หลังจากที่มีกระแสต่อต้านในออสเตรเลียค่อนข้างรุนแรง Adobe ได้ปรับราคา Creative Cloud ในออสเตรเลียจากเดิม 62.99 ดอลลาร์ออสเตรเลีย มาเป็น 49.99 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นค่าบริการที่พอ ๆ กันกับค่าบริการในสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีค่าเงินที่มีมูลค่าเกือบเท่ากันมาได้ระยะหนึ่งแล้ว
แต่ถ้ากลับมาดูชุดซอฟต์แวร์ Creative Suite Master Collection ซึ่งยังวางขายอยู่ทุกวันนี้ จะพบว่าชุดซอฟต์แวร์นี้ในออสเตรเลียมีราคาขายอยู่ที่ 4,334 ดอลลาร์ออสเตรเลีย หรือประมาณ 123,890 บาท ในขณะที่ชุดซอฟต์แวร์เดียวกันมีราคาขายในสหรัฐฯ อยู่ที่ 2,599 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 80,478 บาท ส่วนต่างเกือบ 1,800 ดอลลาร์นี้ เมื่อเทียบกับค่าตั๋วเครื่องบินไปกลับจากออสเตรเลียไปสหรัฐ ที่มีราคาอยู่ที่ 1,147 ดอลลาร์ หมายความว่าคนออสเตรเลียที่บินไปซื้อชุดซอฟต์แวร์นี้ นอกจากจะได้ซื้อของถูกกว่าแล้ว ยังจะประหยัดได้อีกกว่า 650 ดอลลาร์
ในออสเตรเลีย รัฐบาลกำลังเร่งให้บริษัทไอทีทั้งหลายออกมาชี้แจง ว่าทำไมสินค้าชิ้นเดียวกันถึงมีราคาสูงกว่าในออสเตรเลีย เมื่อเทียบกับสหรัฐอเมริกา ทั้ง ๆ ที่ค่าเงินมีมูลค่าแทบไม่ต่างกันเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สินค้ากลุ่ม digital content ที่ไม่น่าจะมีต้นทุนในการทำตลาดเข้ามาเพิ่ม
ที่มา - News.com.au
Comments
ผมนึกว่าภาษีออสเตรเลียแพงซะอีก
ค่าตั๋วไปกลับ 50000 คุ้มสิคุ้ม
จะคุ้มยิ่งกว่านั้นเมื่อมีคนฝากซื้อสัก 10 ชุด
เมืองไทยก็เหมือนกัน พวกไมโครซอฟท์ชอบตั้งราคาพอๆกับเมืองนอก โดยไม่ดูค่าเงินในประเทศ แล้วก็โดนก็อปไปขาย ก็บ่นว่าคนไทยไม่รักษาสิทธิ์
เอิ่ม
ผมว่าหากรับไม่ได้ วิธีที่ดีที่สุดคือ
เพราะว่าหากเขาขายไม่ได้ ก็คงต้องทำอะไรซักอย่าง แต่ถ้าเขาขายได้อยู่ อาจแปลว่าปัญหานี้เป็นปัญหาเฉพาะตัวบุคคล
@TonsTweetings
มันต่างกันตรงที่ "ขายพอๆ กับประเทศอื่นๆ" แล้ว แต่ในกรณีออสเตรเลียคือ "ขายแพงกว่าประเทศอื่นๆ อย่างชัดเจน" อันนี้ต่างกันนะครับ
บริษัทไม่ผิดแน่นอนในกรณีแรก เพียงแต่การตั้งราคาเท่ากันทั่วโลก ไม่มีการ Cross Subsidisation บริษัทก็ต้องรู้อยู่แล้วว่ายอดขายในประเทศแบบบ้านเราที่ผลิตภัณฑ์มันมีราคาสูงเมื่อเทียบกับค่าครองชีพมันย่อมต่างกับประเทศที่มันราคาต่ำเมื่อเทียบกัน
แต่ก็ไม่เกี่ยวกับข้ออ้างในการละเมิดลิขสิทธิ์สักหน่อย ผิดคือผิด ไม่ถูกหรอกครับ
ปล. เดี๋ยวนี้ MS บางอย่างก็ถูกกว่า US ซะอีกก็มีนี่นา
จะถูกจะแพง คนที่จะซื้อก็อบก็ซื้ออยู่วันยังค่ำครับ โดยจะบอกว่าบ้านจน
บริษัทอาจจะคิดว่ายังไงก็โดนก็อบงั้นขอกำไรจากไอ้แผ่นที่ขายได้หน่อย
เม้นแบบนี้ ... สงสัยอยากโดนละเลง ...
ที่จริงขนาดประเทศติดกันอย่าง Canada ของยังแพงกว่าใน US เลยครับ
เอาตัวอย่างที่ผมเพิ่งดูมาละกัน Microsoft Visual Studio 2012 Professional ราคาแบบออนไลน์ที่ US ขายอยู่ USD499 ในขณะที่แคนาดาขายอยู่ที่ CDN667
แล้วค่าใช้จ่ายในการเข้าไปขายในแคนาดามันสูงกว่าในยูเอสเหรอครับ ในเมื่อทุกอย่างมันออนไลน์เนี่ย 555 ไม่รู้นะ
ปล.ราคาข้างบนยังไม่รวม GST/HST กับ Sales Tax ทั้งหลายเน่อ ถ้าผมซื้อที่ Toronto แคนาดาผมจะต้องซื้อที่ราคา CDN667+HST13% = CDN753.71 ครับ ส่วนอัตราแลกเปลี่ยนวันนี้ CDN1.00 = USD0.97138
ปลล. บ้านเราไม่มีขายแบบดาวน์โหลด สงสัยคงรู้ว่าไม่มีใครซื้อมั้ง ?
สกุลเงินแคนาดสน่าขะ CAD นะครับ
ผมเจอทั้งสองอย่างครับ
ถ้าใช้ตามรหัสที่ใช้ระหว่างประเทศ ก็ CAD ครับ ส่วน Cdn นี่ เข้าใจว่าเป็นตัวย่อที่ใช้เขียนกันทั่วไป
เท่าที่เห็นตอนนี้ที่ Canada ถูกกว่า US อยู่ 2 อย่างครับ คือ ยา กับหนัง/ซีรีส์แผ่น Blu-ray เวอร์ชั่นแคนาดา โดยเฉพาะอย่างหลังเนี่ยถูกกว่ากันเกือบ 2-3 เท่าได้
ในเมื่อซอฟท์แวร์มันก๊อบไปขายได้อยู่แล้วมันจะเสีย Bardwidth มากนักหรือ อันนี้ผมก็คิดเหมือนกันนะ
ของแคนาดา ผมสงสัยว่าเป็นผลจากช่วงก่อนหน้านี้ขนาดไหน (ลองดูเรตช่วงกลาง 90s จนถึงกลาง 2000s อัตราแลกเปลี่ยนเหมือนจะเกิน 1.30 CAD/USD ตลอด)
แต่สินค้าออนไลน์มันก็ไม่ควรจะมีผลมากจริงๆ ล่ะนะ เพียงแต่ว่า มันก็ดูจะล้อกับสินค้าอื่นๆ แบบ หนังสือ ของเล่น อะไรพวกนี้ แปะสองราคาหมด (เคยอยากได้ของเล่นชิ้นนึง แต่เห็นแปะราคาแคนาดาสูงกว่าเกือบเท่าตัวแบบเห็นๆ เลยซื้อไม่ลง)
นึกถึงเรื่องนึงที่ไม่เกี่ยวกันเท่าไหร่ คือตอนเรียนวิชา International trade อาจารย์พูดเรื่องว่า การต้องข้ามพรมแดนประเทศ มีผลกับการค้าขนาดไหน โดยใช้สถิติการค้าระหว่างแต่ละรัฐ (state/province) ในสหรัฐกับแคนาดา เอามาเทียบกับระยะทางระหว่างแต่ละรัฐ พบว่า การค้าภายในประเทศเอง สูงกว่ามากๆ ทั้งที่ชายแดนก็ค่อนข้างเปิด ภาษาส่วนใหญ่ก็ไม่ต่าง (คือสรุปว่า ขนาดพรมแดนประเทศที่อุปสรรคน้อย ความต่างน้อย ก็ยังไม่ได้แปลว่าจะค้าได้ง่ายๆ)
บินไปทำไมก็ฝากเพื่อนที่ เมกาซื้อให้สิ
ข่าวเขาตั้งเพื่อสื่อว่ามันต่างขนาดบินไปกลับยังถูกว่าครับ!
เพราะถ้าตั้งแค่บอกว่าฝากเพื่อนที่อเมริกาซื้อถูกกว่าคงไม่เป็นที่คนใส่ ^_^
แก้ปัญหาแบบนินเทนโดสิครับ ล็อคโซนเลย
จำได้ว่าจะดูหนังที่ออสเตรเลียนี่ต้องรอสองเดือนหลังจาก US ฉายไม่เหมือนเมืองไทย แถมเน็ตที่นั่นกว่าจะได้ 3G มานี่รอเป็นชาติๆเลยครับกว่า Coverage จะเข้ามาในเมืองแต่ละเมือง ที่นั่นความจริงจะว่าไปก็ออกจะหลังเขาเอาการอยู่นะครับ อยู่ที่นั่นมา 3 ปี กลับมาเมืองไทยรู้สึกว่าหาซื้ออะไรไฮเทคๆได้ง่ายกว่า ถูกกว่า และบริการก็เร็วกว่าครับ ศูนย์โทรศัพท์ที่นั่น (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Telstra กับ 3) เลวร้ายมากๆครับ ใช้ Optus กับ Vodafone ดีกว่า (แต่ก็ยังช้าพอๆกัน)
จะดีก็แต่เล่นกระดานโต้คลื่นกับกินเบียร VB ครับ ฮาๆ
ขอบคุณครับ สวัสดีครับ
ทุกวันนี้ไม่เป็นแบบนั้นแล้วครับ เขามี LTE ครอบคลุมกว่าเราเยอะ แต่ Indoor coverage ก็ยังแย่มากอยู่ (ยกเว้นใช้ Telstra, 3 นี่แย่ทุกประเทศอยู่แล้วยกเว้นฮ่องกงกับเดนมาร์ก)
ส่วนหนังนี้ตอนนี้ก็ไม่ต้องรอแล้วครับ ค่ายโดนเล่นงานซะเยอะ ตอนนี้ premiere พร้อมกันกับ Asia Pacific แล้ว ก่อนหน้านี้ระบบ distributor ดันโดนไปรวมกลุ่มกับประเทศยุโรป
@TonsTweetings
LTE นี่ครบทั้งสามเจ้าแล้วนะครับ แรงใช้ได้อยู่ แต่ค่าโทรก็แพงเอาหารอยู่
ช๊อคโกแลตถูกกว่าบ้านเรานะครับ ใครอยากมาเพิ่มน้ำหนักที่ออสเตรเลียเป็นเรื่องสบายมากๆ :3
I'm ordinary man; who desires nothing more than just an ordinary chance to live exactly what he likes and do precisely what he wants.
ประเด็นนี้น่าสนใจครับ
/me กดหาทริปไปออสเตรเลีย
Dream high, work hard.
ฝากซื้อครับ