สตาร์ทอัพผู้พัฒนาตัวล็อกประตูดิจิทัล Otto ประกาศปิดกิจการ และยุติการส่งมอบผลิตภัณฑ์รุ่นแรก ที่เตรียมวางขายในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า แม้สินค้าจะอยู่ในโกดังรอจัดส่งแล้ว ด้วยเหตุผลแบบคลาสสิกของสตาร์ทอัพนั่นคือ เงินในการดำเนินธุรกิจหมด
ซีอีโอ Sam Jadallah ได้เขียนบล็อกอธิบายสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เขาบอกว่าบริษัทนั้นอยู่ในช่วงเตรียมขายกิจการให้บริษัทขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง เขายอมรับว่าการผลิตฮาร์ดแวร์อย่างตัวล็อกประตูเพื่อวางขายนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องมีทั้งโรงงาน และทรัพยากรสนับสนุนจำนวนมาก เขาจึงเตรียมขายกิจการเพื่อเป็นส่วนหนึ่งกับบริษัทขนาดใหญ่
อย่างไรก็ตามก่อนดีลนี้จะปิดไม่กี่วัน บริษัทนั้นได้ตัดสินใจถอนตัวโดยไม่มีการระบุเหตุผล ทำให้ Otto ที่อยู่ในช่วงในสถานการณ์ยากลำบาก เงินสดที่ใช้ในการดำเนินงานหมด ไม่สามารถหาผู้ซื้อรายใหม่ได้ทัน จึงตัดสินใจปิดกิจการลง
มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าสาเหตุหนึ่งน่าจะมาจากตัวล็อกของ Otto มีราคาแพงมาก (อันละ 699 ดอลลาร์ หรือกว่า 2 หมื่นบาท) แต่ซีอีโอ Jadallah ยืนยันว่าไม่ใช่ สินค้ามีผู้พร้อมซื้อ และบริษัทที่จะซื้อกิจการนั้นก็มองว่าสามารถขยายตลาดให้กว้างขึ้นได้ด้วย เพียงแต่ที่สุดแล้วเหตุการณ์นั้นก็ไม่เกิดขึ้น
ที่มา: TechCrunch
Comments
เลวแบบนี้ ขอให้โดนฟ้องเละเทะ
มันมีคนบางจำพวกเอาเงินกำไรในอนาคตไปใช้ก่อน
พอดีลไม่สำเร็จ ก็ล้มซมซาน
เป็นเรื่องราคานั่นแหละ เพราะคู่แข่งที่ราคาถูกกว่าในตลาดมีอยู่มากมาย ความเห็นส่วนตัวคือถ้าเป็นประตูบ้านทั่วไปเราจำเป็นต้องใช้ตัวล็อคที่ไฮเทคมีฟังก์ชั่นมากมายขนาดนั้นเชียวเหรอ
นึกว่าบริษัท หม้อหุงข้าวราคาถูก
แล้วบริษัทใหญ่ที่ว่าก็รอให้ otto โดนฟ้อง แล้วกลับมาเจรจาขอซื้อล็อตที่ผลิตไว้แล้วในโกดังในราคาถูก เอาไปแกะแล้วทำออกมาเองใหม่ แปะยี่ห้อตัวเองลงไป เป็นอันจบในราคาแสนถูก...
เทคโนโลยีไม่ผิด คนใช้มันในทางที่ผิดนั่นแหละที่ผิด!?!
อันละ 20000 บาท กะรวยทีเดียวเลย
ดูดี น่าหาย
บริษัทที่ตั้งมาเพื่อขายตัวเองชัดๆ