังกฤษ ? ไม่ใช่ทุกคนจะเชี่ยวชาญภาษาอังกฤษเหมือนกันนะครับ
ถ้าคุณยืนยันผมก็คงจะโน้มน้าวอะไรมากกว่านี้ไม่ได้ แต่ถ้าคุณลองคิดตามคุณจะรู้ว่าตอนนี้ยังไม่มีอะไรมาแทน search engine ของ Google ได้อย่างทัดเทียม
ปล. เรื่อง POI ของ Apple Maps คุณไม่เห็นพูดถึงเลย
That is the way things are.
ถ้าเป็นปัญหาเฉพาะด้านและมีความสำคัญ ผมจะใช้ศูนย์ข้อมูลที่น่าเชื่อถือกว่านั้นครับ จะไม่ใช้ Wiki และ Google อาทิเรื่อง สุขภาพ เรื่องหุ้นอาจจะใช้บริการของทางโรงพยาบาลแทน ไม่ควรใช้ google หรือข้อมูลอาจใช้ข้อมูลจากทาง Apple iBook หรือ iTunes U จะดูน่าเชื่อถือเพราะเป็นเอกสารทางวิชาการและข้อมูลเชิงวิชาการ มีความละอียดกว่า น่าเชื่อถือกว่า น่าสนใจทั้งข้อมูล KnowHow และเอกสารทางวิชาการที่อ้างอิงเชิงทฤษฏี
ในแง่ปฏิบัติ ถ้าเป้นวิชาการแบบคร่าวๆ เราจะคาดหวังจาก Wiki กันมากกว่าอยู่แล้ว ส่วนข้อมูลสินค้าและบริการ เราจะนึกถึง Yelp กันมากกว่า ข้อมูลสถานะความคิดเห็นเราจะนึกถึง Facebook Twitter
ถ้าจะซื้อของเราจะนึกถึง EBUY AMAZON
Google เอาไว้หาเวบ ซึ่งเวบขององค์กรณ์ต้นขั้วโดยทั่วไปก็เดากันไม่ยาก(อย่างapple.com เวบพวกนี้เป้นเวบน่าเชื่อถือ) ดังนั้นเราจะใช้หาเวบทั่วไปกันซะมากกว่า(เวบเหล่านี้จะมีความ่าเชื่อถือต่ำกว่า)
หลายครั้งเราจะเห็นบางบริการตอบสนองบางเรื่องได้ดีกว่าบริการของ Google เช่น SocialCAM Vimeo Yelp WordPress Pinterest Scribd Instagram Facebook Twitter dropbox เราก็มีข้อสงสัยว่าตอนนี้ Google กำลังอยู่ในจุดไหนของสังคม IT กันแน่
เรื่องบริการแผนที่ Apple ถ้ามีข้อจำกัดในประเทศที่เราอยู่ ณ ปัจจุบัน เราก็อาจจะต้องซื้อบริการของ Garmin ก็ได้ครับ
สำหรับ การซื้อหุ้น ผู้ซื้อหุ้นจะมีสติปัญญาในการวิเคราะห์เองว่าบริษัทไหนมีวัฒนธรรมองค์กรณ์และมีเป้าหมายชัดเจนกว่า ในยุคที่ผ่านมา Apple สร้าง Mac iPod iTunes Store iPhone iPad จนทำให้ตนเองมีสินค้าที่เป้น Blue Ocean และ White Ocean มาโดยตลอด แล้ว Google SAMSUNG ล่ะ อยู่ในจุดไหน ก็ยังวนเวียนกันอยู่ในระดับ Red Ocean กันอยู่เลย ไม่มีนวัฒกรรมเปลี่ยนโลก มีแต่เรื่องกลยุทธที่คนอื่นๆก็คิดกัน
วงการวิชาการทั่วโลกตะลึงเลยครับ
@TonsTweetings
บริการนี้ไม่ใช่มาตราฐานโลก มีหลายคนที่ไม่ได้ใช้ อย่างใกล้ตัวพี่ชายผมเป็นอาจารย์ เขียนหนังสือทำ ผศ ก็ยังไม่เคยแตะเลยบริการนี้ คนใกล้ตัวที่ทำ ดร ก็ไม่ได้ใช้ มันไม่ได้เป็นมาตราฐานโลก
มีนักเขียน เจ้าของบทความวิชาการจำนวนมากต่อต้าน และเกลียดชัง Google Book อีกด้วย อันนี้ในต่างประเทศ ประธานาธิบดีของเยรมันก็เป็นกังวลกับบริการนี้
คุณคิดว่านักวิชาการทุกคนต้อง ลงบทความลงบริการนี้เหรอครับ จริงๆแล้วแม้ iTunes Podcast ก็มีลักษณะในเชิงบริการแบบเดียวกับ Youtube ไม่ได้ดูกันที่จำนวนเนื้อหา แต่ดูที่วัตถุประสงค์นะครับ มีหนังสือดีๆจำนวนมากอยู่ใน iBook และเป้นความรู้ระดับ ป.เอก
คุณไม่ต้องลงบนความบน Google Scholar หรอกครับ เพราะมันไม่ได้เก็บบทความ มันเป็นบริการ search engine สำหรับ academic journals ครับ แล้วมันจะส่งต่อไปที่เซอร์วิสอย่าง EBSCO หรือ Emerald อีกที (ซึ่งคุณก็ต้องมี username/password แยกต่างหากจากบริการเหล่านี้ ไม่ก็จากสถาบันการศึกษา) แต่เชื่อว่าที่คุณพูดออกมาแบบนี้ แปลว่าคุณไม่เคยใช้
ไม่ต้องอ้างพี่ชายที่เป็นอาจารย์หรอก คนแถวนี้รู้ดีว่าอะไรเป็นอะไรครับ หลายคนก็อยู่ในโลก academia รู้ดีว่าอะไรเป็นอะไรอยู่แล้ว
iBook นี่ตกลงมันเป็นร้านขายหนังสือ หรือมันเป็น academic journal database กันแน่ครับ เริ่มสับสน
ไว้ว่าง ๆ ผมไปหาไอเดียทำ PhD จาก iSight ดีกว่า ไม่ก็โหลดหนังจาก iMovie มาดูเล่น
@TonsTweetings
ฉลาดเว่อ Google Scholar มันคือมาตราฐานโลกมาก HA+ ยอมรับก่อนหน้านี้ไม่รู้จัก เพราะพยายามไม่ยุ่ง Google
เวลาจะหาเอกสารทางวิชาการก็ใช้บริการของห้องสมุดและโปรแกรมสืบค้นเอกสารทางวิชาการเอา เพราะเวลาเขาจะค้นหาเอกสารทางวิชาการในระดับโลก ก็มีฐานข้อมูลแบบนี้อยู่ในห้องสมุดกันอยู่ และจากฐานข้อมูเวบอื่นๆนอกห้องสมุด
Academic Search Premier , Library PressDisplay , academic journals list of peer reviewed journals , Academic Search Complete เช่น ebscohost, Britannica Online , MEDLINE PubMed , Will Francis ETC.
เวลาจะหาข้อมูลสาธาณสุข ก็ไม่ควรไปค้นหามั่วเจอยาผีบอกขึ้นมาจะยุ่ง
ไปดูคคนที่ต ิดตามผมใน twitter ว่าหลายๆคนอยู่ในระดับไหน อาทิ Romeo Micev , Jonathan Brownfield ,Gary Hayes , Ville Miettinen , Anita Fiander , Вячеслав Мальцев ETC.
ฉลาดเว่อ!! เพลีย
นี่อาจจะเป็น comment สุดท้ายของผมกับคุณ เพราะว่าผมเริ่มรู้สึกว่ามันไม่มีประโยชน์ที่จะโต้ตอบกับคุณ มันไม่ต่างกับการพูดกับที่ทับกระดาษ พูดไป มันก็ทำได้แค่ทับกระดาษอยู่ดี
ถ้าคุณคิดว่าผมเป็นแฟนบอยของ Android คุณคิดผิดแล้วครับ คนที่นี่หลายคนรู้ดี
ผมอาจจะไม่ฉลาดเว่ออย่างที่คุณว่า แต่ผมรู้ว่า iTunes U คืออะไร ทำอะไรได้บ้าง เพราะผมเคยเป็นติวเตอร์ที่มหาลัยแห่งหนึ่ง และใช้ iTunes U ในการอัพโหลด lecture slide ขึ้นไป คือทีคุณบอกว่า iTunes U มันเป็นแหล่งข้อมูลวิชาการน่าเชื่อถือนั้นมันเป็นเรื่องตลกสำหรับผม เพราะว่า lecture slide ที่ผมอัพไปนั้นผมทำเองด้วยซ้ำ มันจะเป็นข้อมูลวิชาการได้อย่างไร มันไม่ได้ถูก Peer Review หรือลง Journal ใดเลย
สรุปสั้น ๆ iTunes U มันเป็นแค่แพลตฟอร์ม content delivery ธรรมดา ที่มหาลัยไหนอยากจะเอาเรื่องอะไรส่งขึ้นไปในรูปแบบที่ Informal หน่อยได้ เพื่อเพิ่มการเข้าถึงให้กับผู้ที่สนใจที่ไม่ได้เรียนมหาลัยนั้น ส่วนใหญ่แล้ว สิ่งที่ถูกโพสต์ขึ้นบน iTunes U จะเป็น lecture slide หรือแค่ lecture cast หรือ podcast เท่านั้น
การที่คุณเอา iTunes U มาเปรียบเทียบกับ Google Scholar มันเหมือนกับการที่คุณเอาสุนัขมาเปรียบกับหม้อหุงข้าว มันคือคนละเรื่องกัน บริการคนละแบบกันเลย เปรียบเทียบกับตรง ๆ ไม่ได้เลยครับ Google Scholar มันคือระบบค้นหา ย้ำ ว่าค้นหาเฉย ๆ ว่ามี journal paper ไหนที่มันตรงกับ keyword ที่เราค้นหาไปบ้าง มันไม่ได้เก็บข้อมูล academic paper แต่อย่างใด มันเป็นแค่ search engine ครับ
มหาลัยที่ผมเรียนทั้ง 3 แห่ง (อาจจะคุณภาพมาตรฐานไม่ดีเหมือนมหาลัยที่คุณหรือพี่ชายคุณไปทำงานอยู่ แต่มันก็ดีพอสมควร) ทุกมหาลัยมีระบบค้นหาของห้องสมุดตัวเอง อย่างที่คุณว่า แต่เมื่อคุณต้องการค้นหา journal ต่าง ๆ แล้ว มหาลัยมักจะบอกให้คุณลองหาบน Google Scholar ก่อน เพราะว่า search engine มันดีกว่า ระบบค้นหาของมหาลัยหลายแห่งไม่ index เนื้อหาของ academic paper แต่จะ index แค่ abstract นอกจากนี้แล้ว Google Scholar มันยังบอกด้วยว่า paper ไหนโดน Cite หรือโดนนำไปใช้โดย paper อื่น ๆ ต่อกี่ครั้งแล้ว ทำให้มันเป็นที่ยอดนิยมมากในการตรวจสอบว่า paper ไหนมัน popular น่าใช้
Google Scholar ข้อดีอีกอย่างของมันคือสำหรับมหาลัยที่เปิดให้นักเรียนสามารถดึงข้อมูลจาก EBSCO, JSTOR หรือ Emerald ได้โดยตรง นักเรียนสามารถเข้าถึงไฟล์ PDF ได้ทันทีโดยไม่ต้องผ่านระบบของมหาลัย ไม่ต้อง log-in มันเร็วกว่ามากจริง ๆ (เรื่องนี้ทำให้เกิดประเด็นที่ Aaron Swartz ฆ่าตัวตาย ถ้าสนใจ ลองหาอ่านเหตุการณ์ของเขาดู) มหาลัยทุกที่ วันแรก ๆ ที่เขาแนะนำการค้นคว้า หรือใช้ห้องสมุด เขาจะบอกก่อนเลยครับว่าให้ตั้ง Google Scholar ให้ SFX เข้ามหาลัยตัวเองได้เลย เช่น Harvard, Cambridge หรือ UCL เป็นต้น (ว่าง่าย ๆ ไม่มีใครเขาใช้ระบบค้นหาห้องสมุดของตัวเองแล้วครับ)
ผมไม่ค่อยชอบ เวลาคุณใช้คำว่าระดับโลก มัน sales man มาก ไม่ factual เลย
สรุป - คุณเป็นตัวปลอมครับ คุณไม่ได้อยู่ในวงการวิชาการ / Research / Academia เลย
@TonsTweetings
ที่เค้ากังวลกับ Google Book นั่นเป็นเรื่องลิขสิทธิ์ครับ กับเอกสารเก่าๆ บางอันที่กูเกิลเอามาสแกน เค้ากังวลว่ากูเกิลจะทำเอกสารพังครับ แต่คลังเอกสารวิชาการจริงๆ มันอยู่บน Google Scholar ครับ ค้นๆ ไปมันจะไปโผล่เว็บเฉพาะทางอีกที
มันมีการกระทำที่ไม่ได้รับความยินยอมจำนวนมาก ครับ
ส่วนตัวมองว่าร้านหนังสือกับห้องสมุดคือประเภทเดียวกัน ดังนั้นจึงเข้าใจว่า iBook iTunes U ก็เป็นบริการประเภทข้อมูลเชิงวิชาการด้วย
ยังรอดูหลักฐานหรือเหตุผลที่มีที่มาน่าเชื่อถือได้ ว่าการใช้งาน Google Scholar เป็นการกระทำที่ไม่ได้รับความยินยอมจำนวนมาก อยู่นะครับ
@TonsTweetings
ถ้าคุณเข้าใจอย่างนั้นก็หมายความว่าผมาามารถเดินไปเซเว่นแล้วซื้อนิตยสาร FHM มาอ้างอิงในฐานะเอกสารทางวิชาการได้สินะครับ :P
google scholar มันคือ search engine สำหรับ paper วิชาการครับ ไม่ใช่ที่ที่ให้มาลง paper
อ่านออกมั้ยเนี่ยถามจริง!?
อ่านออกไม่ออกก็ให้ไปดูคคนที่ต ิดตามผมใน twitter ว่าหลายๆคนอยู่ในระดับไหน อาทิ Romeo Micev , Jonathan Brownfield ,Gary Hayes , Ville Miettinen , Anita Fiander , Вячеслав Мальцев , Will Francis ETC.
ส่วนตัวไม่ได้ใช้บริการ Google มานาน และไม่ได้ใส่ใจ
ฉลาดเว่อ!! เพลีย
ตอนแรกผมขนแขนลุกซู่เลยครับ ว่าเจอเซเลบเข้าจังๆ แล้วไง ก็เลยลองเป็นค้นดู
Romeo Micev - ติดตามคนอื่นๆ 100 000 กว่าคน
Jonathan Brownfield - ติดตามคนอื่นๆ 700 กว่าคน
Gary Hayes - ติดตามคนอื่นๆ 36 000 กว่าคน
Ville Miettinen - ติดตามคนอื่นๆ 29 000 กว่าคน
Anita Fiander - ติดตามคนอื่นๆ 39 000 กว่าคน
Will Francis - ติดตามคนอื่น 39 000 กว่าคน
ถึงตอนนี้ขนแขนผมร่วงไปแล้วครับ :D
Anita Fiander - ติดตามคนอื่นๆ 39 000 กว่าคน มีคนติดตาม 70000 กว่าคน
NIVEA USA ติดตามคนอื่นๆ 18000 กว่าคน มีคนติดตาม 25000 กว่าคน
Will Francis ติดตามคนอื่นๆ 39000 กว่าคน มีคนติดตาม 58000 กว่าคน
ETC.
คุณลองได้รับการ diagnose ว่าคุณปกติบ้างหรือเปล่าครับ อยากรู้จริง ๆ
@TonsTweetings
ที่ยกตัวอย่างเป็นอัตราส่วน เพื่อจะอ้างอิงข้อมูลว่า คนดัง มีผู้ติดตามเท่านี้ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่เขาสนใจ ซึ่งก็มีอัตราส่วนระหว่างผู้ติดตาม และติดตามผู้อื่น
ยกตัวอย่างอย่างเช่น ท่านนกยกทักษิณ มีคนติดตาม 70000 แค่สนใจคนอื่นแค่ 30000 คน
แล้วคุณคิดว่าอย่างไรล่ะครับ โพสแสดงความคิดเห็นนออกมาเลยได้นะครับ
ว่างๆ สอนผมใช้ทวิตเตอร์บ้างก็ได้นะครับ ใช้ไม่ค่อยเป็น ทำอย่างไร Twitter ของผมจะเจ๋งแบบของคุณ ผู้ที่มีแม้กระทั่ง Yoko Ono กับ Kevin Rudd มาตาม
ของคุณ:
ส่วนของผม ผมมีไอ้มอดตามครับ
@TonsTweetings
@POR2U
ประเด็นระหว่างแอปเปิลกับกูเกิลมีผู้ที่ตอบไปแล้วครับ และผมไม่มีประสบการณ์ด้านวงการการศึกษา เลยไม่มีความเห็นครับ
ผมเห็นคุณพยายามทำเหตุผลวิบัติด้วยการพยายามยกว่าตัวเองเป็นผู้มีชื่อเสียงในโลกโซเชียลเพื่อให้ความเห็นของคุณดูสูงขึ้น ผมเลยใช้เหตุผลวิบัติโดยการทำลายชื่อเสียงของคุณบ้างแค่นั้นครับ
@sunback
ผมว่าน่าสนใจดีออกครับ นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมเห็นคนมีการเปรียบเทียบคุณค่าของเหตุผลตัวเอง ด้วย follower ของ follower แม้ว่าตัวเองจะแทบไม่เกี่ยวข้องอะไรกับ follower คนนั้นเลยก็ตาม (ตรวจสอบจาก interactions บน http://twtrland.com
แต่เอ ผมว่า twtrland.com นี่มันไม่ใช่เว็บที่มีความน่าเชื่อถือระดับโลกนะ ไม่รู้เขาจะยอมรับกันหรือเปล่า นี่ล่ะปัญหา :/
@TonsTweetings
จากข้อมูล Twitter จริงๆก็คือ ปกติผมไม่ได้ tWitt บ่อยถ้าเข้าไปดูจะรู้ ใช้เมื่อเดือนมกราคม แล้วข้ามมาที่เมษายน และพฤษภาคม และก็ไม่ได้ Twitt เชิงตอบไปตอบมา แต่จะเน้นไปที่ UP ข่าวมากกว่า และก็โพสเกี่ยวกับแนวความคิดบ้าง ซึ่งโดยมากจะใช้ภาษาอังกฤษกับจีนเป็นหลัก
ส่วนเรื่อง Google Scholar ไม่ใช่ทุกมหาวิทยาลัยจะแนะนำให้นักศึกษาใช้ บางมหาลัยจะบอกเพียงแค่ว่า ระบบฐานข้อมูลของเราจ่ายเงินมาด้วยราคาแพงมหาศาลและก็บอกวิธีการใช้ ในการทำวิทยานิพนธ์อาจารย์จำนวนมากก็ไม่ได้พูดถึง Google Scholar ถ้าต้องการสอบถามว่ามหาลัยไหน อาจารย์อะไร ถามได้ใน Face ผม โโยเข้าไปดูใน Twiiter ผม
@POR2U
น่าเสียดาย ผมพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยเป็น ยิ่งภาษาจีนนี่ยิ่งไม่ได้เลย เลยอาจจะไม่ค่อยทราบว่า Twitter ของคุณมันมีดีอย่างไร (kthanksbye)
เรื่อง Scholar ผมไม่เถียงต่อแล้วครับ ไม่รู้จะบอกอย่างไรดีว่ามันเป็นของฟรี และมันไม่เกี่ยวกับเงินที่มหาลัยต้องจ่ายให้กับการเข้าถึง journals แต่อย่างใด มันเป็นแค่ search engine ที่ researcher ที่ดีควรรู้วิธีใช้งานมันไว้ครับ มัน compliment / ใช้ร่วมกับฐานข้อมูลของมหาลัย มันไม่ได้มีมาแทนที่แต่อย่างใด มหาลัยไม่แนะนำให้ใช้ ก็ไม่ได้แปลว่าเขาห้ามใช้ครับ
แต่ประเด็นหลัก อยู่ที่ว่าคุณเอา Google Scholar มาเปรียบเทียบกับ iTunes U ไม่ได้ และ iTunes U ไม่ได้มีคุณสมบัติที่ทำให้มันเกิดคุณค่าทาง academic ได้นอกเสียจากการใช้มันเป็น content delivery เท่านั้นครับ
เพื่อความบันเทิง อยากทราบครับว่ามีมหาลัยไหนบ้าง อาจารย์อะไรบ้างครับ ที่ไม่ได้พูดถึง Google Scholar แต่เอาข้อมูลจาก iTunes U มาอ้างอิงใน thesis / peer reviewed report อย่าตอบเป็นภาษาอังกฤษนะครับ ผมไม่ค่อยเข้าใจ และก็ไม่อยากคุยกับคนบน Facebook ด้วย ผมเป็นคน intimate ครับ
@TonsTweetings
Academic Search Premier , Library PressDisplay , academic journals list of peer reviewed journals , Academic Search Complete เช่น ebscohost, Britannica Online , MEDLINE PubMed , Will Francis ETC.
ไม่ใช่ของมหาลัยใด มหาลัยหนึ่งครับ
ส่วน iBook + iTunes + iTunes U ส่วนตัวผมมองว่าสามารถหาข้อมูลทางวิชาการได้ โโยเฉพาะ ibook ที่ผ่าน iTunes ของ Apple
ในแง่ปฏิบัติข้อมูลวิชาการ อาจจะใช้ของมหาลัยซะมาก แต่หนังสือจะซื้อของ ibook ส่วนตัวก็ยังดีกว่าซื้อที่ศูนย์หนังสือจุฬา ราคามันถูกกว่า(แม้มีบัตรของศูนย์หนังสือแล้วก็ตาม) รอให้มีหนังสือมากกว่าสำหรับ ibook
ส่วนความเห็นด้านบนที่บอกว่าไม่ได้รับความยินยอมอันนี้กรณี Google Book ครับ
@POR2U
น้ำตาจะไหล นี่คุณเข้าใจอะไรบ้างไหมเนี่ย ไอ้ ebscohost นี่คุณว่าเนี่ย มันก็คือ EBSCO ที่ผมพูดถึงในโพสต์ก่อนไง โอยยยยยยยยย
iBook + iTunes + iTunes U หาข้อมูลทางวิชาการได้ งั้นผมก็ว่า iMovie + iLife + iSight สามารถทำอาหารให้ผมได้
พูดเองเออเอง เข้าใจเอง สำเร็จความไม่ฉลาดด้วยตัวเอง แบบนี้แย่นะครับ แต่ไม่คุยต่อแล้ว คุณมันที่ทับกระดาษเดินได้จริงๆ
ซักวันมาหาผมได้นะครับ จะแสดงให้เห็นเลยว่าตอนเขา research เนี่ย เขาทำอย่างไรกันจริงๆ ดีไม่ดี ผมอยากให้คุณสอนใช้ iBook ด้วยครับ ว่าใช้อย่างไรกันในการหาข้อมูลวิชาการ ตอนแรกบอก iBook iTunes U แหล่งข้อมูลวิชาการระดับโลก ตอนนี้เหลือแค่ "ส่วนตัวเห็นว่า..."
ในฐานะคนใช้สินค้าแอปเปิลมาแทบตลอด อายแทนสุดๆ จริงๆ
@TonsTweetings
iBook เป็นร้านขายหนังสือ ที่มีหนังสือทางวิชาการด้วย ในโลกความเป็นจริง ถ้าคุณจะเจาะ ลึกความรู้อะไรขึ้นมาจริงๆ คุณก็ต้องลงทุนซื้อ ไม่ใช่ใช้แต่ของฟรี (จริงๆห้องสมุดก็ซื้อมา) เพราะบางครั้งก้มีข้อจำกัด ไม่งั้นเขาก็ไปใช้ฐานข้อมูลพวกนี้กันหมด ในห้องสมุดไม่ต้องมีหนังสือกันพอดี คุณคิดว่าหนังสือในห้องสมุดเป็นเอกสารทางวิชาการไม่ได้หรือครับ ใช้อ้างอิงประกอบวิทยานิพนไม่ได้ ถ้าคนเขาลงทุนเขาก็ลงกับหนังสือไปเนยยอะก็มี
ผมรู้ครับว่า iBook มันคืออะไร -___- คุณเอามาจากไหนครับว่าผมใช้แต่ของฟรี ไม่เสียเงิน
อยากเจอตัวจริงคุณจังครับ ว่าคุณอยู่มิติไหน ทำไมถึงตลกแบบนี้
ถามหน่อยครับ ใครกันแน่ที่ไม่ได้อยู่ในโลกของความเป็นจริง เอาตัวเลข follower ของ follower มาเกทับคนอื่น
@TonsTweetings
ผมว่าคุณกำลังเข้าใจผิดนะ งานวิชาการ Thesis Dissertation Journal ไม่มีขายใน iBook Store นะครับ
อันนี้มันน่าจริงเลยนะความเห็นนี่ เอกสารทางวิชาการหลายเล่มไม่ได้ออกมาในรูปแบบ Thesis / Dissertation Journal(โท/เอก) แล้วคุณคิดว่า วิทยานิพนมันมีในศูนย์หนังสือจุฬามั้ยล่ะครับ ไม่ีรู้จะบรรยายเลยจริง ใครไม่รู้กันแน่(ไม่อยากใช้คำแรงกว่านี้)มันเหลือเชื่อมาก ที่จะมีคนคิดว่าจะไปหาวิทยานิพันที่ศูนย์หนังสือต่างๆ อาทิ ศูนย์หนังสือจุฬา ถ้าเป็นอันนี้ก็ต้องเป็นบริการตามห้องสมุด ไม่ใช่ศูนย์หนังสือ ใครๆก็รู้กันดี และหนังสือที่เป็นเอกสารทางวิชาการที่วางออกจำหย่ายก็สามารถทำให้คนเรามีตำแหน่งทางวิชาการที่สูงขึ้นได้ ทั้ง ผศ , รศ แล้วคนที่เขา PhD แล้วเขาอยากจะหาเงินเข้ากระเป๋าก็มีเยอะ
แต่ Google Scholar หางานวิจัยเจอนะครับ =, =''
Google Scholar หาแล้วจะโผล่ให้ไปซื้อนะครับ ไม่ได้เอามาแจกให้โหลดฟรีๆ จะมีฟรีแค่หนังสือเก่าๆบางเล่มที่หมดลิขสิทธิ์แล้ว หรือที่เอามาสแกนให้ดูกันใฯ google book ครับ
Thesis / Dissertation Journal เขาห้ามจัดจำหน่ายนะครับ
เหมือนจะเคยเห็นวิทยานิพนธ์ที่ "ขาย" อยู่นะครับ เท่าที่ทราบคือในไทยมีปัญหากันที่ไม่ชัดเจนว่าวิทยานิพนธ์เป็นลิขสิทธิ์ของมหาลัยหรือคนทำ (เห็นว่าปกติจะเป็นลิขสิทธิ์ร่วมกัน แต่บาง ม. จะบังคับว่าให้เป็นลิขสิทธิ์ของ ม.) ถ้าจะพิมพ์ขายก็ต้องตกลงกับทางมหาลัยก่อนครับ
อีกอย่างเอกสารทางวิชาการไม่ได้มีแต่วิทยานิพนธ์ครับ พวกงานวิจัยที่ทำขายกันก็เยอะแยะ
ลองใช้ google scholar ดูนะครับ กดเข้าไปมันจะให้ล็อกอิน หรือกดซื้อ full text
เอกสารทางวิชาการไม่ได้มีแต่วิทยานิพนธ์ครับ >> ถ้าดูในคอมเม้นอันนี้ผมไม่มีข้อสงสัยอยู่แล้วครับ
ถ้าจะค้นหาเหล่านั้น อย่างที่ผมบอก ผมไม่ได้ใช้ของ Google
สิทธิ์ของคุณครับที่จะไม่ใช้บริการของกูเกิลในการค้นหา ขอย้ำอีกทีว่าประเด็นมันอยู่ที่ที่คุณบอกว่า Google Scholar ยังห่างไกล iTunes U ครับ ซึ่งในความเป็นจริง Google Scholar มีประสิทธิภาพในการหาเอกสารทางวิชาการมากกว่า iTunes U มากครับ
การที่เอาประเด็นที่ว่า ibook + iTunes U ดีกว่า Google Book + Scholar
แล้วมาเรียบเรียงอีกทีว่า iTunes U ห่างไกลจาก Scholar มันน่ามั้ยล่ะ น่าอายนะครับ
พยายามอย่าตัดต่อคำพูดครับ
แล้ว Scholar ก็ไม่มีฐานข้อมูลหรือ บทความทางวิชาการของตนเองด้วย เป็นแค่บริการระดับ Google.com ในความเป็นจริงเวลาคนเขาจะหาบทความทางวิชาการตามห้องสมุด เขาก็ไม่ได้ไปแตะ Scholar และเขาก็เน้นใช้ฐานข้อมูลห้องสมุดซึ่งเพียงพอแล้วสำหรับการใช้งาน
ibook มีเอกสารทางวิชาการของตนเองในรูปแบบหนังสือ ปละมีเยอะกว่า google Book ผมถึงสรุปกว่าของ Apple ดีกว่าในแง่นี้ครับ
ฮา พูดประมาณว่าจะหาข้อมูล secondary data ทางวิชาการ ให้หาแถวบ้านดีแล้ว ไม่ต้องมีอินเทอร์เน็ตหรอก พูดอะไรออกมาแบบนี้นี่ของปลอมแน่นอน
@TonsTweetings
"iBook เป็นร้านขายหนังสือ ที่มีหนังสือทางวิชาการด้วย"
นี่ไม่รู้จริงๆหรือแกล้งไม่รู้ครับ พวกเซเลบที่ฟอลคนเยอะๆ เขาไม่ได้ฟอลเพราะสนใจทวีตคุณเลย เขาฟอลแค่เรื่อวของการตลาดครับ ทวิตเตอร์พวกนี้ไม่อ่าน home หรอกครับ วินาทีนึงเด้งมาเป็นร้อยเป็นพันข้อความ เขาอ่านจากช่องเมนชันและการค้นหาครับว่าใครพูดถึงเขาบ้าง
คุณต้องไปดูบริบทแต่ละคน หลาายคนไม่เกี่ยวกับการตลาดและโพสของผมก็ไม่ได้ไปกล่าวถึงเขา หรือจะมีความเป็นประโยชน์ต่อการตลาดของเขาแต่อย่างใด ไม่ได้แสดงออกถึงพฤติกรรมผู้บริโภค ผมมีแต่ลิ้งอย่างอย่างเวลาโพส
อีกความเห้นนึงที่คุรบอกว่าถ้างั้นจะเอาหนังสือSHMนั้นมาอ้างทางวิชาการ จริงๆคุณก็ควรจะพูดให้มันเป็นเหตุเป็นผล ในร้านหนังสือแต่ละร้านก็มีหนังสือต่างกัน จะบอกว่าหนังสือที่ซื้อมาจากร้านเป็นเอกสารทางวิชาการไม่ได้ คุณก็กำลังบอกว่า ศูนย์หนังสือจุฬา ไม่มีหนังสือทางวิชาการสิ ร้าน ibook ของ Apple ไม่ใช่ร้านแบบ เซ่เว่น เพราะมีหนังสือทางวิชาการจำนวนมากลและอนาคตก็กำลังมากขึ้น ถ้าเทียบกับ google Book ร้าน iBook ดูน่าเชื่อถือกว่า
คุณต้องดูด้วยครับว่าที่เค้าฟอลเป็นหมื่นนั่นเค้าจะอ่านได้จริงๆหรือเปล่า ทวิตเตอร์ดังๆ หลายคนเป็นประเภทฟอลมาฟอลกลับครับ ไม่เคยอ่าน (แต่หลังๆพอฟอลไว้เยอะๆ ก็จะเลิกฟอลมาฟอลกลับ) ยกตัวอย่างง่ายๆคือคุณทักษิณ ช่วงแรกๆใครตามพี่แก พี่แกตามกลับหมด ตอนหลังแกก็เลิก นี่จะหมายถึงคนที่เค้าตามทวีตได้น่าสนใจเหรอครับ? ก็ไม่ (คนหลายๆคนตามพี่แกเพื่อจะด่า พี่แกก็ฟอลกลับ)
การที่คุณบอกให้ไปดูว่ามีคนดังคนไหนบ้างที่ฟอลคุณ มันเป็นพฤติกรรมหลงตัวเองครับ
สำหรับประเด็นเรื่องหนังสือวิชาการตอนนี้ มันอยู่ตรงที่คุณบอกว่า google scholar ยังห่างไกล itunes u ครับ บริการสองอย่างนี้มีจุดร่วมกันอย่างเดียวคือ "สามารถค้นหาได้" ในขณะที่ itunes u จะสืบค้นจากในคลังของตัวเอง ที่ผู้ใช้แทบจะอัพโหลดอะไรก็ได้เข้าไป (รวมถึงสไลด์การสอน และหนังสือที่อาจจะนั่งเทียนเขียนเองก็ได้)
ในขณะที่ google scholar จะเป็นบริการสืบค้นเอกสารทางวิชาการ "แบบเดียวกับตามห้องสมุด" อย่างที่คุณอ้างถึง ในจุดนี้กูเกิลไม่ได้ทำตัวเป็นที่ให้เอาเอกสารมา publish แต่จะเป็นการค้นไปยังคลังของเว็บวิชาการที่เขา publish เอกสารเหล่านี้กันจริงๆ
ส่วน google book เท่าที่ทราบคือมันจะเป็นคลังเก็บสแกนของหนังสือเก่าๆ และมีบริการขาย ebook ด้วย ซึ่งว่ากันตามเนื้อผ้าแล้วก็ไม่ต่างกับ ibook สักเท่าไหร่ (คุณลองนึกถึงร้านซีเอ็ดกับร้านนายอินทร์สิ) แต่ก็ต้องยอมรับว่าในแง่ความนิยม ibook ได้รับความนิยมกว่ามาก (ซึ่งก็ไม่ได้การันตีกว่าเนื้อหาคุณภาพจะมากตามไปด้วย)
คนที่ตามคุณเนี่ย เค้าก็ตามคนอื่นเยอะแยะน่ะครับ ไม่ใช่คุณพิเศษอะไรหรอกครับ ไม่งั้นผมก็คงอ้างได้ว่า ขนาด Official twitter Nokia ที่มีคนตามอยู่เกือบ 5แสน ยังติดตามผมเลยครับ เหอๆ
ผมว่าจริงๆ เค้าคงอ่านออกครับ ไม่งั้นคงไม่สามารถหาข้อมูลจาก Wikipedia ได้ แต่ที่เค้าทำคือไม่ได้อ่านต่างหาก :)
คอมเมนท์ผมเขายังไม่อ่านเลย 55555
@TonsTweetings
อืม ผมเข้าใจว่า.. เวลาคุณจะหาข้อมูลสุขภาพจากรพ. ต่างๆ คุณก็คงจะขับรถไปรพ. นั้นๆ เพื่อถามประชาสัมพันธ์เค้าว่า เว็บไซต์โรงพยาบาลมี URL ว่าอย่างไร, เวลาท่อประปาที่บ้านรั่ว คุณก็คงเปิดสมุดหน้าเหลือง หาเบอร์โทรช่างประปา
iPAtS
iTunes U และ iBook เป็นแค่ร้านหนังหนังนะครับ ไม่ใช่คลังเอกสารวิชาการ คุณพูดว่าข้อมูลพวกนี้หาจาก iTunes U กับ iBook ก็ได้ มันไม่ต่างกับคุณไปเอาหนังสือในเซเว่นมาเป็นข้อมูลหรอกครับ
Siri นี่รอมันพิมพ์ค้นหาได้ก่อน แล้วค่อยว่าจะมาแทน ใครมันจะไปพูดให้วิเคราะห์ออกมาถูกต้องได้หมดทุกครั้ง
ส่วน Bing นี่คงอีกนานกว่าจะหาได้หลายภาษา
youtube นี่ผมว่ามันไม่ทันแล้วละ คงต้องรอ หลังจาก iOS 7 ที่จะรวม Vimvo มาว่ามันจะจุดติดไหม
ต่อด้วย
ต่อด้วย
สรุปที่คุณกล่าวมามีคือ iTunes ที่เป็นของ Apple (แถมบน Windows ก็มีด้วย) ที่เหลือไม่ใช่ของ Apple เลย แถมแทบทุกอันมีบน Android
ดังนั้น เราก็ไม่จำเป็นต้องใช้ Apple ก็ได้ เพราะใช้ Windows ของ Microsoft ก็ทำได้ Android ก็ทำได้
แล้วใช้ของ Apple ไปทำไมครับ? ราคาไม่ใช่ถูกๆ นะครับ
อ้อ เห็นคุณส่วนตัวคุณใช้ (และมีบัญชี) Youtube ด้วย ไหงไม่ใช้ SacialCAM/Vimeo/Yelp อะไรพวกนั้นละครับ Youtube อยู่จุดไหนของสังคม IT กันแน่ :P
ยอมแพ้ บ่องตง อันไหนทำแล้วไม่มีความสุข อย่าฝืนเลย
ปกติใช้ search engine ตัวไหนอยู่ครับ? ดูคุณ bias กับ Google มากเลย
Siri ไม่ใช่ search engine นะครับ
Dream high, work hard.
มีแต่แฟนคลับหรือสาวกสุดขั้วเท่านั้นแหละที่คิดแบบนี้ คนที่ใช้ Apple ส่วนใหญ่มากๆเขาไม่ได้คิดลึกขนาดนี้ ถ้าจะหา เหตุผลที่จะเลิกใช้บริการของกูเกิล เหตุผลเดียวคือ มีบริการอื่นที่ดีกว่า โดยเฉพาะใครที่ทำธุรกิจมีบริษัทแล้วไม่ใช้กูเกิลให้เป็นประโยชน์คุณจะสูญเสียโอกาสดีๆมากมาย กูเกิลมีเครื่องมือช่วยวิเคราะห์ตลาดให้ใช้ฟรีๆ
ปัญหาดราม่า เป็นเรื่องปกติของโลกออนไลน์ อ่านแล้วก็ผ่านเลยไป ขำๆ ไม่เคยเห็นหน้ากัน อาจเป็นเด็กๆอายุไม่ถึง 15 มาโพสก็ได้
ตอนนี้มีแต่ Google ประเทศไทย รอมี Apple ประเทศไทย ค่อยว่ากัน
รักคนที่เขารักเราดีกว่า :D
ได้ใจเต็มๆ เรารัก Google เพราะ Google รักเรา!!!! XD
Google ไม่ได้รักประเทศไทยอะไรหรอกฮะ เค้าก็แค่อยากขายของ
มีกูเกิ้ลไทย แต่คนไทยขายแอพจ่ายเงินให้ไม่ได้ หรือจ่ายเงินยูทูปไม่ได้นะครัฟ
รักมากแต่จ่ายเงินยากเต็มทนอิอิ
จริงๆผมอยากตอบนะ แต่ผมกลัวคุณจริงๆ ><
น้องปอครับ การจะมาบอกว่าอะไรดีกว่าอะไรแบบสุดโต่งมันก็ทำได้นะ แต่ก็จะมีการตอบสนองจากเพื่อนๆที่ไม่เห็นด้วยอย่างที่เห็นนะ ก็เป็นสีสันดี 555+
เทคโนโลยีเดี๋ยวนี้มันพัฒนากันเร็ว การที่จะบอกว่าอีกหน่อยตัวนั้นจะมาแทนตัวนี้ พี่คิดว่าในด้านการแข่งขัน เค้าไม่ปล่อยให้คู่แข่งช่วงชิงตลาดที่ตัวเองเคยเป็นอันดับ 1 ไปง่ายๆแน่ครับ แต่ก็ไม่ผิดอะไรนะที่จะแสดงความเห็นในฐานะ Fan Boy ^^
ปล.ที่นี่มีผู้รู้ผู้ติดตามเทคโนโลยีเชิงลึกและยาวนานค่อนข้างเยอะ แนะนำว่าลองฟังๆเพื่อนๆเค้าก็จะได้มุมมองอีกมุมนึงที่แตกต่างกับเรานะครับ พี่ก็สังเกตุเห็นน้องใช้ Mac ตั้งแต่เรียน ตอนนี้เทพรึยังเนี่ย ^^
ออ นึกว่าใครพี่เม้งเอง ^_^
อย่างที่พี่ทราบนะครับ ในตอนที่ผมเรียนในปีนั้นที่รู้จักกับพี่ ตอนนั้นรับตำแหน่งประธานสโมฝ่ายวิชาการและเปิดกลุ่มนักพัฒนาซอฟแวร์ iPhone OS (ตอนนั้นใช้ชื่อนี้)โโยมีท่าน ดร.สุเจต จันทรังษ์ เป็นที่ปรึกษาโดยตรง(ท่านอธิการบดี)เพราะผมทำชมรมกับท่านมาตั่งแต่สมัยชมรมคริสตเตียน ในตอนนั้นมีพี่นักศึกษา ป.โทเข้ามาร่วม ตอนนั้นก็เขินๆเพราะผมต้องเป็นคนอธิบาย(ไม่อยากใช้คำว่าบรรยาย)หลักการด้วยตนเองด้วย โดยใช้ห้อง Lec ชั้นรองลงมาถัดจากชั้นห้อง ดร.สุเจตน์ ในปีนั้นมีบางครั้ง ไปอธิบายหลักการเทคโนโลยีของ Apple โดยเฉพาะเกี่ยวกับการใช้ข้อมูลวิชาการจาก iTune ที่สำนักหอสมุด โโยเป็นส่วนหนึ่งของวิชา Information Literacy เพราะ ท่านผู้อำนวยการสำนักหอสมุดให้เข้าไปอธิบายให้นักศึกษารุ่นน้อง ปีนั้นก็พัฒนาภาษาอังกฤษอย่างก้าวกระโดมีผลให้อ่านเอกสารทางวิชาการภาษาอังกฤษได้ดี เพราะพามิสชั่นนารี ดร.บ็อบ จากโบสแป๊บติส ที่อเมริกามาสอนภาษาอังกฤษให้เจ้าหน้าที่และอาจารย์(ภาษาระดับสูง)
ก็มีความรู้มากขึ้นมากมาย และก็หลังจากนั้นอีก 1 ปี ก็มีอาจารย์ดร.เล็กซึ่งเป็นนักวิชาการจาก Apple Thailand (ีรู้จักโดยบังเอิญ) เข้ามาร่วมกับท่าน ดร.เคี๊ยง โดยผมนำเข้ามา และก็ทำมห้เกิดหลักสูตรเป็นรูปธรรม เพราะตอนนั้น ดร.เคี๊ยงรับผิดชอบ หลักสูตรโมบาย ของคณะ IST อยู่ แล้วปีต่อมาก็มาเป็นผู้บริหารหลักสูตรเน็ทเวิร์ก
ตอนนี้ก็พยามให้ตนเองมีผลงานเป็นที่รู้จักในระดับโลก ฝากไว้กับพระเจ้าครับ
อ่านนี้แล้ว ผมกลัวจนตัวสั่นเลย มีชื่อบุคคลที่สามที่ผมไม่รู้จักมากมาย ดึงพระเจ้าเข้ามาเกี่ยวอีก
ผมว่าคุณอาจจะเทคโมดูลผิดนะ น่าจะเป็น Information Illiteracy มากกว่า
@TonsTweetings
+1
เวลาดูสาวชอบดูสาวขาวๆ Sex Sex เวลาดู Notebook ชอบแบบ"ถึกๆดำๆ"
Twitter : @Zerntrino
G+ : Zerntrino Plus
อันนี้ไม่เชิงนะ เห็นข่าวนี้แล้วผมเฉยๆ คือของ Apple ไม่ให้ทางเลือกกฃับผู้ใช้งานครับ เค้าเลยด่ากัน เพราะคนยังใช้งานกันอยู่เยอะ แล้วมันไม่มีตัวทดแทน หรือ Google maps App ที่เป็นตัวofficial คนเลยด่ากันครับ
5555
ปกป้อง | เฟสบุ๊ก | ทวิตเตอร์
เมืองเป็นกองขยะเหมือนกันสินะ 555+ เดี๋ยวก็ดีเอง
แต่สำหรับประเทศไทย Apple Map ยังไม่มีเกาะเสม็ดทั้งเกาะเลย
แพ้ Google map ขาดลอยในเรื่องข้อมูล
+1
อืม ภาพจากไอแพด ให้ภาพที่คมกว่า ดูชัดกว่า คอนทราสก็ดีกว่า..
ห๊ะ ไม่ได้เปรียบเทียบเรื่องนั้นหรอ?
ส่วนตัวผมว่า Streetview นี่ใช้ประโยชน์ได้จริงๆ มากกว่า 3D Map พวกนี้เยอะเลยน่ะ
แผนที่ที่มีข้อมูลครบถ้วน ดีกว่าแผนที่ที่สวยงาม แต่ไม่มีอะไรเลย
เป็นการถกเถึยงที่ไร้สาระมาก คนไทยขาดเหตุผลกันขึ้นทุกวัน เบื่อมากพวกสาวกมาเถียงกัน ไม่รุ้ว่าสุดท้ายได้อะไรกัน เพื่อสุดท้ายแล้วมีคนชนะคนแพ้? เพื่อความสะใจ? อะไรตอบโจทย์ก็ใช้อันนั้นแหละเถียงกันทำไม ผมใช้อยู่ยี่ห้อนึง เหตุผลมีอย่างเดียวคือมันรองรับความต้องการของผมได้ทุกอย่าง พร้อมจะเปลี่ยนไปยี่ห้อไหนก็ได้ที่ผมคิดว่าดีกว่าและตอบโจทย์
ยาวไปไม่อยากอ่านก็กด toggle ปิดไปได้ครับ
ผมว่าไม่มีพวกสาวกอะไรหรอกครับ เห็นมีอยู่คนเดียว
ไร้สาระ? ผมกลับมองว่าสาระอย่างเยอะเลย ที่ี่เขาเถียงกันโดยยกเหตุผลมาพูดมาค้านกันครับ ใครไม่ค่อยมีเหตุผลจะเห็นกันชัด ๆ เลย (กรณีนี้ก็เห็นชัด ๆ) ผมไม่รู้หรอกว่าสุดท้ายคนเถียงกันเขาได้อะไร แต่ผมอ่านแล้วผมเข้าใจบริการนู่นนี่นั่นมากขึ้นเยอะ
เทคโนโลยีไม่ผิด คนใช้มันในทางที่ผิดนั่นแหละที่ผิด!?!
มาม่าเว็บนี้ให้ความรู้ค่รับ คนมีปัญญามันต้องมาม่าแบบนี้
เห็นด้วยๆ ฮ่าๆ
สรุปว่า Google ก็ถล่มตึกเหมือน Apple สินะ
Dream high, work hard.
เค้าเรียกว่า gravity force อิอิ
ถึงข้างบนๆๆ ได้อ่านโพสที่เค้าตอบผมก่อน edit กันบ้างไหมครับ xD
Russia is just nazi who accuse the others for being nazi.
someone once said : ผมก็ด่าของผมอยู่นะ :)
อันนั้นผมหมายถึง ผมอยู่ในช่วงเรียกรู้และจะสานต่อ ธุรกิจทางครอบครัวนะ
ผมหมายถึงเรื่องที่คุณอ้างตัวเองว่าตัวเองเป็นคนดีหน่ะครับ xD
ปกติคนเค้าไม่ทำกัน
Russia is just nazi who accuse the others for being nazi.
someone once said : ผมก็ด่าของผมอยู่นะ :)
อย่างน้อยก็ยังไม่เกรียนและใช้เหตุผลในการพูดคุยนะครับ (แม้เหตุผลมันจะไม่ค่อยสมเหตุสมผลก็ตาม = =")
เพิ่งเห็นลุงต้นจัดหนักนะเนี่ย
Coder | Designer | Thinker | Blogger
คงเหลืออดล่ะครับ :p
ผมแอบปักธงดูอยู่ห่างๆ พอแล้วครับ...
Dream high, work hard.
ไปเจอ G+ มา บอกได้ว่าไม่ธรรมดาจริงๆ
ไม่ธรรมดาจริงๆแหละครับ คนระดับนี้ นาซ่าพลาดได้อย่างไร
อ่านแล้วเพลีย
That is the way things are.
กลายเป็นการตอบโต้ เพื่อให้ตัวเองดูดี พอกันทั้งสองฝ่าย อย่าให้ถึงกับขุดคุ้ยเรื่องส่วนตัวมาวิจารณ์กันเลย
อา...คลายหิวมื้อเที่ยง
ช่างไฟสมัครเล่น (- -")
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว จำได้ว่าเคยอ่านดร่ามายาวๆ แบบนี้ ตอนนั้นยังไม่เป็นสมาชิก BN เลยด้วยซ้ำ
คนขี้ลืม | คนบ้าเกม | คนเหงาๆ
นึกว่าจบไปแล้วซะอีก ไม่ทราบว่ารู้สึกแสบที่สีข้างบ้างไหม?
55 เพิ่งกินมาม่า(จริงๆ) ไปตอนบ่าย ตกเย็นมีมาม่า(สมมติ)มาให้เสพอีกละ แต่รอบนี้โอเคนะครับ อ่านแล้วสนุกดี ดีกว่ายกไบเบิลมาเป็นบทๆ น่ะ T^T
@ Virusfowl
I'm not a dev. not yet a user.