Galaxy S6 (และพี่น้องร่วมท้องเดียวกัน Galaxy S6 edge) เป็นสมาร์ทโฟนที่ถูกจับตามากที่สุดในปีนี้ เนื่องด้วยมันเป็นสมาร์ทโฟนระดับเรือธง สินค้าหมายเลขหนึ่งของ "แชมป์" อันดับหนึ่งของโลกสมาร์ทโฟนที่กำลังตกที่นั่งลำบาก เพราะโดนคู่แข่งตีขนาบทั้งตลาดบนและตลาดล่าง จนยอดขาย-กำไร-ส่วนแบ่งตลาดลดลงจากเดิมฮวบฮาบ
รอบการวางขาย Galaxy S6 จึงถือเป็นโอกาสที่ซัมซุงจะระดมสรรพกำลังทั้งหมดมา "โต้กลับ" แบบจัดเต็ม เพราะถ้าทำตัวเหยาะแหยะแบบที่แล้วมา ก็เสี่ยงมากที่จะเสียบัลลังก์แชมป์เอาได้ง่ายๆ ผลลัพธ์ที่ออกมานั้นซัมซุงทำได้ดีกว่าที่คาด ทำให้เสียงตอบรับ Galaxy S6 ดีกว่ารุ่นพี่ในปีก่อนๆ มาก
ส่วนประเด็นว่า Galaxy S6 ทำได้ดีแค่ไหน ซัมซุงประเทศไทยส่งเครื่องมาทำให้ทีม Blognone ทดสอบเป็นเวลาประมาณหนึ่งสัปดาห์ และนี่คือรีวิวของ Galaxy S6 (และ S6 edge) ครับ คำเตือน: ภาพเยอะมาก
ก่อนจะเข้าเรื่อง Galaxy S6 เราคงต้องมาย้อนดูประวัติของซีรีส์ Galaxy S กันก่อนว่ามันมีความสำคัญกับซัมซุงอย่างไร และมี "จุดอ่อน" ที่เป็นช่องโหว่ เปิดโอกาสให้คู่แข่งอย่างไรบ้าง
ถ้าเราย้อนอดีตไปถึงปี 2010 ที่ซัมซุงเปิดตัว Galaxy S รุ่นแรก แล้วมองย้อนกลับมา จะเห็นว่าเส้นทางชีวิตซีรีส์ Galaxy S นั้นผูกพันกับการผงาดขึ้นเป็นมหาอำนาจในโลกสมาร์ทโฟนของซัมซุงอย่างแนบแน่น เพราะก่อนมาทำซีรีส์ Galaxy S ซัมซุงถือเป็นผู้ผลิตสมาร์ทโฟนธรรมดาๆ รายหนึ่ง และชื่อชั้นน่าจะยังแพ้ HTC อยู่ด้วยซ้ำ
แต่ซัมซุงใช้ข้อได้เปรียบของตัวเองที่ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และหน้าจอเอง ทำให้ Galaxy S รุ่นแรกๆ เหนือกว่าคู่แข่งอย่างชัดเจนในแง่สเปกฮาร์ดแวร์ จนซัมซุงแซงหน้าแอปเปิลและโนเกียขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งโลกสมาร์ทโฟนได้สำเร็จในช่วงปลายปี 2011 (หลังออก Galaxy S2)
อย่างไรก็ตาม มือถือของซัมซุงถูกวิจารณ์มาตลอดว่าสเปกดีจริง แรงจริง แต่งานออกแบบ งานประกอบ วัสดุที่ใช้ดูไม่สมราคามือถือระดับเรือธง ในส่วนของซอฟต์แวร์เองก็ดู "เยอะ" ปรับแต่งพิสดารจนอัพเดตช้า แถมยังอุดมไปด้วยฟีเจอร์หรือแอพที่ดูเจ๋งตอนโฆษณา แต่ไม่มีประโยชน์ในการใช้งานจริงมากนัก
เสียงบ่นเหล่านี้ขึ้นถึงจุดสูงสุดตอน Galaxy S4 ที่ยังใช้วัสดุเป็นพลาสติกเหมือนเดิม และให้ฟีเจอร์ที่ไม่ได้ใช้จริงมาเยอะมาก (อ่านบทความเก่า บทวิเคราะห์ Galaxy S4 พลาสติกก๊อบแก๊บบุกอเมริกา ประกอบ) เมื่อถูกนำไปเปรียบเทียบกับ iPhone ที่เน้นเรื่องวัสดุและงานออกแบบ ยิ่งเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน แถมคู่แข่งของซัมซุงในฝั่งแอนดรอยด์เอง เช่น HTC, Sony, Motorola ก็พัฒนาเรื่องวัสดุและงานออกแบบอย่างต่อเนื่อง ผู้บริโภคย่อมมีตัวเลือกมากขึ้น
แน่นอนว่าแรงกดดันนี้ย่อมส่งมาถึงซัมซุง แต่ช่วงนั้น (ปี 2013) บริษัทกลับยังไม่ค่อยจริงจังมากนักกับประเด็นด้านงานออกแบบ ถ้ามองย้อนกลับไป เราจะเห็นว่าซัมซุงใช้วิธี "ปรับแก้นิดหน่อย" ใส่ลูกเล่นบางอย่างเข้าไปเพื่อให้ดูแตกต่างจากเดิมเท่านั้น ตั้งแต่ Galaxy Note 3 ที่ออกตามหลัง S4 ใช้วิธีทำฝาหลัง "ลายหนัง" ตามด้วย Galaxy S5 ที่เพิ่มความสามารถใช้ได้จริงหลายอย่าง แต่ยังมีปัญหาเรื่องงานออกแบบอยู่
ปัญหาเรื่องการออกแบบของ Galaxy S5 (ที่โดนล้อว่าเหมือนพลาสเตอร์ยา) ทำให้ซัมซุงต้องจริงจังกับงานออกแบบและวัสดุมากขึ้น ครึ่งหลังของปี 2014 เราจึงเริ่มเห็นมือถือที่คุณภาพดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตา เริ่มจากงานแนวทดลอง Galaxy Alpha ที่เริ่มนำวัสดุโลหะมาใช้งาน ตามด้วย Galaxy Note 4 ที่พัฒนาขึ้นในทิศทางเดียวกัน แต่ดูเหมือนว่าการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ยังไม่มากพอและมาช้าไป ครึ่งหลังของปี 2014 เราจึงเห็นปรากฏการณ์ "ซัมซุงสะดุด" สะท้อนออกมาในยอดขายและผลประกอบการ เหตุเพราะการแข่งขันที่รุนแรงมากในโลกสมาร์ทโฟน ทั้งจาก iPhone 6 ที่แอปเปิลยอมกลืนน้ำลายทำมือถือจอใหญ่ และฝั่งแอนดรอยด์เองที่มีคู่แข่งหน้าใหม่จำนวนมากเข้ามาต่อสู้และตัดราคาซัมซุงนั่นเอง
เมื่อสภาพการแข่งขันในตลาดเปลี่ยนไปในระดับที่แอปเปิลยังต้องยอมปรับตัวอย่างจริงจัง ทางรอดเดียวของซัมซุงก็คือการปรับตัวเช่นกัน สิ่งที่ซัมซุงเลือกทำใน Galaxy S6 จึงเป็นการแก้ไขจุดอ่อนของตัวเอง ด้วยการปรับปรุงด้านดีไซน์ทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ รวมไปถึงการคงจุดเด่นเรื่องสเปกเอาไว้ และปรับปรุงฟีเจอร์ด้านกล้องให้สามารถต่อสู้กับ iPhone ได้ตรงๆ
เรามาดูกันทีละส่วนครับว่า Galaxy S6 มีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง
"สเปกบนหน้ากระดาษ" ถือเป็นจุดเด่นของซัมซุงตลอดมา และใน Galaxy S6 ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง ถ้าเรานำสเปกของ Galaxy S6 มากางดู ก็จะหาข้อติหรือจุดด้อยกว่าคู่แข่งได้ยาก
เริ่มจากหน้าจอ 5.1" Super AMOLED ความละเอียดสูง 2560x1440 (หารออกมาแล้ว 577 ppi) ที่คุยว่าดีที่สุดในท้องตลาด และกระจกจอ Gorilla Glass 4 รุ่นล่าสุด ทนทานต่อการตกมากกว่าเดิม
ฝั่งซีพียูใช้ Exynos 7420 รุ่นล่าสุด ทำงานแบบแปดคอร์ ผลิตที่ 14 นาโนเมตร ประสิทธิภาพและการใช้พลังงานดีกว่าเดิม, จีพียู Mali T760, แรม 3GB แบบ LPDDR4, หน่วยความจำภายในแบบ Universal Flash Storage (UFS) 2.0 ประสิทธิภาพดีกว่า eMMC, กล้องหลัง 16MP พร้อม OIS, กล้องหน้า 5MP พร้อมฟีเจอร์กล้องมากมาย
ฟีเจอร์ด้านฮาร์ดแวร์อื่นมากันครบถ้วน ทั้งการเชื่อมต่อเป็น Wi-Fi 802.11ac แบบดูอัลแบนด์, LTE Cat 6, รองรับ Bluetooth 4.1, NFC, ระบบสแกนลายนิ้วมือ, ระบบชาร์จไฟไร้สาย-ชาร์จเร็ว
จุดที่พอติได้คือ สเปกบางอย่างลดลงจาก Galaxy S5 รุ่นก่อนหน้า ได้แก่แบตเตอรี่ลดลงจาก 2800 mAh เหลือ 2550 mAh, ตัดฟีเจอร์ด้านถอดแบตได้-เสียบ micro SD ได้ออกไป และตัดฟีเจอร์กันน้ำของ Galaxy S5 ออก ประเด็นเหล่านี้มีความเกี่ยวข้องกับการปรับปรุงงานออกแบบ ซึ่งจะกล่าวถึงในหัวข้อถัดไป
โดยสรุปคือในแง่สเปกฮาร์ดแวร์ ซัมซุงไม่เคยเป็นรองใคร และ Galaxy S6 ก็ยังคงความโดดเด่นเช่นเดิม
สิ่งที่ Galaxy S6 เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงคืองานออกแบบภายนอก ถ้าสรุปแบบเข้าใจยากหน่อย มันคือ "มือถือซัมซุง ที่ดูไม่ค่อยเป็นซัมซุง แต่ก็ยังมีความเป็นซัมซุง"
ผมต้องออกตัวก่อนว่า S6 เป็นมือถือที่ไม่ค่อยขึ้นกล้องเท่าไรนัก ประสบการณ์สัมผัสเครื่องจริงกับภาพตัวเครื่องที่เห็นมีความแตกต่างกันมาก ตอนที่ผมดูภาพในวิดีโองานแถลงข่าวเปิดตัวก็ไม่ค่อยเข้าถึงนัก (ดูแล้วก็แบบ มันหน้าตาซัมซุงเหมือนเดิมนี่นา) แต่เมื่อได้มาลองจับเครื่องจริงก็สัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ (ซึ่งพอถ่ายรูปมาลงเว็บก็กลับไปเหมือนเดิม คือดูแต่รูปไม่ได้ประสบการณ์ใช้จริง)
ถ้าดูโครงสร้างโดยรวมของตัวเครื่องแล้ว S6 ยังมีความเป็นซัมซุงอยู่ครบถ้วน นั่นคือเป็นมือถือขอบมุมโค้ง มีลำโพงพร้อมโลโก้ซัมซุงอยู่ขอบบน มีปุ่ม Home เป็นปุ่มจริงและปุ่มอีก 2 ปุ่มอยู่ด้านข้าง ด้านหลังมีกล้องอยู่ในแนวกลางค่อนไปในทางบน ขอบเป็นสีเงินโลหะ ตัดกับสีของตัวเครื่องชัดเจน เรียกว่าดูไกลๆ ใครก็สามารถบอกได้ทันทีว่า "ซัมซุง"
แต่เมื่อมาดูกันในรายละเอียด S6 แตกต่างไปจากรุ่นพี่ๆ มาก เมื่อลองจับครั้งแรก สิ่งที่รู้สึกได้ชัดเจนคือตัวเครื่องบางลง (หนา 6.8 mm เทียบกับ S5 ที่หนา 8.1 mm), น้ำหนักเบากว่าเดิม (138 กรัม เทียบกับ S5 หนัก 145 กรัม)
ส่วนของหน้าตาและวัสดุก็เปลี่ยนไปจากเดิมในทุกมิติของเครื่อง เรียกว่า "ความเป็นซัมซุง" บางอย่างหายไป (ในทางที่ดี)
วัสดุด้านหน้า เปลี่ยนจากสีทึบ (solid color) มาเป็นสีออกเลื่อม มีสีที่สองซ่อนอยู่เมื่อดูในแสงกระทบที่พอดี เช่น สีดำที่ได้มาจะมีสีน้ำเงินเข้มซ่อนอยู่ (ดูจากภาพถ่ายอาจเห็นไม่ชัดนัก)
ขอบเครื่องกลายเป็นโลหะขัดเต็มตัว แถมไม่มีทาสีเคลือบแบบ Note 4 ทำให้การสัมผัสรู้สึกชัดเจนว่าเป็นโลหะ
ฝาหลังกลายเป็นกระจกแบนราบ (ต่างจากมือถือซัมซุงตัวอื่นๆ ที่จะโค้งเข้ามุม อันนี้ราบเรียบสนิท 100%) มีกล้องนูนขึ้นมาชัดเจน
ถ้าเทียบระหว่างพี่น้อง Galaxy S6 จะยังคงเหมือนมือถือทั่วไป กระจกหน้าแบนราบ ขอบโลหะเต็มความหนาตัวเครื่อง จับได้เต็มไม้เต็มมือกว่า ส่วน S6 edge มีรูปแบบ form factor ที่ต่างไปคือจอโค้งสองด้าน ขอบโลหะบางลงมาก จับยากกว่า แต่ตอนถือแล้วรู้สึกแตกต่างกว่ามือถือทั่วไปเช่นกัน
ขอบข้างของ Galaxy S6
ขอบข้างของ Galaxy S6 edge
ส่วนประกอบเหล่านี้มารวมกันแล้วทำให้ "ฟีลลิ่ง" หรือสัมผัสในการจับเครื่อง S6 แตกต่างจากมือถือซัมซุงเดิมๆ มาก ตัวผมเองใช้มือถือซัมซุงอยู่แล้ว (Note 3) พอใส่มือถือสองเครื่องไว้ในกระเป๋ากางเกงข้างเดียวกัน เอามือลงไปล้วงก็แยกแยะได้ชัดเจนว่าเครื่องไหนคือ S6 หรือ Note 3
ในแง่ของความพรีเมียมถือว่าซัมซุงทำได้ดีขึ้นแบบผิดหูผิดตา สามารถใช้คำภาษาอังกฤษว่า "shiny object" หรือของหรู วัสดุผิวมันวาว ระยิบระยับ ได้อย่างเต็มปาก
อย่างไรก็ตาม วัสดุและการออกแบบภายนอกของ S6 ยังมีข้อติย่อยๆ ได้ 2 จุด อย่างแรกคือฝาหลังเป็นกระจกแบนราบ อาจส่งผลต่อการถือจับที่ไม่มั่นคง อาจทำลื่นหลุดมือได้ง่ายขึ้น ฝาหลังแบนราบทำให้เราต้องออกแรงจับที่ขอบเครื่องมากขึ้น แถมการที่โมดูลกล้องหลังยื่นออกมาเยอะ (จนใช้คำว่า "ปูด" ได้เลย) ก็เสียวๆ อยู่ว่าการวางหงายด้านหน้าขึ้น อาจทำให้กล้องขูดกับพื้นสัมผัสได้
ประเด็นที่สองคือขอบด้านบนและล่างของตัวเครื่อง ที่ออกแบบมาแล้วต้องยอมรับว่า "ลอก" แนวทางของ iPhone มาให้ถูกติซะเปล่าๆ ไหนๆ (ตั้งใจคิดใหม่ทำใหม่มาขนาดนี้แล้วก็ควรจะสร้างความแตกต่างให้ได้ทุกจุด ไม่รู้จะทำเลียนแบบมาทำไม)
โดยสรุปคือ งานออกแบบภายนอก "ดีจนไม่น่าเชื่อว่านี่เป็นซัมซุง" (ถ้าทำแบบนี้ตั้งนานแล้วคงไม่มีใครด่า) แต่ก็ยังคง "โครง" ที่ดูแล้วรู้ว่าเป็นซัมซุงทันทีอยู่เหมือนเดิม จุดอ่อนเรื่องวัสดุพลาสติก ราคาถูก ไม่พรีเมียม ปัญหาเหล่านี้หมดไปแล้วอย่างสิ้นเชิง (ใครอ่านแล้วไม่เชื่อก็แนะนำให้ลองไปจับของจริงดูครับ) เรียกว่าการเปลี่ยนแปลงดีไซน์ของ Galaxy Alpha หรือ Note 4 กลายเป็นเรื่องเล็กไปเลยเมื่อมาเจอกับ S6
Regression: ถอดแบตไม่ได้, เสียบ micro SD เพิ่มไม่ได้
ในมุมกลับกัน การออกแบบแนวใหม่ของซัมซุงที่เน้นความพรีเมียม ตัวเครื่องบางเบา ก็ต้องแลกมาด้วยการออกแบบแนวปิดตาย ทุกอย่างถูกผนึก (ดูคลิปการประกอบเครื่อง S6 ประกอบ) ผู้ใช้ไม่สามารถถอดเปลี่ยนฝาหลังและแบตเตอรี่ได้เอง (อันนี้เป็นแนวทางเดียวกับ Galaxy A Series) ช่องเสียบซิมเปลี่ยนมาเป็นถาดอยู่ด้านข้าง และตัดสล็อต micro SD ออกไป
ตรงนี้ถือเป็นจุดที่ S6 ด้อยลงจาก S5 คือไม่สามารถเปลี่ยนแบตเองได้ เสียบ micro SD เพิ่มไม่ได้ ถ้าเทียบกับมือถือคู่แข่งอย่าง iPhone คงไม่ต่างกันนัก (ทำไม่ได้เหมือนกัน) แต่ถ้าเทียบกับมือถือซัมซุงในอดีต ก็ต้องยอมรับว่าแย่ลง (จริงๆ ทำถาดเสียบซิมมาแล้ว ก็น่าจะทำถาดเสียบ micro SD ให้อีกสักนิด)
แน่นอนว่าฟีเจอร์พวกนี้ไม่ใช่ทุกคนที่จะใช้งาน ผู้ใช้จำนวนมากไม่เคยมีแบตก้อนที่สอง หรือซื้อ micro SD มาเสียบเลย (จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม) ผู้ใช้เหล่านี้ย่อมไม่ได้รับผลกระทบจากการสูญเสียความสามารถเหล่านี้ แต่สำหรับผู้ใช้อีกกลุ่มที่เลือกซื้อมือถือสักเครื่องด้วยปัจจัยเหล่านี้ การถอดความสามารถเหล่านี้ออกย่อมส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อ S6 แน่นอน
แนวทางการออกแบบซอฟต์แวร์ของซัมซุงในอดีตคือสร้าง UI ของตัวเองชื่อ Touchwiz ครอบแอนดรอยด์ปกติไว้อีกชั้น และเพิ่มฟีเจอร์มหาศาลเข้ามาทั้งในระดับของรอม และระดับของแอพ
แนวทางนี้ใช้งานได้ดีในสมัยแรกๆ ที่แอนดรอยด์ยังมีฟีเจอร์ไม่มากนัก ในแง่การตลาดแล้วช่วยให้ซัมซุงสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งแอนดรอยด์รายอื่นได้ แต่มันก็มีผลในทางลบคือ ซอฟต์แวร์ดูเยอะ สับสน ใหญ่ สิ้นเปลืองทรัพยากร และกลายเป็นข้อจำกัดให้รอมซัมซุงอัพเดตช้า
ประเด็นเรื่องความเยอะของซอฟต์แวร์เป็นสิ่งที่ซัมซุงโดนด่ามานาน ซึ่งช่วงปีหลังๆ บริษัทก็พยายามปรับแก้อยู่เรื่อยๆ พอมาถึงยุคของ S6 ผลลัพธ์ที่ออกมาคือ UI ที่สะอาดกว่าเดิมมาก
ลองดูภาพเปรียบเทียบ UI ของสมุดที่อยู่ ระหว่างรอม Note 4 กับรอม S6 (ภาพจาก Samsung Tomorrow)
ภาพเปรียบเทียบตัวเลือกใน Settings ระหว่าง Note 4 (34 รายการ) กับ S6 (24 รายการ)
หน้าโฮมของ S6 ค่าดีฟอลต์มีเพียง 3 หน้าจอเท่านั้น (สอดคล้องกับแนวทางของมือถือซัมซุงช่วงหลัง) หน้าซ้ายสุดจะเป็น Briefing รวมข่าวจาก Flipboard ส่วนอีกสองหน้าจอเป็นหน้าโฮมปกติพร้อม widget เพียงไม่กี่อันเท่านั้น
ส่วนของ launcher ก็น่าตกใจว่าจากของเดิมที่ซัมซุงยัดแอพมาให้จำนวนมากจนงง พอมาถึงปี 2015 แอพดีฟอลต์มีเพียงแค่ "หน้าครึ่ง" จนไม่น่าเชื่อว่าเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ (เหตุผลหนึ่งเป็นเพราะแอพของกูเกิลถูกจัดเข้าโฟลเดอร์ เลยดูไม่รก)
แอพของซัมซุงที่ติดมากับเครื่องมีแค่แอพมาตรฐานสำหรับการใช้งานทั่วไป และแอพเสริมนิดหน่อยอย่าง S Health และ S Voice ส่วนแอพอื่นของซัมซุง เช่น Kids Mode, Knox, S Translator, Group Play, SideSync ถูกลบออกหมดชนิดไม่เหลือแม้แต่ไอคอน และต้องดาวน์โหลดเองจากร้าน Galaxy Apps แทน
อีกประเด็นที่น่าสนใจคือซัมซุงไม่พรีโหลดแอพพันธมิตรอย่าง Dropbox, Flipboard, Evernote มาให้เหมือนเดิมแล้ว (ยังดาวน์โหลดแยกได้) สิ่งที่เพิ่มเข้ามาแทนคือแอพของไมโครซอฟท์ โดยแยกเป็นโฟลเดอร์ชัดเจน (เมืองไทยมีแค่ OneDrive กับ Skype แต่ไม่มี OneNote) ส่วนแอพโซเชียลบางตัวอย่าง Facebook, Instagram, WhatsApp, LINE ยังมีมาให้อยู่ (แต่ไม่มี Twitter)
รูปแบบการใช้งาน Touchwiz เหมือนเดิมแทบทุกประการ สามารถวาง widget และเปลี่ยนภาพพื้นหลังได้เหมือนเดิม ฟีเจอร์เล็กๆ ที่เพิ่มเข้ามาคือเปลี่ยนสีให้โฟลเดอร์ (ไม่รู้จะใส่มาทำไม) และภาพพื้นหลังแบบ parallax เคลื่อนได้เมื่อเปลี่ยนมุม เหมือนของ iOS (ไม่รู้จะลอกมาทำไม)
หน้าตาโดยรวมของ Touchwiz รุ่นนี้สะอาดขึ้นกว่าเดิมมาก ตัวอย่างแถบ notification ถูกปรับปรุงเล็กน้อย ย้ายไอคอนที่สำคัญมาอยู่ด้านหน้า (เช่น ไฟฉาย มาอยู่ในหน้าสอง) และลดจำนวนไอคอนทั้งหมดลง (ของเดิมมีประมาณ 5 แถว)
แอพมาตรฐานหลายตัวดูแบนราบตามสมัยนิยม ลดจำนวนเส้นและสีเพื่อให้เรียบง่ายกว่าเดิม ดูแล้วสะอาดตาขึ้นมาก
แนวทางการออกแบบที่ผมคิดว่าน่าสนใจมากคือ ซัมซุงลดการใช้ "ไอคอน" ลง และเปลี่ยนปุ่มคำสั่งหลายๆ ปุ่มเป็นข้อความแทน ซัมซุงอธิบายเรื่องนี้ในบล็อก Samsung Tomorrow ว่าผู้ใช้บางกลุ่มไม่เข้าใจความหมายของไอคอนบางตัว ซึ่งการใช้ข้อความอธิบายแทนช่วยให้เข้าใจได้ง่ายกว่า
ตัวอย่างเช่น ปุ่ม ... ของแอนดรอยด์ที่ผู้ใช้คุ้นกันดีว่าหมายถึง "เมนูที่ซ่อนอยู่" กลายเป็นคำว่า "More" แทน (ประเด็นนี้ผมไม่แน่ใจว่ามันจะช่วยให้เข้าใจง่ายขึ้นมากน้อยแค่ไหน แต่ที่แน่ๆ คือหน้าตาแอพหลายตัวดูสะอาดขึ้นมาก)
ซัมซุงยังบอกว่าได้ปรับแก้ข้อความ ลดศัพท์เทคนิคเข้าใจยากลง เปลี่ยนมาใช้คำที่เข้าใจง่ายขึ้น เช่น จาก Network SSID มาเป็น Network Name, คำว่า Font Style เปลี่ยนเป็น Font นอกจากนี้ซัมซุงโฆษณาว่าลดจำนวนหน้าจอยืนยันและป๊อปอัพต่างๆ ลง ซึ่งผมไม่ได้เทียบกับเวอร์ชันก่อนๆ ว่าลดลงมากน้อยแค่ไหนครับ
หน้าจอ Settings ปรับปรุงใหม่ให้สั้นลงมาก มีปุ่มที่ใช้บ่อยอยู่ด้านบน ส่วนอื่นๆ ใช้เป็นเมนูเรียงจากบนลงล่างทั้งหมด เลือกปรับให้แสดงเป็นไอคอนหรือเป็นแท็บแบบหลายหน้าไม่ได้แล้ว
นอกจากนี้ฟีเจอร์บางอย่างที่ถูกวิจารณ์ว่าไร้สาระ ถูกถอดออกไปหรือเอาไปซ่อนไว้ลึกๆ เช่น ฟีเจอร์ Smart Stay หรือ Smart Scrolling ฟีเจอร์สาย gesture ทั้งหมดสามารถปิดได้ถ้าไม่ใช้งาน
ฟีเจอร์ใหม่ที่น่าสนใจคือระบบธีมตามสมัยนิยม ถึงแม้กูเกิลไม่สนใจใส่ระบบธีมเข้ามาใน Official Android แต่เมื่อผู้ใช้เรียกร้อง บวกกับคู่แข่งหลายเจ้าทั้ง Xiaomi, HTC, Cyanogen ต่างก็มีกันหมด ทำให้ซัมซุงต้องมีกับเขาด้วย
ธีมมาตรฐานมากับเครื่องมีให้ 3 ธีม (เลือกอีกสองธีมก็ต้องต่อเน็ตดาวน์โหลดอยู่ดี) ถ้ายังไม่พอใจก็โหลดเพิ่มได้จาก Theme Store ที่มีธีมให้เลือกเยอะพอตัว
ฟีเจอร์ธีมของ S6 ตอนนี้ยังอยู่ในระดับแค่โหลดธีมมาเปลี่ยนเองได้ แต่ยังไม่สามารถแต่งธีมเองได้นะครับ เท่าที่ผมลองดูกับธีมที่เตรียมมาให้ก็สวยงามดีเลยแหละ
แอพใหม่อีกตัวที่น่าสนใจมาก (และมีประโยชน์อย่างไม่น่าเชื่อ) คือแอพชื่อว่า Smart Manager ครับ อธิบายง่ายๆ มันคือ System Monitor ของฝั่งพีซีนั่นเอง
เปิดแอพมาจะพบหน้าจอ 4 ส่วน แสดงสถานะของแบตเตอรี่ สตอเรจ หน่วยความจำ และความปลอดภัยของระบบ
เมื่อกดเข้าไปแต่ละส่วนจะแสดงสถานะอย่างละเอียด เช่น
สามส่วนนี้ไม่มีอะไรใหม่ เพราะเราเข้าถึงหน้าสถานะแบตเตอรี่, สตอเรจ, รายการแอพได้จาก Settings อยู่แล้ว แต่พอเอามาทำให้ดูง่ายๆ แบบนี้ (มี widget วางบนหน้าโฮมได้ด้วยนะ) ก็มีประโยชน์ขึ้นกว่าเดิมมาก
ของใหม่จริงๆ คือหมวด Security ที่แสดงผลการแสกนระบบ (เหมือนใส่แอนตี้ไวรัสให้มือถือ) ตรงนี้ซัมซุงใช้เอนจินของ McAfee และถ้ากดตามลิงก์ไป จะเข้าหน้าเว็บสมัครบริการ McAfee LiveSafe ในราคาพิเศษ 2.99 ดอลลาร์ต่อเดือน
โดยสรุปคือเรื่องซอฟต์แวร์ ซัมซุงก็ปรับปรุงขึ้นดีมากครับ ลดความเยอะลง อะไรที่แยกดาวน์โหลดได้ก็ให้ดาวน์โหลดกันเอาเอง ฟีเจอร์ใหม่ที่เพิ่มเข้ามาอย่างระบบธีมและ Smart Manager ก็มีประโยชน์ใช้งานได้จริง ที่เหลือก็ขึ้นกับทีมซอฟต์แวร์ของซัมซุงว่าจะขยันอัพเดตเวอร์ชันของแอนดรอยด์ได้ต่อเนื่องและรวดเร็วมากน้อยแค่ไหน
Galaxy S5 เพิ่มตัวสแกนลายนิ้วมือเข้ามาบนปุ่มโฮม แต่เป็นแบบรูดผ่าน (swipe) ทำให้การใช้งานจริงยุ่งยากมาก และไม่เสถียรจนปิดไปเลยยังดีกว่า (อ่านรีวิว Galaxy S5 ประกอบ)
พอมาถึงยุคของ Galaxy S6 ซัมซุงเปลี่ยนมาใช้ระบบแตะ แบบเดียวกับ Touch ID ของฝั่ง iPhone ผลคือการใช้งานแม่นยำขึ้นมาก สามารถแตะได้จากทุกมุมทุกองศา ถึงแม้จะโดนด่าว่าลอก iPhone แต่ผมว่าอันนี้ผู้ใช้ได้ประโยชน์ครับ
การใช้งานฝั่งซอฟต์แวร์เหมือนเดิมทุกประการ หน้าจอตอนเซ็ตลายนิ้วมือเปลี่ยนไปบ้าง (คล้ายกับของ iPhone เช่นกัน) เราต้องแตะนิ้วประมาณ 15 ครั้ง สามารถเพิ่มข้อมูลได้หลายนิ้ว ประโยชน์หลักก็คือใช้ปลดล็อคหน้าจอเป็นหลัก ตามด้วยล็อกอิน Samsung Account ซึ่งคงไม่ค่อยมีใครได้ใช้กันเท่าไรครับ
มาถึงจุดแตกต่างของ Galaxy S6 รุ่นปกติ และ S6 edge มีแค่อย่างเดียวคือขอบจอโค้ง edge screen (และราคาที่เพิ่มมา 4,000 บาท) เรามาดูกันว่าเจ้าจอโค้งนี่มีประโยชน์อะไรกันบ้างครับ
อย่างแรกเลยต้องบอกว่าจอโค้งของ S6 edge ไม่เหมือนจอโค้งของ Galaxy Note Edge ซะทีเดียว (ไม่ใช่แค่ว่ามีด้านเดียวกับสองด้านนะ) โดยขอบโค้งของ Note Edge แสดงข้อมูลบนจอแยกที่เอามาแปะติดกัน แต่จอของ S6 edge เป็นจอภาพเดียวกันต่อเนื่องทั้งหมด
การที่ S6 edge ใช้กระจกจอโค้ง ทำให้ตัวพาเนลจอดูไม่แนบชิดติดกระจกจอมากนัก ความรู้สึกตอนมองจอช่วงแรกจะคล้ายกับการนำผลึกปรึซึมมาวางทับบนกระดาษครับ ดูมีมิติมากกว่าจอมือถือปกติพอสมควร (บางคนอาจเวียนหัวหรือตาลายได้ แต่ใช้ไปสักพักจะเริ่มชิน) เอ้อ ต้องบอกว่าถึงแม้ S6 edge มีจอโค้งสองด้าน แต่เราสามารถเลือกแสดงข้อมูลได้เพียงข้างเดียวเท่านั้นครับ อันนี้เข้าใจว่ากลัวสับสน แต่ก็เสียดายพื้นที่อยู่เหมือนกัน
เจ้าขอบจอโค้งที่ว่านี้มีประโยชน์ใช้สอยรวม 4 ประการ แบ่งเป็นตอนเปิดหน้าจอ 2 ประการ และตอนปิดจอ 2 ประการ เริ่มจากฟีเจอร์ตอนเปิดหน้าจอปกติก่อน
รูปแบบการใช้งาน People edge คือเราสามารถลากรายชื่อเพื่อนจากขอบจอด้านข้างได้อย่างรวดเร็ว (ปรบมือสิครับ) อย่างไรก็ตาม ลากขึ้นมาแล้วเราถูกจำกัดการติดต่อกับเพื่อนได้แค่ 3 ทางเท่านั้นคือ โทร, SMS, อีเมล (ต้องใช้แอพอีเมลของซัมซุงเองด้วย) จะส่ง LINE, WhatsApp, Google Hangouts, Facebook Messenger, Skype หรือแม้แต่ส่ง Gmail พวกนี้ทำไม่ได้เลยสักอย่างครับ
ในทางกลับกัน ถ้าเพื่อนที่เราตั้งกลุ่มเอาไว้โทรหา ส่ง SMS หรือเมลมาหาเรา เราจะเห็นแถบสีประจำตัวของบุคคลนั้น โผล่ขึ้นมาเป็นแถบบางๆ ตรงขอบโค้ง แล้วเราสามารถ "ลาก" แถบสีนี้ขึ้นมาบนจอเพื่อดู notification แบบง่ายๆ ได้ด้วย (ซึ่งก็จำกัดแค่การสื่อสาร 3 อย่างนี้เช่นกัน)
สรุปแล้วผมว่ามันแทบไม่มีประโยชน์เลย เพราะรูปแบบการสื่อสารถูกจำกัดมากๆ สุดท้ายแล้วเราดูจาก notification มาตรฐานของระบบที่ขอบจอด้านบนง่ายกว่าเยอะ
ส่วนฟีเจอร์ตอนปิดจออีก 2 อย่าง ใช้ได้เฉพาะตอนปิดหน้าจอหลักเท่านั้น เริ่มจากอย่างแรกคือ Night clock มันคือแสดงนาฬิกาที่ขอบจอด้านข้าง ตอนเราปิดหน้าจอหลัก ดูแล้วสิ้นคิดแต่ก็พอมีประโยชน์อยู่บ้าง (เราสามารถตั้งเวลาให้เปิด Night clock ได้ด้วย เช่น แสดงเฉพาะตอนหลังสามทุ่มเท่านั้น)
ตัวเลขนาฬิกาของ Night clock จะไม่สว่างมากเท่ากับระดับความสว่างปกติ เพื่อไม่ให้แสงรบกวนตอนนอนครับ
ฟีเจอร์สุดท้ายคือ Information stream หรือแถบแจ้งข่าวสาร อันนี้เหมือนกับ Note Edge เป๊ะๆ สามารถแสดงแถบ notification ได้, แถบข่าวสารจาก feed, สภาพอากาศ, ผลกีฬา โดยจุดต่างจาก Note Edge คือมันแสดงได้เฉพาะตอนปิดจอเท่านั้น วิธีการเรียกแถบนี้ขึ้นมาคือถูขอบจอในแนวยาว ถูไปแล้วถูกลับทันทีเป็นระยะทางสั้นๆ แถบจะโผล่ขึ้นมาครับ เราสามารถเปลี่ยนแถบด้วยการปัดขอบจอแนวขวาง
โดยสรุปแล้วคือฟีเจอร์ขอบจอโค้ง Edge Screen นี่หาประโยชน์ใช้จริงไม่ได้เลย เป็นความเท่ที่กินไม่ได้อย่างสิ้นเชิง (แต่ข้อดีของจอโค้งใน S6 edge คือตัว form factor ของเครื่องดูแตกต่างจากมือถือปกติมาก ใครอยากได้มือถือที่ดูแตกต่าง จ่ายเพิ่ม 4,000 ก็น่าจะคุ้มอยู่)
จุดเด่นอีกประการของ Galaxy S6 ที่ซัมซุงคุยไว้เยอะคือ "กล้อง" ที่สามารถเอาชนะ iPhone 6 ได้ชัดเจน อย่างไรก็ตามในการทดสอบครั้งนี้ เราไม่สามารถหา iPhone 6 มาถ่ายเทียบกันตัวต่อตัวได้ อันนี้เป็นข้อจำกัดของทีมผู้ทดสอบเอง ต้องขออภัยด้วยที่รีวิวไม่มีส่วนของการเปรียบเทียบที่หลายคนรอคอยครับ (สำหรับคนที่อยากดูเทียบ อ่านได้จากรีวีวของเว็บอื่นๆ ทั้งในและต่างประเทศ เช่น GSMArena, The Verge, Android Central, CNET โดยรวมแล้ว ถ่ายกลางวันดีพอๆ กัน แต่ถ่ายในสภาพแสงน้อย S6 เหนือกว่านิดๆ)
ฟีเจอร์กล้องของ Galaxy S6 มีหลายอย่าง เช่น CMOS ขนาดใหญ่กว่าปกติ 1.4 เท่า, Real-time HDR อัตโนมัติทั้งกล้องหน้า-หลัง, ระบบกันสั่น OIS, ตัววัดแสง IR White Balance, รูรับแสง F 1.9, เปิดกล้องเร็วภายในเวลา 0.7 วินาที รายละเอียดอ่านใน ข่าวเก่า
โดยรวมแล้ว ฟีเจอร์ทุกอย่างจะช่วยให้ประสบการณ์การใช้กล้องมือถือดีขึ้น แนวทางของซัมซุงคือขอให้ผู้ใช้ทำหน้าที่แค่เล็งแล้วถ่าย ที่เหลือซัมซุงจัดการให้ทั้งหมด ตั้งแต่การเปิดกล้องที่รวดเร็ว การวัดแสงและประมวลผลภาพ โดยการันตีว่าจะให้ภาพที่ดีโดยที่ผู้ใช้ไม่ต้องคิดอะไรเลย (แม้แต่การเลือก HDR เพราะเป็นระบบอัตโนมัติ)
ซอฟต์แวร์กล้องของ S6 ก็แก้ปัญหาเรื่องความช้า-ความเยอะไปได้มาก หน้าตาเรียบง่าย มีโหมดการถ่ายอยู่ขอบจอบน และปุ่มถ่ายอยู่ขอบจอล่าง
หน้าตัวเลือกของกล้อง (Camera Settings) ถูกเปลี่ยนเป็นระบบเมนูแทน ส่วนโหมดการถ่ายภาพมีให้เลือกน้อยลง และกลายเป็นไอคอนแบบโมโนโครมแทน
โหมดการถ่ายภาพที่เพิ่มเข้ามาคือโหมด Pro ที่ควบคุมค่าต่างๆ ได้เหมือนการถ่ายภาพจริงๆ เช่น ISO, White Balance, Macro, EV ทุกอย่างสามารถปรับได้ละเอียดสำหรับมืออาชีพครับ (แต่ UI ยังเป็นรอง Lumia Pro Camera นะ)
เท่าที่ลองใช้งานจริงๆ ก็ถือว่ากล้องของ Galaxy S6 น่าประทับใจมากครับ ถ่ายสวย ชัด ไม่เบลอ แม้ในสภาพแสงต่ำๆ (แต่ที่ชอบที่สุดคือกดปุ่ม Home ย้ำสองที เปิดกล้องได้จากทุกหน้าจอ แม้กระทั่งหน้าจอล็อคอยู่ก็เปิดกล้องได้)
ภาพตัวอย่างทั้งหมดเป็นภาพถ่ายในโหมดออโต้ ถ่ายที่ความละเอียดสูงสุด 5312x2988 และไม่ผ่านการแต่งภาพใดๆ (ยกเว้นการย่อรูปโดยระบบของ Flickr เอง สามารถกดเข้าลิงก์ Flickr เพื่อดาวน์โหลดภาพต้นฉบับได้)
เทียบกล้อง Galaxy S6 vs Galaxy Note 4
ผมมีโอกาสลองเทียบกล้อง Galaxy S6 กับมือถือรุ่นก่อนหน้าของซัมซุงคือ Galaxy Note 4 โดยตั้งใจเทียบเฉพาะภาพในสภาพแสงน้อย ภาพตอนกลางคืน เพื่อให้เห็นความแตกต่างระหว่างรุ่นที่ออกห่างกัน 6 เดือนครับ (กล้องของ Note 4 ถือว่าดีมากๆ แล้วรุ่นหนึ่ง แต่ก็ถือว่าตกรุ่นไปแล้ว ยังไงก็แพ้ของใหม่กว่า)
ภาพทั้งหมดถ่ายในโหมดออโต้ ไม่เปิดแฟลชและ HDR สามารถคลิกดูภาพต้นฉบับได้จาก Flickr (ภาพซ้าย Note 4, ภาพขวา S6 edge)
ลองในสภาพที่แสงน้อยมากจริงๆ พบว่าดูไม่รู้เรื่องทั้งคู่ แต่ S6 เห็นรายละเอียดมากกว่าหน่อย
ผมคิดว่าภาพผลลัพธ์ของ Note 4 ออกมาดูสว่างกว่า แต่ภาพของ S6 เก็บรายละเอียดได้ดีกว่า และมีโอกาสคมชัดสูงกว่า
โดยรวมแล้วถือว่ากล้องของ S6 ทำออกมาได้ดีมาก แต่ถึงขั้นทิ้งห่าง iPhone 6 อย่างที่เห็นในเวทีเปิดตัวไหม ก็คงไม่ขนาดนั้น อย่างไรก็ตาม ฟีเจอร์หลายตัวที่เพิ่มเข้ามา เช่น กล้องทำงานเร็ว กดโฮมเบิ้ลเข้ากล้องได้เร็ว กดเข้าหน้าดูภาพได้เร็ว การถ่ายภาพ HDR อัตโนมัติ ฯลฯ ฟีเจอร์พวกนี้ช่วยให้ประสบการณ์การใช้มือถือถ่ายภาพนั้นดีขึ้นมาก
ส่วนนี้เป็นเรื่องการใช้งานจริง ทั้งอายุแบตเตอรี่ การชาร์จไฟ และความร้อน
แบตเตอรี่
แบตเตอรี่ของ S6 มีขนาด 2,550 mAh ส่วน S6 edge ขนาด 2,600 mAh (ใหญ่กว่ากันนิดเดียว) ถือว่ามีขนาดเล็กลงกว่า Galaxy S5 ที่ 2,800 mAh ด้วยเหตุผลว่าออกแบบเครื่องให้บางลงกว่าเดิม
ผมไม่มี Galaxy S5 มาทดสอบเปรียบเทียบกันตรงๆ แต่จากผลการทดสอบของเว็บต่างประเทศหลายแห่ง พบว่า S6 มีอายุแบตน้อยกว่า S5 อยู่หน่อย แต่ดีกว่าคู่แข่งสายแอนดรอยด์บางตัว เช่น HTC One M9
ส่วนในแง่การใช้งานจริงก็ไม่พบปัญหาอะไรครับ ใช้งานได้เต็มวันดี (ขึ้นกับพฤติกรรมการใช้งานอยู่ดีแหละนะ) และไม่รู้สึกว่าแบตลดเร็วกว่าที่ควรจะเป็นหรือมีอะไรพิเศษ
Fast Charging
ฟีเจอร์ชาร์จเร็วหรือ Fast Charging ถูกใส่เข้ามาตั้งแต่ Galaxy Note 4 และถูกพัฒนาขึ้นใน S6 (ซัมซุงบอกว่าชาร์จเร็วกว่า S5 ราว 1.5 เท่า)
ระบบชาร์จเร็วของ S6 จำเป็นต้องใช้สายชาร์จพิเศษที่แถมมากับเครื่อง (หน้าตาเหมือนกับสายชาร์จของ Note 4 แต่ไม่แน่ใจว่าแตกต่างกันหรือไม่) เท่าที่ทดสอบแบบจับเวลา เริ่มจากแบตเหลือ 20%
ส่วนระบบชาร์จไฟไร้สายนั้น ทางซัมซุงไม่ได้ให้อุปกรณ์มาทดสอบ และผมเองก็ไม่มีอุปกรณ์ชาร์จไฟไร้สายใดๆ จึงไม่ได้ลองนะครับ
ความร้อน
สิ่งที่พบเจอจากการใช้งานทั้ง S6 และ S6 edge พบว่าบางครั้งเครื่องร้อนมากครับ อาการจะเกิดแบบสุ่ม ซึ่งไม่แน่ใจว่าเกิดจากอะไรกันแน่ ผมลองวัดความร้อนด้วยแอพ CPU-Z พบว่าอุณหภูมิขึ้นไปสูงถึง 70 กว่าองศา (อาการนี้จะเกิดเป็นบางครั้งเท่านั้น นานๆ เป็นทีด้วย)
สรุปแล้ว Galaxy S6 เป็นมือถือที่ซัมซุงทำลายข้อจำกัดเดิมๆ ของตัวเองในเรื่องวัสดุและงานออกแบบไป (ทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์) และแสดงให้โลกเห็นว่าถ้าตั้งใจจริงๆ ซัมซุงก็สามารถสร้างผลงานที่ดีในระดับนี้ได้ ทำให้ Galaxy S6 เป็นมือถือแอนดรอยด์ที่โดดเด่นมากตัวหนึ่งของปี 2015 นี้
ส่วนว่าจะดีแค่ไหน ต้องเทียบกับคู่แข่งทีละกลุ่มครับ
เทียบกับ Galaxy S5
ถ้าเทียบกับรุ่นพี่ในไลน์เดียวกันคือ Galaxy S5 บอกได้เลยว่า S6 ทิ้งขาดแบบไม่เห็นฝุ่นในเกือบทุกเรื่อง ทั้งดีไซน์ กล้อง ซอฟต์แวร์ ตัวสแกนลายนิ้วมือ จะมีแค่บางฟีเจอร์ที่ถูกตัดออก (อย่างตั้งใจ) คือการถอดเปลี่ยนแบต, micro SD และฟีเจอร์กันน้ำเท่านั้น
เทียบกับ Galaxy Note 4
งานดีไซน์ของ S6 ดีขึ้นจาก Note 4 มาก แต่การนำ S กับ Note มาเทียบกันตรงๆ อาจยากสักนิด เพราะ Note มีจุดต่างที่ปากกา ทำให้เราต้องรอดูว่าพอถึงเวลาของ Galaxy Note 5 ช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ซัมซุงจะสามารถหยิบเอาข้อเด่นของ S6 มาผนวกกับฟีเจอร์ปากกาของซีรีส์ Note ได้มากน้อยแค่ไหน
เทียบกับแอนดรอยด์เรือธงปี 2015
ถ้าเอาเฉพาะที่มีวางขายในปัจจุบัน ณ เวลาที่เขียน ต้องบอกว่า S6 โดดเด่นกว่ากันมาก เพราะคงจุดเด่นเดิมของซัมซุงในเรื่องสเปก เพิ่มความสามารถเรื่องกล้อง (ที่เด่นที่สุดในกลุ่มแอนดรอยด์อยู่แต่เดิมแล้ว) พอแก้จุดอ่อนเรื่องดีไซน์ได้สำเร็จ การเทียบกับแอนดรอยด์เรือธงในระดับราคาใกล้ๆ กัน หาคนกินซัมซุงยาก ถ้าจะมีคงต้องอาศัยปัจจัยเรื่องราคาที่ถูกกว่ามาสู้ (เช่น Mi Note Pro) เท่านั้นครับ
เทียบกับ iPhone 6
ผมคิดว่าการมาถึงของ Galaxy S6 ทำให้การเปรียบเทียบระหว่างมือถือเรือธงของซัมซุงกับแอปเปิล เหลือปัจจัยแค่เรื่อง ecosystem เพียงปัจจัยเดียวเท่านั้น ด้วยระดับราคาที่ไล่เลี่ยกัน กลายเป็นว่าถ้าใครชอบแอนดรอยด์ก็เลือก S6 ถ้าชอบ iOS ก็เลือก iPhone มันก็แค่นั้น
ปัจจัยอื่นๆ ที่เคยเป็นตัวชี้ขาดในอดีต ถูกทำลายลงไปโดยทั้งสองค่าย แอปเปิลทำลายข้อจำกัดเรื่องขนาดหน้าจอลงใน iPhone 6 ส่วนซัมซุงก็ทำลายข้อจำกัดเรื่องวัสดุและการออกแบบใน Galaxy S6 ความแตกต่างของเรือธงทั้งสองฝั่งจึงน้อยลงจากเดิมมาก
ถ้าถามว่า Galaxy S6 โดดเด่นถึงขนาดทำให้คนใช้ iPhone 6 เปลี่ยนใจมาใช้ซัมซุงหรือเปล่า ก็คงไม่ขนาดนั้น แต่ด้วยพัฒนาการของ Galaxy S6 ที่ดีขึ้นกว่าเดิมเยอะ ลดจุดอ่อนเดิมๆ ลงไปเยอะ น่าจะทำให้คนที่ลังเลระหว่างสองค่าย ตัดสินใจได้ง่ายขึ้นมาก
Galaxy S6 หรือ Galaxy S6 edge
คำถามสุดท้ายคือเราควรเลือกระหว่าง Galaxy S6 หรือ S6 edge ดี? อันนี้ตอบแบบฟันธงได้เลยครับว่า ถ้าไม่จำเป็นต้องใช้ความเด่นเรื่อง form factor ที่แตกต่าง ประหยัดเงิน 4,000 พันบาทเอา Galaxy S6 รุ่นปกติดีกว่าครับ ขอบจอโค้งยังไม่มีประโยชน์อะไรนอกจากเป็นลูกเล่นแปลกตา ที่รอเวลาว่าเมื่อไรซัมซุงจะสามารถหา "เหตุผลที่จำเป็นต้องใช้งาน" เจอ
ข้อดี
ข้อเสีย
ไม่ได้ทดสอบ
Comments
อ่านรีวิวจบแล้ว รู้สึกได้เลยว่าทีม Software ของ Samsung ยังอ่อนอยู่มาก เพราะดูเหมือน Edge จะเป็นตัวชูโรง แต่ไม่สามารถเอามาทำประโยชน์ได้เป็นชิ้นเป็นอันเท่าไร น่าเสียดายจริงๆ ส่วนเรื่องที่ว่ามีการปรับปรุง Software ที่ลดความรกลงมานี่ มันก็แค่กำจัด bloatware นี่หว่า ไม่เห็นจะมีประโยชน์อะไรเพิ่มขึ้นมาเลย ส่วนเรื่อง design นี่ดูเหมือนจับเอาของค่ายอื่นมาผสมกับรุ่นก่อนหน้าเลยกลายเป็นมือถือลูกผสมที่แปลกๆ ดี ส่วนตัวแล้วไม่ชอบกล้องที่ปูดออกมานั่น มันดูน่าเกลียดมาก น่าจะมีวิธีอื่นทำให้มันปูดออกมาได้ดูดีกว่านี้ สิ่งที่ S6 โดดเด่นอย่างชัดเจนก็ดูจะเป็นเรื่องกล้องนี่แหละครับ ถ่ายในสภาพแสงน้อยได้ดูดีจริงๆ
ps. เสียดายกันน้ำ กันฝุ่น ทั้งๆ ที่อุตส่าห์ตัดนั่นนู่นนี่ออกไปตั้งเยอะ น่าจะเก็บฟีเจอร์ตรงนี้เอาไว้นะครับ
ขอบคุณสำหรับ review ครับ
ขอบคุณครับ
ขอบคุณครับ
ถ้าใครอยากมีไม้บรรทัดราคาแพงก็เลือกตัว edge ครับ อิอิ
ป.ล รีวิวได้เยี่ยมครับ เป็นกลางดี
มีดอีโต้ครับ
ผมรอโน็ต 8 รุ่นใหม่ ทำมาซะทีเถอะ
+8
ส่วนต่าง ๔ พันนี่ เอาไปซื้อตัว s6 64GB น่าจะโอเคกว่า
บ้านเรา 64GB น่าจะมีให้เลือกแค่ EDGE นะครับ สำหรับศูนย์ไทย ณ ล่าสุด
การออกแบบยูไอน่าจะได้อานิสงมาจากสต็อกรอมมากกว่า ก็คือในส่วนติดต่อผู้ใช้งานนั้นกูลเกิ้ลออกแบบได้สวยดีอยู่แล้ว เหมื่อนแค่เอามาปรับแต่งใส่ไอคอนเล็กๆน้อยๆ
ละเอียดดีครับชอบการรายงานการใช้งานต่างๆของระบบเครื่องที่ไม่ได้เอาแค่จุดเด่นหรือจุดด้อยมารีวิว ขอบคุณครับ
ปล.อยากเห็นทดสอบการใช้ Wif ทั้งสองระบบ 2.4G และ 5G เพราะเดียวนี้เห็น Router รุ่นใหม่ๆ 5G ออกมาเยอะ
สมคำคุยอยู่น่ะ ถ่ายแสงน้อยได้เริศจริงๆ กล้องหน้าก็น่าจะเป๊ะไม่แพ้กัน
ยังไงตัว Edge ก็ดูเซ็กซี่ น่าหลงไหลกว่าตัวปกติธรรมดาอยู่ดีค่ะ
หยิบขึ้นมารู้เลยว่า S6 Edge และคนเค้าก็รู้ว่าคือตัวแพงตัวพรีเมี่ยมของซัมซวย
ส่วน S6 รุ่นธรรมดา เอา S3, S4, S5 มาใส่เคสวาวๆหน่อย ก็แยกไม่ออกแล้วค่ะ 5555+
สรุป ตัวขอบโค้ง เหลือ 25,000 เมื่อไหร่ แล้วค่อยมาคุยกันน่ะคะ
เสียดายกันน้ำ
May the Force Close be with you. || @nuttyi
ดีครับ สวย แล้วก็แพงด้วย
คงต้องดูกันต่อไปว่าจะเป็นอย่างไรในแง่ของยอดขาย คาดว่าเจ้าอื่นคงตามมาอีกไม่นาน ในราคาที่ถูกกว่า และดีไม่ด้อยไปกว่ากัน และในความเป็น Android ด้วยกัน ยิ่งทำให้ความแตกต่างไม่เด่นชัด บางฟีเจอร์ ก็ไม่ใช่ง่ายที่จะสู้คู่แข่งต่างค่ายโอเอสได้ แต่ก็ไม่ใช่สาระสำคัญ เพราะคู่แข่งตัวจริงมันคือหุ่นอภินิหารด้วยกัน
ในความรู้สึกส่วนตัวแล้ว อยากเห็นซัมซุงสร้างความโดดเด่นในเรื่องซอฟท์แวร์ เงินก็มีตั้งเยอะ กำไรสะสมจากการขายมือถือก็เพียบ ถ้าสามารถเอาคอร์ของแอนดรอยด์ เอามาทำ UI ให้สวยงาม และแตกต่างได้ ก็จะเยี่ยมมาก เห็นตัวเครื่องสวย แต่พอดู UI แล้วมันลืมความโดดเด่นของตัวเครื่องไปหมด เห็นแต่แอนดรอยด์เดิม ๆ ที่ใคร ๆ ก็มีหน้าตาแบบเดียวกัน
ในแง่ซอฟแวร์ที่ว่ามา ผมว่าซัมซุงก็ประสบความสำเร็จกับ Note นะ มากด้วย
นอกจากลอก Apple แล้วยังลอกการขายธีมแบบ Xiaomi อีก เจ้านี้เขาทำมาหลายปีแล้วครับ
ส่วน MIUI ก็ทำมาก่อนหน้านั้นอีก?
รอมจีนส่วนใหญ่ก็มีธีมสโตร์ทั้งนั้นแหละครับ คงไม่ต้องดูแล้วว่าใครเป็นคนแรก
รู้จักซิมเบี้ยนไหมครับ?
จุ๊ๆ อย่าไปขัดเค้าสิครับ
Xiaomi นี่เทพสุดแล้วครับ
ซิมเบี้ยนตกยุคและตายไปนานแล้วครับ นี่ยุคใหม่แล้ว :-)
ปล.เหมือนเอาคนเป็นไปเทียบกับคนตายอ่ะ แล้วถามว่าคนไหนเกิดก่อนคนนั้นชนะ... ทำไปเพื่อ?
เขาจะบอกว่า ui แบบนี้มันมีมาตั้งแต่ซิมเบี้ยนแล้ว
Theme เปลี่ยนได้ มีมาตั้งแต่ Symbian ครับ นั่นคือความหมาย
โอเค ครั้งนี้ยอมแพ้แล้วกันครับ :-)
มันคือความจริง ใครจะยอมรับหรือไม่ก็ตาม
มันไม่เกี่ยวกับแพ้ชนะเลยครับ มันเป็นเรื่องของหลักความจริงนะ
ชอบ Xiaomi ไม่มีใครว่าครับ แต่การที่คุณดึงดันขนาดนี้กระทบภาพลักษณ์ของแฟนๆ Xiaomi นะครับ
ไม่หล่อเลยอะ
ยอมรับสิ ไม่ใช่ยอมแพ้
กองแช่งซัมซุงอย่างผมเสียใจเลยครับ ซัมซุงทำออกมาดี
รอแช่งรุ่นหน้า
ใชั => ใช้
แบตเปลี่ยนไม่ได้แบตเปลี่ยนไม่ได้ => แบตเปลี่ยนไม่ได้
ใช้แรมเยอะจนไม่ได้ทำอย่างอื่นไหมอะ...
http://cdn.gottabemobile.com/wp-content/uploads/2014/07/Galaxy-S5-Ad-Wall-Huggers-iPhone-battery-life-1.jpg
http://media.idownloadblog.com/wp-content/uploads/2014/07/Samsung-Galaxy-S5-ad-iPhone-battery-001.jpg
the next big thing is here
+1 เรื่องจอ edge ครับ เอาไว้โชว์อย่างเดียวเลย
เหมือนพวก smart function ต่างๆที่เคยใส่มา สุดท้ายก็เอาไปเก็บไว้ลึกๆในเมนูอย่างที่ว่า
Smart scroll งี้ ใช้ตา scroll. - -'
เท่าที่ไปจับมา
edge ตัวจริง สวยกว่าในรูปมาก
ทำให้โทรศัพท์ดูบางลง (จริงๆก็บางอยู้แล้ว) จอใหญ่แต่ไม่รู้สีกเทอะทะ
แต่ไม่ค่อยมีประโยชน์อะไรนะ เป็นเรื่องความสวยงามล้วนๆ
สุดท้ายที่บอกลอกไอโฟน คุณเมาควันรึเปล่าครับ ซัมซุงออกแบบโค้งมนมาก่อนที่ ไอโฟน6มาทำนานมากแล้ว ซึ่งดีไซน์นี้ผมคิดว่าแอปเปิ้ลได้มาจาก HTC partner เค้าเองเหมือนกัน
ตูดมันนี่เป๊ะเลยครับ
ดูนิดนึง
ดูตูดมันรึยังครับ
ทั้งสายชาร์ท ตำแหน่งหูฟัง รู speaker และแนวเสาอากาศ
หมอกจางๆ และควัน คล้ายกันจนบางทีไม่อาจ...รู้ จริงๆ การเจาะรูลำโพงนั้นสามารถทำได้หลากหลายรูปแบบ แต่ก็ไม่รู้ทำไม Samsung ถึงต้องทำมาให้เป็นที่ครหาแบบนั้น
ตรงตูดนี่เป๊ะจริงๆครับ เสียดาย ถ้าทำให้ต่างกันมากกว่านี้คงไม่มีข้อครหาได้
สัมผัสที่กระจกเป็นอะไรที่รู้สึกประทับใจดีครับ
นอกจากนี้จอไม่ติดเหลืองจ๋าแบบที่เคยทำก่อนหน้า ตอนนี้ปรับสีดูปกติขึ้นมาก
แต่ว่าราคามันก็ยังสูงอยู่ดี ลองดูว่าจะแย่งส่วนแบ่งได้มากน้อยเพียงใด
เพราะความเป็น SAMSUNG มันก็ยังอยู่ชัดเจนเหมือนเดิม
ผมนี่รอไปจับตัวจริงก่อนตัดสินใจซื้อเลย
วัสดุเงาแบบนี้ จะเป็นรอยนิ้วมือเยอะมั้ย
เป็นครับแต่ไม่เยอะมาก
คนซื้อไปจริงๆ คงใส่เคส ไม่ก็ติดฟิล์มหน้าหลังอะครับ
โอกาสติดลอยนิ้วมือมากน้อย คงขึ้นกับเคส หรือเกรดของฟิล์มมากกว่า
Galaxy Edge นอกจากแอพต่างๆควรมีการสนับบสนุนมากแล้ว พวกเคส ฟิล์มก็ควรมีด้วยครับ รุ่นNote Edgeอยากได้มากแต่ไปที่ช็อป ฟิล์ม เคสไม่มีเลยไม่ซื้อครับ
ผมไปลองเล่นตัวจริงที่เซ็นทรัลแจ้งวัฒนะ
จอสวย วัสดุดูดี ตัวเครื่องด้านข้างสวยมาก
ถือในมือแล้วให้ความรู้สึกดีกว่ารุ่นเดิมเยอะ เหมือนเวลาถือ Sony Z1,Z2,Z3
แต่ด้านหน้าก็เหมือนเดิมๆ ด้านหลังกล้องปูดมากไปหน่อย
แต่พอลองใช้งานแล้วก็รู้สึกเหมือนเดิม เวลาเข้าแอพใหม่ครั้งแรกมีหน่วงนิดหน่อยด้วย
ผมว่าจะซื้อ s นี้ไปรอ note น่าจะดีกว่านะ
แฟนNote ครับผมก็คิดแบบนี้ขนาดS6ยังสวยแล้วNote 5จะสวยแค่ไหน ถ้าใช้วัสดุเดียวกันนะครับ
+1 เห็นแบบนี้แล้วรอดู Note 5 รัวๆๆ
กล้องที่นูนออกมา ถ้าใส่เคสมือถือแล้วมันจะอยู่ระดับเดียวกับผิวเคสเลยหรือเปล่า? เพราะคนซื้อมือถือส่วนมากก็ต้องซื้อเคสมือถือด้วย
เรื่องของ edge ถ้าเราเขียน Android เราสามารถเขียนให้มันแสดงผลตรงจอที่ขอบได้หรือเปล่า หรือต้องใช้ API ของ Samsung เท่านั้นถึงจะใช้ได้ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเค้าจะมีแจกหรือเปล่า คงไม่มั๊ง
ใส่เคสแล้วจะเห็น edge หรือเปล่านะ? หรือหุ้มมิดไปเลย
ประเด็นที่ใส่การ์ micro SD ไม่ได้ ผมว่าอันที่จริง Samsung อยากทำให้มันใส่ได้นั่นแหละ เพราะ Samsung Galaxy A7 ก็โครงโลหะเช่นเดียวกัน แต่ก็ยังมีช่องใส่การ์ด micro SD หรือ SIM ได้ (เพียงแต่ต้องเลือกเอาว่าจะใส่ SIM 2 หรือการ์ด micro SD) แต่คงเพราะเฟรมโลหะ และขนาดเครื่องที่ต้องทำให้มันมีขนาด 5.1 นิ้ว ทำให้มันไม่มีพื้นที่เพียงพอสำหรับใส่ช่อง micro SD เพิ่มเติม ที่ผมคิดแบบนี้ เพราะขนาดความจุของแบตเตอรี่นั่นแหละครับ การที่มันลดจาก 2,800 mAh ลงมาเหลือ 2,550 mAh มันก็น่าจะเป็นข้อพิสูจน์อย่างหนึ่งแล้วว่าพื้นที่ภายในมันสูญเสียให้อะไรบางอย่างไป จึงทำให้ทั้งขนาดแบตฯ และช่อง micro SD ไม่สามารถเพิ่มเติมเข้ามาได้ ซึ่งผมว่า GALAXY Note 5 ช่อง micro SD การ์ดจะกลับเหมือนเดิมเองครับ (มันต้องมีหละ เพราะเชื่อเถอะ คนที่ใช้เครื่อง Samsung ที่ปกติจะใส่การ์ด micro SD ได้มาตลอด แต่พอช่องใส่การ์ดหาย มันทำให้เดือดร้อนกันเป็นทิวแถว และส่ง Feedback การใช้งานกลับไปยัง Samsung แน่ ประมาณว่า ตอนที่เครื่องเป็นพลาสติกทำไมแบตฯ เยอะ ถอดฝาหลังได้ และใส่การ์ด micro SD ได้ แต่ทำไมพอทำโลหะกลับลดขนาดแบตฯ ถอดฝาหลังไม่ได้ และไม่มีช่องใส่การ์ด micro SD)
แต่เอ๊ะ GALAXY A5 ที่มีหน้าจอ 5 นิ้วก็มีช่องใส่ micro SD นี่นา แต่ทำไม S5 ไม่มี Samsung มีเหตุผลอะไรหรือเปล่า นอกเหนือจากไม่มีพื้นที่ให้ใส่ช่อง micro SD
ข้อเสียของการที่ถอดฝาหลังไม่ได้ มันมีอยู่นะครับ เพราะผมเคยใช้งานแล้วแบตฯ มันบวมจนดันฝาหลังเครื่องบวมมาแล้ว แต่ยังดีที่มันคือพลาสติก มันก็เลยไม่มีผลกับตัวเครื่องภายใน เพราะความยืดหยุ่นตัวนี่แหละ ถ้าเป็นโลหะ เวลามันบวม มันไม่มีที่ไป มันก็ดันมาด้านหน้าเครื่องแทน ทำให้จอปริแตกหรือขอบหลุดเอาได้ง่าย ไม่ก็ระเบิดตัวเองไปเลย ใครบอกว่าแบตไม่ต้องถอดก็ได้ ไม่มีความจำเป็น แต่ผมมองเห็นแล้วว่าการถอดแบตออกเองได้มันมีความปลอดภัยมากกว่าถอดไม่ได้นะครับ ต้องเจอกับตัวเองก่อนแล้วจึงจะพูดได้
ผมว่า เพราะ Google Android ปรับการใช้งาน SDCard ภายนอกให้ยุ่งยากขึ้น
รอ Google ใจอ่อนแก้ไขให้มันกลับมาใช้ได้ง่ายปกติ S หน้า ก็จะมีช่อง microSDCard เองนั่นแล
ก็ต้องดูแหละครับว่าการที่ตัด micro SD กับถอดแบตได้มันจะกระทบกับยอดขายแค่ไหน ถ้าเป็นแฟน Samsung จริงๆ ตรงนี้อาจจะไม่ใช่ประเด็นใหญ่ แล้วอีกอย่างด้วยภาพลักษณ์ใหม่มันอาจจะดึงผู้ใช้จากยี่ห้ออื่นเพิ่มเข้ามาอีกก็ได้ เรื่องอันตรายจากแบตหรืออะไรพวกนี้ผมว่ามันมีน้อยมากเมื่อเทียบเป็นเปอร์เซ็น อย่างไอโฟน 4 อายุน่าจะ 4 ปีของผมก็ยังไม่มีปัญหาเรื่องแบตเลย
ผมกำลังคิดว่าสาเหตุจริงๆมาจาก UFS2.0 หรือเปล่า?
ประมาณว่าถ้ามันใส่กับ eMMC แล้วมันจะไม่เข้ากันไรแบบนี้อ่ะครับ
เรื่องบอดี้เครื่องอาจจะไม่ลงตัวกับ card อาจจะจริง
แต่ผมคิดว่า ถ้าทำแบบใส่ card ไม่ได้
คงจะให้ประสบการณ์ในการใช้งานที่ลื่นไหลมากกว่านะครับ
การมี cars นอก เสริมเข้าไป จะทำให้ เครื่องทำงานช้าลงครับ
เลยขอทำแบบใส่ card ไม่ได้ดีกว่า
บางคนบอกว่า ก้อทำแบบใส่ได้สิ แต่ไม่ต้องใส่ เครื่องจะได้เร็ว
แต่ในเมืรอทำที่ใส่มาแล้ว ยังไงคนส่วนใหญ่ ก้อต้องใส่ card แหละครับ
ไม่พ้นทำให้เครื่องช้าลง
ยิ่งใส่ 128 กิ๊กเข้าไปสิ ช้าลงทันตาเห็น
เพราะใส่มาแล้ว 128 กิ๊ก เนี๊ยะ
เขาทำแบบใส่ไม่ได้มาซะเลย
เพราะแซมซังเขามีนโยบาย " Project Zero " คิดใหม่ ทำใหม่ ครับ
Smart Manager นี่ ผมเคยเห็นมาก่อนใน MIUI นะ ถ้าจำไม่ผิด
หลายๆยี่ห้อนอกจาก Xiaomi ก็มีครับ โดยเฉพาะจากจีนนะครับ :D
ฝากถึงซัมซุงประเทศไทยหน่อยครับ S6ทำไมไม่เอา 64GBมาขาย อย่าบอกนะว่าอยกได้ให้ซื้อS6 Edgeแทน
ไปลองจับมาแล้ว รู้สึกเฉยๆนะ ยังคิดอยู่ว่า น่าจะรู้สึกดีกว่านี้
ที่บ้านมีซัมซุงตัวท๊อปทุกรุ่น ไปลองเลื่อนๆจอแล้วรู้สึกเป็นซัมซุงเหมือนเดิมมั้ง เลยไม่ตื่นเต้นเลย
ตัวเครื่องดูโอเคขึ้น แต่ส่วนตัวก็ยังไม่รู้สึกมากมาย ซอฟแวร์ยังงงว่าทำไมมันไม่ค่อยลื่นเท่าที่ควร หน่วงเป็นบางช่วง(เล็กน้อยตามสไตล์ซัมซุง)
แต่สุดท้ายคงซื้อมาแทนเครื่องเก่า 555 อยากได้ตัวความจุสูงๆ ดันไม่เอาเข้ามา รออะไรครับท่าน
เท่าที่อ่านมาตัวเครื่องวางขายที่ช็อปแล้วใช่ไหมครับ จะได้เดินดู
ลูกค้าจองได้ 11เมษา ครับ วางขายปกติ 20เมษา
ขอบคุณครับ
Samsung ไม่น่าปล่อยให้ edge customize ได้นะ เหมือนยังไม่ได้คิดดีว่าจะเอา edge โค้งๆนั่นไปทำอะไร เอาให้ลูกค้าไปปรับแต่งเองเถอะ แล้วลูกค้าก็ end user ทั้งนั้น
ได้จับแฝดนรกคู่นี้ละ
จับ EDGE ก่อน เล่นจอโค้ง หึหึ Less Function, Less Performance and Useless มาก เทอะทะ ไม่สวย แพงไปทำไม ลงความเห็นใน TW ส่วนตัวว่า #(พิมพ์ไม่ได้เพราะแรงพอสมควร)
ต่อมาได้จับ S6 บัตรเครดิตในกระเป๋าสั่นระรัว เป็นครั้งแรกที่จับมือถือซัมเซ็งแล้วคิดว่า นี่เป็นราคาเปิดตัวที่ไม่แพงเกินไป สวยมาก กระจกหลังนี่งามงดมาก (แม้ Nexus4 จะทำมาก่อนแล้วเป็นชาติและสวยกว่านี้มาก) จอสวย ขนาดพอดีมือ แต่ขอบนี่ .. เหอะ ๆ เพื่ออะไรกันน๊อ ..
เอาเป็นว่า 23,900 กับ 32GB ไม่แพงเลยครับ เสปกขนาดนี้ สวยงามขนาดนี้ จากที่เคยปรามาสไว้ว่า S6 เป็นทางผ่านของ Note5 แต่มาอีหรอบนี้ ถ้า Lazada จัดลด 15% สงสัยได้สอยแหง มันสวยจริง งามจริง ไม่อิงนิยาย แทบไม่น่าเชื่อว่าซัมเซ็งจะทำได้ แม้หน้าตามันจะซัมเซ๊ง ซัมเซ็งก็ตาม (ตอนจับ Alpha ที่เกือบซื้อไปหลายที ยังรู้สึกไม่มากล้นเท่านี้)
สรุปคือ S6 คือมือถือในรูปแบบที่ซัมซุงควรจะทำมาตั้งนานแล้ว ละเมอเพ้อพกกับพลาสติกก็อบแก็บอยู่หลายปี หวังว่าหลังจากนี้คงจะหูตาสว่าง รู้ว่ารุ่นท็อปควรเป็นยังไงซักที
รูดบัตรกินมาม่า รูดบัตรกินมาม่า //สวดมนต์
อยากรู้ว่า Edge เวลาดู video หรือใช้ app มีปัญหาตรงขอบไหม
That is the way things are.
คือผมไปลองเล่นมาแล้ว ต้องขอบอกเลยว่า TouchWiz ก็ยังเป็น TouchWiz อยู่วันยังค่ำ แม้ว่าจะเอา Bloatware ออกไปเยอะแล้ว มันยังมีอามณ์กระตุก หน่วง อืด ให้เห็นอยู่เป็นระยะแม้ว่าจะเป็นรุ่นเรือธงก็ตาม ส่วนตัวแล้วไม่เจอประสบการณ์ที่ดีเลยกับโทรศัพท์ซัมซุง ทั้งเคลม ทั้งพัง ก่อน 1 ปี ตราบใดที่ TouchWiz ยังเป็นแบบนี้ ผมไม่ขอกลับไปใช้อีก เจ้าอื่นอย่าง HTC หรือ Sony ทำ ROM เสถียรกว่านี้มาก แม้ว่าจะไม่ใช่ pure android ก็ตาม
ผมเคยได้ยินข่าวจากวงในมาว่าที่มันกระตุกเพราะ SS ลดการทำงานของ CPU ลงให้ต่ำที่สุด เห็นได้จากมือถือสเปคเดียวกันเด๊ะสองเครื่อง ของซัมซุงจะประหยัดแบตกว่าเสมอ
อย่าเพิ่งเชื่อนะครับ
แต่กล้องป่วยมากๆเลยครับ ทั้งสองเจ้าเลย
ผมคยเป็นสาวกอารยธรรมมาก่อน(แอนดรอยด์เครื่องแรกคือ Xperia Z)ชอบดีไซน์โซนี่ที่สุด แต่ไม่ว่ายังไงกล้องก็เป็นจุดที่สำคัญมากๆพอๆกัน สุดท้ายเลยไม่สามารถตัดสินใจซื้อ Z1,Z2,Z3 ได้
ส่วนM7,M8นี่ผมไม่เคยลองเลยครับ แตรีวิวต่างๆก็ออกมาแนวว่ากล้องมันไม่ดีตลอดเลยต้องตัดไป
HTCกล้องห่วยมากๆเลยครับ รุ่นท๊อป รุ่นกลางก็ห่วย แก้ก็ไม่ยอมแก้ซะที ผมอาจจะโชคดีที่ใช้โน๊ต2มาสองปีกว่าเครื่องไม่มีปัญหา ทุกอย่างยังดี เว้นแต่แบตที่เสื่อมตามเวลา
ความรู้สึกตัว รู้สึกว่ารุ้นนี้จะเน้นโฆษณา แบบว่ามันโคตรดี แต่ดูๆไปมันก็ดีอะ แต่ไม่ว้าวววๆๆๆๆ
ดูจาก cpu-z แล้ว cpu ของ ss ทำงานหมดทุกคอร์เลยเหรอครับ เครื่องผม zen5 lte snap400 เปิดแอพ cpu-z เฉยๆ ก็วิ่งแค่คอร์เดียวเองนะครับ (จากทั้งหมด 4คอร์)
สเปคเเรงจริง วัสดุดีจริง จอภาพชัดจริง เเต่ os ก็ยังเป็นเเอนดรอยอยู่ดี ซึ่งจุดนี้ samsung ไม่มีทางสู้ apple ได้ในความเป็น exclusive band อยู่ดี อันนี้ชัดเจนนะ อย่าเถียงเลย มันคือความจริง
เหมือนกับเคยอ่านเจอนะว่ามีการทดสอบว่า แอนดรอนด์5.0 เสถียรกว่า OS8
ผมเห็นด้วยนะว่า Apple สร้าง Brand Loyalty ได้สูงมาก ทั้งจากประสบการณ์การใช้งาน ปริมาณและคุณภาพของ Apps แต่ถ้ามองในเรื่อง OS ผมกลับคิดว่าทั้งสองค่ายมันมีจุดเด่นที่แตกต่างกัน ไม่สามารถบอกได้ชัดเจนว่าอันไหนดีกว่าอันไหน
อย่างกรณีของผม ผมถนัดใช้แอนดรอยด์มากกว่าเพราะผมเป็นคนขี้เบื่อและค่อนข้างมีความเป็น Perfectionist สูงในสไตล์ของตัวเอง อาจจะแปลกซักหน่อยแต่ผมมองว่าดีไซน์ภาพรวมของ Apple เองตอนนี้มันยังไม่ Perfect สำหรับผม(โดยเฉพาะหน้าตา Pre-installed Apps บางตัวที่ไม่ไหวจะเคลียร์) ผมพยายามจะซ่อนมันก็ทำไม่ได้ เปลี่ยนหน้าตาก็ทำไม่ได้(ออกตัวก่อนว่าไม่นิยมการ Jailbreak นะครับ) มันก็ทำให้ผมหงุดหงิดพอสมควร ดังนั้นผมจึงคิดว่าระบบอะไรก็ตามที่ผมควบคุมได้น้อยๆอย่าง iOS,Windows Phone คงไม่เหมาะกับผมเท่าไหร่นัก ผมถึงเลือกแอนดรอย์ครับ แม้ว่า App ขยะจะเยอะ หน้าตาไม่ค่อยสวยก็ตาม
สุดท้ายขอเน้นอีกทีครับว่ามันเป็นแค่ความคิด ความรู้สึกของผม ไม่ใช่ความจริงอะไรทั้งนั้น หลายๆท่านอาจจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ตาม ไม่ดราม่านะครับ ^^
ผมคิดว่าสิ่งที่เค้าจะสื่อก็คือ ซัมซุงยังต้องพึ่ง google ในเรื่องของ OS แม้กระทั่งบริการ ก็ต้องพึ่งบริการของ Play store ทำให้ซัมซุงไม่สามารถควบคุม ecosystem ตรงส่วนนี้ได้ (ถึงแม้ทางซัมซุงจะสร้าง store ของตัวเองมาเก็บส่วนแบ่งก็ตาม) ซึ่งต่างจาก Apple ที่ควบคุมเบ็ดเสร็จ Apple ID อันเดียว ทำได้สารพัด แต่กับแอนดรอยด์ เราต้องใช้กี่ไอดีก็ไม่รู้เพื่อให้ได้บริการเทียบเท่าของ Apple
เข้าใจแล้วครับ ผมเข้าใจผิดจริงๆด้วย TwT
ตอนนี้ผมใช้ zenfone c ผมเอามาเทียบกับ s4 ของพี่ผม หน้าจออะไรพวกนี้ samsung ชัดจริงๆ เเต่ os มันเหมือนกับ มือถือราคา 3500 บาทผมเลย เเบบเหมือนเปียบเลย อันนี้ คือจุดออน samsung เลย คือทำบอดี้ได้ดีขนาดไหน สเปคดีขนาดไหน อยา่ง s6 สเปคเเบบนี้ iphone6 ไม่ติดฝุ่นหรอก เเต่ถ้าให้ผมซื้อมือถือระดับราคา 25000 ผมก็คงเลือก ip6 เพราะ มันสมราคามากกว่า สินค้ามี เอกลักษณ์มากกว่า ถ้าถามผมว่า ios กับ เเอนดรอย อันไหนดีกว่า ผมชอบเเอนดรอยในเเง่ มี app เเปลกๆเยอะกว่า indy มากกว่า เเต่ถ้าให้ต้องเสียเงินเยอะ15-25 ก็คงเลือก ios มากกว่าเพราะมันดูดีกว่า เด่นกว่า ไม่โหล ลองคิดดูนะ เราซื้อมือถือมา 25 เเต่มือถือเรา คอนเทนหลักๆ เหมือนมือถือราคา 2000-3000 เลยจะรู้สึกยังไง กับมือถืออีกเจ้านึงราคา พอๆกัน เเต่ หน้าคอนเทนเค้ามีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่เหมือนใคร
ใช่เลยครับ มือถือที่ราคาระดับพรีเมี่ยม แต่มีฟังชั่นการทำงานเหมือนเครื่องโหล ไม่รู้จะจ่ายแพงไปทำไม เหมือนซื้อรถราคา 20 ล้าน แต่ให้ความรู้สึกในการขับขี่เหมือนตุ๊ก ๆ
แต่ผมลาไอโฟนมาเพราะ iOS นะ
Android มันดีกว่า ยืดหยุ่นกว่าหลายๆ เรื่อง
อันนี้ก็แล้วแต่คน พอดีผมมองประโยชน์ใช้สอยก่อนความเป็นแบรนด์
ในความหมายข้างบนก็คือ ถ้าใจรักจะไปเล่นหุ่นเขียวก็ไม่จำเป็นต้องจ่ายแพงไงครับ เพราะรุ่นบน-กลาง-ล่าง ได้ฟีเจอร์สูสีกันหมดเลย
แต่ประสิทธิภาพมันต่างกัน กล้องก็ดีกว่า i6+ อีก อย่าว่าแต่ i6 เลย(กล้องกระจอกมาก)
จะเอาอะไรกันกับกล้องมือถือเหรอครับ ราคา Edge 6 28,900 นี่ ซื้อ SLR ดี ๆ พร้อม เลนส์คิต กับ Android ราคาไม่แพง ได้รูปกะลูกเล่นดีกว่าหลายเท่า
ผมเห็นด้วยที่ SLR ภาพดีกว่าหลายขุม
แต่ พก SLR กับพกมือถือนี่ต่างกันหลายเท่าครับ
แต่จ่ายแพงก็ได้สิ่งที่ดีกว่าจริงๆไงครับ
เอิ่มถ้าพูดถึงแอพจะมือถือราคาสองพันหรือไอโฟนราคาสองหมื่น แอพดังๆส่วนมากก็มีให้ใช้ไม่ต่างกัน แต่สิ่งที่ทำให้มือถือราคาสองพันกับสองหมื่นแตกต่างกันคือ วัสดุและฮาร์ดแวร์ การจะหวังให้มือถือราคาสองพันถ่ายรูปได้สวยเหมือนมือถือราคาสองหมื่นก็คงเป็นไปไม่ได้ใช่ไหมล่ะครับ
แล้วใช้ iphone ราคา 28000 กับ android ราคา 5000 มันต่างกันยังไง
ก็เห็นใช้อยู่ไม่กี่โปรแกรมเหมือนกันแหละครับ line facebook โทรออก
ผมก็ว่างั้นแหละ
ทำไมต้องแคร์ว่าคอนเทนต์เหมือนกันด้วยครับ เราซื้อของที่เราพอใจ เพื่อให้เราได้ประสบการณ์ที่ดีไม่ใช่หรอครับ
ไม่ว่าจะจอภาพสวย กล้องดี เสียงเพราะ รวมถึงตัวคอนเทนต์เองเราก็ซื้อเพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานให้กับเราไม่ใช่หรอครับ ซึ่งตรงจุดนี้แหละที่แต่ละเจ้าพยายามทำให้แตกต่างกัน ซึ่งมันก็อาจจะต่างมากต่างน้อยยังไงก็แล้วแต่
ประโยค "เต่ os มันเหมือนกับ มือถือราคา 3500 บาท" นี่มันฟังเหมือนคุณกำลังพูดเป็นกลายๆว่า Android มันเป็น OS ราคาถูก? ไม่คุ้มค่ากับการเสียเงิน ในขณะที่ iOS เป็น OS ที่ดีกว่า อย่างงั้นเหรอครับ? มันตัดสินเกินไปไหมครับ?
ถ้าผมตีความ เข้าใจผิดยังไงก็ขอโทษด้วยนะครับ ถ้าไม่เป็นการรบกวนช่วยชี้แจงให้เข้าใจด้วยนะครับ ขอบคุณครับ
คือ ถ้าจะพูดถึง OS
Apple เอง ก็มีตั้งแต่ 5C ไปจนถึง 6+
แล้วถามว่า iOS เหมือนกัน เราจะซื้อแพงไปทำไม ? ก็ได้เหมือนกันนะครับ
สำหรับผม iOS มันอึดอัดมาก
แอพ "พื้นฐาน" อย่างไฟล์แมเนเจอร์ก็ไม่มี, จะใช้เป็นทรัมไดรฟก็ไม่ได้, เปลี่ยนนู้น นี่ก็ไม่ได้
ผมเลยหนีมันมาหลังจากใช้ iPhone มา 4 รุ่น 4 ตัว
มา Andoird ถึงจะมีเครื่องตั้งกะ 5,000 ยันเฉียด 3 หมื่น
ผมก็เลือกซื้อด้วย "ประโยชน์ใช้สอย" แหละครับ
ซึ่ง "สเปคเครื่อง" มันก็พอจะกำหนดระดับราคาคร่าวๆ ให้ไว้แล้วล่ะครับ
และก็เป็นข้อได้เปรียบ ( หรืออาจจะเป็นจุดน่ารำคาญ ) ของแอนดรอยด์ตรงที่ มีหลายยี่ห้อ หลายรุ่นกันจนเลือกไม่ถูกเลยทีเดียว และหลายๆ รุ่น หลายๆ ยี่ห้อ ก็มี "เอกลักษณ์" ไม่แพ้ไอโฟนนะ
แต่แค่พอดีผมมาจบที่ Note 8 เพราะสไตลัสนี่ล่ะ ( ขอรุ่นใหม่เร็วๆ เถอะ กล้องห่วยเหลือเกิน )
อย่างที่คุณ Witna ว่ามาครับ โดยพื้นฐานแล้วทุกอย่างมีราคาของมัน เสป็คเครื่องราคาของเครื่องจะเป็นตัวกำหนดกลายๆ ว่าเราจะได้อะไรหลังจากที่เราซื้อเครื่องนั้นๆ มาแล้ว คงไม่มีใครหวังว่าพวกฮาร์ดแวร์ซอฟท์แวร์หรือบริการหลังการขายต่างๆ ของเครื่องจีนโนเนมราคาไม่กี่พันจะเทียบได้กับเครื่องแบรนด์ราคาหมื่น
ไม่ต้องเทียบ OS หรอกครับ ยังไงเรื่องแบรนด์แอปเปิ้ล ก็เหนือกว่า ซัมซุงอยู่แล้ว คนจะซื้อเพราะมันคือแอปเปิ้ล ไม่ได้มาคิดจุกจิกเหมือนพวกเราๆหรอก
แต่ถ้าให้เทียบ OS ปัจจุบันแอนดรอยนำไปไกลละครับ มันคือความจริง
ไม่ถูกซะทีเดียวครับ ผมเห็นคนจะซื้อสินค้าแอปเปิ้ลเทียบคุณภาพกับของค่ายอื่นก็มีครับ ส่วนพวกที่ดูว่าเป็นแอปเปิ้ลแล้วหลับหูหลับตาซื้อก็คงมีเหมือนกัน
จะใช้มือถือยี่ห้ออะไรรุ่นไหนก็ใช้เถอะ แต่อย่าดูถูกยี่ห้ออื่นเลย ผมเห็นในMacthai พูดถึง S6 ดูถูกกันมาก บางคนก็ใช้คำพูดหยาบคายใส่เขา ใช่มือถือสองหมื่นกว่าแต่กริยาแค่สลึง ผมเองใช้6Plus ยังไม่ดูถูกคนอื่นเลย
ถ้าคนใช้ iphone คิดได้แบบคุณก็ดี
ก็ไม่รู้พวกนี้เขามีปมด้อยอะไรในใจหรือเปล่า ถึงได้ดูถูกมือถือยี่ห้ออื่นนัก
บางทีพลอยดูถูกคนที่ใช้ยี่ห้ออื่นด้วย
ผมเองก็เคยใช้ซัมซุง omnia เครื่องเดียว และก็ไม่เคยใช้อีกเลย
แต่เห็นคนใช้ iphone คอมเมนต์แล้วอดหมั่นไส้ไม่ได้ จะหาว่าเสือกก็ยอมรับ
ไม่ได้เสือกหรอกครับ คุณก็คงรู้สึกคล้ายผมที่ไม่ชอบคนมาดูถูกคนอื่น ไม่ใช่แค่มือถือหลายอย่างด้วย อย่างรถยนต์เวลาอ่านหรือได้ยินคนพูดว่ายี่ห้อคนอื่นกระจอกยี่ห้อที่ฉันใช้ดี ก็คงรู้สึกว่าจะไปดูถูกเขาทำไม เงินก็เงินเขาเขาพอใจซื้อ ดีไม่ดีเขาอาจจะรวยกว่าคุณก็ได้ ไปดูถูกเพราะเขาใช้อุปกรณ์ยี่ห้อที่ตัวเองไม่ได้ใช้แค่นั้น อย่างS6 หรือ Iphone6 ราคาก็ต่างแต่พันเดียว เขาซื้อได้แสดงว่าฐานะเขาก็โอเค ไปดูถูกเขาอีก
ดีใจจริงๆครับที่ยังมีคนคิดแบบนี้อยู่ :D
นี่แหละคุณกำลังดูถูกคนอื่นอยู่
ผมว่าผมไม่ได้ดูถูกนะ ก็แค่คำเปรียบเทียบเหมือนเวลาเจอคนขับรถนิสัยไม่ดี เราก็จะพูดว่าขับรถราคาเป็นล้าน แต่นิสัยแค่สลึง ถ้าว่าเป็นคำด่าผมก็ยอมรับ แต่ว่าดูถูกคนผมไม่ยอมรับครับ
ทำเอาผมขำชื่อยูสเซอร์เค้าเลยครับ lol
ผมว่าเค้าไม่ได้ดูถูกนะ เค้ากำลังว่าคนที่ดูถูกมากกว่านะ
เป็นเรื่องของนิสัยล้วน ๆ ... มีมาตั้งแต่ยุคเพจเจอร์ละครับ
ข้อเสียอีกอย่าง คือ เครื่องมันยาวเวลาใส่กระเป๋ากางเกงยีนส์ นั่งแล้วค้ำเอว ต้องใส่เฉียงๆ แต่ M8 ยังยาวกว่านิดหน่อย ดังนั้นผมว่า จอ 4.7" ของ iPhone 6 น่าจะเหมาะกับผมนะ
S6 นี่ยาวกว่า I6 แค่ 5.3mm เองนะครับ
http://www.gsmarena.com/compare.php3?idPhone2=6378
ส่วน M8 นี่ยาวมากกว่า I6 ไปถึง 8.3mm เลยครับ
http://www.gsmarena.com/compare.php3?idPhone1=6378&idPhone2=6074
ผมก็ยังคิดว่าถือ ip6 มันดูดีกว่า s6 นะ ผมเเฟนเเอนดรอย ตอนนี้ใช้ zenfone c ipad mini2 ถือ s6 รูปร่างสวย เเต่เห็นไอคอนเเล้ว ต้องรับสภาพอะนะ คือมัน ดูดีไม่สุดอะ สำหรับผม s6 นะเเบบว่าถือ อื้อหือ สวย อะนะ เเต่ลองใช้งานเเล้วเลือก app เฮ้อ อะไรเเบบนี้ เเต่ อย่างว่า ก็เเล้ว เเต่ความชอบของเเต่ละครน ของผม zenfone c+ ipad mini2 ok ละ
มันอยู่ที่ความชอบ กับเงินในกระเป๋านะ อย่าเอา แค่ความคิดส่วนตัวมายัดเยียดเหมาคนอื่นเลย ส่วนตัวผม ใช้ทั้ง 2 ยี่ห้อ ซื้อไอโฟง 6+ ก่อนซื้อ Note4 มาใช้ พยายามใช้เทียบกันอยู่พอสมควร สุดท้ายขาย ไอโฟง6+ เพราะชอบการใช้งานของ Note4 มากกว่า ตอนนี้รอ S6 สีเขียวมรกต ส่วนตัวถ้าคุณว่า แอนดรอย ซื้อถูกๆ 5000 ก็ได้ แนะนำเก็บตังค์ให้ได้ 2 หมื่นกว่า ไปลองซื้อ แอนดรอย ตัวท็อปๆมาใช้ก่อนแล้วจะรู้ว่าคุณภาพ กับการใช้งานต่างกันกับ แอนดรอย 5000 นะครับ ถ้ายังไม่รู้จริง แสดงความเห็นกลางๆก็ได้ Zenfone ผมก็เคยซื้อมาใช้ครับ แต่ไม่ค่อยชอบ เรื่องการใช้งาน การสัมผัสมันมีความแตกต่างกันอยู่ ถ้ามันเหมือนกัน ไม่แตกต่างกัน ผมก็ไม่ไปซื้อ Note4 มาใช้ให้เสียเงินเพิ่มหรอกครับ
สีเขียวมีแต่ S6 EDGEนะครับ
ขอบคุณครับ ตัว S6 Edge อ่ะครับ พอดีตกตัว Edge
สีเขียวมันสวยจริงๆ
เขาแสดงความคิดเห็นของเขา เขาไปยัดเยียดความคิดของเขาให้คนอื่นตอนไหนครับ ผมลองอ่านหลายรอบก็เห็นทั้งคำว่า "ผมก็ยังคิดว่า" "สำหรับผม" "แล้วแต่ความชอบ" อยู่นะ
ช่วยอธิบายคำกล่าวหาของคุณด้วยครับ
That is the way things are.
"ถ้าให้ต้องเสียเงินเยอะ15-25 ก็คงเลือก ios มากกว่าเพราะมันดูดีกว่า เด่นกว่า ไม่โหล ลองคิดดูนะ เราซื้อมือถือมา 25 เเต่มือถือเรา คอนเทนหลักๆ เหมือนมือถือราคา 2000-3000 เลยจะรู้สึกยังไง กับมือถืออีกเจ้านึงราคา พอๆกัน เเต่ หน้าคอนเทนเค้ามีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่เหมือนใคร"
พอดีเห็น เป็น ยูสเดียวกัน เลยตอบรวบ ถ้าทำให้เข้าใจไม่ถูกต้อง ก็ต้องขออภัย
"อคติ ทำให้คนรับฟังเหตุผล เพียงด้านเดียว"
ถ้าอย่างนั้นผมคงต้องขออภัยด้วย อยากแนะนำให้ reply ให้ตรงกับ comment ที่พาดพิงครับ คนอ่านจะได้เข้าใจอย่างต่อเนื่อง
That is the way things are.
ขอบคุณครับ
Note edge นี้ผมยั่งพอมองเห็นประโยคของขอบมันนนะ แต่ S6 edge นี้ อยากจะถามว่าเพื่อ.... ให้จับยากขึ้นหรอ
ตกลงตัวซอฟแวร์เร็วขึ้นยังครับ เคยลองเล่น A7 ของญาติ ยังหน่วงๆอยู่เลย เทียบกับ G2 ที่ผมใช้อยู่
Snapdragon ยุคใหม่กากมากครับ
ทำไมไม่มี SD น้า
อยากขายไอโฟนแล้วไปซื้อเลยจริม ๆ งามมาก
@ Virusfowl
I'm not a dev. not yet a user.
ไม่ค่อยชอบ cpu exynos แต่เจอ 14 นาโนเข้าไปคิดว่าปีนี้คงไม่มีคู่แข่ง คนที่ชอบเห็นคะแนนก่อนซื้อคงไม่ผิดหวัง