ก่อนที่ไมโครซอฟท์จะเสร็จสิ้นการเข้าซื้อส่วนกิจการด้านอุปกรณ์และบริการของโนเกีย หนึ่งในอุปกรณ์เสริมที่โนเกียเปิดตัวเพื่อใช้เป็นพิเศษกับโทรศัพท์มือถือตัวเอง (และใช้กับโทรศัพท์เครื่องอื่นๆ ผ่านซอฟต์แวร์ third-party) คือ Treasure Tag ที่เป็นอุปกรณ์ซึ่งใช้ในการช่วยเตือนความจำและหาสิ่งของต่างๆ ที่ใช้เทคโนโลยีของ Bluetooth 4.0 LE ครับ
Blognone ได้ Treasure Tag มาลองเล่นสักระยะหนึ่งแล้ว ซึ่งผมขออนุญาตถ่ายทอดประสบการณ์ใช้งานให้ได้อ่านกันครับ (ขอบพระคุณทาง ไมโครซอฟท์ ดีไวซ์ ที่ส่งมาให้เล่นครับ)
กล่องของ Treasure Tag เป็นกล่องใส ทำเหมือนกับว่า Treasure Tag กำลังลอยอยู่ เมื่อดึงออกมาจากส่วนที่ยึดไว้ที่เป็นกระดาษ ก็จะเผยให้เห็นคู่มือและยางที่ไม่มีห่วงคล้องอยู่ด้านล่าง ซึ่งมีแค่นี้
ตัวของ Treasure Tag จริงๆ เป็นแค่กล่องสี่เหลี่ยม (ในตัวที่ได้มาเป็นสีดำ) ด้านหน้าเป็นปุ่มกดเปิด/เปิด และเอาไว้เรียกหาโทรศัพท์มือถือของเรา
ด้านหลังเป็นช่องลำโพงและร่องที่เอาไว้งัดเปลี่ยนถ่านโดยเฉพาะ
แกะออกมาแล้วจะเป็นแบบนี้
สำหรับการใช้งานจริง ขั้นแรกคือต้องเปิดเครื่องก่อน จากนั้นถ้าเครื่องมี NFC ก็สามารถเอาไปแปะด้านหลังแล้วสั่งผูก (pair) อุปกรณ์ได้ทันที แต่ถ้าหากไม่มี NFC จำเป็นที่จะต้องเรียกแอพ Treasure Tag ขึ้นมาก่อนครับ (ใน iOS และ Android ก็มีครับ เพียงแต่เป็น third-party เท่านั้น) ในกรณีผม คือทดสอบกับ Lumia 930 หลังจากใช้ NFC จัดการปุ๊ป หน้าจอของระบบก็ถามทันที หลังจากนั้นระบบ Device Hub ของเครื่องก็แจ้งเตือนว่าเชื่อมต่อสำเร็จเรียบร้อย
จากจุดนี้ ถ้ายังไม่มีแอพ มันจะพาเราเข้า Store ให้ไปโหลดแอพ Treasure Tag ซึ่งผมมีอยู่แล้ว เวลาขึ้นเตือนว่าอุปกรณ์ต่อเชื่อมแล้ว ผมเลยกดเข้าไปตรงๆ ได้เลย ซึ่งจะขึ้นแอพ Treasure Tag ให้ทันที ซึ่งเราสามารถตั้งค่าตามที่เราต้องการได้ครับ
เพื่อทดสอบว่าสำเร็จหรือไม่ เราสามารถสั่งให้ทดสอบการเตือนได้ครับว่า Treasure Tag ใช้งานได้หรือไม่ และในหน้าของ Tag แต่ละตัว เราสามารถเรียกหาได้โดยกดปุ่ม Play มันก็จะส่งเสียงออกมาครับ
เท่าที่ทดสอบทั้งบน Android และ Windows Phone ผมก็พบว่ามันทำงานได้ดีตามที่ควรจะเป็น กล่าวคือ พออยู่ห่างมันก็มีการเตือน และพอเวลาผมหาของไม่เจอ ก็สามารถบอกได้จากแผนที่ (บังเอิญผมไม่ได้แคปหน้าจอมา) ว่าตำแหน่งของอุปกรณ์ล่าสุดอยู่ตรงไหน ซึ่งผมเข้าใจว่ามันเป็นที่แอพในเครื่องของโทรศัพท์มากกว่าที่จะจดจำระยะสุดท้ายที่เจออุปกรณ์ชิ้นนี้ มากกว่าที่ตัวอุปกรณ์เองจะรู้ว่าตอนนี้ตัวมันอยู่ที่ตรงไหน
ผมไม่ปฏิเสธว่าแนวคิดของ Treasure Tag เป็นแนวคิดที่ดี กล่าวคือ เอาเทคโนโลยีเดิมๆ มาประยุกต์ใช้กับการแก้ไขปัญหาในชีวิตประจำวัน แต่ในท้ายที่สุดแล้ว ผมสงสัยว่า Treasure Tag จะกลายเป็นของเล่นที่ไม่จำเป็นหรือไม่ ด้วยสามเหตุผลหลักดังนี้
หนึ่ง ขนาด แม้ว่าจะมี Treasure Tag Mini ออกมาเพิ่ม แต่ขนาดของอุปกรณ์เหล่านี้ก็ทำให้ผมรู้สึกว่า มันทำให้ชีวิตเราเพิ่มความยุ่งยากหรือไม่ ตัวอย่างเช่น พวงกุญแจ ที่พวงก็ใหญ่อยู่แล้ว ถ้าเพิ่ม Treasure Tag เข้าไปอีกอัน แม้ว่าจะใช้ได้ดีจริง แต่ก็เพิ่มความรู้สึกว่ามัน "รก" เข้าไปอีก (ทุกวันนี้พวงกุญแจที่ผมใช้ มักจะไม่มีอะไรห้อยให้ดูสวยงามเลย) หรือถ้าติดกับกระเป๋าสตางค์ เวลาหยิบออกมาใช้จะสะดวกหรือไม่?
สอง ราคา ด้วยค่าตัวที่ 990 บาท และ 690 บาท สำหรับตัว Treasure Tag Mini ถ้าผมจะต้องใช้ Treasure Tag ในฐานะเป็นตัวแก้ไขปัญหา (solution) ให้กับความขี้ลืมหรือมักง่ายของผม ราคาของ Treasure Tag ที่ผมต้องซื้ออาจจะแพงกว่าการซื้อกระเป๋าเป้หนึ่งใบ เพราะผมต้องซื้อเป็นสิบๆ ตัว นั่นแปลว่าราคามันไม่ได้ถูกเลยแม้แต่น้อย
สาม เราลืมของกันบ่อยขนาดนั้นหรือ? ซึ่งนี่เป็นคำถามที่ใหญ่ที่สุดที่ผมจะนึกออก คิดไปให้สุด สมมติผมเป็นคนขี้ลืมสมุดบัญชี ผมจำเป็นที่จะต้องซื้อ Treasure Tag มาติดสมุดบัญชี? ในที่สุดเราอาจจะหลงลืมอะไรไปบางอย่าง แต่ก็เป็นครั้งคราวเสียมากกว่าที่จะลืมอยู่ตลอดกาล ในสถานการณ์ที่อาจจะถูกยกขึ้นมาบ่อยๆ เช่น เราลืมว่าเราจอดรถที่ไหน เลยต้องใช้ Treasure Tag คำถามผมก็คือ ในสถานการณ์จริงที่ตัวแอพยังต้องพึ่งแผนที่ของโทรศัพท์อยู่ การนำทางในอาคารยังอยู่ระหว่างการพัฒนา จะช่วยให้ Treasure Tag หารถที่เราจอดได้ดีขึ้นจริงหรือ ในทางตรงกันข้าม ถ้าผมใช้เทคโนโลยีอย่าง iBeacon ระบุว่าผมจอดรถที่ A แล้วผมเกิดลืม แค่หยิบมือถือออกมาดูตำแหน่งอาจจะง่ายกว่ามาก (อันนี้ว่ากันด้วยเรื่องอนาคตล้วนๆ นะครับ)
ในท้ายที่สุด ผมกลับมานั่งคิดว่า Treasure Tag จะวางสถานะ (position) ในฐานะอุปกรณ์เสริมอะไร คำตอบสำหรับผมก็คือ ของเล่นที่ไม่มีความจำเป็นใดๆ ถ้าไม่มีผมก็ไม่รู้สึกว่าเป็นของที่จำเป็น ซึ่งนี่คือปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของ Treasure Tag ที่แนวคิดดี แต่ตอบคำถามไม่ได้ว่าจำเป็นหรือไม่ที่ควรจะมี ซึ่งหากวันหนึ่ง ไมโครซอฟท์/โนเกีย สามารถหา "ความจำเป็น" ให้กับ Treasure Tag ได้ ผมอาจจะรู้สึกว่ามันจำเป็นต้องซื้อก็ได้ ซึ่งผมยังไม่เห็นทั้งในตอนนี้ และอนาคตอันใกล้ แต่อย่างใดครับ
ข้อดี
ข้อเสีย
Comments
ผมขอใช้ภาพจากรีวิวจริงนะครับ
I'm ordinary man; who desires nothing more than just an ordinary chance to live exactly what he likes and do precisely what he wants.
-เนื่องจากว่า มีรุ่นแอนดรอยด์กับiOS แปลว่าใช้งานกับมือถือเครื่องอื่นได้
-แต่แอพTreasure Tagมีเฉพาะตระกูลลูเมียให้ใช้ แปลว่าใช้กับมือถือWPเครื่่องอื่นไม่ได้
ตรรรกะโนเกียป่วยชะมัด... -_-
ตอนที่เปิดตัว โทรศัพท์ WP ตัวอื่นนอกจาก Lumia ใช้ Bluetooth 4.0 LE ไม่ได้ครับ เพิ่งมาได้กันตอนหลัง ไม่แน่ใจว่าตอนนี้ปล่อยให้ใช้กันหรือยัง
มีแต่ third-party ครับ (อยากจะเขียนว่ามือที่สาม แต่ฟังแล้วกะไรอยู่)
I'm ordinary man; who desires nothing more than just an ordinary chance to live exactly what he likes and do precisely what he wants.
เท่าที่คิดได้ตอนนี้คือเอาไว้ตามตัวแฟน อิอิ
เคยคิดว่าถ้าไม่ห้อยพวงกุญแจก็น่าจะห้อยคอสัตว์เลี้ยง มันน่าจะตอบโจทย์พวกนี้ได้ไหมครับ และสงสัยเรื่องระยะเวลาต่อการเปลี่ยนแบตเตอร์รี่สักก้อน ว่ามันอยู่ได้นานแค่ไหน ;)
my blog
ตอนแรกผมคิดจะใช้แบบนั้นแหละครับ ติดตรงที่น้องหมาผมไม่ใช่กระเป๋าครับ พอมันเดินเลยระยะเราจะรู้แค่ว่าสัญญาณหายอยู่จุดไหนแต่หลังจากนั้นไปไหนไม่รู้ กดเรียกก็คงไม่ดังเพราะสัญญาณไม่ถึงแล้ว
น้องหมาผมชอบหนีออกนอกบ้านครับ
กับแฟนก็คงใช้ไม่ได้เช่นกัน รอดด
แต่ผมคิดว่าถ้าหากสิ่งของที่เอา Tag ติดมีความสำคัญมากขึ้นไปอีกเช่น ติด Tag กับประเป๋าเป้ที่รวมทั้ง พวงกุญแจ กระเป่าสะตางค์ สมุดบัญชีไว้ที่เดียว เทียบขนาด Tag กับกระเป๋าเป้แล้วไม่น่าจะทำให้รกเพิ่มขึ้นมากนัก ก็น่าจะเป็นการเพิ่มประโยชน์ด้านปลอดภัยต่อทรัพย์สินได้อยู่ สำหรับผมที่ชอบลืมกระเป๋าไว้ตามสถานที่ต่างๆ หายขึ้นมางานเข้าไม่ใช่น้อย
น่าจะใช้กับเด็กครับ เผื่อโดนอุ้มไป อย่างน้อยอาจจะทันเวลาที่จะตามหา
ถ้าเรื่องจอดรถในลานจอดรถ ผมมักจะถ่ายรูปเสาที่มีรหัสประจำลานจอดรถจอดเอาไว้
แต่ถ้าให้ผมเอาเจ้านี่ไปใช้งาน ผมคงจะเอามันไปติดกับกระเป๋าเดินทางอ่ะ แล้วนั่งรอเวลามันขึ้นสายสะพานมาให้ส่งเสียงเตือนแล้วเดินไปหยิบได้ทันที ไม่ต้องยืนเฝ้า หรือเช็คว่าใช่กระเป๋าตัวเองรึเปล่า
แต่ถามว่าจำเป็นขนาดนั้น ก็ไม่อีกนั่นแหละ
Jusci - Google Plus - Twitter
ตอนนี้ใช้กับพวงกุญแจอยู่ เคยใช้โทรศัพท์กดหาพวงกุญแจให้ส่งเสียงอยู่สองครั้ง (กลับไปบ้าน มีคนอื่นหยิบไป) แล้วก็เอาพวงกุญแจนี่แหละกดหาโทรศัพท์อีกสองครั้ง (กลับบ้านมาง่วงๆ ตื่นมาจำไม่ได้ไปวางไว้ที่ไหน ไม่เมาด้วยนะ ปกติไม่เคยลืม - -") ถือว่ามีประโยชน์อยู่บ้างครับ แต่คุ้มค่าเงินรึเปล่านี่อีกเรื่องนึง (เพิ่งได้ใช้จริงจังแค่สี่ครั้งเอง)
การเชื่อมต่อ/ตัดการเชื่อมต่อค่อนข้างง่ายครับ แตะ ต่อ แตะ ตัด เพียงแต่ตอนแตะเพื่อตัดโทรศัพท์จะร้องเตือนว่าพวงกุญแจหายด้วย (ซึ่งก็โอเค เผื่อเราพลาดตัดการเชื่อมต่อโดยไม่ตั้งใจ) หรือจะสั่งต่อ/ตัดโดยการกดปุ่ม Treasure Tag ค้างก็ได้ หรือจะสั่งต่อ/ตัดจากแอพในโทรศัพท์ก็ได้
ปัญหาใหญ่สำหรับผมคือ ปุ่มบน Treasure Tag มันกดง่ายเกินไปครับ เอาพวงกุญแจใส่กระเป๋ากางเกง โทรศัพท์ดังอยู่เรื่อย หยิบพวงกุญแจมาโดนนิดนึง โทรศัพท์ดังอีกแล้ว ดังพร่ำเพรื่อมาก จนผมจะหาอะไรมาทำฝาปิดแล้วเนี่ย
ตอนนี้กำลังเล็ง mini ว่าจะมาใส่กระเป๋าเป้ไว้อีกสักตัวเนี่ยครับ ระดับกระเป๋าเป้คิดว่าไม่ต้องมีปุ่มกับลำโพง (มั้ง)
ผมใช้ anti lost มา 2 ปีแล้วครับ (เมื่อก่อนใช้ icookies ถึงขั้นแงะออกมาเปลี่ยนถ่านเอง) ปัจจุบันใช้ treasure tag กับกล้อง Digital อยู่ครับ
ทุกทีผมจะยืมกล้องเพื่อนมาใช้ ราคาค่าตัวหลักแสนครับ
หากหายไปนี่ผมคงต้องขายบ้านใช้หนี้มัน
ปัญหาหลักคือลืมโทรศัพท์ครับ
ลืมโทรศัพท์ Treasure Tag ก็ร้องครับ (ถ้าตั้งให้ร้อง) แต่อย่าลืมทั้งคู่ก็แล้วกัน