ความนิยมในธุรกิจขุดเหมืองคริปโตเพื่อทำกำไร จำเป็นต้องใช้พลังงานจำนวนมากเพื่อประมวลผล และในประเทศไอซ์แลนด์ที่มีประชากรแค่ 340,000 คน สัดส่วนการใช้พลังงานจากธุรกิจขุดเหมืองกำลังจะแซงการใช้พลังงานจากภาคครัวเรือนแล้ว
ไอซ์แลนด์กลายเป็นสวรรค์ของนักขุดเหมือง ด้วยปัจจัยเรื่องสภาพอากาศเย็น ลดภาระการระบายความร้อนของคอมพิวเตอร์ และราคาพลังงานที่ถูกกว่าประเทศอื่นๆ อันเนื่องมาจากมีพลังงานความร้อนใต้ดินและไฟฟ้าพลังน้ำอยู่มาก ทำให้นักขุดเหมืองนิยมย้ายมาตั้ง "ฟาร์ม" อยู่ในหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ กันมากขึ้น
บริษัทพลังงาน Hitaveita Sudurnesja ของไอซ์แลนด์ คาดการณ์ว่าชาวเหมืองจะใช้พลังงานในปี 2018 เพิ่มจากปีก่อนเท่าตัวเป็น 100 เมกะวัตต์ต่อปี ซึ่งจะมากกว่าการใช้พลังงานของภาคครัวเรือนทั้งประเทศรวมกัน
ตัวแทนของบริษัทพลังงานบอกว่าเหตุการณ์นี้เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อ 4 เดือนก่อน และบริษัทได้รับการติดต่อเพื่อซื้อพลังงานเข้ามามาก ล่าสุดเพิ่งมีบริษัทขุดเหมืองติดต่อมาขอซื้อพลังงาน 18 เมกะวัตต์
นักการเมืองในไอซ์แลนด์เองก็จับตาปัญหานี้ โดย Smari McCarthy ส.ส.จากพรรค Pirate Party เริ่มเสนอการเก็บภาษีธุรกิจเหมืองคริปโตแล้ว
ที่มา - AP, Ars Technica
ภาพจาก Iceland Tourism
Comments
ก็ควรเก็บเงินภาษีไปนะ กลัวผลกระทบกับทรัพยากรธรรมชาติเหมือนกัน เพราะเข้าใจว่าทุกสิ่งย่อมมีวันหมดไป ไม่ใช่พลังงานเยอะมากมายประหนึ่งดวงอาทิตย์
That is the way things are.
ผมว่าการแยกให้เก็บข้อมูลหลายๆแห่งตามคอนเสป ของ Crypto currency มันตามมาด้วยความฟุ่มเฟือยอย่างนึงนะ
ถ้าสมมุติว่าทั้งโลกใช้แต่เงินอิเลกทรอนิคส์กันจริงๆ และก็ใช้เงินตามคอนเสปนี้เป๊ะ
ผมว่าพลังงานที่ใช้ๆกันเนี้ย จะพุ่งกระฉูด ดีๆไม่ดี อาจจะเยอะกว่าพลังงานที่โลกใช้ในการขนส่งต่างอีกมั้งเนี้ย
ถ้าเอาเงิน Crypto มาใช้แทนเงินจริงๆ ผมว่าคงได้เห็นคนที่อยู่บนสุดของห่วงโซ่อุปทานทั้งหมดก็ได้นะ
แท็กน่าจะเป็น Cryptocurrency นะครับ
Coder | Designer | Thinker | Blogger