นอร์เวย์ยังคงเดินหน้าในฐานะหนึ่งในประเทศที่ให้ความสำคัญกับพลังงานสะอาด ถึงแม้จะเป็นประเทศที่ส่งออกน้ำมันมากเป็นอันดับต้นๆ ของยุโรป อย่างล่าสุดที่มีการเปิดการใช้งานสถานีชาร์จไฟแบบ fast-charging สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ในเมือง Nebbenes ที่อยู่ห่างออกไปจากกรุงออสโลราว 64 กิโลเมตร
สถานีชาร์จไฟแห่งนี้สามารถรองรับรถยนต์พร้อมกันได้ถึง 28 คัน และรองรับมาตรฐาน fast-charging ทุกมาตรฐานในปัจจุบัน ทั้งมาตรฐาน CHAdeMO ที่ใช้ในบริษัทรถของเอเชีย, มาตรฐาน CCS ที่บริษัทรถของสหรัฐและเยอรมันใช้ และมาตรฐาน SuperCharger ของ Tesla
ส่วนตัวผู้เขียนคาดว่ารัฐบาลนอร์เวย์จะเป็นผู้สนับสนุนการสร้างสถานีชาร์จไฟแห่งนี้ (ต้นทางไม่ได้บอก) เนื่องจากในช่วงหลายปีที่ผ่านมารัฐบาลพยายามออกนโยบายผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนผ่านไปใช้รถยนต์พลังงานสะอาดนี้มากขึ้น ทั้งการลดภาษี ไม่คิดค่าจอดรถในที่สาธารณะ ไม่คิดค่าบริการทางพิเศษต่างๆ ไม่คิดค่าชาร์จไฟ รวมถึงไม่ต้องเสียภาษีถนนด้วย และล่าสุดก็มีการเห็นชอบร่างกฎหมายแบนการขายรถยนต์ที่ใช้น้ำมันภายในปี 2025
ที่มา - Green Car Reports
ภาพจาก Pixabay
Comments
สมมติว่าใช้ SuperCharger ทุกคัน เติมแค่คันละครึ่งชั่วโมง ได้ชั่วโมงละ 56 คัน...
แถวเข้าปั๊ม LPG/NGV บ้านเราชิดซ้ายไปเลย
อาจมีหัวแปลงออกมาขายข้ามยี่ห้อก็ได้นะครับ ไม่ต้องกังวลเรื่องที่ชาร์จใช้ไม่ได้ต้องหาปั้มอื่น ก็ชาร์จได้ครบทุกที่
Get ready to work from now on.
Rep บนหมายถึง คอขวดคือเวลาในการชาร์จครับ
อ๋อ ในนอร์เวย์มีจุดชาร์จ 1,987 จุด หัวจ่าย 8,629 หัว ครับ น่าจะเพียงพอนะ
ที่มา ChargeMap.com
ผมเปรียบเทียบการใช้พื้นที่ให้ดูน่ะครับว่าขนาดสถานีเติมไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดแล้วยังรองรับปริมาณรถได้น้อยกว่าปั๊มน้ำมันและแก๊สเล็กๆ เสียอีก ซึ่งในกรณีที่เมืองแออัด (แบบกรุงเทพฯ) นี่จะจัดพื้นที่ได้ลำบากมาก และถ้าเติมไฟฟรีแบบในข่าวนี่คนก็คงไม่อยากกลับไปเติมที่บ้าน (เว้นแต่ที่บ้านก็มีระบบแยกว่าเติมให้รถฟรี)
แต่ข้อดีคงเป็นมันไม่จำเป็นต้องจัดพื้นที่เฉพาะเสมอไปแหละครับ ตรงไหนมีที่จอดรถก็จัดได้รวมถึงตามบ้านด้วย
ผมฝันว่าในอนาคต ตามห้าง คอนโดหรือที่จอดรถสาธารณะจะมีจุดชาร์จไฟอยู่ด้วยครับ แบบคนเราขับรถไปจอดในห้าง มีโซนแยกว่าถ้าจอดด้วยชาร์จด้วยอาจจะเก็บค่าจอดแพงหน่อย จอดเฉยๆ ไม่มีที่ชาร์จก็ถูกหน่อย หรืออาจคิดราคาตามที่ชาร์จจริงเลย หรือชาร์จฟรี หรืออะไรก็ว่าไป ดังนั้นในเมืองแออัดแบบกทม. อาจจะไม่มีความจำเป็นต้องมีจุดชาร์จเยอะเท่าไหร่ก็ได้ครับ แค่เผื่อฉุกเฉิน หรือสำหรับพวกที่บ้านไม่สามารถชาร์จได้
ส่วนสถานีเติมจริงๆ อาจจะเอาไว้สำหรับการเดินทางระหว่างเมือง ตามมอเตอร์เวย์ จุดพักรถทางหลวง อะไรแบบนี้มากกว่าครับ
ผมก็ฝันแบบนั้นครับ แต่ลองคิดดูสิครับว่าช่วงเทศกาล ขับรถกรุงเทพ-เชียงใหม่ ที่จุดพักรถจะต้องมีหัวเติมทั้งหมดกี่หัว ต้องใช้พื้นที่มากขนาดไหน ซึ่งพอเป็นนอกช่วงเทศกาลก็ไม่ได้ใช้อีก
เอ หรือพอช่วงเทศกาลทีก็ถางที่ข้างทางทีนึง ลากสายยาวๆ ระยะเป็นกิโลฯ ดี (ถ้าทางการยอมให้ทำ)
ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับว่าช่วงสงกราต์ที่นอร์เวย์เขาทำยังไงกัน (ฮา) นึกภาพตามเป็นรางปลั๊กต่อๆ กัน มีรถจอดเรียงแถวแล้วเอาปลั๊กเสียบๆ เลย
ผมว่ากว่าจะถึงเวลานั้นในไทย เทคโนโลยีแบตเตอรี่และการชาร์จคงจะดีขึ้นมากพอที่จะทำให้มัน Practical แล้วล่ะครับ เช่น อาจจะแยกแบตเป็นส่วน Capacitor กับส่วนแบต Lithium-Metal อะไรแบบนี้
คงต้องเป็นระบบเปลี่ยนแบตทั้งลูกมั้งครับ 555
Power Bank ป๊าด
^
^
that's just my two cents.
ถ้าเป็นเทศกาลก็อาจจะมีรถ mobile charger ไว้คอยบริการตามจุดต่างๆ แบบนี้ก็อาจจะช่วยแก้ปัญหาได้นะครับ
ก็ต้องลากสายแบบผมว่าด้วยไงครับ ^^
*เครื่องปั่นไฟเอาไม่อยู่นะครับชาร์จให้รถเนี่ย ยกเว้นไซส์ยักษ์ซึ่งไม่คุ้มอีก
ถึงวันนั้นคงจะมี solution ที่เหมาะสม หรืออาจจะต้องยอมลำบากในเรื่องหนึ่งเพื่อแลกกับประโยชน์ที่ได้รับ อย่างเช่นที่เราต้องชาร์จมือถือกันทุกวันอยู่ในตอนนี้ก็เป็นได้ครับ อาจจะเปลี่ยนแบตตรงสถานีบริการหรือเป็นแนวทางแบบที่ Tesla วางไว้ รถแบตหมดก็เอาเข้าสถานีชาร์จทิ้งไว้ แล้วก็ขับคันที่มีไฟเต็มออกไปได้เลย
แนวทางนี้คงไม่เกิดแล้วล่ะครับ Tesla บอกคนสนใจน้อยมาก เพราะ Supercharger มันก็ชาร์จเร็วอยู่แล้ว แถมฟรีอีก
ผมเห็นส่วนใหญ่ไอ้พวกที่จอดรถข้างทาง ก็จะมีที่ชาร์จมาปักไว้อะครับ หรือไปอยู่ตามที่จอดรถห้าง ไม่ก็อาคารที่ทำงาน อะไรพวกนั้น
จริงๆเท่าที่ผมเห็นนอร์เวย์ จากพวกวิดีโอ road trip ต่างๆ ต่อให้เป็นช่วงเทศกาล แต่ที่ชาร์จมันค่อนข้างเยอะจนสามารถเลี่ยงไปอันที่คนน้อยได้นะ อย่างของแถวนี้คนเยอะ เต็ม ขับไปอีกหน่อย หรือแยกเข้าเมืองไปจาก highway ก็จะเจอพวก ChadeMO อะไรพวกนั้นแทน หรือชาร์จ Supercharger แค่ 10-20 นาที เข้าห้องน้ำ แล้วก็ไป Supercharger ถัดไป
ยิ่งช่วงนี้มี Destination Charge แล้ว ไปชาร์จเอาที่โรงแรมได้อีก สบายไป
เยี่ยมเลยครับ
จริงๆที่อังกฤษกำลังทดลองเลนชาร์จไร้สายครับ แค่รถกำลังแบตหมดก็แค่ไปแลนซ้ายสุดครับแล้วก็ขับรถไปชาร์จไปชิวๆพอแบตมาก็กลับเลนขวาเร่งเครื่องต่อไม่ต้องมีปั๊มอีกต่อไป
คิดว่าแท่งชาร์จมีหัวจ่ายไฟฟ้าครบทุกแบบครับ
และ Tesla มีหัวแปลง CHAdeMO Adapter ขายในราคา 450 USD ครับ
สงสัยมีบริการห้องพักให้ด้วย
ประเทศในแถบแสกนดิเนเวียมักมีข่าวในทำนองว่าเป็นประเทศที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดในโลก อิจฉาในแนวความคิดที่กล้าเปลี่ยนหลายๆอย่างของประเทศนี้จัง
ชอบตรงส่งออกน้ำมันเยอะ แล้วเอาเงินที่ได้กลับมาพัฒนาพลังงานทดแทนในประเทศนี่แหละ...