รัฐบาลสิงคโปร์เตือนประชาชนผู้ใช้บริการภาครัฐผ่านระบบออนไลน์ ให้เซ็ตอัพการล็อกอินบัญชีสองขั้นตอน (2-factor authentication - 2FA) ภายในวันที่ 15 มกราคมนี้ หลังจากเตือนครั้งแรกมาตั้งแต่กลางปีที่ผ่านมา
ระบบบัญชีกลางบริการภาครัฐสิงคโปร์ หรือ SingPass เริ่มบังคับให้ผู้ใช้เซ็ตอัพ 2FA ตั้งแต่กลางปี โดยผู้ที่ล็อกอินครึ่งปีหลังมานี้จะถูกบังคับให้เซ็ตอัพ 2FA ภายใน 30 วันหลังการล็อกอินรอบล่าสุด และการเตือนรอบนี้เป็นรอบเก็บตกสุดท้าย เพราะหลังจากวันที่ 15 มกราคมนี้ ระบบ SingPass จะไม่ยอมรับบัญชีที่ไม่เซ็ตอัพ 2FA อีกต่อไป
SingPass เป็นบัญชีรวมของรัฐบาลสิงคโปร์ที่ประชาชนใช้เข้าถึงบริการภาครัฐได้กว่า 100 รายการ รวมถึงการยื่นแบบฟอร์มภาษี
ระบบ SingPass รองรับ 2FA สองแบบคือแบบ SMS และแบบ token ที่ใช้กุญแจ OneKey ในการสร้างรหัสชั้นที่สอง กระบวนการเซ็ตอัพ 2FA สำหรับผู้ที่อยู่ในเกาะสิงคโปร์จะใช้เวลา 7 วัน และผู้ที่อยู่ต่างประเทศจะใช้เวลา 10 วัน ทุกวันนี้มีผู้ใช้ SingPass รวม 2.3 ล้านคน
ที่มา - Strait Times
Comments
บางประเทศมีบัตรชิปการ์ด แต่ยังให้ประชาชนถ่ายเอกสารหน้าหลัง #โถ่วววววว
ประเทศอะไรก็ไม่รู้ๆๆๆ
ตอนนี้ถ่ายเฉพาะด้านหน้าแล้วคับ
ยังดีที่มีชิปนะครับ
บัตร NRIC ของสิงคโปร์ยังไม่มีเลย :D
มีแล้วไม่ได้ใช้นี่ เงินภาษีที่ลงทุนไปทำชิปก็เท่ากับเสียฟรีนะครับ ฮา
ความจริงคือ...
...ทำธุรกรรมแตะนิ้วเอาอย่างเดียวครับ เลยไม่ต้องใช้ชิป :p
โอโหเหะ..
ระบบบ้านเราบางระบบยังเก็บ Password เป็น Plain Text อยู่เลย ยิ่งพอได้รับ Registration confirmation email กลับมา บอก Password เป็น Plain Text ให้เสร็จสรรพ เห็นแล้วโครตเคือง
+1 แถมบางครั้งกด forgot password แทนทีจะให้ตั้งรหัสใหม่กลับส่งรหัสเก่ามาให้ทางเมล์ ก็ยังมีอยู่
ช่างน่าอเนจอนาถใจกับประเทศตัวเองมากเลย คือเค้าอยู่ใกล้ๆนี้เอง แต่เค้าผลักดันเรื่องพวกนี้มันไปไกลมากแล้ว ภาครัฐสามารถสื่อสารกับประชาชนได้ว่าให้ใช้ 2FA นะ ในขณะที่คนไทยหลักล้านคน อาจจะไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าการ Login คืออะไร แต่ก็ไม่แน่ครับ คนรุ่นใหม่ที่เติบโตมาในยุคหลัง อาจจะเรียนรู้และเข้าใจได้ง่ายมากขึ้นก็ได้ ก็หวังว่าเราจะตามสิงคโปร์เพื่อนบ้านไปได้ในเร็ววันครับ
สองสามวันก่อนมีคนตั้งกระทู้ถามวิธีปิด Gmail 2FA SMS ครับ ผมว่าความมักง่ายของหลายๆคนในประเทศนี้กำลังเป็นปัญหากับระบบความปลอดภัยที่เป็นนิสัยที่แก้ไขไม่ได้เป็นการถาวรครับ
คงต้องดูจำนวนประชากร และฐานรายได้ด้วยนะครับ ผมว่า ด้วยจำนวนประชากรของสิงค์โปร์ ที่ไม่เยอะ ทำให้การทดลองอะไรทำได้ง่าย และครอบคลุมกว่าประเทศที่มีขนาดใหญ่กว่า