รายงานผลสำรวจใหม่ล่าสุดที่ตีพิมพ์ลงวารสาร Nature พบข้อมูลที่น่าตื่นตะลึงและไม่เคยคาดคิดว่าจะเป็นไปได้คือ คือนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของสถาบันการศึกษาใช้ยาในทางที่ผิด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการคิดและการรับรู้
วารสาร Nature ได้รับผลสำรวจจากผู้เป็นสมาชิกวารสาร Nature เอง โดยได้สำรวจ 1,400 นักวิทยาศาสตร์จาก 60 ชาติ (70% จากอเมริกา) แม้ว่า 1 ใน 5 ของจำนวนนั้น จะยอมรับว่าเคยใช้ยาเพื่อเพิ่มสมาธิ แต่ 2 ใน 3 บอกว่าพวกเขารู้จักเพื่อนร่วมงานที่เคยใช้ และแม้จะรู้ว่า “เป็นเรื่องปกติที่จะเสี่ยงต่อผลข้างเคียงระดับเบา ๆ” เกือบ 70% ของนักวิทยาศาสตร์เหล่านั้น ก็บอกว่าพวกเขาจะเพิ่มกำลังสมองด้วยการใช้ “ยาเพิ่มประสิทธิภาพการรับรู้” โดยยาที่ใช้ 62% จะเป็นยา Ritalin 44% ใช้ยา Provigil และ15% ใช้ beta-blockers like Inderal โดยความถี่ที่ใช้มีตั้งแต่ทุกวันจนถึงเป็นปี
ยาที่ใช้เหล่านี้เป็นการใช้อย่างผิดกฏหมายโดยไม่ได้มีคำอนุญาตจากแพทย์ให้ใช้ยาดังกล่าวได้
ที่มา - foosci.com via slashdot.org
Comments
ยาที่ว่ามา มันทำไรได้เหรอครับ อธิบายที
7blogger.com
ไม่ใช่นักเภสัชเลยอ่านไม่เค้าใจเท่าไหร่ แต่เหมือนยามันใช้ในการกระตุ้นประสาทซึ่งให้ผู้ป่วยที่เป็นโรคเกี่ยวกับประสาทไม่ตื่นตัวใช่ครับ
molecularck โม-เล-กุล-ซี-เค
sci news on foosci.com
http://www.digimolek.com
Ritalin กับ Provigil ออกฤทธิ์กระตุ้นประสาทส่วนกลางได้ดี เหมือนพวกแอมเฟตามีน แต่ทำให้เกิดการ addict ได้น้อยกว่า จึงนิยมเอามาใช้ทำให้ร่างกายตื่นตัว แทนการดื่มกาแฟ จากบทความบอกว่าผู้ตอบแบบสำรวจส่วนใหญ่ อ้างว่าใช้เพื่อป้องกัน jet lag
ผลข้างเคียงที่อาจพบได้ก็มี นอนไม่หลับ วิตกกังวล
ส่วน beta blockers อย่าง propranolol(inderal) คงใช้ในแง่สงบระงับมากกว่า ไม่น่าจะช่วยกระตุ้นประสาทได้
ผลข้างเคียงที่อาจพบได้ก็มี หัวใจเต้นช้า อ่อนแรงครับ
Little RX
My Twitter
beta blocker ทำให้หัวใจเต้นช้าลง ลดอาการมือสั่นได้ครับ
70% ที่ว่า สงสัยอยู่ในอเมริกา \(@^_^@)/ M R T O M Y U M
ผมว่าอาจไม่น่าแปลก
เนื่องจากคนที่เรียนสายวิทย์ส่วนใหญ่ มักเป็นพวกย้ำคิดย้ำทำอยู่บ้างในตัวน่ะครับ
ส่วน Beta-blocker (Propranolol) สงสัยจะใช้ตอนเวลาออกที่ประชุมใหญ่ๆ นะครับ เพราะช่วยลดอาการสั่น ประหม่าได้หน่ะครับ
ผมไม่ใช่เลยนะ เพราะอาศัยหลักการว่าไม่มีใครรู้งานของเราดีเท่าเรา แล้วก็หน้าด้านเข้าไว้ เวลาโดนถามไม่รู้ก็ตอบไม่รู้ ไม่แถ ขอคำแนะนำเค้าแค่นั้นเองครับ ผมคิดว่ายาไม่จำเป็นเลยสำหรับนักวิทยาศาสตร์ และก็ไม่จำเป็นต้องย้ำคิดย้ำทำด้วยครับ เพราะงานมันไม่ได้ย้ำคิดย้ำทำ แต่เป็นการทำซ้ำเพื่อให้มีข้อผิดพลาดน้อยที่สุดครับ
molecularck โม-เล-กุล-ซี-เค
sci news on foosci.com
http://www.digimolek.com
อย่าไปใช้ตามเขาดีกว่า
อ่านๆตามลิงค์ที่ให้มา
Ritalin ,Provigil
ไว้แก้ attention-deficit hyperactivity disorder
กำลังฮิตในเด็กไทยเลยมั้ง ชอบเรียกกัน โรคสมาธิสั้น
Propranolol ไว้ลดความดันโลหิต
แก้ใจสั่น มือสั่นในคนเป็นโรคไธรอยด์เป็นพิษ
กินแล้วน่าจะสงบเวลาpresent+ยิงปืนแม่นมือนิ่ง
แต่กระตุ้นหอบได้ และไขมันในเลือดสูงขึ้น
นี่ถ้านับพวกกินกาแฟทั้งวัน น่าจะมีอีกเพียบ
กิเลสอยากเป็นอยากได้ไม่เคยปราณีใคร
...แม้แต่กลุ่มผู้ที่ดูเหมือนว่าจะมีปัญญา(ทางโลก)ที่สุดแล้ว
นักวิทยาศาสตร์ก็มีหลายคนที่วิจัยเพื่อสนองกิเลสของมนุษย์อยู่แล้วครับ เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก
My Blog -> http://paiboonpa.wordpress.com
Ritalin เป็นยากระตุ้นประสาท(พวกเดียวกับแอมเฟตามีน หรือยาบ้า แต่ฤทธิ์น้อยกว่า และไม่มีผลข้างเคียงหนักขนาดยาบ้า)ปกติใช้รักษาเด็กโรคสมาธิสั้น หรือใช้รักษาอาการง่วงหงาวหาวนอนเวลากลางวันของผู้ป่วยโรค Narcolepsy ครับ (โรคที่อยู่ก็หลับไปเฉยๆ ถ้าใครเคยดูเรื่อง Duece Biggalo ภาคแรก น่าจะจำตัวละครตัวนึงที่เป็นโรคนี้กันได้นะครับ)
Provigil ก็ยากระตุ้นประสาทเหมือนกัน ปกติใช้รักษา Narcolepsy แต่ก็มีเอามาใช้รักษาโรคสมาธิสั้นบ้างเหมือนกัน
แต่จริงๆแล้วยาพวกนี้ไม่น่าจะเป็นยาที่ซื้อได้เองตามร้านยาทั่วไปนะครับ (ต้องมีใบสั่งแพทย์)
ไม่รู้เหมือนกันว่านักวิจัยไปหามากินกันได้ยังไง
จริงๆจะบอกว่านักวิจัย "ส่วนมาก" ก็ไม่ถูกมั้งครับ เพราะเท่าที่ผมอ่านคร่าวจากข่าวใน Nature (วารสารที่ทำการสำรวจ) ไม่มีพูดถึงที่ว่า "2/3 รู้ว่าเพื่อนร่วมงานใช้่"นะครับ... (มีแต่ส่วนที่บอกว่า 20% ตอบว่าใช้) เดี๋ยวต้องขอดูผลโพลล์ละเอียดๆก่อนแล้วจะมาให้ข้อมูลเพิ่มครับ
ไปดูผลของจริงมาแล้วครับ ปรากฏว่าที่บอกว่า "2/3 บอกว่ามีเพื่อนร่วมงานใช้" เป็น 2/3 จาก 20% ที่ตอบว่าใช้ยาครับ (ถ้านับจาก 1428 คนที่ตอบแบบสอบถาม มี 154 คนที่ตอบว่ารู้จักเพื่อนร่วมงานที่ใช้ยา ซึ่งถ้าคำนวณจริงๆก็คือ 10.78%)
คาดว่า webMD (เว็บต้นฉบับที่ลงข่าวอันนี้) คงจะรีบอ่านผลไปหน่อยครับ = =;)
ผลที่น่าตกใจอีกอย่างก็คือ 1 ใน 3 ของคนที่ตอบว่าใช้ยา ได้ยาโดยการสั่งซื้อจากอินเตอร์เนท (ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่อยู่นอกสหรัฐอเมริกา)
แบบนี้อีกหน่อยจะมีสแปมมาขายยาพวกนี้แทนไวอากร้ารึเปล่านะ = =; (หรืออาจจะมีอยู่แล้ว แต่น้อยกว่า)
ปล. จาก 1428 คนที่ตอบแบบสอบถามในครั้งนี้ มีคนไทยไปตอบด้วย 1 คนถ้วนครับ :P (ไม่ใช่ผมนะ)
ปล.2 link เพิ่มเติมครับ: ข่าวจาก Nature, ผลการสำรวจ
ขอบคุณในรายละเอียดมากเลยนะครับ
molecularck โม-เล-กุล-ซี-เค
sci news on foosci.com
http://www.digimolek.com