เป็นหนังสือที่ผมอ่านรวดเดียวจบ และคิดว่าน่าจะมีประโยชน์มากต่อผู้ประกอบการหรือ startup ทุกคน เลยมาเขียนเป็นรีวิวแนะนำให้อ่านกันครับ
หนังสือ "ใช้ความสุขทำกำไร" แปลมาจากต้นฉบับภาษาอังกฤษ Delivering Happiness ของ Tony Hsieh (อ่านว่า โทนี่ เซ) ซีอีโอของเว็บขายรองเท้ารายใหญ่ของโลก Zappos.com ที่ขายกิจการให้ Amazon ไปเมื่อปี 2009 ด้วยมูลค่าถึง 1.2 พันล้านดอลลาร์
อย่างไรก็ตามหนังสือเล่มนี้เป็นมากกว่าประสบการณ์ทางธุรกิจ เพราะมันนำเสนอมุมมองทั้งในแง่ผู้ประกอบการ การใส่ใจลูกค้า การใส่ใจพนักงาน และการสร้างวัฒนธรรมองค์กรด้วย
เนื้อหาใน ใช้ความสุขทำกำไร แบ่งออกเป็น 3 ภาค/ตอน ขอใช้ชื่อตามต้นฉบับภาษาอังกฤษดังนี้
ตอนแรก Profits เล่าถึงชีวิตของโทนี่ตั้งแต่เด็กจนกระทั่งมาทำงานกับ Zappos (เขาไม่ใช่ผู้ก่อตั้งแต่เป็นนักลงทุนที่ตอนหลังเข้ามาเป็นซีอีโอ) ช่วงนี้จะเน้นที่จิตวิญญาณผู้ประกอบการของเขาตั้งแต่วัยเด็ก
โทนี่เป็นคนจีนที่เกิดในอเมริกา พ่อแม่ของเขาถือคติแบบเอเชียที่ต้องการให้ลูกเน้นการเรียน เพื่อเข้ามหาวิทยาลัยชื่อดัง และทำงานในสายวิชาชีพที่มั่นคง (เขาเรียนฮาร์วาร์ดและตั้งใจจะเรียนแพทย์ในช่วงแรก) แต่โทนี่สนใจด้านธุรกิจ ลองทำการค้าส่วนตัวมาตั้งแต่เด็ก (มีทั้งล้มเหลวและสำเร็จ) สุดท้ายตัดสินใจเรียนด้านคอมพิวเตอร์ตามกระแสอินเทอร์เน็ตที่กำลังเริ่มมาในช่วงนั้น
เรียนจบแล้วเขากับเพื่อนเข้าทำงานที่ออราเคิลแต่ก็เบื่อกับงานซ้ำซาก เลยลาออกมารับทำเว็บแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่หวัง สุดท้ายเขาได้ไอเดียทำบริการแลกเปลี่ยนโฆษณา LinkExchange ซึ่งกลายเป็นระบบโฆษณายุคแรกๆ ของเว็บ บริษัทเติบโตอย่างรวดเร็วและขายให้ไมโครซอฟท์ในราคา 265 ล้านดอลลาร์ในปี 1998
แม้จะขายได้ราคาดีและทำให้เขาเป็นเศรษฐีดอทคอมยุคแรกๆ แต่โทนี่ไม่มีความสุขกับงานที่ LinkExchange ที่เติบโตอย่างไร้ระเบียบและเน้นกำไรเป็นหลัก เขาฉีกสัญญาและลาออกจากไมโครซอฟท์ (สูญเงินไปพอสมควรเพราะมีเงื่อนไขต้องอยู่กับบริษัทต่ออีก 1 ปี) มาเปิดบริษัทลงทุนขนาดเล็ก ลงทุนใน startup ยุคดอทคอม
หนึ่งใน startup ที่เขาลงทุนด้วยคือ Zappos (อ่านว่า แซปโปส มาจากภาษาสเปนว่า zapatos ที่แปลว่า รองเท้า) แนวคิดของ Zappos คือต้องการแปลงธุรกิจออฟไลน์อย่างร้านรองเท้า มาเปลี่ยนเป็นอีคอมเมิร์ซแบบเดียวกับที่ Amazon ทำสำเร็จในธุรกิจหนังสือ
โทนี่ลงทุนใน Zappos เพราะถูกใจในความมุ่งมั่นของทีมผู้ก่อตั้ง แต่ช่วงแรกๆ เขาก็มีบทบาทเป็นแค่นักลงทุนเท่านั้น ปล่อยให้บริษัทดำเนินกิจการกันไปเอง (ช่วงแรก Zappos ไม่สต๊อกของเอง ใช้วิธีรับคำสั่งซื้อจากหน้าเว็บแล้วไปสั่งบริษัทรองเท้าอีกทอดหนึ่ง) แต่เมื่อฟองสบู่ดอทคอมแตกช่วงปี 2000-2001 บริษัทลงทุนของโทนี่ไม่สามารถหาเงินจากบริษัทลงทุนหรือกองทุนขนาดใหญ่กว่าได้ เขาจึงตัดสินใจมาร่วมงานกับ Zappos อย่างเต็มตัว ถึงขนาดเอาเงินส่วนตัวทั้งหมด ขายคอนโดเพื่อมาอุดหนุนให้ Zappos อยู่รอดต่อไปได้
Zappos หลังปี 2001 ประสบปัญหามากมาย ทั้งจากฟองสบู่ดอทคอมเอง ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ และสถานการณ์โลกจากเหตุการณ์ 9/11 ทำให้ต้องดิ้นรนทุกวิธีทางที่จะให้ตัวเองอยู่รอดไปได้ (เงินที่มีอยู่ก็ร่อยหรอ นักลงทุนรายใหญ่ไม่ลงทุนเพิ่ม โทนี่ต้องใช้เงินส่วนตัวเข้าไปอุดจนหมดตัว)
จุดพลิกผันทางธุรกิจครั้งแรกคือ Zappos พบว่าลูกค้ามักสั่งรองเท้ายี่ห้อ-รุ่นยอดนิยมที่ Zappos ไม่มีข้อตกลงทางธุรกิจด้วย (เพราะบริษัทรองเท้าชื่อดังไม่สนใจขายของออนไลน์ ปกติก็ขายดีอยู่แล้ว) ทำให้ Zappos พลาดโอกาสทางธุรกิจไปมาก บริษัทจึงเปลี่ยนแนวทางมาเริ่มสต๊อกสินค้าเอง โดยใช้ออฟฟิศของบริษัทเป็นที่เก็บรองเท้าในขั้นต้น (ภายหลังก็ซื้อร้านรองเท้าท้องถิ่นเพื่อทำสต๊อกสินค้าที่มีขนาดใหญ่ขึ้น)
ยุทธศาสตร์ใหม่ประสบความสำเร็จ ธุรกิจของ Zappos ฝั่งที่สต๊อกสินค้าเองทำรายได้ให้บริษัทสูงกว่าระบบเดิมที่ใช้วิธีทำข้อตกลงกับผู้ผลิตรองเท้า แต่โมเดลธุรกิจนี้ก็มีข้อเสียว่าต้องใช้เงินลงทุนสูงตามไปด้วยเพราะต้องสต๊อกของ ต้องลงทุนซื้อสินค้าก่อน
จุดพลิกผันทางธุรกิจครั้งที่สองเกิดขึ้นเมื่อ Zappos พยายามลดค่าใช้จ่ายในการขนส่งสินค้าลง เดิมที Zappos อยู่ในซานฟรานซิสโก ภาคตะวันตกของอเมริกา ซึ่งมีข้อเสียว่าทำให้การขนสินค้าไปยังภาคตะวันออกของอเมริกาต้องใช้เวลานานและใช้ต้นทุนสูง Zappos เลยย้ายโกดังของตัวเองไปอยู่ที่รัฐเคนทักกี (เช่าโกดังของบริษัทลอจิสติกส์) เพื่อหวังว่าจะแก้ปัญหาเรื่องการขนส่งได้
แต่แล้วผลไม่เป็นไปตามคาด การย้ายโกดังมีปัญหาเรื่องอุบัติเหตุ สินค้าเสียหาย และระบบลอจิสติกส์ของบริษัทคู่ค้าไม่มีประสิทธิภาพอย่างที่คิด มีปัญหาส่งผิด-สต๊อกของไม่ถูกต้องมากมาย ช่วงเวลานั้นถือเป็นช่วงตกต่ำของ Zappos เพราะเงินส่วนตัวของโทนี่ก็หมดลง ไม่สามารถหาเงินลงทุนเพิ่มเติมได้ จนต้องกู้เงินจากธนาคารมาต่อชีวิต
ปัญหาเรื่องโกดังทำให้ Zappos ได้บทเรียนว่า ไม่ควรเอาท์ซอร์สหัวใจสำคัญของธุรกิจให้คนอื่นจัดการ เพราะจะไม่ได้ดังใจ ทางผู้บริหารบางส่วนจึงตัดสินใจไปอยู่ที่เคนทักกีชั่วคราวเพื่อแก้ปัญหาเรื่องโกดัง (สุดท้ายตัดสินใจเช่าโกดังทำระบบเองทั้งหมด เรียนรู้เรื่องการเก็บสต๊อกสินค้าจากศูนย์) จนแก้ปัญหาได้ในที่สุด
จุดพลิกผันที่สามเกิดขึ้นหลังเมื่อแก้ปัญหาโกดังได้ สถานการณ์ทางการเงินของบริษัทก็เริ่มดีขึ้น ช่วงนั้น Zappos ตัดสินใจครั้งสำคัญที่สุดของบริษัทคือยกเลิกระบบสั่งซื้อสินค้าแบบไม่ต้องมีสต๊อกทั้งหมด ย้ายศูนย์เก็บสินค้าทั้งหมดมาที่ลาสเวกัส (ด้วยเหตุผลด้านการขนส่ง เพราะอยู่ใกล้สนามบินหลักของบริษัท UPS เพียง 15 นาที ทำให้ค่าขนส่งไปยังสนามบินถูกมากและใช้เวลาเร็วมาก)
Zappos ยังไปไกลกว่านั้นคือตัดสินใจปิดสำนักงานใหญ่ที่ซานฟรานซิสโก และย้ายคนทั้งหมดมาที่ลาสเวกัส ซึ่งช่วงแรกก็เจอปัญหาการต่อต้านจากพนักงานบางส่วน
ช่วงเวลานี้ Zappos ก็เริ่มหันมาสนใจเรื่อง "ความสุข" (ในทีนี้คือ happiness) ทั้งความสุขของลูกค้าและพนักงาน
การเปลี่ยนมาใช้ระบบสต๊อกสินค้าของ Zappos ช่วยให้ส่งสินค้าได้เร็วขึ้นกว่าที่สัญญาไว้ ลูกค้ามีความสุข (เพราะส่งของเร็วกว่าที่บอก เช่น สั่งของตอนเที่ยงคืน ได้ของตอนแปดโมงเช้า) จึงบอกกันปากต่อปาก ส่งผลให้ยอดขายเพิ่มขึ้น รักษาลูกค้าเก่าได้และเพิ่มลูกค้าใหม่ได้เรื่อยๆ เมื่อ Zappos จับจุดนี้ได้จึงใช้นโยบายสร้างความสุขให้ลูกค้าอีกหลายอย่าง เช่น
(หน้าเว็บของ Zappos วันนี้ สังเกตหมายเลขโทรศัพท์ที่อยู่เหนือโลโก้ของบริษัทเสียอีก)
Zappos ไม่เคยโฆษณาหรือสร้างกระแส แต่เอางบส่วนนี้ไปลงทุนกับการบริการลูกค้า ผลก็ทำให้ลูกค้าติดใจและยอดขายเติบโตเป็นอย่างมาก
ในฝั่งของพนักงานเอง Zappos เจอปัญหาว่าคนเก่งๆ ในเมืองใหญ่ไม่อยากย้ายมาทำงานกับ Zappos ที่ย้ายไปลาสเวกัส ทำให้บริษัทตัดสินใจสร้างคนเองตั้งแต่เริ่ม สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่แข็งแกร่ง ช่วยเหลือกัน สนุกและกล้าแสดงออก โปร่งใส ทุกคนเข้าถึงผู้บริหารได้ ในขณะเดียวกันก็เน้นการบริการลูกค้าเป็นหัวใจสำคัญ
พนักงานของ Zappos มีความสุข ช่วยลดปัญหาเรื่องคน และส่งผลถึงบริการต่อลูกค้าที่ดีขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นวัฒนธรรมองค์กรตัวอย่างของโลกธุรกิจ
Zappos มีวัฒนธรรมองค์กรเจ๋งๆ อย่างการเขียน "คู่มือวัฒนธรรมองค์กร" ปีละครั้งแบบ crowdsourcing โดยให้พนักงานทุกคนส่ง "วัฒนธรรมองค์กรในมุมมองของตัวเอง" เข้ามารวมเป็นเล่มโดยไม่ดัดแปลงแก้ไขใดๆ (ยกเว้นการสะกดคำ) สร้างแก่นแท้ของวัฒนธรรมองค์กรขึ้นมาร่วมกัน ไม่ใช่กำหนดมาจากผู้บริหาร ซึ่งภายหลังบริษัทก็เปิดโอกาสให้คู่ค้าและลูกค้าระดับแฟนพันธุ์แท้มาร่วมเขียนด้วย
บทสุดท้ายเป็นเรื่องของการขายกิจการให้ Amazon ซึ่งในตอนแรกโทนี่ไม่อยากขาย แต่ก็พบว่า Amazon และตัวของ Jeff Bezos มีวัฒนธรรมองค์กรคล้ายกันคือเน้นประโยชน์ของลูกค้าเป็นหลัก ไม่เน้นผลกำไรระยะสั้นแต่เน้นประโยชน์รวมในระยะยาว
Zappos จึงตัดสินใจขายกิจการทั้งหมดให้ Amazon แต่ก็เลือกไม่รับเงินสดเพราะกลัวมองว่าขายเพื่อทำกำไร แต่ใช้วิธีแลกหุ้นเพื่อสร้างความผูกพันระยะยาวร่วมกัน
ที่เหลือเป็นแนวคิดของตัวโทนี่ในเรื่อง "ศาสตร์แห่งความสุข" ไปอ่านต่อกันเองนะครับ (โทนี่เปิดเว็บ Delivering Happiness ที่ต้องการผลักดันให้บริษัทหรือองค์กรมีความสุขมากขึ้นด้วย ส่งต่อความสุขให้กับคนอื่นๆ ตามชื่อหนังสือ)
การอ่านหนังสือเล่มนี้ได้ประโยชน์ในหลายด้านครับ
เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่อยากทำ startup ของตัวเอง หรือผู้บริหารขององค์กรที่อยากปรับปรุงวัฒนธรรมองค์กรให้เข้มแข็งขึ้น
หนังสือเล่มนี้แปลโดย วิญญู กิ่งหิรัญพัฒนา สำนักพิมพ์ We Learn ราคา 250 บาท
Comments
ถ้าไม่รีบ ก็รองานหนังสือนะครับ ลดเสมอ
เล่มนี้ผมก็อ่านรวดเดียวจบครับ ความรู้สึกแรกที่อ่านจบคือ "อยากซื้อให้คนที่กำลังเปิดบริษัทใหม่" คิด ๆ ไปคนแรกที่แว่บขึ้นมาในหัวคือคุณ @khajochi 555 (ไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัวด้วยนะ) แต่ยังหาวิธีส่งไปให้ไม่ได้โครงการเลยพับไป :)
ความรู้สึกที่สองคือ อยากเปลี่ยนงาน 555
ถ้าเปิดบริษัทใหม่ แนะนำ The Art of Start ของ Guy Kawasaki ครับ
เดี๋ยวลองหามาอ่านดูครับ ขอบคุณครับ คงอ่านเอาสนุก ๆ เพราะตอนนี้ไม่มีแผนจะทำบริษัทของตัวเองครับ
ส่วนเล่มนี้ผมว่าสิ่งหนึ่งที่เขาบอกคือ เรื่องอย่างวัฒนธรรมองค์กรณ์เป็นเรื่องที่ต้องทำให้ถูกตั้งแต่ต้น เพราะว่าการแก้ไขให้มันดีนั้นเป็นเรื่องยาก (และส่วนตัวผมว่ามันพังได้ง่ายมากด้วย อย่างที่เกิดขึ้นกับ LinkExchange ที่แย่กว่านั้นคือการหาว่าอะไรถูกต้องหรือะไรดีนี่ล่ะครับ)
แนะนำขนาดนี้ ขอซื้อกลับมาอ่านเลยเองเลยครับ น่าสนใจมาก
แฟนพันธุ์แท้สตีฟจ็อบส์ | MacThai.com
น่าสนใจเดี๋ยวจะไปลองหาอ่าน เป็นกำลังใจให้ผู้ประกอบการทุกคนครับ
อื้อหือ... ยอดคนเลย คือพยายามอ่านแล้วมองหาคำว่า "evil" แต่หาไม่เจอเลย
มันไม่ง่ายเลยที่จะทำ GIF ให้มีขนาดน้อยกว่า 20kB
น่าสนใจมากครับ
ขอบคุณสำหรับรีวิวครับ
อ่านสนุกมาก เดี๋ยวไปซื้อมานั่งอ่านบ้าง
อ่านแล้วครับ
ไม่มีหัวทางธุรกิจเลย แต่ก็ได้อะไรหลายๆอย่างดีครับ
เป็นหนังสือที่อ่านสนุกมากๆและวางไม่ลงจริงๆเล่มนี้
อยากเห็น Tony เล่น Poker กับ Bill Gates
น่าอ่าน
[แสดงเบอร์โทรศัพท์ไว้ทุกหน้าของเว็บไซต์ ให้ลูกค้าโทรมาคุยได้ตลอดเวลา และอบรมพนักงานให้สื่อสารกับลูกค้าเหมือนเพื่อนช่วยเพื่อน ไม่พยายามตัดสายลูกค้า ให้ความช่วยเหลือทุกอย่าง (เคยมีเพื่อนของโทนี่ "ลองของ" โดยโทรไป Zappos เพื่อถามหาร้านพิซซ่ายามดึก ผลคือพนักงาน Zappos ช่วยหาร้านพิซซ่าให้)]
บ.ผมสอนให้พยายามพูดเลี่ยง และรีบตัดสายให้ไว จะได้มีเวลาไปรับสายอื่น
ฮ่าๆๆๆ
ในเล่มมีเขียนด้วยนะครับว่า มีอยู่สายหนึ่งที่คุยกันยาวกว่า 6 ชม.
ส่วนอีกสายก็มีลูกค้าโทรมากวนประสาท แต่กลับกลายเป็นว่าได้ลูกค้าประจำเพิ่มอีกคน
กลายเป็นว่าพนักงานเองก็รู้สึกแย่กับผลงานและวิธีการผฏิบัติต่อลูกค้าตามไปด้วย ไม่นานก็เริ่มรู้สึกแย่กับองค์กร ไม่นานก็ลาออก
อันนี้ผมเอาความรู้สึกตัวเองวัดนะครับ
แนวคิดของ Zappos เขามองว่า ต้นทุนพนักงานบริการลูกค้าคือ "ค่าการตลาด" น่ะครับ ดังนั้นจะคุยเยอะก็ไม่ใช่ปัญหาตราบเท่าที่ทำให้ลูกค้าพอใจและใช้บริการของบริษัทมากขึ้น
ผมอยากให้พนักงานติดต่อลูกค้าเป็นแบบนี้เยอะๆ นะ แต่ส่วนมากชอบเจอพวกพยายามตัดต้นทุน เพิ่มรายรับ ลดรายจ่าย แบบไม่สนผลลัพธ์ทางจิตใจกัน
บอกได้อย่างเดียว อย่ามาหวังความภักดีในแบรนด์ของท่านเลย
ความบีบคั้นในโลกธุรกิจ ใครไม่ได้มาเหยียบคงรู้สึกยาก ต้องลองดู ถ้าใจไม่แข็ง ไม่อึดพอ ก็ถอยหมด ผมชอบภาพอยู่ภาพนึง จำในใจตลอดเป็นภาพคนขุดอุโมงค์มาหลายปี เจอแต่หินกับดิน แต่วันนึงเขาเริ่มท้อ เขาก็เดินถอยหลังกลับไป ทั้งๆ ที่เหลืออีกประมาณเมตรเดียวเขาก็จะเจอสมบัติที่เขาเฝ้าฝันมานาน เอาไว้เวลาถึงมุมอับจะได้รู้สึกมีกำลังใจ
+1024
น่าจะรูปนี้
เล่มนี้ผมมีทั้ง เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษ, เวอร์ชั่นการ์ตูน และเวอร์ชั่นภาษาไทย ครับ :-)
ปล. เพราะอ่านเวอร์ชั่นอังกฤษไม่ออกอ่ะ 555+
ขอบคุณสำหรับรีวิวหนังสือดี ๆ ครับ
เคยเห็นในร้านหนังสือ ยืนอ่านแว๊บ ๆ ก็สนุกดี
แต่ถ้ารีวิวกันขนาดนี้...คงต้องหาซื้อมาอ่านโดยเร็ว ^_^
เจ๋ง !!!
@ Virusfowl
I'm not a dev. not yet a user.
ขอบคุณมากครับสำหรับรีวิว
ต้องหาซื้อมาอ่านบ้างแล้วล่ะ
ผมชอบหนังสือเล่มนี้ อ่านแล้วสนุก ได้กำลังใจ
หนังสือเล่มนี้อ่านสนุกมากๆ ขอฝากรีวิวเอาไว้ด้วยนะครับใช้ความสุขทำกำไร
หนังสือดีแบบนี้ หามารีวิวอีกนะครับ ต้องเสียเงินอีกแว้ว ^^