เชื่อว่าเหล่าบรรดา Otaku ทั้งหลาย (สำหรับคนที่ไม่ทราบ อ่านความหมายและที่มาของคำว่า Otaku: 1, 2) ที่แฝงตัวอยู่ในบล็อกนัน น่าจะเข้าใจความหมายเมื่อพูดคำว่า "หมอนข้าง" (dakimakura - 抱き枕 / daki - 抱き หมายถึงกอดหรือก่าย ส่วน makura - 枕 หมายถึงหมอน) กันเป็นอย่างดี
หลังจากผ่านพ้นยุคที่มีเพียงระดับความนุ่มและการไม่มีรอยตะเข็บให้เลือกแล้ว ในวันนี้หมอนข้างนั้นก็พัฒนาไปอีกขั้น ผสานกับพลังของเทคโนโลยี ออกมาเป็น "หมอนข้างที่สามารถส่งเสียงโต้ตอบได้ เมื่อมีการสัมผัส"
นักพัฒนาชาวญี่ปุ่น Koichi Uchimura ผู้ซึ่งเคยเป็นนักวิจัยอยู่ที่สถาบันเทคโนโลยีคิวชู ได้เปิดตัว Ita-Supo (痛すぽ) หมอนข้างที่สามารถส่งเสียงโต้ตอบได้ โดยเกิดจากความคิดที่ต้องการจะให้หมอนข้างของเขาสามารถพูดจาโต้ตอบได้ ในระหว่างที่กำลังนอนอยู่ด้วยกัน ออกมาเป็น "Rina Makuraba" (โดยคำว่า makura ใน Makuraba หมายถึงหมอน เช่นเดียวกับด้านบน) หมอนข้างตัวแรกที่สามารถส่งเสียงโต้ตอบได้เมื่อมีการสัมผัส
ในตัวหมอนมีเซ็นเซอร์ตรวจจับการสัมผัสอยู่ โดยเมื่อสัมผัสอย่างนุ่มนวลก็จะส่งเสียงมีความสุขออกมา แต่หากสัมผัสแบบแรงก็จะส่งเสียงโกรธ ซึ่งมีรูปแบบเสียงกว่า 500 รูปแบบ ทั้งนี้ ตัวหมอนดังกล่าวจะมีระบบวัดค่า parameter รวมอยู่ด้วย โดยหากอ่อนโยนอย่างสม่ำเสมอตัวหมอนก็จะชอบ แต่หากรุนแรงด้วยอย่างสม่ำเสมอก็จะเกลียดหรืองอน และอาจไม่พูดคุยกันอีกเลย
ในตอนนี้แคมเปญระดมทุนเพื่อการจัดทำหมอนข้างดังกล่าวบนเว็บไซต์ Makuake หรือเว็บไซต์ระดมทุนของญี่ปุ่น ก็ได้มีการระดมทุนเข้าไปมากถึง 1,608,000 เยน (ประมาณ 435,000 บาท) จากเป้าที่ตั้งไว้ 500,000 เยน (ประมาณ 135,000 บาท) โดยเหลือเวลาระดมทุนอีก 56 วัน ซึ่งสามารถสั่งจองเป็นเจ้าของหมอนข้างดังกล่าวกันได้ และนอกจากลาย Rina Makuraba ก็ยังมีลาย Shion Kamitsuki และ Shiho Natsuki ให้เลือกด้วย ในราคาเริ่มต้นที่ 18,000 เยน หรือประมาณ 4,900 บาทครับ
ที่มา - Makuake via RocketNews24
Comments
เดี๋ยวมันต้องมีภาคต่อ เป็นตุ๊กต… #โดนเซ็นเซอร์
ใช้คำว่า Dutch Wifeก็ได้ครับ ความหมายเดียวกัน
Dutch W… #โดนเซ็นเซอร์
เป็นระบบเซ็นเซอร์คำที่มีปัญหา คือ ถ้าเป็นคำพยางค์เดียว จะเซ็นเซอร์ไม่ได้ครับ
เค้าหมายถึงว่าเค้าใช้แล้วไปโดนเซนเซอร์ (sensor) มันครับ
อื้อฮือ อื้อฮือ อื้อฮือ จะนอนยังต้องเอาใจ!
อ่านแล้วนึกถึงกระทู้พันทิบที่เจ้าของกระทู้ติดช่วยตัวเองด้วยหนอนข้างขึ้นมาทันทีครับ
ดูจากยอดระดมทุน รู้เลยว่าต้องการกันขนาดไหน
Mekokung's Story บล็อกส่วนตัวที่ย้ายไป Blogger แล้วนะ
เป็น item ที่เวลาถือออกไปข้างนอกแล้ว up status ความคิโม่ย +300%
ปล. pr หน้าตาน่าเชื่อถือมาก -__-")...
มะไม่ใช่ผู้พัฒนารึครับนั่น!
ถูกต้องครับ PR คือผู้พัฒนาเองนั่นล่ะ
คำถามสำคัญ ถอดซักยังไง!!
มันเป็นชิ้นส่วนแยกกันมาอยู่แล้วมั้งครับ ก็ถอดแยกซักตามปกติ
เผลอๆ อาจจะใช้กับหมอนธรรมดาได้ด้วย แต่อันนี้ไม่แน่ใจ
โปรดักส์แบบนี้
อยู่เมืองไทย นอกจากจะไม่ได้เกิด
เผลอๆ ได้ลงหน้าหนึ่งฟรีๆด้วยนะ
กล้าพูดมั้ยครับว่า "หลง" เข้าไปเจอ
ญี่ปุ่นเศรษฐกิจขับเคลื่อนด้วยเหล่าโอตาคุจริงๆ คนไม่ค่อยใช้เงินกันแต่มีเพียงพวกโอตาคุใช้เงินทุกบาททุกสตางเพื่อของที่ตัวเองรัก
ไม่ไช่มั้งครับคนญี่ปุ่นมีรายใด้เยอะจากการแข่งกันเรียนที่รุนแรงจนมีคนฆ่าตัวตายเพราะสอบไม่ใด้เยอะ
ดังนั้นสินค้าทั้วไปจะมีราคาแพงมาก ยิ่งเป็น niche market ก็ยิ่งแพงเข้าไปใหญ่
samsung ใหญ่แค่ใหน ?
https://youtu.be/6Afpey7Eldo
ส่วนนึงที่ไม่ค่อยใช้เงินน่าจะเป็นเพราะค่าเงินเฟ้อติดลบด้วยมั้งครับ
"ไม่ไช่มั้งครับคนญี่ปุ่นมีรายใด้เยอะจากการแข่งกันเรียนที่รุนแรงจนมีคนฆ่าตัวตายเพราะสอบไม่ใด้เยอะ"
เกี่ยวข้องตรงไหนกับรายได้เยอะหรือครับ ? เรื่องฆ่าตัวตายเป็นแรงกดดันจากพ่อแม่สู่เด็กซะมาก
ผมว่าวัฒนธรรมการทำงานหนักของคนญี่ปุ่นมากกว่าที่สร้างรายได้อย่างแท้จริง
ฆ่าตัวตายเป็นแรงกดดันจากพ่อแม่สู่เด็ก แต่แรงกดดันนี้เองที่ทำให้คนส่วนใหญ่เรียนสูง ... เมื่อ เรียนสูง ค่าจ้างก็สูงตาม ปรกติครับ วัฒนธรรมการทำงานหนักก็ด้วย ยิ่งดันค่าจ้างเข้าไปอีก (ประเทศที่เจริญแล้ว เมื่อ บ. มีรายใด้สูงขึ้น เค้าจ่ายเพิ่มให้พนักงานครับ)
ปล. ว่ากันว่าเนื่องจากไม่ว่างเพราะ ทำงาน / เรียน มากจนเกินไป ทำให้คนบางส่วนหาความรักปลอมๆ (ไม่ไช่เฉพาะเรื่องของกามแต่รวมไปถึงเรื่องความอบอุ่น เพื่อทดแทนครอบครัวและความรักจริงๆ) ตอนนี้มีปัญหาว่าคนในญี่ปุ่นเกิดน้อยกว่าตาย
samsung ใหญ่แค่ใหน ?
https://youtu.be/6Afpey7Eldo
ถ้าเป็นรุ่นเมื่อซัก 10 ปีที่แล้วน่ะใช่ แต่รุ่นใหม่ๆ พี่แกออกจะชิวกันเยอะนะ (บางรายแอบเปิด niconico เล่นเวลาทำงานเฉย) ส่วนวัฒนธรรมการทำงานหนักรุ่นใหม่ๆ ก็ไม่ค่อยเห็นกันแล้วหมดเวลางานเด้งกลับบ้านกันเยอะแยะครับ -__-")
ฆ่าตัวตายนี่เป็นวัฒนธรรมของญี่ปุ่นด้วยนะครับ คือมองว่าการฆ่าตัวตายเป็นเรื่อง Romance ไม่ใช่เรื่องโหดร้ายอย่างเราๆ ท่านๆ คิดกัน คือตายดีกว่าอยุ่อย่างไร้เกียรติ์ เรื่องเวลาทำงานอยู่บริษัทไหนแล้วโดนไล่ออกแล้วหันไปฆ่าตัวตายนี่ก็เรื่องเดียวกัน คือวัฒนธรรมองค์กรมันยังเป็นแบบจวนซามูไรอยู่ โดนไล่ออกจากจวน = หมดแล้วซึ่งเกียรติยศ = ตายดีกว่า เรื่องโดนกดดันนี่ผมมองว่าเป็นส่วนประกอบ แต่ไม่ใช่หัวใจหลัก หัวใจหลักอยู่ที่วัฒนธรรมของเค้าเลย แต่คนรุ่นใหม่ๆ ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยยึดวัฒนธรรมตรงนี้มากเท่าคนรุ่นก่อนๆ แล้ว
เรื่องเรียนสูงนี่ ผมเข้าใจว่าคนญี่ปุ่นไม่ได้บ้าปริญญาเหมือนคนไทยนะครับ (อันที่จริง ประเทศพัฒนาแล้วหลายๆ แห่งก็เป็นแบบนั้น) อย่างนึงเพราะค่าเรียนต่อในระดับปริญญามันสูงมาก ทำให้หลายๆ คนเน้นแค่ว่าเรียนจบ ม.6 หรือวิทยาลัยวิชาชีพ (Senmon Gakkou - อาชีวะของบ้านเรานี่แหละ แต่ของเค้ามีสาขาที่หลากหลายและคุณภาพดีกว่า) ก็ออกมาทำงานเลย
เรื่องเกิดน้อยกว่าตายนี่เป็นเพราะสภาพเศรษฐกิจซะมากกว่า คือเราจะเห็นได้ว่าพวกประเทศที่กำลังพัฒนาหรือด้อยพัฒนาอัตราการเกิดจะสูง เพราะไปเน้นปั๊มลูกเพื่อมาช่วยครอบครัวหารายได้ แต่กลับกันพวกประเทศพัฒนาที่หารายได้ด้วยตัวเอง และการมีครอบครัวก่อให้เกิดภาระด้านค่าใช้จ่ายที่มาก อัตราการเกิดมันก็ลดลง ญี่ปุ่นนี่ได้ยินว่าถ้าฐานะไม่ดีจริง มีลูก 2 คนอาจล้มละลายได้
กรณีส่งเรียนในระดับกลางๆ ค่อนไปทางสูงนิดหน่อย ของไทยถ้าฐานะไม่ดีจริงมีลูกคนเดียวก็อาจจะล้มละลายแล้วครับ T^T)
ปล.ญี่ปุ่นค่าเรียนถูกกว่าไทยครับ ระดับขั้นพื้นฐานรัฐเขาช่วยเยอะกว่าเรานะ
สินค้าทั่วไปแพงมาก อันนี้น่าจะมั่วแล้วมั้งครับ สินค้าที่ญี่ปุ่นมันนิ่งมานานหลายสิบปีแล้ว เพียงแต่ปัญหาของประเทศเขาคือ คนไม่ค่อยใช้เงิน ขนาดธนาคารดอกเบี้ย 0 คนก็ยังขยันเก็บไม่ใช้อยู่นั่นล่ะ ดอกเบี้ย 0 เงินเฟ้อก็ 0 ตาม
ส่วน ญี่ปุ่นเศรษฐกิจขับเคลื่อนด้วยเหล่าโอตาคุ อันนี้จริงครับ เพราะก็กลุ่มนี้นั่นล่ะตัวใช้เงินกันอย่างไม่บันยะบันยัง ไม่ใช่ niche market หรอกครับ มันใหญ่กว่านั้นเยอะ ลองไปดูพวกงาน Comic Market คนมางานหลักแสน -__-")
ปล.โอตาคุมันมีหลายสายด้วยครับ ไม่ได้แต่เรื่องการตูนอย่างเดียว แค่คลั่งในสิ่งต่างๆผิดปรกติ เขาก็เรียกว่าโอตาคุแล้ว
นิ่งแต่ก็แพงครับ (ไม่นานมานี้ราคาของขยับขึ้นด้วย) ส่วนเรื่องการฟากเงิน ... เห็นว่าเป็นเรื่องของความปลอดภัยมากกว่า
ปล. niche market หมายถึงสินค้าที่มีตลาดเฉพาะ ... ไม่จำเป็นต้องมีคนซื้อน้อยนะครับ แต่เป็นตลาดที่นอกจากคนกลุ่มเป้าหมาย เค้าจะไม่สนใจ
samsung ใหญ่แค่ใหน ?
https://youtu.be/6Afpey7Eldo
ผิดครับ เรื่องการฝากเงินที่ดอกเบี้ย 0 เพราะรัฐเขาพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจโดยลดดอกเบี้ยเงินฝาก แต่คนก็ยังเก็บไม่ใช้กันอยู่ดี ส่วนเรื่องความถูกแพงของแต่ละคนไม่เท่ากันล่ะมั้งครับ ผมว่าญี่ปุ่นค่าครองชีพค่อนข้างจะถูกนะถ้าเทียบกับราคาสาธารณูปโภคต่างๆ ในไทย แถมสินค้าทั่วๆ ก็ไม่ได้ราคาแพงเวอร์อะไรมากมายด้วย
ส่วน niche market ถ้าในความหมายของคุณถ้าเทียบอย่างนั้นการที่คนไปดูหนัง ก็คงถือเป็น niche market ด้วยล่ะมั้ง
ปล.สินค้าพวกนี้ไม่แพงนะ ลองตีเทียบกับค่าครองชีพเขาทำงานแป๊ปๆ ไม่กี่ชม. ก็ซื้อได้แล้ว -__-")
มันเป็นหัวข้อเดียวกันครับ แต่มองคนละมุม ... ดอกเบี้ย 0 เพราะรัฐเขาพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจโดยลดดอกเบี้ยเงินฝาก (จริงๆเคยใด้ยินว่าดอกติดลบด้วยซ้ำ) แต่คนก็ยังฝากอยู่เพราะปลอดภัยกว่าการพกเงินสด
niche market ในความหมายสากลคือตลาดค่อนข้างแคบ แต่ลูกค้าพอใจจะจ่ายเงินมากๆครับ ส่วนดูหนัง ผมว่าคนที่ไม่ติดโรงหนังก็ไช้บริการนะครับ anime/manga ก็คงไม่ niche มากนัก ... แต่หมอนรูปตัวละคลพร้อมเสียงแบบข้างบนสุด niche แน่นอน
samsung ใหญ่แค่ใหน ?
https://youtu.be/6Afpey7Eldo
การที่เน้นพวกโอตาคุอย่างนี้ถือว่าเป็น Long Tail Strategy ได้หรือเปล่าหว่า
Long term?
Long Tail หรือทฤษฎีหางยาวครับ ทฤษฎีนี้ได้ตั้งข้อสังเกตว่า ตลาดกำลังจะย้ายตัวเองจากตลาดที่มียอดขายสูง (Mass Market) ไปสู่ตลาดที่มีความต้องการเฉพาะแต่ยอดขายไม่มาก (Niche Market)
คนญี่ปุ่นมีเงินแต่ไม่ใช้เงินกันครับ
แต่ต้องยอมรับว่ากลุ่มโอตาคุเนี่ยใช้เงินไปแบบไม่ต้องคิดอะไรเลยยอมจ่ายเพื่อสิ่งที่ตัวเองชอบ โอตาคุไม่ได้มีแค่อนิเมะแบบที่คนไทยเข้าใจกัน แต่แยกเป็น2สายใหญ่ๆคืออนิเมะและไอดอล
ยกตัวอย่างแค่คอนเสิร์ตไอดอลอย่าง AKB48 หรือ โมโมโคล มีคนดู8-9หมื่นคนต่อรอบ และทุกรอบบัตรคอนเสิร์ตต้องสุ่มเอาเพราะที่นั่งมีจำกัดแค่8-9หมื่นที่นั่งเท่านั้น คิดดูแล้วกันว่าตลาดกลุ่มนี้ใหญ่ขนาดไหน
ถ้ายังไม่เห็นภาพยกตัวอย่างแผ่น CD วงธรรมดาขายได้1แสนก็ถือว่าสุดๆแล้ว แต่วงไอดอลอย่างAKB48เป็นเรื่องที่ธรรมดามากที่ขายได้ 1ล้านแผ่นตั้งแต่วันแรกที่วางขาย!!! ในยุคที่CDกำลังจะตาย อย่าดูถูกตลาดกลุ่มโอตาคุเชียว ยิ่งอนิเมะไม่ต้องพูดถึงทำรายได้มหาศาลอยู่แล้ว
ปล.ผมไม่ใช่โอตาคุ
ตัวเลขเก่าหน่อยนะครับ ห่างกัน 10 ปีเลย
JPN GDP - 2014 (estimate) 4.770 TRILLION usd
OTAKU SPENDING - August 2004 (Nomura Research Institute) 290 billion YEN ... หรือประมาณ 2.5 BILLION usd (¥110 : 1 dollar)
ไม่ใด้ดูถูกครับ แต่ดูข้อมูล jpn รายรับหลักเบอร์ 1 คือ รถยนต์ + อะไหล่รถยนต์ 18%
samsung ใหญ่แค่ใหน ?
https://youtu.be/6Afpey7Eldo
ผมก็ไม่ได้บอกว่าตลาดโอตาคุเป็นเบอร์1 ผมว่าตลาดโอตาคุคือตลาดที่ค่อนข้างใหญ่ ถ้าอ้างอิงจากตัวเลขเก่าเมื่อ10ปีที่แล้วที่คุณยกมา แล้วผมพูดผิดตรงไหน??
2.5billion USD ตีเป็นเงินบาทก็ 8หมื่นกว่าล้านบาท(ใช้เรท33บาท)เมื่อ10ปีที่แล้วเรทอาจจะ35มั้ง ผมว่าค่อนข้างใหญ่นะครับ แล้วคิดดูว่าทุกวันนี้มันโตขนาดไหน หรือคุณมองว่ามันยังเล็กอยู่
มูลค่า8หมื่นกว่าล้านบาท เมื่อ10ปีที่แล้วมันขับเคลื่อนเศรษฐกิจของญี่ปุ่นไม่ได้หรอครับ?
ผมย้ำแค่ว่า 2.5 BILLION ใน 4.770 TRILLION ครับ ตีเป็น 0.052% ... เหมือนเดิมครับ ถ้าดูตัวเลขมันเยอะ ถ้าดู % มันไม่เยอะ
บังเอิญผมชอบ % เท่านั้นเอง
samsung ใหญ่แค่ใหน ?
https://youtu.be/6Afpey7Eldo
คำว่าโอตาคุมันไม่ได้มีแค่กลุ่ม 漫画アニメ・オタク น่ะสิครับ ตัวเลขที่ยกมามันน่าจะเกี่ยวข้องอยู่แค่นั้น
โอตาคุ = คำที่เอาไว้เรียกผู้ที่มีความชื่นชอบสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นพิเศษ (แค่ geek เฉยๆ ปรกติเขาก็นับรวมไปด้วย)
แล้วคุณจะเถียงในเรื่องเดียวกัน และไปทางเดียวกันทำไม? ผมก็ไม่ได้พูดอะไรผิดนะ ก็ถูกแล้วคุณก็เข้าใจแบบผมแล้วจะเถียงทำไม
ถ้าเทียบขายรถ+อไหล่ = รายได้หลักแต่ส่วนมากก็มาจากต่างประเทศทั้งนั้น
ส่วนสินค้ากลุ่มโอตาคุรายได้หลักมาจากในประเทศทำให้มี "เงินหมุนเวียนในประเทศ" มากขึ้นแล้วเศรษฐกิจในประเทศก็ขับเคลื่อนไปได้ ต้องทำความเข้าใจคำว่าเงินหมุนเวียนในประเทศ
เนื่องจากวิถีชีวิตคนญี่ปุ่นมีพร้อมแล้วทั้งสาธารณูปโภคและการคมนาคม ประชาชนค่อนข้างสะดวก คนเลยแทบไม่ใช้จ่ายตัง
ลองคิดดูว่าถ้าคนในประเทศไม่ใช้จ่ายกันจะเกิดอะไรขึ้น (ถ้าคิดไม่ออกดูประเทศไทย)
ส่วนถ้าจะเถียงหัวชนฝาว่าตลาดกลุ่มนี้มันเล็กมันขับเคลื่อนเศรษฐกิจไม่ได้หรอก อย่าเสียเวลาเถียงกะผมเลยคำนี้ผมเอามาจากเว็บต่างประเทศที่ลงทั้งนั้น คุณคงต้องไปเถียงกะคนญี่ปุ่นโน่น
อย่างที่คุณPandaBakaว่าเอาไว้ว่า "โอตาคุ" คำนี้ความหมายมันกว้างกว่าที่คิดเยอะ
Ita-Supo หมอนข้างส่งเสียงโต้ตอบเวลาสัมผัสได้ เอาใจ Otaku
-->> ใช่แบบนี้หรือเปล่าครับ -->>
Ita-Supo หมอนข้างส่งเสียงโต้ตอบได้เวลาสัมผัส เอาใจ Otaku
พลังของสาว 2D มันยิ่งใหญ่จริงๆ
ไอเดียง่ายๆ
ทำไมเพิ่งคิดทำครับ ขอพากษ์ไทยนะครับ อิอิ
ถ้ามี tenga ด้วยนี่ ดีเลยครับ
ผมนี้ลุกขึ้นยืนไปทุบกระปุกตังเลย
นึกถึงดราม่า Sex Toy ในไทยที่ผิดกฎหมาย ทั้งที่ป้องกันการเกิดและการข่มขืนได้มากมาย
ส่วนหนังช่องดูฟรีชื่อดังในไทย มีฉากที่พระเอกที่ข่มขืนนางเอก เด็กๆที่ได้ดูก็เหมือนสอนเด็กๆให้ทำตาม กลับถูกกฎหมายซะงั้น
คนญี่ปุ่นนี่ ดูขี้เกรงใจขี้อายมีมารยาทมากนะ
แต่ลึกๆแล้วนี่หื่นทะลึ่งใช้ได้แหะ :P
ถ้านอนกอดเผลอกลิ้งทับไปแรงๆ ค่าพารามิเตอร์ติดลบคงเศร้าเลยสินะ