การฝังไมโครชิพเพื่อติดตามสัตว์ไม่ใช่เรื่องใหม่ อย่างกทม.เองก็เคยมีแผนจะฝังไมโครชิพในสุนัข แต่ตอนนี้อินโดนีเซียมาแปลกจะฝังชิพในคน และที่สำคัญเป็นคนไข้โรคเอดส์ด้วยครับ
สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า จังหวัดปาปัวของอินโดนีเซีย กำลังจะพิจารณากฎหมายการฝังชิพในคนไข้โรคเอดส์ โดยเฉพาะคนที่มีความเสี่ยงที่จะไปติดคนอื่นสูง เพื่อที่จะดูกิจกรรมของผู้ป่วย
"มันเป็นเทคโนโลยีง่ายๆ ที่ทางการจะใช้สอดส่องผู้ป่วยโรคเอดส์" John Managsang ผู้เสนอกฎหมายกล่าว นอกจากนี้ เขายังให้สัมภาษณ์ว่าหากผู้ป่วยไปมีเพศสัมพันธ์กับคนที่ไม่ได้เป็นโรค จะยังต้องถูกทำโทษอีกด้วย
อย่างไรก็ดี Constan Karma ผู้บริหารของคณะกรรมการโรคเอดส์ในจังหวัดปาปัว ไม่เห็นด้วยเนื่องจากจะเป็นการจำกัดสิทธิมนุษยชน ถึงแม้ว่าสถานการณ์โรคเอดส์ในจังหวัดปาปัวของอินโดนีเซีย มีผู้ป่วยติดเชื้อเกือบ 20 เท่าเมื่อเทียบกับทั้งประเทศก็ตาม
ส่วนตัวผมเห็นว่างานนี้ Managsang คงเละ... สำหรับในไทยจากข้อมูลของ UNAIDS อินโดนีเซียทั้งประเทศมีผู้ใหญ่ที่ติดเชื้อ 0.2% ส่วนไทย 1.4% -- อาจดูเหมือนว่าคนไทยเป็นเยอะกว่า แต่ในทางกลับกันหมายความว่าคนไทยรอดมากกว่า ก็ได้
Comments
Privacy Infringement.
- -* ฆ่าไม่ได้จึงต้องติดตามพฤติกรรมใช่ไหม
จริง ๆ น่าจะจับคนเป็นเอดส์ทั้งหมดไปใช้ชีวิตแยกอยู่ออกไปต่างหากบนเกาะนะ บนเกาะก็มีการรักษาดูแลพร้อม มีสิ่งอำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิต แล้วก็ปล่อยให้มีชีวิตอยูเท่าที่จะสามารถอยู่ได้ โรคเอดส์จะได้หมดไปจากโลกเสียที
That is the way things are.
มันแค่ผลักปัญหาออกไปจากตัวเท่าครับ ปัญหาไม่ได้หายไป แค่เลือกจะปิดตาไม่มอง
7blogger.com
ไม่ต่างกับสมัยก่อนคนเป็นโรคเรื้อนก็ถูกไล่ออกจากสังคมด้วยวิธีนี้ แล้วสุดท้ายโรคเรื้อนก็ไม่ได้หายไปจากโลก (แค่ทุกวันนี้ไม่ค่อยเห็นเพราะความสะอาดค่อนข้างดี แม้จะเป็นคนจรจัดไม่อาบน้ำห้าสิบวัน ต่างจากสัตว์เช่นหมา อาบน้ำเองไม่ได้ เรื้อนกินหมด)
สิ่งที่คุณ zerocool พูดมันก็ถูกครับแต่ก็จะมีทั้งคนที่เห็นด้วยแล้วก็ไม่เห็นด้วย
คนที่เป็นโรคนี้ ก็ยังมีคนที่รักและเป็นห่วงเขาอยู่เหมือนกัน นะครับ
สุดท้ายยังไงก็ยังไม่หมดไปอยู่ดี
ความกลัวจะทำให้เราก้าวข้ามกำแพงที่เราสร้างขึ้นเองได้
ทำไม่ได้หรอกครับ มันเข้าข่ายละเมิดสิทธิมนุษยชน
ถึงจะทำก็ไม่สามารถทำให้โรคนี้หายไปได้ อย่าลืมว่าเราไม่สามารถแยกแยะได้ว่าใครเป็นหรือไม่เป็น คนที่เป็นแต่ยังไม่รู้ตัวยังมีอีกเยอะ