เก็บทริปมาฝากจากเมืองจีน Blognone มีโอกาสไปดูซอฟต์แวร์ WPS Office ที่กำลังจะเข้าไทย ผลิตโดยบริษัท Kingsoft และสังเกตว่าที่ชั้นสองของบริษัทมีร้านค้า Xiaomi ค่อนข้างใหญ่ด้วย จึงเก็บบรรยากาศมาฝากกัน
จะว่าไปแล้วถ้าที่บริษัทจะมีร้านค้า Xiaomi ก็ไม่แปลก เพราะ Kingsoft มี Lei Jun เป็นประธานบอร์ดและยังเป็นเจ้าของ Xiaomi ด้วย
เทียบกับร้านค้า Xiaomi ที่ Blognone เคยพาไปเที่ยวที่ ฮ่องกงและสิงคโปร์แล้ว สินค้าอาจมีไม่มากเท่า แต่มีสิ่งที่คนสนใจคือพาหนะสกูตเตอร์ ที่ถือว่าได้รับความนิยมพอสมควรในจูไห่ ไม่เพียงพนักงานบริษัท Kingsoft ที่ใช้เดินทางไปทำงาน แต่คนเมืองจูไห่ก็ใช้แทนจักรยานและรถเมล์กันพอสมควร
น่าเสียดายที่ยังไม่มีโอกาสสัมผัส Mi6 แม้ป้ายโฆษณาจะเห็นเด่นมาแต่ไกล ร้านค้าที่นี่มีเคาเตอร์มือถือสองโต๊ะ นอกนั้นเป็นอุปกรณ์ขนาดเล็ก เครื่องใช้ไฟฟ้า โดยตัวอุปกรณ์ Xiaomi ที่เข้ามาขายในไทยมีไม่กี่อย่าง แต่ในร้านค้าที่จูไห่ มีทุกอย่างตั้งแต่มือถือ กระเป๋า หม้อหุงข้าว ไปจนถึงกระเป๋าเดินทาง และหมอนรองคอเลยทีเดียว
มาถึงสิ่งที่คนให้ความสนใจกันมากคือสกูตเตอร์ Nine Bot Mini ราคา 1,999 หยวน หรือประมาณ 10,000 บาทไทย
ขนาดของ Nine Bot Mini คือ 60x55x26 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 12 กิโลกรัม เชื่อมต่อด้วยบลูทูธ ไม่มีแฮนด์ให้จับ สำหรับมือใหม่หัดขับต้องปรับตัวและฝึกฝนการทรงตัวพอสมควร
สกูตเตอร์อีกตัวคือ MI Electric Scooter ตัวนี้จะควบคุมง่ายหน่อยเพราะมีแฮนด์จับ ตัวแฮนด์พับเก็บลงมาด้านล่างได้ ราคาเท่ากับ Nine Bot Mini คือ 1,999 หยวน
พนักงาน Kingsoft ใช้ NineBot มาทำงาน
นอกจากนี้ยังมีหุ่นยนต์ของเล่นสำหรับเด็กด้วย แต่ปุ่มใช้งาน เมนูเป็นภาษาจีนทั้งหมด รวมทั้งเสียงพูดด้วย จึงไม่ได้เก็บรีวิวการใช้งานมามากนัก เจ้าหุ่นยนต์นี้ราคา 199 หยวน
บรรยากาศ และสินค้าในร้าน
ผู้เขียนไม่แน่ใจว่าคนจีนเมืองอื่นนิยมใช้สกูตเตอร์ขนาดไหน แต่ที่จูไห่ต้องบอกว่าค่อนข้างได้รับความนิยมพอสมควร ที่จอดรถในบริษัท Kingsoft ก็จัดที่สำหรับจอดจักรยานและสกูตเตอร์อัจฉริยะไว้ด้วย
ลักษณะเมืองจูไห่มีทางเท้ากว้างขวาง แบ่งเลนคนเดินและจักรยานชัดเจน (แต่ตอนเดินก็ต้องระมัดระวังตัวอยู่ดี เพราะชาวเมืองที่นั่นขับจักรยานกันเร็วมาก) จักรยานที่คนจูไห่ใช้มีทั้งจักรยานของตัวเอง และจักรยานบริษัทเอกชนที่ยืมคืนผ่านการสแกน QR Code ตรงหลังเบาะ เมื่อสแกนแล้วก็ขับไปได้เลย ตอนคืนก็จอดไว้ตรงจุดจอด และสแกนอีกครั้งเพื่อจ่ายเงินตามเวลาที่ยืม (ประมาณ 5 หยวน/30 นาที) นอกจากนี้มีเป็นตู้กดยืมจักรยานได้ด้วย
Comments
ใช้กระเป๋าของ mi อยู่ กะซื้อมาขำขำ แต่กลายเป็นใบที่ใช้บ่อยสุดซะงั้น
ตุ๊กตานี่ 199 หยวนหรือเปล่าครับ เห็นในรูปเขียน 199 แต่ข้อความในบทความบอก 149
โอ้ะ ขอบคุณค่ะะ
ทางเท้าใน กทม ยังเดินเท้าลำบากเลย แต่ในนิคมฯ นี้ก็ไม่เลวเลยนะ แต่ผมสนับสนุนเดินเท้าออกกำลังเหอะ...ยิ่งกลุ่มมนุษย์โรงงานด้วยแล้ว....
เคยไปช็อปที่ปักกิ่ง กับ คุนหมิง มา ของน่าใช้เยอะมากๆ แถมถูกด้วย
หม้อหุงข้าวสวยอะครับ ราคาคิดเป็นเงินไทยกี่บาทครับ
Mi นี่ผลิตของสารพัด ดีไซน์ก็สวย
กระเป๋า Xiaomi Multifunctional Urban Leisure Chest Pack ที่ซื้อมา ใช้ประจำเลย เท่ดี มีคนชม
น่าจะซื้อถูกกว่าที่จีนอีก เพราะตอนซื้อได้ส่วนลด 320 บาทเอง
จักรยานนี่ใช้คำว่า "ขี่" นะครับส่วนสกูตเตอร์นี้ไม่แน่ใจอ่ะ น่าจะขี่เหมือนกัน (ขึ้นคร่อม)
ป.ล. อยากได้รุ่น mini อ่ะ
Jusci - Google Plus - Twitter
เอาจักรยาน ไว้แบบนี้ มันจะไม่หายเหรอครับ แต่ก็ดีนะ ดุอำนวยการใช้ดี
จักรยานสีเหลือง OfO นั่น ไม่ใช่แบบจอดตามสถานีนะครับ
เป็น Bike Sharingแบบไร้สถานี 1 ใน 3 ยี่ห้อยอดฮิตในจีนตอนนี้
หลักการก็ต่อยอดมาจากระบบจักรยานที่ต้องจอดตามสถานีในรูปล่างสุด
แบบไร้สถานี คือคุณจะขับไปจอดตรงไหนก็ได้ตามสบาย เวลาอยากขี่ก็เปิดแอพ แอพจะโชว์ให้ว่าใกล้ๆตำแหน่งของคุณมีจักรยานอยู่ตรงไหนบ้าง
ในตัวจักรยาน มีระบบ GPS พอท้ายๆอาทิตย์ คนเริ่มจอดอีเหละเขะขะ จะมีรถของบริษัทมาตามเก็บ แล้วเอามาเรียงตรงจุดที่มีคนพลุกพล่านตามเดิม
ซึ่งโคตรฮิตระเบิด ร้านจักรยานแทบจะผูกคอตายกัน เพราะไม่จำเป็นต้องซื้อจักรยานอีก ไม่ต้องกลัวหาย ไม่ต้องซ่อมบำรุง ไม่ต้องหาที่จอด ไม่ต้องหาสถานี
ก่อนจะใช้บริการได้ จะมีค่ามัดจำขั้นต้นมั้ง รู้สึกยี่ห้อ OfO นี้จะถูกกว่าเพื่อน มัดจำประมาณ 100 หยวน ซึ่งก็น่าจะใกล้เคียงกับต้นทุนการผลิตจักรยานในปริมาณมากๆขึ้นมาสักคัน
ส่วนที่ว่ามีหายมีพังไหม ก็มีบ้างนะครับ แต่ก็น้อย
ผมเองก็แปลกใจเหมือนกัน พอนึกย้อนกลับมาที่ กทม. ที่แค่อานจักรยาน หรือกริ่งจักรยานถูกๆ ยังโดนคนงัดเอาไปหมด ผมก็เริ่มกลัวว่าจริงๆเราคนไทยอยู่ในสังคมแบบไหนกันนะ คนจีนที่คนไทยตั้งแง่เค้ายังมีบริการแบบนี้ขึ้นมาได้เลย
+1
คำถามน่าสนใจครับ
ระบบน่าสนใจ แต่แอบสงสัย ถ้าเราไปเจอจักรยานพังจอดทิ้งไว้งี้เราหาคันใหม่ได้หรือเปล่าหรือ Report กลับเข้าระบบแจ้งซ่อม
น่าสนใจ ที่มันไม่หายอาจจะเพราะ...มี GPS + เป็นประเทศที่กฏหมายแรง ด้วยมั้งครับ อีกอย่างสีรถแปร๋นแบบนั้นคงเด่นมากๆ
ระบบน่าสนใจมากเลยครับ แต่คิดว่าถ้าเอามาใช้เมืองไทยน่าจะไม่รอด
ผมว่าถ้ามีบริษัทมาทำประเด็นไม่น่าอยู่ที่ความปลอดภัยหรอกครับมันมีทางออกเยอะเช่นกล้องวงจรปิดป้ายเตือนเจอกล้องสองสามตัวโจรก็คงไม่กล้าแล้วละครับ
แต่ประเด็นที่ไม่มีน่าจะเกิดจากถนนบ้านเรามันไม่ได้เอื้อต่อการใช้จักรยานในการเดินทางขนาดนั้นต่างหาก ทำไปอาจจะไม่คุ้มทุน
บ้านเรามีกล้องโจรยังไม่กลัวเลยครับ
ได้มา ก็ภาพไม่ค่อยชัด หรือกล้องติดมานานก็เสีย ระบบกล้องวงจรปิดในไทยยังไม่ศูนย์กลางสักที เห็นติดป้ายถ้าจะขอภาพต้องระบุเลขไรสักอย่างให้ด้วยเข้าใจว่าต้องไปเปิดกล่องแถวๆ นั้นเอาภาพออกมา
กล้องที่พูดถึงไม่ใช้กล้องของรัฐครับ ผมหมายถึงกล้องของเจ้าของกิจการ