อธิบดีกรมการปกครองส่งหนังสือ "ด่วนที่สุด" ถึงทุกจังหวัด สั่งผู้ว่าฯ คุมเข้มห้ามข้าราชการของหน่วยงานใช้คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ของทางราชการเพื่อวัตถุประสงค์อื่นที่มิใช่งานราชการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเอาใช้งานเครือข่ายสังคมออนไลน์และการรับส่งอีเมลในลักษณะใช้งานส่วนตัวซึ่งอาจมีการกระทำผิดกฎหมายร่วมด้วย
หนังสือดังกล่าวมีใจความสำคัญ 3 ข้อ โดยระบุว่า
กรมการปกครองได้อธิบายชี้แจงที่มาของการออกหนังสือฉบับนี้ว่าเป็นเพราะมีข้าราชการรายหนึ่งใช้คอมพิวเตอร์ของทางราชการเล่น Facebook และกระทำผิดกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างการดำเนินคดีกับบุคคลดังกล่าว
ที่มา - มติชน
Comments
เอ มีหน่วยงานราชการที่ทำ official page ไหม?
คุ้นๆ ว่าเคยเห็นผ่านตานะครับ
มีครับ ที่น่าจะคุ้นตาที่สุดน่าจะเป็น ททท. นะครับ หน่วยงานอื่น ๆ ก็มีเยอะอยู่อัพบ้างไม่อัพบ้างเป็นธรรมดา (ส่วนใครเป็น admin นี่ไม่รู้นะ)
Jusci - Google Plus - Twitter
ปกติก็ใช้มือถืออยู่แล้วนิ :P
เฉพาะกรมการปกครองใช่มั้ยครับ
ถ้าทุกหน่วยงานราชการเนี่ย งานเข้า
ว่าแต่ หน่วยงานในกรมการปกครองนี่มีเฟนเพจบ้างมั้ย สงสัยเหมือนกัน ฮ่าๆ
จริงๆ ก็ควรเป็นเรื่องพึงปฏิบัติของราชการอยู่แล้วนะครับ เพราะมัน Login ด้วยความเป็นส่วนตัวทั้งนั้น อีกอย่างเกิดหยิบไฟล์ราชการไปแชร์ในโซเชียลมั่วซั่วคงแย่
เรื่องการบริหารหน้าเพจ ส่วนใหญ่เป็นงบจัดจ้างบริษัทภายนอกได้ ไม่งั้นก็จัดมือถือหน่วยงานไปเลย แต่อะไรก็ตามพอเข้ามาตรา 112 นี่ ได้ผลชะงัดนักเชียว ทั้งที่ด้วยเหตุอื่นสำคัญ และอันตรายกว่ากลับไม่ค่อยนึกถึง -..-'
my blog
มีดสารพัดประโยชน์
ผมเห็นราชการ/พนักงานราชการหลายคนติดต่อกันผ่าน social network นะ ตั้งเป็นกลุ่มใน LINE/FB กันเลยทีเดียว แต่แชร์ข้อมูลสำคัญรึเปล่าผมไม่รู้นะ
อีกอย่าง มีพยาบาลบางคนส่งข้อมูล/รายงานของคนไข้ให้หมอผ่าน LINE ด้วย
ก็ไม่รู้ว่าของพวกนี้หมายถึง "งานในราชการ" รึเปล่า XD
Jusci - Google Plus - Twitter
"แชร์ข้อมูลสำคัญรึเปล่า"
แชร์ครับ อย่างน้อยก็ผมกับเพื่อนซึ่งเพราะเขามีตำแหน่งกันแล้วทั้งนั้นในวงราชการ
ผมอยากทราบอะไรเชิงลึก ก็ถามเพื่อนฝูงตรงๆ เพื่อนฝูงก็ถ่ายรูปเอกสารทั้ง "ลับ" ไปจนถึง "ลับมาก" ให้ผมดูเสมอด้วยไว้วางใจผม ว่าจะไม่เผยแพร่ต่อ (LINE/Hang out)
ผมก็ไม่เผยแพร่ข้อมูล/เอกสารต่อเพื่อรักษาความไว้วางใจของตนเอง แต่ตรงนี้ผมยืนยันได้ว่าเรื่อง "แชร์ข้อมูลสำคัญ" น่ะ มีแน่นอนครับ
ผมเองไม่กล้าถามเกรงว่าจะละลาบละล้วงเกินไป ขอบคุณสำหรับคำตอบครับ : )
Jusci - Google Plus - Twitter
จากประสบการณ์ที่ทำงานในองค์การของรัฐ (ไม่ใช่ข้าราชการ แต่ก็คล้ายๆ) มีกลุ่มไลน์ผู้บริหาร + ทีมข่าวเร็วครับ ส่วนใหญ่ก็ข่าวที่เกี่ยวข้องทั่วไป แต่บางครั้งก็มีข้อมูลลับบ้าง (อันไหนลับก็ Remark ว่าลับ) นอกจากนี้ก็มีกลุ่มไลน์กันในทีมงาน/ฝ่ายงาน/สายงานเยอะแยะไปหมด เวลาคุยกันก็มีคุยเล่นบ้างคุยงานบ้าง ซึ่งก็มีข้อมูลสำคัญแฝงอยู่เหมือนกันครับ
สรุปสั้นๆ มีข้อมูลสำคัญ (แบบคนทำหลุดมีสิทธิ์ติดคุก) ครับ
ไม่ใช่ปกติเขาบล๊อกอยู่แล้วเหรอครับ
ที่เคยทำใน รพ. บล็อคถึงประมาณบ่ายสองครับ
อันนี้ผมเห็นด้วยนะครับ เวลาทำงานไม่ควรเปิดดูเฟซบุค
อันนี้มีคำถามว่าคิดมาดีแล้วหรือยัง
เท่าที่รู้มามีงานราชการที่พึ่งระบบพวกนี้ไม่น้อย ที่ได้ยินคือตำรวจรายงานเคสกันด้วย LINE แถมบางทีไปคาดหวังให้ตำรวจชั้นผู้น้อยต้องหาโทรศัพท์มาเองด้วย
แล้วถ้ามีเครื่องของราชการ คอมพิวเตอร์ในโรงพัก จะไม่ให้เขาใช้ทำงานกันเลย?
lewcpe.com, @wasonliw
ตอนนี้ตำรวจเซ็นต์ตู้แดง ก็ถ่ายรูปส่ง LINE แล้วครับ
เบี้ยวก็ไม่ได้ ต้องตรงเวลา หลักฐานภาพถ่ายพร้อม
เลยเวลา ไม่ส่งรูป ก็รู้ถึงความผิดปกติได้ในไม่กี่นาทีครับ
ผมเห็นเป็นข้อดีมากนะครับ ยังนึกเลยว่า บริษัทรักษาความปลอดภัยทั้งหลายน่านำวิธีนี้ไปใช้บ้างเพื่อตรวจสอบการทำงานของลูกน้องตัวเองที่ส่งไปประจำการสถานที่ต่างๆ ของลูกค้า
ใช่เลย ผมเคยถูกตำรวจขอให้ถ่ายรูปให้ด้วย บอกว่าจะส่งไลน์ให้นาย XD
Jusci - Google Plus - Twitter
5555 เหมือนฝากเพื่อนเช็คชื่อเข้าเรียนยังไงยังงั้น
ไม่เหมือนนา อันนี้เจ้าตัวมาถึงร้าน แต่ไม่มีคนถ่ายให้ก็เท่านั้นเองครับ
Jusci - Google Plus - Twitter
ที่หน่วยงานผมห้ามมานานแล้ว ห้ามมากกว่านี้อีก เกมส์จับคู่โปเกม่อนยังห้ามเลย แต่ก็ไม่ได้ถึงขนาดบล๊อกนะ ถ้าเกิดอะไรขึ้นมาก็รับผิดไปเพราะถือว่ามีคำสั่งห้ามแล้ว
ผมว่าการใช้ใน Line กับ facebook ในการทำงายมันรวดเร็วกว่ารอให้หนังสือทางการถึงซะอีกนะ บางเคลสถ่ายปุ๊บแชร์ป๊บ อีกฝ่ายอ่านข้อความในรูปทำงานต่อได้ทันทีไม่ต้องรอวันสองวัน แต่มันก็มีคนมาใช้ส่วนตัวอยู่แล้วอะนะ
เอกสารราชการ จริงๆแล้วควรปกปิดประชาชนหรือ ไม่น่าจะใช่นะครับ ยิ่งเป็นราชการยิ่งต้องบริการประชาชนยิ่งรวดเร็วก็ยิ่งบำบัดทุกบำรุงสุขได้มากขึ้น การยอมรับแนวทางการติดต่อประชาชนให้เร็วขึ้น เป้นทางเลือกที่สมควร ส่วนใครที่ทำ ผิด คนคน นั้นเป็น คน มีความคิดเป้นของตน ไม่เกี่ยวเนื่ององค์กร แก้ปัญหาแบบนี้ เดียวก็ ลามมาเรื่องอื่น ห้ามได้ แต่ห้ามแล้ว มันไม่ทำให้มนษย์ ที่เป็นคน ใช้ต้องลำบากเพราะเทคโนโลยี มันใช่เหรอ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อส่วนรวมไม่ใช่เพื่อส่วน ตัว หรือพวกตัวเอง
FBยังพอเข้าใจ แต่lineนี่ใช้ทำงานจริงจังกันแล้วนะครับเดี๋ยวนี้
องค์กรผม มีสมาชิกประมาณ 30 คน ทุกคนจะติดต่อสื่อสารผ่านทาง line
เรียกประชุม ส่งรูป รายงานการดำเนินงาน หรือ เรื่องอื่นๆอีกมากมาย
ยังมีคนที่เขาใช้ในทางงานราชการอยู่นะ จะมาห้ามเพื่อ???
ถ้าใช้ทำงาน ยังมีตัวเลือกอื่นนะครับ เช่น ICQ และ Hang out
องค์กรผมไม่ใช้ LINE เพื่อประสานการทำงานกันเพราะ LINE บน PC มีแต่บน Windows ซึ่ง PC ในองค์กรผมไม่มี Windows เลยสักเครื่อง (ทั้งในไทยและต่างประเทศ)
แต่เดิมผมใช้ ICQ Protocol กันมาตลอด เพราะมี App ให้ใช้ได้บนทุก Platform ตลอดจน Android
แต่เดี๋ยวนี้ ย้ายมา Hang out กันเป็นส่วนใหญ่แล้ว เพราะ ICQ มีจุดด้อยตรงที่การสนทนาเป็นกลุ่ม ซึ่งไม่สามารถบันทึกกลุ่มค้างไว้ได้ (เหมือนสร้าง Chat room ค้างไว้) ทุกครั้งที่จะสนทนาเป็นกลุ่ม ต้องลากเข้ากลุ่มใหม่กันเสมอ จุดนี้เองทำให้ ICQ เริ่มลดการใช้งานลงไปในองค์กรผม
แต่ก็ยังคงใช้งาน ICQ อยู่ ยังเลิกใช้ไม่ได้ ตรงที่ มันมี Command line version ด้วย (climm) ซึ่ง Hang out ไม่มี ทำให้สามารถติดตามรายงานสถานภาพต่างๆ จาก Embedded device (Linux) ที่เราติดตั้งไว้ไซท์งานต่างๆ ได้สะดวกครับ ซึ่งตรงนี้ไม่มีตัวอื่นทำได้ดีเท่า climm (หรือมี แต่ผมไม่รู้จัก)
ปัญหาคือมีคนไม่เข้าใจและเหมารวมไงครับ อีกหน่อยอาจจะครอบคลุมบริการพวกทั้งหมด
้hang out นี่ผมว่าดีมากเลยนะ แต่ไม่รู้จะดันให้คนมาใช้เยอะๆอย่างไร
ไม่ต้องดันหรอกครับ ถ้ามองออกไปนอกเอเชียแล้ว Hang out คนใช้เยอะกว่ามากครับ ผมดูจากคู่ค้าต่างชาตินอกเอเชียทั้งหมดแทบไม่รู้จัก LINE และใช้ Hang out กับองค์กรผมทั้งสิ้น (เมื่อก่อนเขาใช้ MSN ซึ่งทำให้ผมต้องมี hotmail account ด้วย ซึ่งตอนนี้ก็ไม่ได้ใช้กันโดยสิ้นเชิงแล้ว)
ในความเห็นส่วนตัวของผม (**** ย้ำ **** ส่วนตัว)
ถ้า Hang out จะเอาใจตลาดบ้านเรา (และแถวบ้านเรา) ต้องเข้าใจวัฒนธรรมการสื่อสารของเราครับ (ซึ่ง LINE เข้าใจดี)
ภาษาแถวๆ เรานี่มีอารมณ์อยู่ในภาษาครับ เรามีคำที่แสดงอารมณ์หลายระดับมากๆ เราใช้อารมณ์ตัดสินเรื่องต่างๆ กันจนเป็นปกติวิสัย เราให้อารมณ์เป็นที่ตั้งของเรื่องต่างๆ กันจนถือเป็นขนบธรรมเนียมอันดีงาม ซึ่ง... ก่อให้เกิด Gadget ต่างๆ เช่น Sticker เป็นต้น อันส่งผลให้ LINE เป็นที่นิยมในหมู่มนุษย์ที่ใช้ภาษาที่ละเอียดและบรรจุอารมณ์ลงไปในการสื่อสาร
เรามี "ทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย" ที่สอนให้เราแคร์อารมณ์อิจฉาของผู้อื่นจนต้องให้คนทำดีหลบๆ ซ่อนๆ หรือทำดีได้แบบมี Limit เพื่อไม่ให้เด่นจะได้ไม่เป็นภัย (พูดอีกนัยหนึ่งคืออย่าดีเกินหน้าเกินตาผู้อื่น)
เรามี "การส่งแต่ตัวแทนชี้แจง" ถือเป็น "การไม่ให้เกียรติ" และใช้ "อารมณ์แห่งเกียรติ" (อัตตา) ในการลงมติตัดสินถูกผิด (สำหรับผม ตลกมากๆ ที่ความยุติธรรมต้องนับความรู้สึกแห่งอัตตาเข้าไปพิจารณาร่วมด้วย)
เราสอดแทรกการใช้อารมณ์เข้าไปใน "วิธีคิด" ของพวกเรากันเต็มไปหมดในทุกๆ เรื่อง ด้วย "ภาษา" ของเราเอง ซึ่งข้อดีของมันคือ ทำให้เราละเอียดอ่อน อ่อนไหว (Sensitive) ละเมียดละไม มีสีสัน แต่ก็ทำให้เสียตรรกไปเช่นกัน
อะไรคือรายได้หลักของ LINE ครับ? ใช่ครับ... Sticker
Hang out มีอะไรที่เล่นกับอารมณ์ผู้คนในการสื่อสารครับ? ใช่ครับ... ไม่มี
แต่ผมชอบนะครับ เป็นงานเป็นการดี ผมกลับไม่ชอบ "ของเล่น" แบบ LINE ครับ มันไม่ถูกจริตผมเอาซะเลย
ยังมีคนจริตแบบผมนี่ไง ICQ เลยไม่ตายครับ
หนังสือนี้เขาห้ามใช้ในทางส่วนตัวนี่ครับ ไม่ได้ห้ามใช้ทำงาน
มันแค่เป็นการป้องกันและปัดความรับผิดชอบ
ถ้า พรบ. ดิจิตัลคลอดออกมาแล้ว ความรับผิดชอบก็ไปตกกับตัวผู้กระทำโดยตรง
อันนี้คิดเอาเองหรือค้นคว้ามาแล้วครับ ตามกฎหมายฉบับไหนที่จะออกมา มาตราไหนหรือครับ
lewcpe.com, @wasonliw
112 อีกล่ะ ความรักมันบังคับกันไม่ได้นะครัช
อีกอย่าง ความรักที่ต้องบังคับ มันจะเรียกว่าความรักได้หรือ?
Hey Prayut!!!!
Prayutz
112 เขาก็ไม่ได้บังคับให้รัก แต่แค่ไม่ให้ด่าแบบไม่มีหลักฐาน/เรื่องราวรองรับ วิจารณ์ตามเหตุตามผลยังทำได้เลย (เหมือน สศจ.)
หรา?
ถ้า อจ อยู่ไทย ป่านนี้สู้คดีอยู่มังครับ ไม่น่าจะได้ประกันตัวด้วย
LINE, Facebook ที่เป็นของสำนักงานราชการ ก็มีอยู่แหลายหน่วยงานเลยนะครับ อย่างหน่วยงานจัดหางานงี้อ่ะ ประมาณว่าไม่มีคนทำเว็บไซต์ให้มีระบบโพสต์ตำแหน่งงานง่ายๆ ก็ใช้เฟซบุ๊กนี่หละ เป็นตัวประกาศตำแหน่งงานซะเลย
ซึ่งจากใจความสำคัญที่ผมจับได้ก็คือ ห้ามใช้ Social Network เป็นการส่วนตัว บนอุปกรณ์ที่เป็นของทางราชการ (คือไม่ว่าจะเป็น การพูดคุย,โพสต์,ส่งเมลส่วนตัวกับคนอื่นที่เป็นพ่อ,แม่,พี่,น้อง,ปู่,ย่า,ตา,ยาย,เพื่อน,เครือญาติของตนเอง เป็นต้น ซึ่งการกระทำเหล่านี้มีจุดประสงค์เพื่อใช้เป็นการส่วนตัว) แต่ให้ใช้ Social Network ได้ในกรณีที่เป็นงานของหน่วยงานราชการนั้นๆ เท่านั้นมากกว่า ไม่ได้หมายความว่าจะห้ามใช้ในทุกกรณีหรือเปล่าครับ?
เข้าแค่ห้ามใช้ "อุปกรณ์คอมพิวเตอร์หรือเครื่องมือสื่อสารของทางราชการ" ในการใช้ไปในทางส่วนบุคล หรือ social media นี่ครับ ไม่ได้ห้ามใช้จากคอมพิวเตอร์ส่วนตัวหรือเครื่องมือสื่อสารส่วนบุคคลเสียหน่อย หลายคนยิ่งไปตีความว่า ห้ามข้าราชการเล่นเฟสบุคกับไลน์ แชร์กันเต็มไปหมดเลย ขอถอนหายใจยาววว
+1
อ่านข่าว แล้วมาอ่าน comment นี้ผมต้องกลับขึ้นไปอ่านข่าวใหม่เลย คิดว่าตัวเองอ่านผิด เหมือนหลายๆคนจะอ่านข้ามตรงใจความสำคัญไปกันหมด
+1 แค่เห็นแว้บๆ สมองสั่งงานตั้งธงรบก่อนเลย คำบางคำมันบาดใจ
ผมเห็นด้วยนะ พนักงานจะได้เอาเวลามาทำงานให้องค์กรแทนที่จะเสียเวลาแชท อีกอย่างข่าวรั่วมีเยอะ เอกสารที่ไม่สมควรจะได้ไม่หลุดแล้วเกิดความเสียหายต่อประเทศ
เวลาต้องใช้ line คุยงานยาวๆละเอียดๆนี่เกลียดมาก ไม่เข้าใจทำไมไม่ใช้เมล จะบ้าตาย อะไรๆก็ไปอิง instant msg หมด ถ้า chitchat ว่าไปอย่าง พูดแล้วขึ้น เซง
ผมว่าข่าวนี้เนื้อหาผิดไปนิดนึงนะครับ เพราะประกาศนี้ใจความสำคัญคือ ห้ามใช้อุปกรณ์ของทางราชการไปใช้งานส่วนตัวที่เข้าข่ายผิด พรบ. แล้วก็ยกตัวอย่าง social media แต่ใจความข่าวที่ออกมากลายเป็นห้ามใช้ social media ซึ่งดูแล้วคลาดเคลื่อนจากตรงจุดประสงค์ของประกาศไปพอสมควรครับ
ผมคิดว่าควรแก้หัวข้อข่าวโดยระบุลงไปให้ชัดเจนครับว่าเฉพาะกรณีที่เอาไปใช้ทำผิด รวมถึงปรับเนื้อข่าวตรงที่ว่าด้วยครับ
+1 ครับ ผมตีความได้แบบนี้เช่นกัน
A smooth sea never made a skillful sailor.
ถึงว่าทำไมคอมเม้นบน ๆ ด่ากันเละเทะ
:-)
ผมอยากเข้าไปส่งสติกเก้อ ค่านิยมให้เพื่อน ถ้าใช้มือถือเด่วเขาว่าวันๆเล่นแต่มือถือไม่ทำงานครับ
เห็นด้วยเพราะส่วนหนึ่งทำให้เนตเวิร์คช้าลงอย่างเห็นได้ชัดเลยครับ
เหมือนโยงไปเรื่อง 112 ทั้งๆที่น่าจะพูดถึงเรื่องconfidential ของข้อมูลราชการมากกว่า
เอาจริงๆที่เห็นเขาก็ใช้ทำงานราชการกันเยอะ แม้จะคุยเล่นบ้างก็เถอะแต่มันก็ช่วยงานได้เยอะจริง ตร.ก็ส่งข้อมูลคดีแชร์กันในLine หมอ พยาบาล ก็ส่งข้อมูลคนไข้กันในLine แม้จะฟังดูน่ากลัวเรื่องprivacy กับข้อมูลรั่วไหล แต่ด้วยจรรยาชีพก็พึงต้องระวังกันอยู่แล้ว
เอาจริงๆ 112 จะใช้เครื่องส่วนตัวหรือเครื่องราชาการก็คงโทษร้ายแรงไม่ต่างกัน จะมาห้ามย้ำอีกทำไม?
แบบนี้จะกลายเป็นว่าเหมารวมห้ามใช้เครื่องของราชการ ติดต่อสื่อสารในเวลาราชการไปกลายๆหรือเปล่า?
จริงๆหลายบ.เอกชนผลักดันไปให้ใช้app ที่ปลอดภัยกว่านี้เพราะกลัวเรื่องข้อมูลรั่วไหลมากกว่า แต่ถ้ามองความแพร่หลาย ติดต่อผ่านlineมันก็เร็วสุด และดีกว่าการโทรตรงที่มันเหมือนฝากข้อความ ทำให้ดูไม่รบกวนเวลาการทำงานเท่าไร
ท่านอธิบดีท่านก็อยากเทคแอคชั่นบ้างอะไรบ้าง ไม่ทำอะไรเลยเดี๋ยวก็ไม่มีผลงานหรือดูเหมือนว่าปล่อยปละละเลยสิครับแหม่
มหาลัยผมบางวิชานี่เช็คชื่อกันในเฟสบุ๊คกลุ่มนะ 0_0
ช่วยไม่ได้ คนไทยติด social ไปแล้ว แก้ยากหน่อยนะ