เมื่อวานและวันนี้ ผมได้มีโอกาสไปทดลองจับและเล่น Vertu Constellation และ Ti ซึ่งถือเป็นสองสมาร์ทโฟนที่มีราคาแพงและหรูหราเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ที่ร้าน Vertu ทั้งที่สยามพารากอน และเกษรพลาซ่า โดยเครื่องดังกล่าวเป็นเครื่องทดลองที่ตั้งอยู่ภายในร้านครับ
กล่าวถึงประวัติความเป็นมาสักเล็กน้อย Vertu แต่เดิมเป็นโทรศัพท์มือถือที่ออกมาเพื่อตอบโจทย์ตลาดของกลุ่มผู้ใช้ในระดับหรูหรา/เศรษฐี ก่อตั้งโดย Nokia ก่อนที่จะขายออกไปให้กับกลุ่ม EQT VI และเปลี่ยนระบบปฏิบัติการจาก Symbian แต่เดิม มาเป็น Android โดยตัว Ti เปิดตัวเมื่อต้นปีที่แล้ว และ Constellation เปิดตัวเมื่อช่วงสิ้นปีที่ผ่านมา
เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา สเปคของทั้ง Ti และ Constellation สามารถหาอ่านได้จากข่าวเก่า (Ti, Constellation) เราลองมาดูเครื่องกันครับ
คำเตือน: ภาพเยอะมาก
ผมขออนุญาตเริ่มต้นที่ Vertu Constellation ก่อนนะครับ โดย Constellation ถือเป็นรุ่นที่ต่ำที่สุดของ Vertu ซึ่งเป็นสมาร์ทโฟนที่ใช้แอนดรอยด์หน้าจอขนาด 4.3 นิ้ว ปุ่มด้านหน้าเป็นมาตรฐานเดียวกับสมาร์ทโฟนที่ใช้ Android ทั่วไป โดยเป็นปุ่มจริงที่วางอยู่บนกระจกครอบหน้าจอ
ด้านหลังทำจากหนังลูกวัวทั้งผืน มีกล้องขนาด 13 เมกะพิกเซล ใช้แฟลชคู่ และลำโพง ซึ่งเมื่อทดสอบเล่นเสียงแล้วพบว่า ชัด ใส และดังกังวานมาก
ด้านข้างซ้ายมือของเครื่องเวลาจับ จะประกอบด้วยปุ่ม Vertu Key ทำจากทับทิมแท้ และช่องใส่ซิมที่เป็นซิมขนาดนาโน
ด้านบนของเครื่องมีช่องเสียบหูฟังและ Micro USB สำหรับชาร์จ
ด้านขวาของเครื่องมีปุ่มมาตรฐาน คือ ปุ่มปิดเครื่อง และปุ่มปรับเพิ่ม/ลด เสียง
เท่าที่สัมผัสเครื่อง ต้องยอมรับว่าหนักกว่าบรรดาเรือธงที่มีอยู่ในท้องตลาด ไม่ว่าจะ Galaxy S5 หรือ iPhone 5s แต่น้ำหนักอาจจะอยู่ประมาณ HTC One ซึ่งก็ถือว่าไม่ได้มีความหนักมากแต่อย่างใด สาเหตุประการหนึ่งอยู่ที่ตัวเครื่องซึ่งทำมาจากไทเทเนียม ทำให้หนักกว่าปกติ แต่ได้ความรู้สึกที่หนักแน่นในการถือกลับมาแทน
ส่วนความรู้สึกในการสัมผัสนั้น ต้องบอกว่ากินขาดเรือธงทั้งหมดที่มีอยู่ในท้องตลาด ความรู้สึกระหว่างการสัมผัสฝาหลังหนังปลอมของ Galaxy Note 3 กับ Constellation ห่างกันอย่างลิบลับ ไม่ต้องนับถึงความรู้สึกที่เคยจับ Xperia Z หรือ Droid Ultra ที่แทบจะเป็นของเล่นไปโดยปริยาย ตัวเครื่องให้ความรู้สึกในฐานะเครื่องประดับมากกว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือธรรมดาๆ
มาที่ตัว Ti กันบ้าง ซึ่งตัว Ti ออกมาก่อนหน้า Constellation อยู่พอสมควร ได้อัพเกรดเป็น Android Jelly Bean 4.1.2 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตัวเครื่องมีขนาดที่เล็กและเรียวกว่า Constellation มากพอสมควร ในทางกลับกัน ความหนากลับมากกว่า Constellation พอตัว หน้าจอใช้ปุ่มจริง แต่แยกออกมาเป็นปุ่มต่างหากไม่ได้อยู่บนพื้นที่หน้าจอแต่อย่างใด ขนาดจอเล็กกว่า Constellation อย่างชัดเจน
ตัวเครื่องทำจากไทเทเนียมแต่ในอัตราส่วนที่มากกว่า ใช้หนังลูกวัวแท้หุ้มเครื่อง ด้านหลังเครื่องมีแฟลชคู่พร้อมกล้องความละเอียด 8 เมกะพิกเซล และช่องใส่ซิมขนาดปกติซึ่งมีฝาหลังปิด ในฝาหลังดังกล่าวจะมีลายเซ็นของผู้ประกอบเครื่องอยู่ โดยปุ่มที่งัดออกเพื่อเปิดฝาช่องใส่ซิมนั้น ทำมาจากทับทิมแท้
ด้านบนมีเพียงปุ่ม เปิด/ปิด เครื่องเท่านั้น
ด้านซ้ายมือมีปุ่ม Vertu Key และช่อง Micro USB สำหรับชาร์จและถ่ายโอนข้อมูลในเครื่อง
ด้านขวามือของเครื่องมีเพียงปุ่มปรับเสียงเท่านั้น
เมื่อสัมผัส ต้องยอมรับว่าน้ำหนักของเครื่องรุ่นนี้ถือว่าหนักกว่ามือถือทั่วไปอยู่มากโขทีเดียว แม้จะหนักแต่ก็แน่นมากเช่นกัน ให้ความรู้สึกที่ไม่กินขาดเท่า Constellation แต่ถือว่าก็ทำได้ดีอยู่ไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว เรื่องเสียงก็ไม่แพ้ Constellation ที่ให้เสียงได้คมชัดอย่างยิ่ง
เทียบขนาดระหว่าง Constellation และ Ti
ผมมีโอกาสได้ลองเล่นซอฟต์แวร์บนทั้งสองเครื่อง ต้องยอมรับว่าค่อนข้างทำงานได้ดีน่าพอใจ ส่วนหนึ่งเพราะทาง Vertu ไม่ได้ปรับแต่ง Android อะไรมากมายนอกจากใส่เสียงเรียกเข้า เสียงนาฬิกาปลุก รูป และซอฟต์แวร์ของตัวเองจำนวนหนึ่งเท่านั้น สามารถลงแอพทั่วไปได้ (มี Play Store ให้ในตัว)
ของสำคัญอย่างหนึ่งของ Vertu คือเรื่องบริการเสริมต่างๆ เช่น การเข้าคลับหรือเลาจน์พิเศษ ตลอดจนถึงบริการเลขาส่วนตัว ซึ่งพนักงานที่ให้ข้อมูลระบุอย่างชัดเจนว่า สำหรับเมืองไทยอาจจะเป็นข้อด้อย เพราะไม่ค่อยมีข้อตกลงกับบรรดาสถานที่เหล่านี้ โดยส่วนมากมักจะอยู่ในยุโรปมากกว่า ในภูมิภาคนี้ที่มีเยอะเช่น ฮ่องกง หรือ สิงคโปร์ ซึ่งบริการเลขาส่วนตัวอย่าง Vertu Concierge จะมีให้ลูกค้าฟรี 1 ปี นับตั้งแต่ซื้อเครื่อง (หลังจากนั้นต้องเสียค่าบริการ)
ด้านกล้องถ่ายรูปนั้น เท่าที่ถ่ายมาถือว่าให้ภาพที่คมชัดใช้ได้ (ผมพยายามจะเอารูปภาพออกมาจากเครื่อง แต่ทำไม่ได้) ทั้งตัว Constellation และ Ti เอง
ปิดท้ายด้วยราคาและตัวเลือก โดย Constellation มีสีให้เลือก 5 สี และมีแบบหนังจระเข้ด้วย (ไม่ได้ถ่ายมา) ราคาเริ่มต้นที่ 220,000 บาท และ Ti ที่มีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 330,000 บาท ไปจนถึงระดับ 600,000 บาท ตามการตกแต่งเครื่อง
ป.ล. ภาพทั้งหมดดูได้จากที่นี่ครับ
Comments
ท่านครับ drop test กับ waterproof test ล่ะครับ #ห๊ะ
อยากเห็นเหมือนกันครับ
เกรงว่าถ้าทำทดสอบแล้วผมอาจจะไม่สามารถมีเงินมาชดใช้ค่าเสียหายได้
I'm ordinary man; who desires nothing more than just an ordinary chance to live exactly what he likes and do precisely what he wants.
หนังจระเข้นี่ ใช่เครื่องที่อยู่ด้านหลังนั่นหรือเปล่าครับ?
แม่นแล้วครับ
I'm ordinary man; who desires nothing more than just an ordinary chance to live exactly what he likes and do precisely what he wants.
ผมตาถั่ว เห็นแต่ขาซ่ะงั้น
เห็นแต่ขาเหมือนกัน หึหึ
ที่นำภาพออกจากเครื่องไม่ได้นี่ติดปัญหาตรงไหนเหรอครับ?
งานนี้ผมโทษ Android Beam ครับ Beam ไม่ไป T.T
I'm ordinary man; who desires nothing more than just an ordinary chance to live exactly what he likes and do precisely what he wants.
ผมว่า จะซื้อพวกมือถือ luxury ซื้อตัวที่ไม่ใช่ smartphone จะดีกว่า เพราะ smartphone spec ตกรุ่นได้ ควนไปซื้อพวก Accent, Signature มากกส่า ถาวรสุดๆ
คงไม่เน้นเรื่องฟังชั่น ความทน ความเบา ความเบา ความเร็ว ความแรง
อารมณ์คงคล้ายกับกล้อง leica มันคือเครื่องประดับ
ว่าแต่เก็บไว้นานๆ ราคามันจะเพิ่มรึเปล่าครับเนี้ย
แปลกที่เขาไม่ให้ใส่ถุงมือในการจับมือถือที่ยังไม่ได้ซื้อ
ตีตรา DEMO ไว้ขนาดนี้คงไม่เป็นไรมั้งครับ
Concierge ของมันไว้ทำไรได้บ้างครับอยากรู้
ตัวอย่างเช่น สมมติว่าผมอยากได้ที่นั่งแถวหน้าสุดของคอนเสิร์ต Frankie Valli (หวังว่าคงมีคนทัน?) แต่ตั๋วถูกจองเต็มแล้ว ยังไงก็อยากได้ Concierge จะไปจัดการหามาให้ได้ หรือสมมติผมอยากได้ไวน์ Chateau Haut-Brion ปี 2009 หนึ่งขวดสำหรับอาหารค่ำคืนนี้ แต่หาไม่ได้ ก็จะให้ Concierge ไปหาให้ เป็นบริการอะไรทำนองนี้ครับ ซึ่งถ้ามีบัตรเครดิตระดับสูงๆ ก็จะมีพวกบริการแบบนี้ให้อยู่แล้วครับ
I'm ordinary man; who desires nothing more than just an ordinary chance to live exactly what he likes and do precisely what he wants.
Ti ดูสวยดีแฮะ เหมือนใส่เคสมาให้เลย
ความสวยแบบสมัยก่อนมันหายไปไหนกัน T_T
อยากได้มาเล่นคุกกี้รันสักเครื่อง