ไม่ถึงอาทิตย์ที่ผ่านมา Facebook เพิ่งเปิดตัวฟีเจอร์ Messenger Day ออกสู่ผู้ใช้งานทั่วโลก
ซึ่งหากใครใช้ Instagram จะพบว่ามันเป็นฟีเจอร์แบบเดียวกับ Stories ของ Instagram และฟีเจอร์นี้ของ Instagram ก็ลอก Snapchat มาอีกที
ตอนนี้หลายคนตั้งข้อสังเกตแล้วว่าผลิตภัณฑ์ในเครือ Facebook หลังๆ นี้ลอกฟีเจอร์ Snapchat แทบจะตลอด
พี่ Mark Zuckerberg ทำแบบนี้ทำไมนะ? หมดมุขแล้วหรอลอกคนอื่นอยู่ได้?
ไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา Business Insider เขียนบทความเชิงวิเคราะห์ออกมาว่านี่ไม่ใช่การสักแต่ลอกไปเรื่อยธรรมดาทั่วๆไป หากมองลึกลงไปมันคือกลยุทธ์การ "เจาะยางไม่ให้ตามทัน" ของ Mark Zuckerberg
ให้ลองจินตนาการว่ามีรถแข่งสองคัน คันนึงขับโดย Mark Zuckerberg อีกคันขับโดย Evan Spiegel (ผู้ก่อตั้ง และ CEO ของ Snapchat) รถสองคันกำลังขับเคี่ยวกันมาอยู่ดีๆ ในขณะที่รถของ Mark Zuckerberg กำลังนำอยู่ ทันใดนั้น Mark ก็โยนตะปูชุดใหญ่ลงถนน เจาะยางรถของ Evan ซะกระจุย
นี่คือสิ่งที่ Mark พยายามทำ นั่นคือการทำให้รถของ Evan ขับช้าลง ไม่ให้ตามทัน
และหากนี่คือสนามแข่งรถ คนดูข้างสนามจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเหล่า tech blogger ทั้งหลาย
ตอนนี้เหล่า tech blogger กำลังวิจารณ์กันยกใหญ่ถึงคุณภาพของตะปูที่ Mark โรยลงสนามว่า "ตะปูพวกนี้หน้าตาเห่ยมาก คมก็ไม่คม ทำอะไรของนายเนี่ย ไม่อายหรอ Mark!" ซึ่งแน่นอนว่าคือการวิจารณ์ฟีเจอร์ที่ Facebook ลอก Snapchat มาว่าคุณภาพสู้ต้นฉบับไม่ได้
แต่อย่าลืมว่า Mark Zuckerberg ไม่ได้แคร์เลยว่าตะปูเหล่านี้คุณภาพดีแค่ไหน เขาไม่ได้เอาตะปูมาสร้างบ้าน เขาเอาตะปูมาเจาะยางรถ
และนั่นคือข้อสรุปแห่งกลยุทธ์การลอกในครั้งนี้ คือไม่ได้เอาใจผู้ใช้เดิม แต่เป็นการทำให้จำนวนผู้ใช้งาน Snapchat เติบโตช้าลง
หากลองวิเคราะห์ให้ลึกลงไปถึงตัวเลขผู้ใช้งานต่อวันจะพบว่า
ดังนั้น Mark Zuckerberg ต้องการผู้ใช้แค่ไม่กี่ % ของตัวเลขด้านบน ให้มาใช้ฟีเจอร์ที่ลอกมาของตัวเอง ไม่ไปใช้ Snapchat แค่นั้นก็ทำให้ Snapchat หืดขึ้นคอทันที เพราะตัวเลขแค่ 0.5% ของผลิตภันฑ์ของ Facebook ก็เท่ากับตัวเลข 10% ของ Snapchat แล้ว
ในบทวิเคราะห์ยังอ้างถึงเหตุการณ์ที่ Mark Zuckerberg พยายามถล่ม Google+ จนเละ ด้วยกลยุทธ์แบบเดียวกันมาแล้ว
ในปี 2011 วันที่ Google เปิดตัว Google+ พี่ Mark ของเราถึงขนาดเรียกประชุมทุกคนในสำนักงานใหญ่ พร้อมประกาศกร้าว "Carthage must be destroyed" (ทำลายเมือง Carthage ซะ) ซึ่งเป็นข้อความอันโด่งดังสมัยอาณาจักรโรมันที่กล่าวถึงการ "ถอนรากถอนโคน" อาณาจักรศัตรูที่ชื่อ Carthage ให้สิ้นซาก
ช่วงนั้นทุกคนใน Facebook ต้องทำงานอย่างหนัก 7 วันต่อสัปดาห์ เพื่อต่อสู้กับ Google+ โดยกลยุทธ์ที่คล้ายๆกัน คือลอกฟีเจอร์เด่นๆ มาใส่ Facebook ให้หมด
ตอนนั้นสำนักงานใหญ่ของ Facebook มีโปสเตอร์ที่เขียนว่า CARTHAGO DELENDA EST (ประโยค Carthage must be destroyed ในภาษาละติน) แปะอยู่เต็มไปหมด เหมือนเป็นประกาศกร้าวว่าเราไม่ได้มาเล่นๆ เราจะเล่นนายให้ตายกันไปข้างนึง
ผลลัพธ์สุดท้ายก็อย่างที่ทุกคนรู้กัน Mark Zuckerberg ทำสำเร็จ Google+ แพ้ไปแล้วอย่างราบคาบ
แต่บริบทในสงครามครั้งนี้ต่างออกไป เพราะ Facebook กำลังสู้กับ Snapchat ที่ประสบความสำเร็จสูงมากในอเมริกา ด้วยกลยุทธ์เดียวกับที่ใช้สู้กับ Google+ ที่ยังไม่เคยประสบความสำเร็จที่ไหนในโลกเลย
บริบทต่างกัน กลยุทธ์เดียวกัน ผลลัพธ์อาจต่างกันก็ได้ เราในฐานะผู้ชม และ ผู้ใช้ คงต้องดูกันต่อไปครับ
ที่มา - Business Insider
Comments
การวิจาร์ณ -> การวิจารณ์
Mekokung's Story บล็อกส่วนตัวที่ย้ายไป Blogger แล้วนะ
แก้แล้วครับ ขอบคุณครับ
Facebook ผมว่ามันจะตายเพราะตัวมันเองสักวัน ไม่ใช่เพราะมีคู่แข่งอื่นไหนดีกว่าหลอก
เอาแค่หน้าตาการใช้งานเมื่อก่อนอาจจะว้าว แต่เทรนตอนนี้คือไม่ใช่แล้ว อะไรไม่รู้รกไปหมด อัดมาจนแน่น เหมือนเว็บขายของแต่ดันใส่ราคาน้ำมันราคาทองคำสมัยก่อน ที่มีดีคือฐานคนใช้งานเยอะเลยทำให้คงอยู่ได้อีกยาวๆ
ฐานคนใช้งานเยอะนี่แหละครับที่ทำให้อยู่ได้ยาวๆ เชื่อว่าถ้ามีแพลตฟอร์มอื่นที่ดีกว่า facebook ก็คงซื้อมาเพิ่มจำนวนฐานผู้ใช้งาน ถ้าไม่ยอมขายก็จะโดนเล่นด้วยกลยุทธ์แบบนี้
เพื่อที่จะไม่ต้องกดออกจาก facebook ครับ และหลาย ๆ อย่างที่เพิ่มเข้ามา ไม่ได้ทำมาสุ่มสี่สุ่มห้าครับ มันถูกวิเคาะห์และเทสมาทั้งนั้น นั้นคือที่มาของฐานคนใช้เยอะครับ
อันนี้ลอก Microsoft clippy มาเต็ม ๆ
พยายามให้ระบบเดาเพื่อจะช่วยผู้ใช้งานแต่ข้อเสียคือมันเดาไม่เคยถูก
กลยุทธ์ทุ่มตลาดแบบนี้ CP ทำอยู่ตลอดเวลา
ไข่ ไก่ ร้านสะดวกซื้อ ขนมปัง และอื่นๆ อีกมากมาย CP ทำขายเองได้ทั้งหมด ทำให้คู่แข่งไม่มีจุดเด่นที่ชัดพอจะแย่งลูกค้าไปได้ คือ ทำให้ลูกค้าเดินเข้า 7-11 แล้วได้ของครบในที่เดียวจนไม่ต้องเดินไปเข้าร้านอื่น ต่อให้กำไรไม่มากแต่คู่แข่งจะไม่ได้กำไรเลยจนเจ๊งไปในที่สุด
ลอกมาตั้งแต่ Google+ แล้ว 5555
เมื่อก่อนผมยังแอบคิดเลย Google+ เป็น Labs ให้ Facebook รึเปล่า
WE ARE THE 99%
Circle ของ Google+ ใช้งานยากเกินไปสำหรับคนทั่วไปจริงๆ ไม่น่าเลย
Facebook ทุกวันนี้ก็ใช้ยากใช่เล่นนะครับ
แต่กว่าจะถึงทุกวันนี้ มันก็ใช้เวลานานอยู่เหมือนกัน เวลาที่ว่าคือ เวลาในการฝึกสอนผู้ใช้ให้ค่อยๆปรับตัวตาม ไม่ได้โผล่มาปั้งเดียวทุกฟีเจอร์ คือถ้าย้อนเวลาได้ แล้วเอา Facebook แบบทุกวันนี้ไปให้คนเมื่อ 6-7 ปีก่อนดู ผมว่าส่วนใหญ่คงรับไม่ได้
ผมว่ามันก็เป็นกลยุทธ์ปกติของรายใหญ่ที่เป็นเจ้าตลาด
รายเล็กมันต้องแข่งขันด้วยความใหม่ ไอเดีย ความแตกต่าง ถึงจะดึงลูกค้าได้
เจ้าใหญ่มีหน้าที่คือลอกอย่างเดียวพอ
เพราะงั้นเกมธุรกิจสำหรับเจ้าเล็กมันยากมากอยู่แล้ว ถ้าเจ้าเล็กจะล้มเจ้าใหญ่ได้คือต้องหมัดเด็ดตรงๆหมัดเดียวให้น๊อค ไปตอดๆทีละนิดทีละหน่อยยังไงก็แพ้
เจ้าใหญ่พร้อมทุกอย่าง ทั้งเงิน ทั้งทรัพยากร ทั้งคอนเนคชั่น สามารถลอกแล้วทำให้ดีกว่าและราคาถูกกว่า เจ้าเล็กปล่อยหมัดเด็ดแต่ไหนก็ตายครับ ผมว่าอย่างนี้ต้องสู้ด้วยวิธีทางกฎหมายครับ จดสิทธิบัตรอะไรก็ว่าไป
ถ้า snapchat โตจนถึงจุดนึงจะเจอปัญหาว่า จะยัดโฆษณาลงไปได้อีกยังไงให้ไม่น่าเกลียด ถ้าไม่มี AI research section โดยเฉพาะเหมือน Facebook ก็จะแก้ได้ยาก Twitter เองก็ยังทำกำไรยากเลย
ทุกวันนี้ช้ามาก เปิดในคอมอืดสุดๆ ไม่รู้จะยัดอะไรเยอะ
แนะนำให้ใช้ mobile.facebook.com ตัวเว็บจะแสดงผลแบบ Web2.0 แต่โต้ตอบแบบ 4.0
ผมเปิดใน group ขายของ พอเลื่อนลงไปดูเยอะมากขึ้นเรื่อยๆๆ
เพจมันก็ช้าลงๆๆ งงว่า fb ไม่มีวิธีแก้อะไรแบบนี้รึไง
ในคอมผมเล่นผ่านแอปครับ เร็วกว่ากันเยอะ
เขียนดีคับ
เขียนอย่างอื่นเพิ่มอีกนะคับ
ขอบคุณครับ :)
คำว่า สังเกต ต้องไม่มีสระอุ ครับ
แก้แล้วครับ ขอบคุณครับ
Snapchat = Sex tape snuff film แค่นี้มันก็เห็นความต่างกันแล้ว ยังไง fb ก็ทำไม่ได้หรอก
เหตุกาณร์ => เหตุการณ์
Coder | Designer | Thinker | Blogger
แก้แล้วครับ ขอบคุณครับ
ตะปูพวกนี้หน้าตายเห่ยมาก => หน้าตาย ?
แก้แล้วครับ ขอบคุณครับ
สุดท้ายก็ต้องมีวันที่ Facebook แพ้ภัยตัวเองนั่นแหล่ะ ในโลกธุรกิจไม่มีอะไรยั่งยืน วันนึงถ้ามี Social Media ที่เร็ว ชวนเพื่อนง่ายๆ ไม่รก สามารถกำหนดความเป็นส่วนตัวแบบอัตโนมัติได้ โดยที่เรียนรู้จากพฤติกรรม เกิดขึ้นมา Facebook ก็คงอยู่ยาก ไม่รู้สึกหรือบางครั้งจะ Post ข้อมูลบน Social Media ทีนึงก็คิดแล้วคิดอีกว่าจะมี Effect อะไรกลับมา ต่างจากการ Post บนโปรแกรม Chat
ส่วนตัวเชื่อว่า Platform ของ Facebook จะถูกเปลี่ยน Platform สำหรับสื่อในอนาคตส่วน Social Media จะถูกแทนที่ด้วย Chat ที่ทำงานด้วย AI ที่สามารถประมวลผลจากพฤติกรรมผู้ใช้งานได้มากกว่า
แล้วนั่นก็คือสิ่งที่ Facebook Messenger กำลังทำอยู่ครับ - -
Snapchat ผมว่าอยู่ได้ไม่นานเพราะฐานตลาดเป็นคนรุ่นใหม่แบบเด็กเลยสักพักเดี๋ยวก็จะเลิกเล่นไปเอง FB ฐานแน่นในพวกคนระดับกลางๆ ดึง Content มาแชร์ได้แต่ Snapchat ไม่ได้มันจำกัดขนาดของตัวเอง
ผมรู้สึกส่าการมาของ facebook ที่เราบ่นรกๆ เดี๋ยวคนก็เบื่อกันทุกวันนี้ มันฆ่าอะไรเก่าๆไปค่อนข้างเยอะเลย แบบเราไม่รู้ตัว
ระบบ webboard นี่ก็หายเกลี้ยง สมัยก่อนมีบอร์ดรุ่น บอร์ดม.ปลาย ตอนนี้ก็กลายเป็น facebook group ร้านค้าหลายแห่งก็มาเปิดเพจ ติดต่อลูกค้าโดยตรง เวลาเรามีปัญหา สงสัยอะไรกับแบรนด์นึง เช่นการเลปี่ยนสินค้า หาร้าน เมื่อก่อนต้องหาเบอร์โทรศัพท์ โทรหาพนงบริการ เดี๋ยวนี้เปิดเพจ ทักไปมน messengers สักพักทางแบรนด์ก็ตอบมาแล้ว ผมเคยคิดว่าเราเล่น facebook น้อย เราไม่ได้โพสต์อะไรเลยเป็นเดือน แต่กลายเป็นว่า เราเข้าไปอ่านข่าวจากเพจต่างๆ หาโปรโมชั่นสินค้า หาที่ตั้งร้าน หาเบอร์ หาแผนที่ จนตอนนี้เราสลัด facebook ไม่หลุดซะแล้ว
ผมไม่เล่น fb มาเป็นปีแล้วครับ แต่ตอนนี้ สิ่งอย่างที่ท่านว่ามา มันเริ่มมาบน line แล้วครับ จนผมชักเบื่อ line ด้วยแล้วสิ
เปรียบเทียบได้ตรรกะมั่วมาก
ถ้าเป็นค่ายผลไม้ลอกหน้าด้านขนาดนี้ ไม่น่ารอด
เอ ผมว่าตอนนี้ทั้งสองฝั่งก็ลอกๆ ไม่ต่างกันขนาดนั้นเท่าไหร่นะครับ
ต้องเปรียบเทียบด้วยตรรกะไหน ถึงไม่มั่วครับ?
ขอดูตรรกะของคุณหน่อยสิ