เมื่อวานนี้มีงานเปิดตัว Galaxy S5 ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ (แต่ราคาออกมาก่อนหลายชั่วโมงที่ 23,800 บาท) ในงานมีเครื่องมาให้ลองจับกันตามระเบียบ พอดีผมได้ไปร่วมงาน และลองเล่นมานิดหน่อย พอเล่าว่าตัวเครื่องเป็นอย่างไรบ้าง ตรงที่คาด หรือเกินคาดแค่ไหนได้ครับ
Galaxy S5 รุ่นที่วางขายในไทยจะเป็นรุ่นเดียวกับที่ขายทั่วโลกตอนนี้ ใช้ซีพียู Snapdragon 801 รองรับ LTE ยังมีความจุเดียวที่ 16GB (สเปคเต็มๆ อ่านกันได้จากข่าวเก่า) ซึ่งคีย์หลักที่ซัมซุงเน้นมากในรุ่นนี้จะมีอยู่ห้าเรื่องคือ กล้องสวย แบตทน โดนน้ำได้ โหลดเร็ว และฟีเจอร์เพื่อสุขภาพ ซึ่งไว้จะทยอยพูดถึงทีละเรื่องกันไป
พูดถึงตัวเครื่อง Galaxy S5 ขนาดไม่ต่างจาก Galaxy S4 มากนัก ถือจับได้สะดวกกว่าด้วยซ้ำไป ตัวเครื่องโค้งมนน้อยลงจนเกือบจะเท่า S2 อยู่แล้ว ด้านหน้าตัวเครื่องเปลี่ยนปุ่มเมนูด้านล่างไปแล้ว จากเดิมที่เคยเป็นปุ่มเมนู ก็กลายเป็นปุ่ม recent apps ไปแทน
แว่บแรกที่เห็น Galaxy S5 ต้องยอมรับว่าเป็นมือถือที่จอสวยมาก (น่าจะเป็นเพราะภาพพื้นหลังหน้าล็อกมันสดด้วย) โทนสีพื้นหลังยังเป็นสีน้ำเงินแกมฟ้าเช่นเคย
ปุ่มโฮมด้านล่างของ Galaxy S5 แม้ว่าจะใช้ทรงเดิม แต่ก็เพิ่มฟีเจอร์สแกนลายนิ้วมือเข้ามาด้วย ด้านบนวางตำแหน่งของกล้องหน้าไว้ขวาสุด และไฟแจ้งเตือนไว้ซ้ายสุด
พลิกมาด้านข้าง ฝั่งซ้ายวางปุ่มเปิดเครื่องไว้ ส่วนฝั่งขวาวางปุ่มปรับเสียง ดูจากสเปคแล้ว Galaxy S5 หนาขึ้นเล็กน้อยเป็น 8.1 มม. (Galaxy S4 7.9 หนา มม.) จึงไม่รู้สึกหนาขึ้นเป็นพิเศษ วัสดุด้านข้างชุบโครเมียม ไม่ต่างจากของรุ่นก่อน
ด้านหลังของ Galaxy S5 เป็นพลาสติกผิวสัมผัสนุ่มๆ พิมพ์ลายจุดทั้งแผ่น ลองถือดูแล้วจับได้สะดวกมือ แต่ไม่รู้ว่าใช้ไปนานๆ แล้วจะลอก หรือเป็นรอยง่ายหรือไม่
ไฮไลท์ของด้านหลังอยู่ที่ใต้กล้องข้างแฟลช เป็นเซนเซอร์สำหรับวัดอัตราการเต้นหัวใจ ที่บุ๋มลงไปจากฝาหลังพอสมควรครับ
ใน Galaxy S5 ได้เปลี่ยนพอร์ตการเชื่อมต่อเป็น Micro USB 3.0 เป็นที่เรียบร้อย ขนาดของพอร์ตจะยาวกว่าเหมือนกับที่เคยเห็นใน Galaxy Note และมีฝาปิดสำหรับกันน้ำเข้ามาให้ด้วย
แกะเครื่องดูภายใน จะเห็นโครงพลาสติกรอบชิ้นส่วนสำคัญอย่างกล้อง แบตเตอรี่ และแผงวงจร ซึ่งจะครอบทับกับยางบนฝาหลัง ซึ่งเอาไว้กันน้ำเข้านั่นเอง
หมดฮาร์ดแวร์ก็เข้าสู่ช่วงของซอฟต์แวร์ เริ่มต้นด้วยการรีบูทเครื่องซักครั้ง ... จะเห็นว่าซัมซุงกลับมาดีกับกูเกิลแล้วนะครับ :D
เรื่องความเร็วในการเปิดเครื่อง จัดว่าเร็วมาก กะคร่าวๆ น่าจะไม่ถึงนาทีครับ (ถ่ายแทบไม่ทัน)
ฟีเจอร์แรกที่ลองใช้คือ S Health 3.0 และเซนเซอร์วัดอัตราการเต้นหัวใจ ตอนใช้ต้องวางนิ้วแนบกับเซนเซอร์ และกะตำแหน่งให้กลางนิ้วพอดี ใช้เวลาไม่กี่วินาทีก็ได้ผลออกมาครับ
ต่อไปเป็นอีกฟีเจอร์ที่น่าสนใจมากก็คือ Ultra power saving mode ที่จะปรับไปใช้พลังงานน้อยมากๆ เมื่อเปิดใช้เครื่องจะตัดการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตทุกอย่าง เปลี่ยนหน้าจอเป็นสีขาวดำ และจำกัดการเข้าถึงแอพให้เหลือเพียงหกแอพเท่านั้น
หน้าตาก่อนเริ่มใช้เป็นแบบนี้
เปิดใช้แล้วกลายเป็นขาวดำ ใช้เวลาประมาณหนึ่งนาทีในการปรับโหมด
LINE ขาวดำมันเป็นอย่างนี้
ยังใช้เล่นเว็บได้อยู่นะ
พอปิดโหมด สีก็จะเริ่มกลับมา
สำหรับแอพที่ใช้ได้ในโหมดนี้จะเป็นแอพพื้นฐานของเครื่องเป็นส่วนใหญ่ แอพภายนอกที่เพิ่มเข้ามาได้จะมี LINE, Facebook และ Google+ เท่านั้นเอง
ส่วนอื่นๆ ที่ได้ลองเล่นลองจับในงานก็มีแอพต่างๆ ของซัมซุงที่ปรับมาสู่โลกแห่งความแบนแล้ว กล้องที่เพิ่มความสามารถถ่ายเป็นชุด แล้วนำมาประมวลผลทีหลังแบบโนเกีย ฟีเจอร์กล้องใหม่อย่าง Selective Focus ที่ใช้งานได้ดีพอตัว (แต่ถ้าใช้ถ่ายของจะเหมือนมาโคร) กล้องโฟกัสได้เร็วมาก ส่วนเรื่องคุณภาพเท่าที่ลองยังไม่โดดเด่นนัก คงต้องมาลองใช้จริงอีกทีครับ
เดี๋ยวมาต่อ Gear 2 กับ Gear Fit กันครับ
Comments
ต้องลองไปสัมผัส ไปเขย่า ตัดสินด้วยตัวเองว่าน่าใช้หรือไม่ บางคนไม่ทันได้จับ ก็อคติบังตาก่อนซะ
Ultra power saving mode นี่สุดยอดไปเลยคงเป็นข้อดีของจอ amoled
เป็นอะไรที่มีประโยชน์และน่าอิจฉาผุดๆ
@TonsTweetings
+10
อยากได้จริง ๆ
Jusci - Google Plus - Twitter
ลูกเล่นแบบนี้ น่าอัพให้ตัวเรือธงตัวเก่าๆ บ้างนะ มีประโยชน์ดี อย่างน้อยก็ S4 หรือ Note3
ถ้ามันปรับภาพเป็นเฉดสีเทามาตั้งแต่การประมวลผลการ์ดจอเลย ไม่ต้อง AMOLED ก็มีผลครับ ไหนจะพวกความเร็ว CPU และอื่นๆ อีก AMOLED เป็นแค่ส่วนนึงที่ช่วยได้แต่ไม่ใช่ส่วนหลัก
ผมว่าหลักเลยนะ เพราะจอ AMOLED เวลาแสดงผลสีดำเม็ดพิกเซลจะดับสนิทไปเลย ขณะที่ LCD อื่นๆถึงจะเป็นสีดำแต่เม็ดพิกเซลไม่ได้ดับทำให้มันประหยัดไฟมากกว่า LCD ทั่วไปเยอะเลยในโหมดขาวดำ
เอ่อ เท่าที่ผมทราบนั้นจอนี้ใช้หลอดไฟเล็กๆไม่ใช่หรอครับ ถ้าสีดำหลอดไฟจะดับ ... แล้วมันจะไม่เกี่ยวส่วนน้อยได้ยังไงละครับท่าน
ที่ผมบอกคือ มันช่วย แต่ไม่ใช่เป็นส่วนหลักที่ทำให้ประหยัดพลังงานได้ขนาดนั้นครับ ตัวจอมันไม่ได้ใช้พลังงานน้อยกว่าการเปิดภาพสีที่ลดความสว่างลงสักเท่าไหร่เลย
ถ้าตัว pixel มันเรียงตัวเป็ฯ RGBW (ซึ่งผมไม่รู้ว่า Samsung ใช้หรือเปล่า) ก็เท่ากับปิดจอไป 3/4 ของพื้นที่เลยนะครับ
ที่สำคัญคือส่วนกราฟิคทำงานเท่าเดิมด้วย ทุกอย่างทำงานเหมือนกันหมด แค่ปิดไป 3 subpixel
ถ้า pixel เรียงตัวเป็น RGBW ผมยังเข้าใจว่าน่าจะไม่ต่างกันมากขนาดเห็นผลนะครับ
แต่ตรงนี้คงต้องเคลียร์ก่อนเรื่องนึงที่ผมไม่แน่ใจ คือถ้า pixel เรียงตัวเป็น RGB นี่ ถ้าจุดนั้นแสดงค่าสี FF0000 (สีแดง) กับ FFFFFF (สีขาว?) หลอดที่เป็นสีแดง จะใช้พลังงานเท่ากันทั้งสองกรณีหรือเปล่าครับ ผมเข้าใจว่าตอนที่แสดงผลของ FFFFFF หลอดสีแดงน่าจะใช้พลังงานน้อยกว่า FF0000 เนื่องจากมีแสงจากทั้งสามหลอด RGB มารวมกัน ถ้าจะให้ความสว่างของ FFFFFF ไม่สว่างไปกว่า FF0000 ต้องลดกำลังของทุกหลอดลงมาเหลือเฉลี่ยๆ กันหรือเปล่า?
หรือถ้าตีความง่ายๆ มีไฟฉาย LED สองกระบอก กระบอกนึงใช้หลอด LED สีขาว อีกกระบอกนึงใช้ LED RGB ถ้าเปิดไฟสีขาวที่ความสว่างเท่ากันเป๊ะ การใช้พลังงานของทั้งสองจะต่างกันมากหรือเปล่าครับ?
พอดีเห็นยุคหลอด LED เริ่มเข้ามา ชอบมีพวกหลอดที่ใช้ LED หลายสีมาผสมแสงให้ปรับเองได้มาโฆษณา ถ้าใช้การผสมแล้วมันกินไฟมากขึ้นนี่มันก็ไม่น่าใช้ไปเลยหรือเปล่า
ถ้าระบบกราฟฟิคทำงานเหมือนเดิมทุกอย่างจริงๆ จุดที่ผมเข้าใจว่าสำคัญที่สุดที่ทำให้สแตนด์บายได้สิบวัน ไม่น่าจะเป็นจอ AMOLED ครับ เพราะสแตนด์บายของเขานี่ไม่ได้เปิดจอด้วย แต่น่าจะเป็นระบบที่ปิดการเชื่อมต่อไร้สายทุกอย่างยกเว้นเครือข่ายโทรศัพท์ ปิดอินเตอร์เน็ตและงานเบื้องหลัง เพราะอย่างภาพที่ผมเอามาลงไว้ด้านล่างแค่ HTC 7 Mozart ปิดตามนั้นทั้งหมดก็ทำได้เจ็ดวันแล้วแม้แบตจะเล็กกว่ากันมาก
อยากให้มีใน iPhone มาก (T[]T''
ตัวนี้น่าสนใจอ่ะ น่าจะเพิ่มทวิตเตอร์ได้อีกตัว แล้วอยู่ได้เกินวันนี่เจ๋งเลย ทุกวันนี้ใช้ไอโฟนแบตหมดเร็วมากกก
ฟีเจอร์ประหยัดพลังงานขั้นรุนแรงทำให้จะเป็นขาวดำนี่แปลกตาดีนะครับ หุหุ
ชอบโหมดขาวดำนะ แปลกดี เวลาอ่านเนื้อหาเยอะ ๆ น่าจะสบายตา
ผมว่า หน้าจอขาว-ดำ ก็สวยไปอีกแบบนะครับ
ที่ละเรื่อง => ทีละเรื่อง
บุ๊มลงไป => บุ๋มลงไป
micro USB => Micro USB
เมื่อเปิดใช้เครือง => เมื่อเปิดใช้เครื่อง
ถ้าเป็น E-Ink ไปเลยจะสุดยอดมาก!
ผมมีข้อสังสัยว่า หน้าจอขาวดำมันประหยัดแบตฯ อย่างไรหรือครับ?
คือปกติแล้ว แสงสีขาวนั้นเกิดจากการที่หลอด LED สีแดง/เขียว/น้ำเงิน เปล่งแสงออกมาทั้ง 3 สี แล้วเกิดการผสมสีเป็นสีขาว ซึ่งการที่เปล่งแสงทั้ง 3 สีนั้น มันจะทำให้กินแบตฯ มากกว่าการเปล่งแสงสีใดสีหนึ่ง
นอกเสียจากว่ามีการใช้ LED เป็น RGBW (Red/Green/Blue/White) โดยปรับให้ใช้แสงสีขาวเพียงอย่างเดียวในการเปล่งแสง... แต่จะเป็นไปได้เหรอ? ในเมื่อข้อจำกัดของ Super AMOLED คือการทำพิกเซลต่อตารางนิ้วละเอียดมากไม่ได้ ไม่งั้นคงไม่ใช้ Pentile กับ S4, Note 3 หรอก ดังนั้นการที่จะยัดหลอดสีขาวลงไปเพื่ออีกมันจะทำให้ไปเบียดพื้นที่ของ 2 นั้นเข้าไปอีก
สงสัยเหมือนกัน รอดูเดี๋ยวต้องมีใครเอาไปทดสอบเปรียบเทียบอัตราการสูบพลังงานแน่ๆ จะได้รู้ว่ามันเป็นของจริงหรือเปล่า
ถ้าใช้สีเดียวภาพก็หยาบน่ะซิครับ คงต้องใช้ทั้ง 3 สี ความเข้มเท่ากัน(ไม่ต้องประมวลผลความเข้มในการผสมสี ภาพมีความคมระเอียดเท่าปกติ)
มันประหยัดที่การประมวลผลครับ แทนที่จะต้องคำนวณ 32 bits ก็คำนวณแค่ 4 bits (สมมติว่าเป็น 16 เฉดสีเทาแบบ Kindle แต่ผมว่ามันเนียนกว่า Kindle เลยไม่รู้จะเดาว่าเท่าไหร่ดี)
ส่วนที่ว่าทำไมไม่ใช้สีเดียว จริงๆ พลังงานตรงนี้ผมคิดว่าน่าจะต่างกันไม่มากนะครับ เพราะว่าถ้าใช้แสงสีเดียว สมมติว่าเป็นสีแดง นับจุดที่สว่างสุดใช้พลังงาน 100% แต่การให้แสงสีขาวที่จุดสว่างสุดให้สว่างเท่ากับจุดสีแดงสว่างสุดเมื่อครู่ หลอดสีแดงจะไม่ได้ใช้พลังงาน 100% ครับ แต่แบ่งๆ กันไปในสามสีสามหลอด เมื่อรวมทั้งสามหลอดแล้วจึงไม่ได้กินพลังงานมากกว่ากันขนาดนั้นอาจจะมากกว่าบ้างบางส่วน แต่การที่ภาพเป็นสีเขียว หรือแดง หรือน้ำเงิน จะทำให้ภาพมองเห็นยากขึ้น ต้องเพ่งมากขึ้น ได้ไม่คุ้มเสียครับ
หมายเหตุ - เรื่องในย่อหน้าที่สองไม่มีทฤษฎีมาสนับสนุนครับ ผมมโนล้วนๆ อาจผิดหรือถูกก็ได้ อย่าเพิ่งปักใจเชื่อ
มโน ของผมคือ สีดำประหยัดแบตสุด ทำ ขาว:ดำ ดีสุดเพราะ แดง/ดำ เขียว/ดำ น้ำเงิน/ดำ ดูยาก
สมาทโฟนจอขาวดำ สูงสุดคืนสู่สามัญ ไม่ใช่อะไรใหม่เลย
เผอิญว่าสามัญที่ว่า ปรับจอสี-ขาวดำเพื่อสลับอัตราการใช้พลังงานไม่ได้นะครับ :p
เหมือนสมัยดั้งเดิมใช้การส่งข้อมูลแบบอนุกรม แล้วก็พัฒนามาเป็นแบบขนานเพื่อเพิ่มความเร็ว สักพักถัดมา USB ถือกำเนิดด้วยการส่งข้อมูลแบบอนุกรมที่เร็วกว่าแบบขนานที่เคยใช้กัน อันนี้เรียกว่าสูงสุดคืนสู่สามัญด้วยรึเปล่าครับ
แต่ถ้าบอกว่า The Ordinary Strike Back นี่อาจจะไม่ผิดนัก
แล้ว function scan ลายนิ้วมือไม่ได้ลองหรือครับ ?
That is the way things are.
ลองครับ แปปเดียว พอดีมันต้องไปตั้งค่าด้วยเลยมีเวลาน้อยหน่อย
เท่าที่เล่นก็ ...ไม่ค่อยแม่นเท่าไหร่ครับ เทียบกันแล้วชอบของไอโฟนมากกว่าอ่ะ
ขอบคุณครับ
That is the way things are.
อยากรู้ด้วยคนครับ
ใช้ได้ถึง 10 วันจิงปะครับในการใช้งานปกติ facebook line เข้าเว็บบ้าง
ปกติผมใช้วันนึงก็ควรชาร์จแล้วไม่งั้นไม่พอใช้วันต่อไป
10 วันนี่น่าจะเป็น standby ล้วนๆ นะครับ เพราะในหน้ารายละเอียดก็เขียนว่า estimated max standby time
ถ้าสแตนบายได้ 10 วันก็เจ๋งแล้วนะครับ มือถือผมเปิด 3G ทิ้งไว้ ไม่ใช้อะไรเลย 2 วัน จอดครับ
คาดว่าถ้าปิด 3G อย่างเก่งก็ 4-5 วัน
A smooth sea never made a skillful sailor.
HTC 7 Mozart ปิด 3G เปิด Power Saving mode ไว้ ผมเคยทำได้เจ็ดวันกว่าๆ ครับ หยิบมาเปิดจอกดนิดหน่อยไม่กี่นาทีสองสามรอบ ความจุเขียนที่แบตว่า 1,380 mAh (แบตที่เหลือ 9% นี่ก็อาจจะได้ครบวันนะครับ ระบบคำนวณเวลาคงเหลือมันไม่เคยเชื่อถือได้ :p)
ถ้าเป็นรุ่นใหม่ๆ ที่ความจุแบต 2k-3k mAh น่าจะเกินสิบวันได้เหมือนกันครับ
ผมว่าเป็นที่ CPU ด้วยมั้งครับ Snapdragon S3 ของผมมันไม่ได้เรื่องอยู่แล้ว ทั้งร้อน ทั้งสูบแบต และไม่แรง ToT
A smooth sea never made a skillful sailor.
งงว่าตัดอินเตอร์เน็ตแล้วทำไมเล่นเว็บกับเล่นไลน์ได้อะครับ?
May the Force Close be with you. || @nuttyi
ตัดเน็ตในที่นี้
ก็เลยสามารถใช้งานได้โดยไม่สะดุดครับ ถ้าเป็น Windows Phone จะไม่ปิดระบบเน็ตอะไรออกไป แต่ไม่รับการแจ้งเตือน push notification แทน ต้องเปิดแอพเข้าไปเท่านั้นถึงจะเห็นข้อความ มันเลยประหยัดแบตคนละส่วนกัน (ถ้ามันปิดระบบเน็ตด้วยก็คงประหยัดกว่านี้ ทำไมคิดไม่ได้นะ)
อันเนี้ยเจ๋ง :)
หลักการเหมือน Stamina Mode ของโซนี่ครับ
อยากได้รุ่นนี้ ตรงทำจอขาวดำได้นะเนี่ยชอบๆๆ
ถ้าจะให้ดี ปรับจอขาวดำแล้วเล่นแบบปกติได้เปล่าหว่า ฮ่าๆ
จอขาวดำมีเสน่ห์ดีครับ หาแอพมาทำให้เป็นขาวดำมั่งดีกว่า
Ultra Saving ใช้เวลาปรับเข้าโหมดนานถึงหนึ่งนาที!