ช่วงหลังๆ มานี้ เรามักเห็นข่าวบริษัทหลายแห่งย้ายระบบจากศูนย์ข้อมูลเดิม มาใช้คลาวด์แทนแบบ 100% (เช่น Netflix และ Zynga ที่เช่า AWS ทั้งคู่)
แต่ในทางกลับกัน ก็มีบริษัทที่ต้องเปลี่ยนจากการเช่าคลาวด์ AWS มาทำศูนย์ข้อมูลของตัวเองแทน บริษัทนี้คือ Dropbox ที่ล่าสุดออกมาประกาศว่าย้ายลูกค้ากว่า 90% มาอยู่ในศูนย์ข้อมูลเรียบร้อยแล้ว
เดิมที Dropbox เช่าคลาวด์ Amazon S3 สำหรับเก็บข้อมูลของลูกค้า แต่เมื่อบริษัทมีขนาดโตขึ้นอย่างรวดเร็ว บริษัทก็พบปัญหาคอขวดเรื่องประสิทธิภาพ และการสร้างระบบสตอเรจเอง ช่วยให้ปรับแต่งเทคโนโลยีโดยรวมได้ดีกว่าการเช่า S3 รวมถึงประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากกว่าการเช่าคลาวด์ของบริษัทอื่นด้วย (ระบบของ Dropbox ใหญ่มากจนคุ้มที่จะทำเอง)
Dropbox บอกว่าบริการคลาวด์ AWS ถือว่ามีคุณภาพสูง แต่รูปแบบการใช้งานของ Dropbox ถือเป็นกรณีพิเศษที่ไม่เหมือนใคร บริษัทต้องการสร้างระบบ block storage ที่มีขนาดใหญ่ระดับ exabyte และเข้ารหัสข้อมูลตลอดเวลา
โครงการสร้างระบบสตอเรจของ Dropbox มีโค้ดเนมว่า "Magic Pocket" ตั้งเป้าว่าต้องมีความคงทนของข้อมูล (data durability) ที่ 99.9999999999% และต้องมีอัตราการเข้าถึงได้ (availability) ที่ 99.99%
Dropbox เริ่มโครงการนี้ช่วงกลางปี 2013 โดยเริ่มจากการสร้างต้นแบบก่อน จากนั้นระบบเริ่มทดสอบใช้งานจริงช่วงกลางปี 2014 แต่ยังมีสถานะเป็น mirror ของระบบจริงเท่านั้น การย้ายจริงๆ เกิดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ 2015 บริษัทย้ายมาเก็บข้อมูลในระบบใหม่ทั้งหมดแทน และสามารถย้ายข้อมูล 90% เข้าระบบใหม่ได้ในเดือนตุลาคม 2015
ความท้าทายของโครงการ Magic Pocket มีทั้งเรื่องการสร้างระบบที่รองรับปริมาณข้อมูลมหาศาล และเรื่องการถ่ายข้อมูลจำนวนมหาศาลออกมาจาก AWS ซึ่งทีมงานต้องแข่งกับเวลาอย่างหนัก เฉลี่ยแล้ว Dropbox ต้องติดตั้งคอมพิวเตอร์ใหม่ถึง 40-50 แร็คต่อวัน (แร็คละ 8 ตัว) ในศูนย์ข้อมูลของตัวเอง
ตอนแรก Magic Pocket เขียนด้วยภาษา Go ของกูเกิล แต่พบปัญหาว่า Go บริโภคหน่วยความจำมากเกินไป ตอนหลัง Magic Pocket จึงต้องถูกเขียนขึ้นมาใหม่ด้วยภาษา Rust ของค่าย Mozilla แทน
Dropbox ยังไม่ทิ้งการใช้ AWS และยังขยายการใช้งาน AWS สำหรับลูกค้าในยุโรปที่ต้องการใช้ศูนย์ข้อมูลในยุโรปต่อไป
ที่มา - Dropbox Blog, Wired
Comments
คนใช้เยอะ มาทำเองก็ถูกว่า แต่ถ้าช่วงทดลองตลาดเช่าก็จะถูกกว่า
ไม่ฉลองด้วยการแจกพื้นที่เพิ่มให้ลูกค้าสักหน่อยหรือ...
ตอนนี้ให้พื้นที่ฟรีน้อยกว่าหลายเจ้ามาก แต่ลองใช้เทียบกับ Google Drive กับ OneDrive รู้สึกว่าเร็วมากกว่ามาเลยครับ เลยสมัคร Dropbox Pro ไปแล้ว
oxygen2.me, panithi's blog
Device: ThinkPad T480s, iPad Pro, iPhone 11 Pro Max, Pixel 6
ผมว่าเค้ารู้จุดแข็งของตัวเองแล้วหล่ะ ตอนนี้เลยไม่จำเป็นต้องเพิ่มพื้นที่ฟรีให้อีกต่อไป
ผมมี G Drive หลายสิบ GB, OneDrive เป็นร้อย GB แต่ใช้หลักๆ ก็ DropBox 7GB นี่แหละ ประสิทธิภาพดีสุด
+Rust
Russia is just nazi who accuse the others for being nazi.
someone once said : ผมก็ด่าของผมอยู่นะ :)
+Rust
ตั้งแต่ใช้มา เจ้านี้ยกให้เป็นที่หนึ่งในใจครับ แจกพื้นเยอะๆหรือราคาสมเหตุเมื่อไร ผมเตรียมขนข้อมูลมาอยู่ด้วยทั้งหมด
ทำเองแล้ว ก็อยากจะขอแพคเกจแบบเล็กๆ 100GB ด้วยนะครับ ฮ่าๆ
iPAtS
เห็นด้วยเลยครับ 1TB สำหรับผมนั้นเยอะเกินไป อยากจะเริ่มจากซัก 100GB ก่อน
มิน่า ช่วงนี้ความเร็วในการดาวน์โหลดไฟล์ตกลงมากๆ (ผมใช้เน็ต TOT)
TOT เห็นว่าสายเคเบิลขาดครับ เว็บนอกช้าหมด (ตอนนี้ดีขึ้นละ)
ภาษา Go พ่ายซะแล้ว
กลายเป็น rust ไปซะ