ให้หลังหนึ่งปีจากการก้าวผ่านรูปแบบการขายซอฟต์แวร์กล่องไปเป็นการให้บริการผ่านระบบกลุ่มเมฆของ Adobe ในที่สุดแผนนี้เริ่มเห็นผลในการแก้ไขปัญหาซอฟต์แวร์ละเมิดลิขสิทธิ์ที่ลดลงแล้ว แม้จะระบุตัวเลขชัดๆ ยังไม่ได้ก็ตาม
ปัญหาเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ในเครือของ Adobe นั้นดำเนินมาเป็นระยะเวลากว่า 25 ปีด้วยกัน และแม้ว่า Adobe จะทุ่มเทกับการพัฒนาระบบเพื่อป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์มากเท่าไร แต่ก็ยังถูกแคร็กเพื่อแจกบนโลกออนไลน์ฟรีๆ แทบทันทีที่ซอฟต์แวร์รุ่นใหม่ออกมา แม้ว่าการเข้าสู่กลุ่มเมฆ Creative Cloud จะยังไม่แก้ปัญหานี้แบบเด็ดขาด แต่ก็ช่วยบรรเทาปัญหานี้มาได้บ้าง จากวิธีการให้บริการที่คล่องตัวกว่า และราคาที่จับต้องได้มากขึ้นจากเดิมที่ซอฟต์แวร์ของ Adobe ราคาสูงหลายร้อยเหรียญ เหลือเพียงเดือนละไม่ถึงร้อยเหรียญ และใช้งานได้ทุกโปรแกรมในเครือของ Adobe
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการใช้ซอฟต์แวร์เถื่อนของ Adobe จะลดลง แต่เมื่อดูจากบรรดาเว็บไซต์ให้ดาวน์โหลดบิททอร์เรนท์ชื่อดังต่างๆ ซอฟต์แวร์ของ Adobe ก็ยังจัดว่าเป็นซอฟต์แวร์ยอดนิยมของผู้ใช้งานซอฟต์แวร์เถื่อนในปัจจุบัน โดยมี Photoshop CS6 รุ่นสุดท้ายก่อนเปลี่ยนไปเป็นระบบกลุ่มเมฆ ครองแชมป์ยอดดาวน์โหลดในปัจจุบัน
ส่วนผู้ใช้บริการ Creative Cloud ไตรมาสล่าสุดอยู่ที่ 2.3 ล้านราย โดยเพิ่มขึ้นราว 464,000 รายในไตรมาสแรกของปี 2014 และจากความสำเร็จดังกล่าว Adobe มองว่าเป็นผลจากการเปลี่ยนความคิดเดิมที่เคยต่อต้านการละเมิดลิขสิทธิ์ ไปสู่การทำให้ผู้ใช้ของเถื่อนพร้อมใจจะจ่ายเพื่อใช้บริการมากขึ้นนั่นเอง
ที่มา - TorrentFreak
Comments
อย่างน้อยผมก็ไม่เป็นหนึ่งในนั้นแล้วครับ :-) (Adobe CS6 Product Premium)
ป.ล. Adobe Applications Manager อัปเดตเป็น Creative Cloud นี่มันบังคับให้ซื้อ Creative Cloud ชัด ๆ T_T
Coder | Designer | Thinker | Blogger
ราคาเดือนละสามร้อย ทำให้ง่ายต่อการตัดสินใจมากขึ้น
ปัญหาคือแม้จะผูกกับระบบ Cloud แล้ว มันก็ยังแคร็ก CC หรือ CC 2014 ได้ด้วยวิธีการทำนองเดียวกับ CS นี่สิ ของเถื่อนก็เลยยังเกลื่อนเหมือนเดิม
เคยคิดเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน ผมคิดว่า คงเพราะว่า Adobe คิดว่า ในราคาขนาดนี้ ผู้ใช้ส่วนมากที่ใช้ทำงาน (เพราะถ้าไม่ทำงานคงไมซื้อ) ก็คงซื้อหมดแล้ว ก็เลยไม่แคร์เรื่องแครกเท่าไรกระมัง
เป็นหนึ่งในสมาชิก CC เหมือนกันครับ
คุ้มกว่า365 อีกนะเนี่ย
photoshop ครองแชมป์เถื่อนก็คงไม่แปลก
เพราะรอบตัวผมชอบให้ลงเถื่อนให้ ถามว่าจะเอาไปทำอะไรเห็นใช้ paint ยังไม่เป็นด้วยซ้ำ
เขาบอกไว้เปิดรูปดู เลยจัดการ irfanview กับ paint.net แทน
ผมใช้ฟรี 30 วัน พอครบ ลบ ลง windows ใหม่ รอ 10 นาที windows ก็กลับมา เพราะ เปลี่ยน harddisk เป็น ssd ครับ
ปล. ใช้ macbook pro ลง bootcamp เลยได้ฟรีทั้ง windows พร้อม adobe 30 วัน แถม office ก็ฟรี 90 วัน
แล้วคุณลงวินโดวใหม่ทุกสามสิบวันเลยหรอครับ???
blog
เขียนssdบ่อยๆไม่พังเหรอครับ
ถ้ากังวลเรื่องนั้นก็ต้องลงแบบ WIMBoot แล้วล่ะครับ (>_<)
Database Server อ่าน-เขียนข้อมูลบ่อยกว่าเครื่องตามบ้าน เปิดใช้มาจะ 2 เกือยๆ 3 ปี ตลอด 24 ชั่วโมง ทำงานบน SSD ยังไม่พังเลยครับ
มีเหตุผลอะไรที่ทำให้ต้องไปซื้อของลิขสิทธิ์ ในเมื่อแคร็กเอาก็ได้แถมใช้ฟรีอีกต่างหาก (คนส่วนใหญ่ก็คงคิดเหมือนๆกัน)
ถ้าเอามาทำงานจริงๆ คิดแบบนั้นคงไม่ได้ครับ เพราะไม่มีอะไรจะสามารถมารับประกันได้เลยว่าถ้าเกิดมีปัญหาเกี่ยวกับซอฟท์แวร์ที่ใช้อยู่จะสามารถทำงานต่อได้อย่างราบรื่นหรือใช้เวลาแก้ปัญหาได้ในระยะเวลาที่รวดเร็ว
อย่างน้อยคุณก็ซื้อความสบายใจครับ ได้สนับสนุนนักพัฒนาโปรแกรมให้พัฒนาโปรแกรมดีๆต่อครับ
ไม่ละอายแก่บาป
อยากเสีย 300 หรืออยากเสีย 500,000 ละ
ความคิดเดียวกับ:
มีเหตุผลอะไรที่ทำให้ต้องไปซื้อกับข้าว ในเมื่อขโมยเอาก็ได้แถมฟรีอีกต่างหาก
โปรแกรมเมอร์ก็คนนะครับ ไม่ได้อิ่มทิพย์ ไม่ซื้อไม่สนับสนุนเราก็ตายนะครับ
Dream high, work hard.
ไม่รู้จัก bsa ละซิ..
อีกอย่าง ที่นี่ Programmer เยอะครับ หัวอกเดียวกัน ซึ่งเขาก็ต้องใช้เงินกินข้าวเหมือนกัน
ปกติผมใช้ของแท้ครับ Windows ก็แท้ แต่หมายถึงคนส่วนใหญ่เขาจะคิดแบบนั้นอะสิ
ผมเคยเจอโปรแกรมเมอร์ที่ต่อต้านโปรแกรมเถื่อน ด่าคนใช้โปรแกรมเถื่อน ซื้อโปรแกรมแท้
แต่โหลด mp3 เถื่อน เซฟภาพงานคนอื่นโพสลงเฟสตัวเอง โหลดบิทหนัง ซื้อแผ่นซีรี่ส์เถื่อนซะด้วยซ้ำ
สนับสนุนลิขสิทธิ์เฉพาะสายงานตัวเอง
+500
แล้ว ?
ปัญหาคือ?
พอดป็น dev เอง เข้าใจครับ ตอนนี้พยายามเจียดค่าแรงซื้อโปรแกรมแท้เท่าที่สามารถได้
Adobe Creative Cloud Photographer Program นี่มาเป็นตัวที่ทำให้ผมพูดได้ว่าโปรแกรมในเครื่องผมแท้ทั้งเครื่องเลยครับ จำได้ว่าตอนนั้นใช้โปรแกรมแท้เกือบหมดเครื่องแล้ว (Windows แถมมากับเครื่องและ MSDN , office ได้คีย์ 2007 มา, 7zip แทน winrar ฯลฯ) ติดอยู่โปรแกรมแต่งภาพนี่แหละ ทั้ง Lightroom และ Photoshop ฟรีแวร์ก็มีนะ แต่ใช้แล้วทั้งคุณภาพและความสะดวกยังไม่เท่าของ Adobe อยู่ดี พอได้ลองใช้ดูก็ค่อนข้างโอเคกับการเช่าใช้โปรแกรมรุ่นใหม่ล่าสุดตลอด แทนที่จะซื้อขาดแต่มีตกรุ่น ต้องจ่ายอัพเกรดทีหลัง ตอนหลังชักติดใจระบบเช่าโปรแกรม เลยลามต่อไปเช่า Office 365 มาใช้แทน Office 2007 อีก Microsoft เลยได้ตังจากผมไปด้วย
เรื่องใช้ของแท้ หรือเถื่อน(ปลอมแปลงแบบพิดกฎหมายด้านสิทธิบัตร)((ผิดกฎหมายด้านสิทธิบัตรเท่านั้น))
-เปรียบเหมือน
1.ทันตแพท A เรียนจบทันตกรรมมา มีใบรับรองการรักษา
2.ทันตแพท B เรียนจบหมอมาแต่สามารถ ทำงานด้านทันตกรรมได้เหมือนกัน แต่ไม่มีใบรับรองแพทย์ด้านทันตกรรม
ด้านการรักษานั้น
-A มีดีกรีดีกว่า ทั้งก่อนและหลังการรักษาหรือเมื่อเกิดปัญหากับลูกค้านั้น ๆ
-B มีดีกรีเหมือนกัน ทั้งก่อนและหลังการรักษาหรือเมื่อเกิดปัญหากับลูกค้าใด ๆ (ย่อมถูกตรวจสอบและอาจโดนข้อหาประกอบวิชีพผิดประเภทเป็นต้น)
ถามว่า หมอสองคนนี้ ทำผิดศีลธรรมหรือไม่ที่รักษาฟันให้คนอื่น ตามความรู้ที่ตนเองเข้าใจและศึกษามา ทั้งที่มีใบรับรองและไม่มีใบรับรอง
ตอบ หมองสองคนนี้ ไม่ได้ทำผิดศีลธรรม แต่หมอ B ทำผิดกฏหมายบ้านเมืองที่ระบุไว้ ตราบเท่าที่บุคคลที่เข้าไปรักษายังไม่ปัญหาอะไร (ก็ถือความผิดในกฎหมายข้อนี้ก็ยังไม่เกิดขึ้น)
ด้าน Software จริง กับ เหมือนจะจริงแต่ไม่ได้รับการยอมรับเพราะได้มาโดยละม่อม
ถ้าผมต้องเปิดบริษัท เรางานเอาไปทำ มีรายได้คงเหลือเดือนละหลาย ๆ แสนผมซื้อของแท้ คุ้มค่าแน่นอน (และจำเป็นต้องใช้ของแท้ตามกฎหมายลิขสิทธิ์)
หากแต่ผมเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดา เงินจะซื้อคอมก็แทบจะไม่มีอยู่แล้ว ดังนั้น ซอฟท์แวร์ละเมิดกฎหมายลิขสิทธิ์(ย้ำผิดกฎหมายการค้า(เพราะต้องรักษาผลประโยชน์ของตนให้ถึงที่สุดเพื่อป้องกันคนอื่นเอาไปทำผลกำไร(อันนี้เข้าใจ)) เมื่อช่างติดตั้งโปรแกรมอะไรให้เพียง 300 บาท เป็นต้นเขาก็พอใจในสิ่งที่มี และเขาก็โปรแกรมเหล่านั้นจนเรียนจบ จนมีงานทำ จนมีเงินแล้ว จนเริ่มรู้แล้วว่า ควรใช้โปรแกรมถูกลิขสิทธิ์เมื่อต้องใช้กับงานอะไร ลักษณะเช่นไร เมื่อนั้นค่อยซื้อหาเอาไปใช้ก็คงจะยังไม่สาย
ดังนั้นผมก็ขอ คารวะบุคคลทั้งสองประเภทนี้ ด้วยความเคารพในสิทธิ์ที่ท่านใช้และมี
้1.ถ้าโลกนี้มีเครื่องกอปปี้ รถยนต์ได้ เหมือนเครื่องก๊อปปี้แผ่น CD/DVD etc.
2.ถ้าโลกนี้ไม่มีแฮกเกอร์ คอยทำเครก โปรแกรมต่าง ๆ ให้คนยากจนไว้เลือกใช้
3.ถ้าโลกนี้มีแต่คนดี และคนใช้ซอร์ฟแวร์ถูกลิชสิทธิ์ทั้งหมด
4.ถ้าโลกนี้มีแต่คนใช้ โปรแกรมละเมิดกฎหมายสิทธิบัตรทัั้งหมดเหมือนกัน
ดังนั้นแล้ว
ข้อ 1 ก็จะไม่มีผู้ผลิตรถยนต์ออกขาย หรือถ้าขายจริง ๆ คงจะขายราคาแค่ คันละพันบาท หรือ หมื่นบาท (ในข้อนี้ยังมีข้อโต้แย้งอีกมากมาย)
ข้อ 2 ก็จะไม่มีโปรแกรมเถื่อน การเข้าถึงการเรียนรู้ ก็จะมีวงจำกัดเฉพาะกลุ่นคนบางกลุ่มเท่านั้น โอกาสที่โปรแกรมเหล่านั้นจะแพร่หลายเป็นที่รู้จักก็จะลดน้อยลง (ในข้อนี้อาจจะมีข้อโตแย้งได้อีกนิดหนึ่ง)
ข้อ 3 ผู้ผลิตโปรแกรมนั้นๆ ก็จะรวยมหาศาล ลงทุนเพียงครั้งเดียว ถ้าทำสำเร็จก็แค่ปั้มขาย หรือกอปปี้ขาย (ขายสิทธิบัตรการใช้งาน)(ในช้อนี้สามารถโต้แย้งได้อีกพอประมาณ)
ข้อ 4 ผู้ผลิตโปรแกรมนั้น ๆ ก็จะเริ่มจน หมดกำลังใจ ไม่มีเงินจ้างพนักงานเขียนโค๊ด เพราะขายได้เพียงครั้งเดียว โปรแกรมก็จะไม่มีการพัฒนาปรับปรุงในที่สุด(เพราะโปรแกรมเป็นทั้งนามธรรมและรูปธรรม)หมายถึงมันสามารถจับต้องได้และจับต้องไม่ได้ ในเวลาเดียวกัน (เป็นรูปธรรมอาจจะหมายถึง สิ่งที่โปรแกรมนั้นสร้าง) นามธรรมอาจจะหมายถึงสิ่งที่่โปรแกรมนั้น ๆ ยังไม่ได้สร้างหรือสร้างแล้วแต่ยังอยู่ในฮาร์ดดิสก์หรือแหล่งบันทึกข้อมูลนั้น ๆ ซึ่งยังไม่สมารถจับต้องหรืออาศัยอยู่ได้ จึงเรียกว่า นามธรรม)เพราะนามธรรม(กล่าวคือโปรแกรมพวกนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อมื่อมีไฟฟ้าเข้าไปเลี้ยงเท่านั้น ขาดไฟ เหมือนเป็นแค่ชื่อ (ในข้อนี้ไม่ควรมีข้อโต้แยงใด ๆ เพราะผมโต้ให้เรียบร้อยแล้ว) คำอธิบายอื่นมากไปกว่านี้ก็มี แต่ผมขอจบโวหารไว้แต่เพียงเท่านี้
จึงสรุปว่า
ในโลกใบนี้ มีคนรวย และคนจน หรือทั้งสองคนคือทั้งรายและจน และกลาง ๆ
ในโลกนี้ คือสถานอยู่อาศัยมีแผ่นดิน น้ำ อากาศ(ลมกับอากาศต่างกันแต่ในที่นี้หมายถึงลมด้วย) และความร้อน(อบอุ่น)(ในที่นี้หมายถึงไฟ) ก็จักต้องมีทั้งคน ดี เลว และ ทั้งดีและเลว และกลาง ๆ เหมือนกัน
ในโลกนี้ จึงมีทั้งคนที่มีเงินซื้อโปรแกรมแท้ใช้ และมีทั้งคนที่ใช้โปรแกรมละเมิดสิทธิบัตร(การถือครองโดยไม่ได้รับอนุญาติจากเจ้าข้องผู้ผลิตอย่างเป็นทางการ)และมีทั้งคนมีเงินแต่ไม่ซื้อของแท้ใช้และคนจนที่พยายามเพื่อที่จะซื้อของแท้ใช้ หรือใช้ทั้งแท้ทั้งเถื่อนในบางโปรแกรม ก็มี
ในโลกนี้ จึงมีทั้งคนที่อาศัยอยู่บนบก ในเรือ(อะไรก็ตามที่ลอยน้ำได้หมายถึงเรือในที่นี้)ในเครื่องบิน(อะก็ตามที่คนสามารถนอนหลับในขณะที่มันลอยไปบนท้องฟ้าได้ หรืออาศัยเดินทางไปในอากาศได้ในที่นี้ผมสมมติว่าเป็นเครื่องบิน) หรือก้อนเมฆ(เทวดา) หรืออาศัยอยู่ในหลืบ ในถ้ำ เขาเหล่านั้นทั้งหมด ต่างก็คือผู้อาศัยโลกอยู่ ตราบใดที่สถานนี้เหล่านั้นไม่มีเจ้าของสิทธิ์ตามกฎหมาย เขาก็ยังอาศัยอยู่ได้ และประกอบอาซีพต่าง ๆ ตามที่ตนเองถนัด แต่เมื่อใดที่เราจะเอาผื่นฟ้า ผืนดิน ผืนอากาศ เราจำเป็นต้องทำให้ถูกต้องตามกฎระเบียบของโลกนิยมก่อน จึงจะสามารถยึดครองได้ (คงไม่มีใครอยู่ ๆ ก็ไปสร้างโรงงานในที่ดินของคนอื่นด้วยคิดว่าไม่มีเจ้าของ หรือด้วยคิดว่าเจ้าของไม่สนใจ)
โปรแกรมละเมิดลิขสิทธิ์ ไม่ละเมิดศีลธรรม (ถ้าไม่เน้นการค้าขายหรือแจกจ่ายเพื่อนำมาซึ่งผลกำไร หรือไม่ทำให้เจ้าของลิขสิทธิ์เสียหาย (ถาม Microsoft ดูว่าจริงไหมเฮีย)
แฮกเกอร์ คือ โจรผู้ใจดี ปล้นคนรวยเอาไปช่วยเหลือคนจน
คนใช้โปรแกรมถูกลิขสิทธิ์ คือผู้ช่วยอุปภัมภ์เจ้าของลิทธิ์
ผมเชื่ออย่างหนึ่งว่า โปรแกรมทั้งหมดที่อยู่ในเครื่องเช่น Photoshop บางทีบางคนอาจจะไม่เคยคลิกใช้ด้วยซ้ำไป
ทั้งหมดทั้งสิ้นนี้ ผมก็สนับสนุนการใช้โปรแกรมแบบไม่ละเมิดสิทธิบัตร(ถูกลิขสิทธิ์จะดีกว่าในแง่ของการทำธุระกิจน่ะครับ) นอกนั้นตามสะบายจัดไป
มีความแตกต่างระหว่างเรื่องนี้กับการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์อยู่นะครับ
กรณีนี้ ทั้งหมอ A และหมอ B เต็มใจรักษาให้ผู้ป่วย โดยทั้งหมอ B และผู้ป่วยเองก็ยอมรับความเสี่ยงครับ
ขณะที่การละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ เป็นการบังคับครับ หากเปรียบกับกรณีนี้คือการเอาปืนจ่อหัวหมอ A (ที่เป็นหมอชั้นดี หรืออย่างน้อยๆ ก็เป็นหมอที่มีมาตรฐาน ได้รับการรับรอง) ให้ทำการรักษาให้ โดยไม่จ่ายเงินครับ
หากจะเปรียบกับกรณีที่ท่านยกมา คือการที่เราไม่มีเงินซื้อซอฟต์แวร์แพงๆ แล้วต้องไปใช้ Open Source หรือซอฟต์แวร์ฟรีอื่นๆ ต่างหากครับ
ขอต่ออีกรอบ
รายได้คงเหลือเดือนละหลายๆ แสนเลยเหรอครับถึงจะใช้ของแท้ อันนี้ผมเรียกอ้างเรื่อยเปื่อยหาข้อแก้ตัวให้ดูเหมือนชอบธรรมครับ
คนจำนวนไม่น้อย รายได้ทั้งหมดต่อเดือนไม่ถึงสองหมื่นก็ใช้แต่ของแท้ครับ อย่าเอาแต่เห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้เป็นที่ตั้ง
อ่านๆ แล้ว ที่ท่านว่ามานี่ตรรกะเดียวๆ กับพวกที่อ้างว่าจน และใช้ความที่อ้างว่าจนนั้นมาไล่ปล้นทั้งคนรวยและคนจนไม่เลือกหน้าด้วยการเอาเปรียบและพยายามไม่ยอมรับโทษด้วยคำว่า "อย่ารังแกคนจน" นั่นแหละครับ
ขอชมที่พยายามอธิบายวิธีคิดของตนเองออกมานะครับ แต่ต้องไปฝึกฝนเรื่องเรียงความให้มากกว่านี้นะครับ อ่านยากจริงๆ
ผมไม่แน่ใจนะว่า จะเป็นที่วิธีคิดที่คุณพยายามอธิบายอยู่ หรือเป็นเพราะการเรียงความยังไม่ดี ทำให้ผมอ่านแล้วรู้สึกเหมือน "เลอะเทอะ" ได้
ดังนั้น ผมจึงขอแย้งที่เดียวแล้วกัน ที่ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงอยู่ แต่คุณสร้างความหมายใหม่มาสนับสนุนข้อเขียนของคุณเอง นั่นคือที่คุณกล่าวว่า...
"ทั้งหมดทั้งสิ้นนี้ ผมก็สนับสนุนการใช้โปรแกรมแบบไม่ละเมิดสิทธิบัตร(ถูกลิขสิทธิ์จะดีกว่าในแง่ของการทำธุระกิจน่ะครับ)"
นี่แหละครับ ที่ผมประหลาดใจมากๆ เพราะถ้าคุณสนับสนุนการไม่ละเมิด "สิทธิบัตร" ล่ะก็ ไอ้วิธีคิดที่คุณกล่าวมาช่วงต้นทั้งหมด คือแทบจะผิดข้อความสรุปของคุณทั้งหมดเลยนะครับ
อยากให้ไปทำความเข้าใจให้ถ่องแท้เสียก่อนว่า "สิทธิบัตร" กับ "ลิขสิทธิ" ต่างกันอย่างไร? ครับ ผมนึกไม่ออกเลยว่า คุณเข้าใจว่าสองอย่างนี้เป็นอีรูปไหน จึงมีข้อสรุปแบบนั้นออกมาได้?
อีกหนึ่งสมาชิก CC ครับ
ผมเป็นใช้ Adobe Creative Cloud อยู่อีก 1 ครับ สะดวกดีครับ