มีอีเมลภายในของ Tesla จาก Elon Musk ที่ส่งถึงพนักงานทุกคนในบริษัทถูกเปิดเผยออกมาโดยเว็บไซต์ Inc. กล่าวถึงการสื่อสารภายในองค์กร ที่ส่วนใหญ่ต้องสื่อสารผ่านผู้จัดการก่อน เป็นการระบุกลายๆ ว่าไม่ต้องการให้พนักงาน Tesla ทำเช่นนี้
เขาเล่าว่าวิธีการสื่อสารในองค์กรที่นิยมมากคือการที่พนักงานคุยกับหัวหน้า/ผู้จัดการของตนก่อน แล้วผู้จัดการก็ไปคุยกับหัวหน้าของเขาอีกที แล้วหัวหน้าก็ไปคุยกับหัวหน้าของอีกแผนก และหัวหน้าของแผนกนั้นก็ค่อยคุยกับลูกน้องของตน จากนั้นกระบวนการนี้ก็ย้อนกลับ ซึ่ง Elon เห็นว่าเป็นวิธีที่ "โง่อย่างไม่น่าเชื่อ" และถึงแม้จะทำให้เห็นอำนาจของเหล่าผู้จัดการ แต่มันไม่ได้ทำประโยชน์อะไรให้กับบริษัทเลย
Elon บอกว่าผู้จัดการคนไหนที่ยอมให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น [ใน Tesla] จะพบว่าตัวเองต้องไปทำงานที่บริษัทอื่นแน่นอน
เขาระบุว่าพนักงานทุกคนใน Tesla มีสิทธิ์คุยกับพนักงานคนอื่นโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นคนที่แผนกใดก็ตาม พนักงานทุกคนสามารถคุยกับหัวหน้าของหัวหน้าของตนได้โดยไม่ต้องได้รับอนุญาตก่อน คุณสามารถคุยกับรองประธานบริษัทก็ได้ หรือจะคุยกับตัว Elon โดยตรงก็ยังได้ หากมันทำให้บริษัทได้ประโยชน์ ซึ่งทั้งหมดนี้จะทำให้การทำงานเป็นไปอย่างรวดเร็ว
สุดท้ายเขาบอกว่าผู้จัดการทุกคนต้องอย่าสร้างกำแพงกั้นระหว่างหน่วยงาน และให้ทุกคนทำเพื่อบริษัท ไม่ใช่แค่เพื่อหน่วยงานของตนเพียงอย่างเดียว
อย่างไรก็ตามอีเมลนี้ไม่ใช่อีเมลใหม่ แต่มันถูกส่งหาพนักงานเมื่อสองสามปีที่แล้ว แต่ก็ทำให้เราได้รู้วัฒนธรรมภายในบริษัท Tesla ซึ่ง Tesla ก็ยืนยันแล้วด้วยว่าเป็นอีเมลของจริง
ที่มา - Inc. via Business Insider
Comments
ถ้ามาเจอประเทศที่มีวัฒนธรรมอาวุโส เคร่งๆอย่างหลายๆประเทศในเอเชีย คงลำบากน่าดู
อันนี้ใช้ไม่ได้กับวัฒนธรรมการทำงานแบบตะวันออก ถ้าทำในบางประเทศเนี่ยถึงกับอยู่ไม่ได้กันเลยทีเดียว แต่จริงๆ แล้วทุกอย่างมีข้อดี ข้อเสีย ใช้ร่วมกันเอาข้อดีแต่ละระบบมาประยุกต์ใช้ดีที่สุด
เทียบกรณี email ของ google ก็ได้
คือคุยได้ ส่งได้ แต่ก็โดนไล่ออกทันที ได้เหมือนกัน
ผมว่ามันต้องแยกเป็นประเด็นไปนะ
มันทำแบบนั้นไม่ได้หรอก เพราะประธานหรือรองประธานความจำสั้นเหมือนปลาทอง สุดท้ายหัวหน้าก็ประเมินลงใน paper อนาคตเรามันก็อยุ่ในกระดาษใบนี้แหละ
วัฒนธรรมองค์กรถูกสร้างจากล่างขึ้นบน ไม่ใช่บนลงล่าง ต่อให้นโยบายดีแค่ไหน (กรณีนี้ของ Tesla ผมเห็นว่าดีมาก) ก็แพ้วัฒนธรรมสังคมภายนอกที่องค์กรนั้นๆ ตั้งอยู่...อยู่ดี
แบบนี้ต้องจัดวัฒนธรรมองค์กรใหม่หมด ปกติผู้จัดการจะไม่ได้เล่าเรื่องทุกเรื่องให้คนในทีมฟัง อาจเพราะเกรงปัญหาการจัดการ หรืออาจด้วยเหตุผลเรื่องความลับอะไรก็แล้วแต่
ผมเคยทำบริษัทใหญ่ หลายครั้งที่หัวหน้าทีมไม่ได้เล่ารายละเอียดปัญหาให้ลูกน้องฟัง เพราะเป็นความผิดของผู้อาวุโสในทรม หรือแม้กระทั่งตัวหัวหน้าทีมทำผิดเอง
คนในทีมก็นึกว่าฝ่ายไอทีนิ่งเฉย ฝ่ายไอทีไม่ช่วย ฝ่ายไอทีเงินเเือนเยอะซะปล่าวบลาๆ
โทรมาด่าฝ่ายไอที ออกเมล์มาฟ้องผู้จัดการไอที แถม cc ฝ่ายบริหารด้วย แทบจะ cc ถึงศาลโลก
ปรากฎว่าเงิบสิครับ
เล่ามาตั้งยาว แค่จะบอกว่าถ้าคนในบริษัทมีวิจารณญาณเท่ากัน ความสามารถเท่ากัน อาจจะทำให้สิ่งที่ Musk พูดดูมีน้ำหนักมากกว่านี้
ไม่งั้นจะมีผจก.ไปทำไม
มันเป็นการคัดกรองของระดับบนๆนั่นแหละ อาจจะปลิวหาย หรือใช้นำเสนอ(หน้า)แทนลูกน้องได้สบายแฮ
แต่คนพิจารณาขึ้นเงินเดือนปรับตำแหน่งคือหัวหน้า,ผู้จัดการ -_-
ที่ มัสก์ ว่ามา ผมมองว่ามันคือแนวทางบริหารและจัดการแบบ "บริษัทเถ้าแก่" ลองนึกดู ผจก. มีอำนาจหน้าที่และการตัดสินใจได้ไม่เท่าเจ้าของอยู่แล้ว ถ้าลูกน้องหรือลูกค้าเคยขอ ผจก แล้วเรื่องเยอะ ก็ยิงตรงไปที่ ceo หรือ ประธานเลยง่ายดี แล้ว ผจก ก็กลายเปนแค่หัวตอในบริษัท สุดท้ายเถ้าแก่ก็มองว่า ผจก เหล่านี้ทำงานได้แค่ระดับ สต๊าฟทั่วไป เพราะงานทุกอย่างเถ้าแก่ตัดสินใจเองดีกว่า ผมเห็นแนวนี้ทำบริษัทวิบัติมานักต่อนักแล้ว ที่สำคัญที่คิดว่า ผจก ทำงานไม่ได้เรื่องหรืออะไรตัวเองทำเองดีกว่า มันก็เริ่มมาจากตัว ceo นี่เอง
ผมว่านั่นแหละจึงเป็นเหตุผลที่หลายบริษัทโดยเฉพาะในอุตสาหกรรมไอทีพยายามจะลดชั้นสายบังคับบัญชาลง เพื่อที่จะไม่ให้มีคนที่ต้องอยู่ในตำแหน่งที่เรียกว่าเป็นหัวตอในบริษัทโดยไม่จำเป็น
องค์กรของเขา เขารู้จักดีกว่าผม
ประเทศผม ผมรู้จักดีกว่าเขา
ที่ทำงานเก่าผมก็เป็นแบบนี้จะอยากคุยก็เดินเข้าไปหาเลยไม่ต้องมีลำดับชั้นอะไรทั้งนั้นอยู่ไม่ได้ก็ลาออกไปเหมือนแรกๆจะไม่ดีแต่พอใช้ๆไปมันลดขั้นตอนหลายๆอย่างได้เยอะมากๆเลยนะครับ
ผมกลับชอบแบบนี้นะ ห้ะๆๆ
เคยอยู่ในองค์กรณ์ที่หัวหน้าทีมนำเสนอถึงด้านบน ทั้งผลงานของพนักงาน และ อื่นๆ
ปรากฎว่า พนักงานคนทีสนิทกับหัวหน้า โดนโปรโมตหนักมาก ถึงแม้จะทำงานได้ห่วยแค่ไหนก็ตาม
ทุกคนที่ไม่ได้สัมผัสกับพนักงาน จะมองว่า คนนี้ทำงานเก่งมาก
อืม . . . ขยี้สิ รอไร
ผมทำงานมาก็หลายที่ ผ่านลูกค้ามาก็หลายแบบ ได้เรียนรู้มาอย่างหนึ่งคือ มันไม่มีสูตรสำเร็จ/สูตรเทพ ที่ใช้ได้กับทุกที่/ทุกองค์กร มันก็ต้องปรับกันไปให้เข้ากับ ... (จงเติมคำลงในช่องว่าง) เพื่อให้มันเดินได้ ไม่สะดุด และกลายเป็นภาระขององค์กรไปครับ
ถ้าข้ามในแบบ ล่างขึ้นบน อันนี้ผมว่าดีนะ คือมันรับรองได้ว่าการสื่อสารมันจะไม่หายไปกลางทาง
แต่ถ้าข้ามในแบบ บนลงล่าง อันนี้ผมว่าไม่ดี หัวหน้าโดยตรงจะไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับลูกทีมตัวเอง แล้วงานก็จะเละ
อันนี้ไม่เกี่ยวกับข่าวแต่เห็นกระทู้ฮอตดีเลยมาถามเผื่อมีใครรู้ คือผมอ่านประวัติเค้าแล้วไปเจอรูปตอนสมัยทำอยู่ Paypal สังเกตุเห็นได้ว่าผมเขาเริ่มเหลือไม่กี่แสน(ก็จะล้าน)แล้ว แต่ตอนนี้ทำไมผมถึงได้อุดมสมบูรณ์ดูมีสง่าราศีจังครับ สงสัยมานานนนแล้ว
ศัลยกรรมเส้นผมครับ
ไม่รู้ว่าเขาทำหรือปล่าวนะ แต่ระดับนี้ ถ้าหัวตัวเองล้าน จะทำก็ไม่แปลก
CC มีไว้ทำไมกัน
บริษัทผมไม่มีเรื่องลำดับขั้นให้ปวดหัวแบบนี้เลย
ถ้าเป็นเรื่องงาน ทุกคนทำแบบโปร่งใส ปัญหาที่ไปถึงลูกน้องหัวหน้าก็รู้ ปัญหาที่เค้าด่าหัวหน้ามาลูกน้องก็รู้
ส่วนเรื่องลำดับขั้นเราต้องรู้ตัวในการทำงานอยู่แล้ว ถ้าอีเมลมาหาเราและ CC หัวหน้าด้วย ก็ถามหัวหน้าเลยว่า เอาไงดีพี่ตรงนี้ คุยกันแล้วก็จัดการปัญหา แล้วก็ CC กลับทุกคนเหมือนเดิม เวลาดูเมลเราก็เห็นอยู่ว่า CC ใครบ้าง หัวหน้าแผนกไหนรับรู้บ้าง จะข้ามไปกี่แผนกก็ได้หมด ส่วนกรณีคนอื่นๆใน CC ถ้าไม่ใช่งานเราโดยตรง ก็ไม่ต้องไปตอบกับเขาปล่อยผ่านไป หรือถ้าเป็นเรื่องผู้ใหญ่เค้าคุยกัน เราก็ดูอย่างเดียวไม่ต้องไปตอบกับเขา
แม้แต่บางเรื่องที่เรื่องใหญ่จริงๆ CEO ก็เมลถึงทุกคนเองเลย หรือ ผจก HR ก็อีเมล All User ถึงทุกคนเลย
ลืมบอกไป บริษัทผมบริษัทฝรั่งยุโรปนะ
ผมอยู่บริษัทไทย CC ไม่มีประโยชน์เพราะหัวหน้าไม่เปิดอ่านครับ พนักงานเคลียร์ปัญหากันจนจบ ทุกกระบวนการ CC หัวหน้าหมด สุดท้ายมาถามอีกว่าถึงไหนแล้ว
มีทั้งข้อดีและข้อเสียนะ
ข้อดีคือเรื่องขึ้นถึงระดับบนได้โดยไม่โดนกรองหรือปัดตกจากระดับกลางที่มีอคติหรือ judgement ผิดพลาด
แต่ข้อเสียก็คือทุกเรื่องมันทะลุขึ้นไปถึงไม่หมดไม่เว้นแม้แต่เรื่องมโนสาเร่ ระดับสูงบางคนอาจจะชอบ (ถ้าชอบลงมาล้วงลูก)
แล้วก็จะมีระดับกลางไว้ทำไม เพราะเรื่องถูก raise ขึ้นระดับสูงทันทีโดยไม่ต้องผ่านระดับกลางก่อน คล้ายๆระบบเถ้าแก่ที่เถ้าแก่จัดการเองทุกอย่าง
ดูแล้วไม่น่าเข้าวัฒธรรมองค์กรของคนไทย
ถ้าจะเน้นนวัตกรรม ยังไงมันก็ต้องจัดการผังองค์กรให้มันเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว อย่างราชการไทยนี่ไม่มีทาง กว่าจะบอกขึ้น บอก ลง บอกขึ้นบอกลง ยึกกฏระเบียบ ไม่ออกนอกกรอบจะคิดอะไรได้มั้ย ถึงคิดได้ก็ไปไม่ถึงฝั่ง
"คุณสามารถคุยกับรองประธานบริษัทก็ได้ หรือจะคุยกับตัว Elon โดยตรงก็ยังได้ หากมันทำให้บริษัทได้ประโยชน์ ซึ่งทั้งหมดนี้จะทำให้การทำงานเป็นไปอย่างรวดเร็ว"
ความเห็นของผม สำหรับบางองค์กร คือถ้าให้ทำอย่างนั้นได้ แทนที่จะได้ประโยชน์ มันจะพากันมั่วครับ เพราะถ้าเปิดช่องให้คุยข้ามกันไปมาได้แบบนี้แล้ว อาจจะเจอคนที่มาคุยแล้วไม่ได้ประโยชน์มากกว่าคนที่คุยจะได้ประโยชน์ หรือถ้าผู้บริหารว่างมากพร้อมที่จะเสียเวลารับข้อมูลจากพนักงานจำนวนมากที่ทางองค์กรให้อิสระในการนำเสนอความคิดไปยังผู้บริหารได้โดยตรง โดยที่ไม่ได้ถูกคัดกรองความคิดจากกการประชุมในส่วนแผนกงานที่ต้องรับผิดชอบมาก่อน แล้วค่อยให้หัวหน้าแผนกสรุปไปนำเสนอ ใครจะเป็นคนสรุปในส่วนของข้อมูลที่หลั่งไหลกันเข้ามามากๆได้ นอกจากผู้บริหารที่ได้รับข้อเสนอแนะ หรือความคิดเหล่านั้น
"ทำอะไรอย่าข้ามหัว อย่าลืมกูเป็นหัวหน้ามึง"
อดีตหัวหน้าผมคนนึงกล่าวไว้
พูดหล่อ ๆ ใครก็พูดได้ เอาเข้าจริง ระดับ CEO พนักงานรากหญ้าจะใช้ท่าไหนในการเข้าถึง สุดท้าย ไม่มีเอเชีย ไม่มียุโรปหรอก เงิน มันเป็นเครื่องมือแบ่งชนชั้นไปโดยปริยาย ไม่ว่าจะสังคมใดก็ตาม
ผมว่าหลายบริษัทก็เป็นแบบนี้แล้วนะ จะตะวันตกหรือเอเชียก็เถอะ คุยตรงได้ไม่ได้แปลว่าทุกเรื่องต้องคุยตรง ถ้าเรื่องที่ควรจบตั้งแต่หัวหน้าระดับล่างๆ ถ้าเอาขึ้นมาถึง vp ceo มันก็ไม่ใช่ทำให้บริษัทได้ประโยชน์ แต่ถ้าเรื่องที่เกี่ยวข้อง ถ้าส่งถึงได้ก็ cc หัวหน้าไปสิ หรือถ้าคุยกับแผนกอื่นถ้าคุยตรงได้ ก็คุยตรงแล้ว cc หัวหน้าฝั่งเรา ฝั่งเค้าไปก็ได้
อคติทำให้คนรับเหตุผลด้านเดียว
ผมว่าประเด็นหลักๆ ในเรื่องนี้จริงๆ คือเรื่องของความเข้าใจในหน้าที่ตัวเองและทัศนคติของพนักงานที่มีต่อองค์กรมากกว่า ซึ่งถ้าทุกคนมีความคิดไปในทำนองเดียวกันคือมองเรื่องของการพัฒนาและสร้างความก้าวหน้าให้องค์กรเป็นที่ตั้งก่อนที่จะมามุ่งเน้นประโยชน์ส่วนตัว การจะเลือกใช้ผังองค์กรแบบไหนก็คงไม่ใช่ประเด็น แต่การปกครองของมนุษย์มันมีเงื่อนไขและตัวแปรที่จะทำให้ความคิดมันไขว้เขวหรือบิดเบี้ยวไป ซึ่งการใช้ผังองค์กรแบบ flat organization ก็เป็นวิธีหนึ่งในการจัดการกับปัญหาตรงนั้น อย่าง Zappos ก็ใช้ผังองค์กรแบบนี้เพื่อแก้ปัญหา ก็ดูเหมือนจะได้รับผลตอบรับที่ดีอยู่นะครับ
อยู่ที่เลือกใช้ และข้อตกลงร่วมกัน
คุยกันตรงๆ น่ะดี คุยกันเป็นกลุ่มก็ดี ที่สำคัญคือคุยเสร็จแล้วคนที่ควรรู้ต้องรู้ ไม่งั้นทำงานชนกัน สวนกัน เสียเวลา