Reed Hastings ซีอีโอ Netflix ผู้ให้บริการสตรีมรายการทีวีชื่อดังออกมาให้แสดงการเติบโตของ Netflix ตลอดช่วงให้บริการมา รวมถึงความเห็นเกี่ยวกับอนาคตของวงการทีวีว่าจะเดินไปในทิศทางใด
Hastings บอกว่าเมื่อ 13 ปีก่อน ราคาหุ้นของ Netflix มูลค่าเพียง 85 เซนต์ต่อหุ้นเท่านั้น แต่ปัจจุบันถีบตัวไปมากกว่า 100 เหรียญแล้ว แสดงให้เห็นถึงความนิยมของการรับชมทีวีที่เปลี่ยนไป จากการเข้ามาของอินเทอร์เน็ตได้เป็นอย่างดี จนถึงตอนนี้ Netflix เริ่มมีบทบาทในวงการทีวีมากขึ้น เริ่มถ่ายทำซีรีส์ของตัวเอง และได้รับผลตอบรับค่อนข้างดี จากการวิเคราะห์ข้อมูลภายใน สวนทางกับช่องทีวีแบบดั้งเดิมที่เริ่มมีปัญหารายได้หดตัวในช่วงที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดี Hastings บอกว่าอินเทอร์เน็ตทีวีไม่ใช่แค่กระแสที่มาแรงแล้วก็จากไป และในอนาคตอีก 10-20 ปีข้างหน้านี้ ทุกช่องทีวีจะยกพลขึ้นไปอยู่บนอินเทอร์เน็ตทั้งหมด แต่ในระยะสั้นน่าจะได้เห็นช่องที่ถือลิขสิทธิ์ฉายการแข่งขันกีฬาจะพยายามรักษาฐานคนดูด้วยการให้บริการแบบ on-demand มากขึ้น เหมือนกับที่รายใหญ่อย่าง HBO เริ่มทำไปก่อนแล้ว
ที่มา - CNBC
Comments
หลังผ่านยุค 256k(รู้สึกแก่) มาผมก็แทบไม่ได้ดูโทรทัศน์เลยนะ ปีนึงนับวันได้เลย
วันๆนึงก็ youtube กับเครื่อง DVD ซื้อแผ่นมาจนจะเปิดร้านขายได้เลย
ข้าขอทรยศต่อคนทั้งโลก ดีกว่าให้ใครมาทรยศข้า
+1
แต่ผมเกิดไม่ทัน ยุค 256k นะ (ร้อนตัว 555+)
แต่หน้าพี่ผมว่าทันยุค128k นะ (แซวเล่นแบบแรงๆ ฮ่าๆๆ)
ใน USA อาจจะใช่เพราะเทรนด์มัน projectile ไปทางนั้นจริงๆ แต่ที่อื่นคงต้องใช้เวลานานกว่านั้น แต่ก็ไปทางเดียวกันหมด
ต้องรอดูว่า Netflix ทำตลาดในต่างประเทศเป็นอย่างไรครับ เพราะในปัจจุบันนี้ก็เหมือนจะยังไม่มีใครชนะขาดในตลาดต่างประเทศและอุตสาหกรรมนอกอเมริกาเหนือยังคงเติบโตช้ากว่า (ถึงแม้จะมีผู้เล่นลงมาเป็น First Mover เป็นจำนวนมากแล้วก็ตาม) ทั้งนี้ปัจจัยที่ทำให้คนยังไม่หันมาอยู่บนบริการออนไลน์ยังมีมากเกินไป (แต่จะน้อยลงตามระยะเวลาครับ)
ที่มองเห็นคร่าวๆคือ
Local Content ในสื่อเดิมยังแข็งแกร่งมาก (ละคร/สิทธิ์ในการออกอากาศกีฬา) และมีทุนหนากว่าสื่อบนอินเตอร์เน็ตพอสมควร
จำนวนผู้ใช้อินเตอร์เน็ตน้อยกว่าผู้ใช้ทีวีในพื้นที่ทั่วประเทศ
Fragmentation ของระบบเมื่อเทียบกับทีวีที่มีน้อยกว่ามาก (SD/HD ในรูปแบบการออกอากาศไม่กี่ Format ตามแต่ช่องจะทำ)
คนดังบนโลกออนไลน์น้อยกว่า การทำการตลาดสั้นกว่า
ทัศนคติของคนยังเปลี่ยนไปน้อย สื่อออนไลน์แบบ On Demand ยังดูด้อยกว่าสื่อ "ฟรีเมี่ยม" ที่มีบน Youtube (จะเห็นได้ว่าละครช่องส่วนใหญ่ปล่อยฟรีแทบจะทันทีหลังฉายทีวีไปแล้ว เพื่อลดการโพสออนไลน์เถื่อน)
ยังไม่มีผู้เล่นในตลาดออนไลน์ที่ใหญ่พอจะเก็บ Exclusive Content ได้เท่า Netflix/Apple (คือมีทางเลือกของหนังใหญ่มากพอที่จะครองส่วนแบ่งตลาดมากขึ้น)
ฯลฯ
คิดว่ามันจะมาครับ แต่ต้องรบราฆ่าฟันให้สื่อนอกแบบดั้งเดิมตาย "จริงๆ" ก่อนครับ (เช่น Apple/Netflix ชนะ กลุ่มทีวีเดิมขาดจริงๆแบบที่ Amazon ชนะ Retail Book Seller ได้ขาดน่ะครับ) จากนั้นก็ไปทำแบบเดียวกันกับ Region ที่เป็นไปได้ทำนองเดียวกัน (ยุโรป, เอเชียตะวันออก) แล้วค่อยไปที่กลุ่มที่มีตลาดน้อย เรื่องน้อยกว่า (อเมริกาใต้, แอฟริกา, ตะวันออกกลาง) แล้วก็ไปเก็บตลาดยักษ์คือจีน .... จากนั้นค่อยมาเก็บตลาดปราบเซียนคือ เอเชียใต้กับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อีกทีครับ กลุ่มตลาดบ้านเรานี่เปลี่ยนยากกว่าทั้งโลกพอสมควร ถึงระบบจะดี แต่กลไก กฏหมาย ระบบธุรกิจ กำแพงจากภาคเอกชนเดิม และทัศนคติผู้บริโภคนี่เรียกว่าปราบเซียนจริงจังมากๆสำหรับกลุ่มสื่อยักษ์ใหญ่จากเมืองนอกครับ .... แถมลงทุนไป Margin ต่ำลงทุนสูงที่จะเอาใจผู้บริโภคซักคนเพื่อจ่าย ดังนั้นจึงต้องบีบให้ทั้งโลกเปลี่ยนก่อนแล้วค่อยมาเปลี่ยนในบ้านเราครับ
Netflix ต้องเดิมเกมดีๆครับ ... โตเร็วไปก็จะแตกเร็ว โตช้าไปก็ตายเหมือนกัน ... แล้วก็ต้องเชื่อใน Local Content ด้วยหากจะทำตลาดเมืองนอก ต้องคิดตามเมืองนอกด้วยครับ ไม่ใช่เอาหนังอเมริกัน/ซีรี่ส์อเมริกันทุ่มทุนอย่างเดียวครับ
เชื่อว่าเค้าคงจะทำได้นะครับ : )
ขอบคุณครับ สวัสดีครับ
เอาไปลง netflix ด้วยละกัน ขี้เกียจไปสมัครแยกแบบ hbo now
แต่มี netflix ก็ละดวกดี