ปล่อยให้คู่แข่งอย่าง Nike นำด้านอุปกรณ์ไอทีแบบสวมใส่ได้มาพักใหญ่ คราวนี้ Adidas เริ่มรุกกลับบ้างด้วยการเปิดตัว miCoach SMART RUN นาฬิการันแอนดรอยด์สำหรับนักวิ่งมาแล้ว
ตัว miCoach SMART RUN มาพร้อมกับหน้าจอสัมผัส transflective (จอสำหรับใช้กลางแดด กันแสงสะท้อนได้มาก) ขนาด 1.45" ความละเอียด 184x184 พิกเซล ตัวซอฟต์แวร์รันระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 4.1.1 เวอร์ชันปรับแต่ง มีพื้นที่ภายใน 4GB มีแบตเตอรี่ในตัว 410 mAh ใช้งานได้ยาวนาน 14 วันต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง มากน้อยขึ้นอยู่กับโหมดการใช้งาน ใช้เวลาชาร์จกลับนานที่สุดเพียง 4 ชั่วโมงเท่านั้น ตัวนาฬิกาหนาพอสมควรที่ 15.6 มม. และใช้วัสดุโครงเป็นโลหะ ด้านหลังเป็นแมกนีเซียม
เซนเซอร์ภายใน miCoach SMART RUN มี accelerometer และ เซนเซอร์ตรวจจับอัตราการเต้นหัวใจ เมื่อทำงานร่วมกันแล้วจะเก็บข้อมูลก้าวเดิน อัตราการเต้นหัวใจ ความเร็ว และระยะทางได้
Paul Gaudio ผู้บริหารของ Adidas บอกว่า miCoach SMART RUN ถูกออกแบบมาให้ใช้งานได้ด้วยตัวมันเอง แล้วยังเชื่อมต่อกับหูฟังผ่านบลูทูธเพื่อฟังเพลงได้ด้วย ส่วนการโอนข้อมูลไปยังระบบออนไลน์สามารถทำได้ผ่าน Wi-Fi
สำหรับการใช้งานเจ้า miCoach SMART RUN มีอยู่สามโหมดหลัก แรกสุดเป็น Casual สำหรับใช้งานเป็นนาฬิกาธรรมดาเท่านั้น ไม่มีการเก็บข้อมูลใดๆ ทั้งสิ้น แน่นอนว่าโหมดนี้แหละที่ใช้งานได้ถึง 14 วัน ต่อมาเป็นโหมด Marathon ที่จะเก็บข้อมูลทุก 5 วินาที ใช้งานโหมดนี้ได้นานสุดที่ราว 8 ชั่วโมง
และโหมดสุดท้ายที่กินแบตมากที่สุดคือ In training ที่จะเก็บข้อมูลทุกวินาที อายุการใช้งานจะสั้นเพียง 4 ชั่วโมงเท่านั้น
จบที่ราคา miCoach SMART RUN เปิดมาที่ 399 เหรียญ เริ่มขายเดือนพฤศจิกายนนี้ครับ
ที่มา - SlashGear
Comments
หนากว่ามือถืออีก ตอนแรกอ่านแล้วพอน่าสนใจอยู่ แบต 14 วัน พออ่านรายละเอียด อืมม จบนะ
อคติทำให้คนรับเหตุผลด้านเดียว
ก้าวเดิม => ก้าวเดิน
โหมดพิเศษได้แค่ 8 ชั่วโมง กับ 4 ชั่วโมง จบเลย
A smooth sea never made a skillful sailor.
มันน้อยเว่อร์อ่ะ แปดชม.เก็บแอคติวิตี้ในหนึ่งวันยังไม่พอเลย ใช้ได้แค่ตอนไปฟิตเนสกับไปวิ่งมาราธอนแค่นั้นอ่ะดิ
ราคาแรงไป
Coder | Designer | Thinker | Blogger
เมื่อไรจะมีแบตอยู่ได้นาน 10 ปีเหมือน casio ล่ะเนี่ย
G Shock bluetooth แบตอยู่ได้ 2 ปีครับ
ถ้าเปิด bluetooth วันละ 12 ชม.
ใช้ UP แล้วก็เดินต่อไป
ส่วนตัวคิดว่าแนวคิดนี้น่าสนใจนะ กับการแยกโหมดเพื่อบริหารพลังงาน เพราะปรกติเราก็คงใช้งานนาฬิกาเพื่อดูเวลา ส่วนการเตือน หรือทำกิจกรรมอื่นๆ มันเป็นฟีเจอร์เสริม เพื่ออำนวยความสะดวก เวลาที่เราไม่ได้พกโทรศัพท์ หรืออุปกรณ์อื่น ดังนั้นจุดสำคัญสุดของนาฬิกา คือ กันน้ำ และระยะเวลาการใช้งาน ผมว่าต่อไปนาฬิกาไฮเทคพวกนี้คงใช้วิธีนี้แหล่ะในการแก้ปัญหาปัจจุบันที่เจอ
ดีไม่ดีแนวคิด Big.Little ที่ Samsung ใช้ตอนนี้เอามาใช้กับนาฬิกา แต่ลด Core แล้วเน้นประหยัดพลังงานในส่วน Little เพื่อใช้แสดง นาฬิกาอย่างเดียวก็น่าจะดี
หรืออีกวิธีนึงใช้จอ 2 layer ด้านบนเป็น E-Ink ใช้แสดงผลนาฬิกา ส่วนหน้าจอทัชสกรีนก็ไม่ต้องใช้งาน จนกว่าผู้ใช้จะ Touch บนหน้าจอเพื่อเรียกใช้งาน ใช้งานเสร็จก็ดับ แล้วเรียก E-Ink อันนี้ลอกแนวคิดรถยนต์ไฮบริดมาใช้ เรียกว่า จอไฮบริดแล้วกัน แต่ยังคงต้องแก้ไขปัญหากันอีกเยอะ ความเห็นส่วนตัวนะครับ ไม่มีอุปกรณ์ใดๆ ในโลกนี้อ้างอิง เพราะไม่รู้ว่าทำได้หรือเปล่าด้วย
399 เหรียญ! จบข่าว ก้มหน้าก้มตาใช้ Sigma ต่อไป
ราคาบ้าพลังมาก
ราคานี้ถอย garmin ได้สบายๆ
Destination host unreachable!!!
ทำไมไม่เอาเทคโนโลยีของนาฬิกาแบบ Automatic ที่มีอยู่ในปัจจุบัน หรือ Kinetic ของ Seiko มาใช้นะ
เพราะทุกการเคลื่อนไหว มันก็จะเก็บสะสมเป็นพลังงานเข้าเครื่อง
ไม่พอหรอกครับ พวกนี้กินไฟกว่านาฬิกาปกติเยอะครับ จากปกติใช้ได้เป็นปียังเหลือแค่ไม่กี่วัน
อคติทำให้คนรับเหตุผลด้านเดียว
อยากได้ตรงมีเซนเซอร์วัดชีพจรนี่แหล่ะ! Smart watch ไม่มี TvT
my blog
ต้องทำความเข้าใจก่อนนะครับ ว่านาฬิกาตัวนี้มันคนละตลาดกับพวก Smartwatch หรือ Gadget watch ของพวกบ.มือถือที่เน้นไว้เชื่อมต่อกับโทรศัพท์ในชีวิตประจำวันนะครับ เป็น sportwatch หรือออกแนว HR monitor เสียมากกว่า
ราคาก็ไม่ได้แพงอย่างที่หลายคนคิดนะครับ ผมเองใช้ Polar RC3GPS ประมาณ 12000 บาท
ถ้าคนที่เคยใช้พวก HR monitor เวลาเล่นกีฬา ก็จะรู้ว่ามันไม่ได้แพงมากนัก
ที่ขายกันในตลาดตอนนี้ ยี่ห้อยอดนิยมก็พวก Garmin Timex Polar
ถ้าเป็น HR monitor อย่างเดียวก็จะอยู่ที่ประมาณ 3-4000 บาทขึ้น
GPS อย่างเดียวจะอยู่ที่ประมาณ 6000 บาทขึ้นไป
ส่วนรุ่นที่เป็น GPS+HR ราคาก็จะอยู่ที่ประมาณ 10000 บาท +/- ครับ
ส่วนเรื่องแบตก็ไม่ได้เป็นปัญหา เพราะส่วนใหญ่จะใช้เก็บข้อมูลการฝึกซ้อมครับ 8 ชม.นี่เหลือๆเลย แล้วยังต้องเชื่อมต่อกับ PC บ่อยๆเพื่อซิงค์ข้อมูลหลังการฝึกขึ้นเว็บหรือเก็บในโปรแกรม แบตไม่พอส่วนใหญ่เกิดจากกลับจากซ้อมแล้วขี้เกียจ ไม่ได้ซิงค์ อีกวันก็หยิบไปใช้ซ้อมต่อเลยเสียมากกว่า
เจ๋งตรงที่มีเซนเซอตรวจจับหัวใจโดยที่ไมีต้แงใช้สายตาดอกนิละ เข้าไทยเมื่อไรคงได้สอยมาใช้แทน Polar ตัวเก่าทค่กำลังจะพังแล้ว
ถ้า โหมดที่ 2 ได้ซัก 20 HR + และ 3 ได้ซัก 10 HR+ จะน่าสนใจขึ้นอีกเยอะเลยครับ
ผมโอเคกับเสปคทุกอย่าง ยกเว้นราคา -*-
เจ้านี้แพงมานานแล้ว // ส่วน HR ถ้าเป็นแบบไม่ใช้ สายคาดอก ก็คงต้องรัดนาฬิกาแน่นมากพอสมควรเพื่อให้ได้ HR จากชีพจร // ขอบคุณสำหรับข่าวนะครับ
เห็นราคาละแบบว่า....
แถมแบตก็ให้มาน้อยมากๆ เครื่องก็หนา
ไม่พอขนาดแบตน้อยยังจะชาตตั้ง 4 ชั่วโมงเนี่ยนะ
ผมว่าตอนวิ่งเฉลี่ยก็ไม่น่าเกิน ชม. รันโหมดนี้ไว้จะใช้แบตไป 1/4 พอวิ่งเสร็จเรากลับมาโหมดอื่นๆก็เหลือแบตอีก 3/4 ไว้ให้ใช้ ถ้าเป็นโหมดนาฬิกาก็ดูเวลาได้อีกราว 10 วัน จริงๆมันตอบโจทย์คนออกกำลังกายพอสมควรนะครับ ถ้าคนที่เน้นจับการเดินทั้งวันลองมอง UP or Nike ดีกว่า ไม่ต้องมาสนใจ HR
อุปกรณ์แนวๆ นี้ราคามันก็แพงอยู่แล้วนะ ยิ่งพวก Polar นี่ราคาแรงมากตัวท็อปๆ เนี่ย ><"