จากคดีการสวมบัตรประชาชนของงน.ส.ณิชา เกียรติธนะไพบูลย์ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แม้ข่าวล่าสุดตอนนี้ตำรวจยกเลิกคำร้องผลัดฟ้อง แต่ในฝั่งธนาคารที่เปิดบัญชีทางนายรณดล นุ่มนนท์ ผู้ช่วยผู้ว่าการสายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทยก็คาดว่าจะได้ข้อสรุปทั้งบทลงโทษและมาตรการเยียวยาผู้เสียหายภายในสิ้นเดือนมกราคมนี้
จากข่าวของน.ส.ณิชา เกียรติธนะไพบูลย์ ที่อ้างว่าถูกขโมยบัตรประชาชนจนคนร้ายสามารถไปเปิดบัญชีได้ที่ธนาคาร 7 แห่ง รวม 9 บัญชี จนกระทั่งถูกจับกุมในข้อหาฉ้อโกง ตอนนี้หน่วยงานกลางของธนาคารก็ออกรับแสดงท่าทีรับรู้ปัญหานี้แล้ว ทั้งสมาคมธนาคารและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
ธปท. ออกมาระบุว่าได้สั่งการให้สถาบันทางการเงินตรวจสอบ ชี้แจงสาเหตุ และแนวทางดำเนินการ ให้ธปท. ทราบ "โดยเร็ว"
ทางด้านสมาคมธนาคารออกจดหมายข่าว ระบุว่าธนาคารที่เกี่ยวข้องกำลังดำเนินการตรวจสอบ (เนื้อหาอยู่ที่ย่อหน้าสาม ที่เหลือเป็นเรื่องทั่วไป ไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นข่าว)
การขโมยตัวตนออนไลน์มักมีระดับต่างๆ กันไป ตั้งแต่การขโมยบัญชีเฟซบุ๊กเพื่อหลอกให้เพื่อนโอนเงินมาให้ หรือการขโมยหมายเลขโทรศัพท์เพื่อทำธุรกรรมธนาคาร แต่กรณีล่าสุดของคุณอัญญาภรณ์ คงเป็นกรณีร้ายแรงที่สุดเมื่อเธอถูกผู้อื่นแจ้งบัตรหายและที่ว่าการอำเภอก็ออกบัตรให้
เธอถูกสวมชื่อออกบัตรประชาชนมาตั้งแต่ปี 2554 และแม้ว่าจะออกบัตรใหม่ไปแล้วแต่ปรากฏว่าตอนนี้บัตรที่ถูกสวมชื่อไปนี้ยังคงมีการใช้งาน ทั้งการเปิดหมายเลขโทรศัพท์, เปิดบัญชีกับธนาคารไทยพาณิชย์, และผูกพร้อมเพย์ โดยกรณีหลังสุดทำให้เงินคืนภาษีปีนี้ของเธอเข้าไปยังบัญชีที่ผูกไว้ทันที
การตรวจสอบตัวตนของบริการต่างๆ ที่มีจุดหละหลวมอาจจะกลายเป็นช่องโหว่ให้มีการขโมยตัวตนเพื่อขโมยเงินจากเหยื่อ หรือใช้ตัวตนของเหยื่อไปก่ออาชญากรรมกับผู้อื่น ล่าสุดตำรวจจับสองพี่น้อง นายเอกลักษณ์ พ่วงสำเภา และนายไก่ (นามสมมติ) ในจังหวัดนครศรีรรมราช นำบัตรประชาชนผู้อื่นไปเปิดบัญชีได้สำเร็จสี่บัญชี เพื่อนำไปหลอกขายสินค้าในเฟซบุ๊กและเว็บอื่นๆ
เหยื่อของคดีนี้เป็นผู้ทำบัตรประชาชนสูญหายไปเปิดบัญชีธนาคารสี่บัญชีในสี่ธนาคาร เมื่อบัญชีถูกนำไปหลอกขายสินค้าและโอนเงินเข้าไปยังบัญชีโดยไม่ได้ส่งสินค้า เหยื่อจึงถูกหมายเรียกจากจังหวัดลพบุรี
ทางตำรวจสถานีอำเภอสิชล จังหวัดนครศรีรรมราช ตรวจสอบกล้องวงจรปิดจนได้ภาพคนร้ายที่มาเปิดบัญชีจึงได้ตามจับคนร้ายในวันนี้
คดีการปลอมแปลงเอกสารสวมรอยบุคคล (identity theft) เพิ่งมีข่าวในบ้านเรากับการปลอมเอกสารเพื่อขอซิมการ์ด แต่ฝั่งธนาคารเองก็ตกเป็นเป้าของอาชญากรแบบเดียวกันเหมือนกัน โดยตำรวจกาญจนบุรีเข้าควบคุมตัวหญิงอายุ 30 ปี จากการปลอมเอกสารของผู้อื่นเพื่อทำบัตรเครดิต
ผู้ประสานงานในคดีนี้คือธนาคารกสิกรไทย อย่างไรก็ดีผู้ต้องหาให้การว่าแฟนหนุ่มเป็นผู้วางแผน และได้ใช้เอกสารของผู้อื่นไปเปิดบัตรเครดิตเพื่อกดเงินสดมาแล้วจากธนาคารหลายแห่ง โดยทำมาแล้วกว่า 5 ปี รวมมูลค่านับล้านบาท
ทางตำรวจควบคุมตัวหญิงรายนี้เพื่อดำเนินคดี และกำลังติดตามจับกุมแฟนหนุ่มมาดำเนินคดีต่อไป
ที่มา - ไทยรัฐ
โดยปกติแล้วหากเราตัดสินใจขายต่อมือถือหรืออุปกรณ์ต่างๆ ที่เก็บข้อมูลส่วนตัวของเราไว้ หลายๆ คนคงไม่ประมาทที่จะลบข้อมูลเหล่านั้นทิ้งเสีย อาจใช้วิธีลบเองทีละจุด หรือในมือถือบางรุ่นจะมีตัวเลือกที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการล้างข้อมูลเหล่านี้ให้
ล่าสุดผู้เชี่ยวชาญจาก McAfee ได้ทำการทดลองและพบว่าอุปกรณ์ในแพลตฟอร์ม Windows 7, iOS และ BlackBerry สามารถล้างข้อมูลต่างๆ ได้อย่างหมดจด ซึ่งหากจะขายต่อก็นับว่าวางใจได้ แต่ทั้งนี้ผู้ใช้จะต้องทำตามวิธีการที่ผู้ผลิตแนะนำจึงจะปลอดภัย ส่วนรายที่ไม่น่าวางใจคือ Android และ Windows XP ที่แม้จะล้างข้อมูลและการตั้งค่าตามวิธีของผู้ผลิตแล้ว ก็ยังสามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวต่างๆ ได้อยู่ดี ไม่ว่าจะเป็นเลขที่บัญชีธนาคาร, หมายเลขประกันสังคม ฯลฯ
รัฐบาลกลางสหรัฐฯ ได้เสนอให้มีการจัดตั้งศูนย์ยืนยันตัวบุคคลออนไลน์ทั่วประเทศขึ้นเพือลดปัญหาการปลอมแปลงบุคคลบนอินเทอร์เน็ต โดยข้อเสนอข้อให้มีการจัดตั้งศูนย์กลางเพื่อออก อุปกรณ์ยืนยันตัวบุคคลเช่นสมาร์ทการ์ด
ชื่อแผนงานคือ National Strategy for Trusted Identities in Cyberspace (NSTIC) เป็นแผนสำหรับการออกอุปกรณ์ยืนยันบุคคลออนไลน์ เพื่อให้บริการต่างๆ เช่นบริการจ่ายเงินออนไลน์ที่ต้องการข้อมูลยีนยันตัวบุคคล สามารถยืนยันตัวบุคลลได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น เนื่องจากข้อมูลที่ใช้ยืนยันได้รับการรับรองจากรัฐบาล
ปัญหาการโจรกรรมความเป็นตัวบุคคล (Identity Theft) กำลังเป็นปัญหาที่หนักขี้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในโลกออนไลน์ที่การตรวจสอบนั้นน้อยลงเรื่อยๆ ส่วนแฮกเกอร์นั้นสามารถทดสอบตัวบุคคลที่ปลอมแปลงขึ้นได้ง่ายขึ้น
แต่สำหรับในสหรัฐฯ นั้น ปราการด่านแรกคือการปลอมแปลงหมายหมายเลขประกันสังคม (Social Security Number - SSN) ที่ทำได้ค่อนข้างยากเนื่องจากมีหมายเลข PIN กำกับไว้สามหลัก อีกทั้งไม่สามารถการคาดเดาหมายเลขนี้แบบเจาะจงตัวบุคคลนั้นยิ่งทำได้ยากมากขึ้น แต่งานวิจัยล่าสุดก็เตือนให้ประชาชนสหรัฐฯ ต้องระวังตัวกันมากขึ้น