กลางปี 2561 ภาครัฐเปิดตัว “บัตรแมงมุม” ที่จะเป็น ตั๋วร่วม หวังให้คนไทยถือบัตรใบเดียวสามารถใช้จ่ายรถไฟฟ้า รถเมล์ และซื้อสินค้าได้ทั้งหมด แต่ปัจจุบันยังใช้ได้แค่รถไฟฟ้า MRT AirportRailLink แต่ใช้ BTS ไม่ได้ ทั้ง 100% แล้วเมื่อไรบัตรร่วมจะเกิดขึ้นจริง?
กลายร่าง! บัตรแมงมุม แปรสภาพเป็น บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และยังใช้ขึ้นรถไฟฟ้าไม่ได้
บัตรแมงมุมอัพเกรดเป็นเดบิต ต.ค.นี้เตรียมใช้กับรถเมล์ แอร์พอร์ตลิ้งค์ หวัง BTS ร่วมวง
ในไทยมีระบบขนส่งมวลชนหลายรูปแบบทั้งรถประจำทาง (รถเมล์) รถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน-สายสีม่วง รถไฟฟ้า BTS (สายสีเขียว) รถไฟ เรือด่วนคลองแสนแสบ เรือแม่น้ำเจ้าพระยา รถทัวร์ ฯลฯ
เลยเป็นที่มาให้กระทรวงคมนาคมออกระบบ “ตั๋วร่วม” หรือบัตรแมงมุมขึ้น โดยมีคอนเซ็ปต์ใหญ่คือการใช้บัตรใบเดียวใช้จ่ายในระบบการเดินทางได้สะดวก ตั้งแต่รถไฟฟ้า รถเมล์ เรือ ไปจนถึงจ่ายค่าทางด่วนต่างๆ และในเฟสถัดไปต้องรวมไปถึงการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันเหมือนเทรนด์โลกที่กำลังเป็นไป
แต่ปัจจุบันบัตรแมงมุมสามารถใช้ได้ในรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน สายสีม่วง AirportrailLink รถเมล์บางส่วน (ทดลอง 2,600 คัน) ทว่าประชาชนทั่วไปยังใช้กับรถไฟฟ้า BTS ไม่ได้ สาเหตุที่ BTS ไม่เข้าร่วมอาจเพราะเป็นเรื่องต้นทุนในการพัฒนาเครื่องรับบัตร การปรับระบบต่างๆ ขณะเดียวกัน BTS ลงทุนสร้างบัตร Rabbit กับพันธมิตรมากมาย ถ้าบัตรแมงมุมเริ่มใช้จริงรายได้จากบัตร Rabbit อาจลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ
อย่างไรก็ตามตอนนี้ทางการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) แก้เกมส์ BTS ไม่เข้าร่วมด้วยการเตรียมอัพเกรดบัตรแมงมุมให้เป็นระบบ EMV (Euro Mastercard Visa) คือใช้ระบบเดียวกับบัตรเครดิตและเดบิต ดังนั้นในอนาคตประเทศไทยมีความหวังที่จะใช้บัตรใบเดียวเดินทางผ่านระบบขนส่งมวลชนได้ง่ายขึ้น ใช้บัตรใบเดียวจ่ายเงินได้เลย และอาจจะรวมถึงการพัฒนาแอปพลิเคชั่นเพื่อจ่ายค่าเดินทางต่างๆ
*ปัจจุบันบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเวอร์ชั่น 4.0 ระบุว่ามีวงเงินสำหรับใช้บน BTS ได้
สุเมธ องกิตติกุล ผู้อำนวยการวิจัย ด้านนโยบายการขนส่ง และโลจิสติกส์ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) บอกว่า แม้ปีที่แล้วภาครัฐจะออกบัตรแมงมุม หรือตั๋วร่วม เพื่อให้ประชาชนใช้จ่ายค่าโดยสารขนส่งสาธารณะได้ง่ายขึ้น แต่ปัจจุบันบัตรนี้ยังใช้กับขนส่งไม่หลากหลายตามที่รัฐคาดการณ์ไว้
โดยต้องจับตามองในปี 2564-2565 ว่าตั๋วร่วมหรือบัตรแมงมุมจะประสบความสำเร็จหรือไม่ เพราะเป็นปีที่รถไฟฟ้าสายสีขมพูและสายสีเหลืองเปิดใช้งาน โดยรถไฟฟ้าทั้ง 2 สายจะเชื่อมกับรถไฟฟ้า MRT สายนำ้เงิน ดังนั้นทางรฟม.น่าจะมีเงื่อนไขในสัญญาสัมปทานว่าต้องมีระบบใช้ตั๋วร่วมกัน รวมถึงไม่คิดค่าตั้งต้นเพิ่มเมื่อประชาชนเดินทางด้วยรถไฟฟ้า 2 สายขึ้นไป
“แม้รฟม.จะให้สัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและสายสีชมพูกับ BTS แต่เพราะมีสถานีที่เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายปัจจุบันทั้งสายสีน้ำเงินและสายสีม่วง ระบบตั๋วต้องเป็นระบบเดียวกัน และมีเงื่อนไขว่าถ้าประชาชนเดินทางจากสายสีชมพูหรือสายสีเหลือง แล้วต่อรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินต้องใช้ตั๋วใบเดียวกัน และเสียค่าตั้งต้นหรือค่าแรกเข้าเพียงครั้งเดียว เมื่อเปลี่ยนขบวนไปที่รถไฟฟ้าอีกสายก็ไม่ต้องเสียค่าแรกเข้าเพิ่ม”
ทั้งนี้ภายใน 2-3 ปีน่าจะเห็นความชัดเจนว่ารถไฟฟ้าจะมีเงื่อนไขอย่างไร เมื่อต้องใช้ระบบตั๋วร่วมกันผู้ประกอบการต้องคำนวนต้นทุนหัวอ่าน ระบบบริหาร ระบบความเสี่ยงในจุดต่างๆ เพิ่มเติม และต้องหวังว่ารฟม.จะไม่ปล่อยให้ประชาชนต้องถือบัตร 2 ใบเพื่อใช้เดินทางในรถไฟฟ้าสายสีชมพู สายสีเหลือง ซึ่งเชื่อมกับรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินและสีม่วง
อย่างไรก็ตามในระยะใกล้นี้แม้จะมีรถไฟฟ้าสายใหม่ๆ เปิดตัวเช่น รถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย ยังต้องใช้บัตร Rabbit เหมือนเดิม และจะเปิดส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินยังใช้บัตร MRT ของ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM เดิมไปก่อน
สรุปในต่างประเทศทั้งสิงค์โปร์ ลอนดอน ญี่ปุ่น มีบัตรใบเดียวสามารถใช้จ่ายค่ารถไฟฟ้า ค่ารถเมล์ รวมไปถึงช้อปปิ้งซื้อของในชีวิตประจำวันได้หมด ส่วนของไทยต้องรอดูว่าภาครัฐจะจริงจังแค่ไหน กับการทำให้ประชาชนสะดวกสบาย หรือจะปล่อยให้ภาคเอกชนทำธุรกิจง่ายขึ้นแต่ประชาชนใช้ชีวิตยากขึ้นทุกวันแทน
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา
รายงานจากสื่อญี่ปุ่นระบุว่าตอนนี้ Sony กำลังมีการพัฒนาระบบกล้อง 6 ตัว (Hexa camera) ที่จะนำมาใช้งานกับสมาร์ทโฟนตระกูล Xperia
The post ลือ Sony กำลังพัฒนากล้องสมาร์ทโฟนแบบ 6 ตัว (Hexa camera) appeared first on mxphone.
เผย Huawei ได้มีการส่งมอบอุปกรณ์ที่รันกับระบบปฏิบัติการ HongMeng ที่ทางค่ายพัฒนาขึ้นเองจำนวน 1 ล้าน เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการทดสอบ
The post เผย Huawei ส่งมอบอุปกรณ์ที่รัน HongMeng จำนวน 1 ล้านเครื่อง เพื่อใช้ทดสอบ appeared first on mxphone.
คอบอลได้ดูกันต่อเนื่อง เมื่อ True Visions ได้ลิขสิทธิ์ถ่าย พรีเมียร์ลีก อังกฤษ 3 ฤดูกาลต่อจากนี้ 2019/20 – 2021/22 ลิขสิทธิ์ครบถ้วนแบบเบ็ดเสร็จเต็มรูปแบบจากพรีเมียรลีกอังกฤษโดยตรง ดูได้ทั้งบนทีวีและออนไลน์ เป็นเพย์ทีวีรายเดียวที่ถ่ายครบ 380 แมทช์
พีรธน เกษมศรี ณ อยุธยา หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านคอนเทนต์ และมีเดีย บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น บอกว่า ทรูวิชั่นส์เตรียมเปิด 6 ช่องเพื่อรองรับ โดยเริ่มต้นวันที่ 10 ส.ค. 62 โดยสมาชิกที่ใช้บริการทรู เช่น ทรูวิชั่นส์ ทรูมูฟเอช ทรูออนไลน์ และทรูไอดี จะได้ดูกันแบบเต็มที่
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา
Xiaomi เปิดตัว Amazfit Smart Watch 2 และ Health Watch ที่มาพร้อม ECG เซ็นเซอร์วัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจแบบออปติคัลเหมือนกับของ Appl Watch 4
The post Xiaomi เปิดตัว Amazfit Smart Watch 2 และ Health Watch มากับเซ็นเซอร์ ECG appeared first on mxphone.
ล่าสุด MacRumors ได้ออกมาเผยตัวเคสใสสำหรับ iPhone รุ่นปี 2019 ที่จะเปิดตัวในเดือนกันยายนนี้ ถึง 3 รุ่น 3 ขนาดด้วยกัน ซึ่งจะเป็นรุ่นใหม่ที่ต่อจาก iPhone XS, XS Max และ iPhone XR
จากคลิปที่หลุดออกมานี้ จะเห็นว่าเคสใสนั้นสามารถใส่ได้พอดีกับ iPhone XS, XS Max และ iPhone XR นั่นหมายความว่าไอโฟนรุ่นใหม่ทั้ง 3 รุ่น จะมีขนาดเท่ากับรุ่นเดิมทั้งหมด แต่เมื่อสังเกตรูสำหรับกล้องหลังพบว่า มีรูปร่างสี่เหลี่ยมเหมือนกันทั้ง 3 รุ่น ซึ่งแตกต่างจากรุ่นก่อน ที่กล้องหลังจะเรียงตามแนวตั้ง
และจากข่าวลือภาพหลุดที่ออกมาก่อนหน้านี้ พบว่า iPhone ที่จะมาแทน iPhone XS และ XS Max นั้นจะมีถึง 3 ตัว และจะเรียงแบบซิกแซกตามภาพด้านล่าง สุดท้ายก็ต้องมาคอยดูกันว่าเมื่อแอปเปิลเปิดตัวจริง ๆ จะออกมาเป็นอย่างไร
ที่มา – MacRumors
The post [หลุด] ภาพเคสใสของ iPhone 3 รุ่นใหม่ พบกรอบกล้องหลังเป็นสี่เหลี่ยมทั้งหมด appeared first on Macthai.com.
Xiaomi เปิดตัวสายรัดข้อมืออัจฉริยะรุ่นใหม่ Mi Band 4 อย่างเป็นทางการที่จีน ซึ่งมาพร้อมกับการอัพเกรดครั้งใหญ่ โดยมีขาย 3 เวอร์ชั่นและรุ่นท็อปรองรับกับ NFC
The post เปิดตัว Xiaomi Mi Band 4 จอสี, มีระบบสั่งงานด้วยเสียง และรองรับ NFC appeared first on mxphone.
จัดกันไปกับการทดสอบกล้องของ OPPO Reno 10x Zoom และ Huawei P30 Pro ที่ทั้งคู่มากับจุดแข็งที่เหมือนกันคือการซูมของกล้องหลัง
The post เทียบชัดๆกับกล้อง OPPO Reno 10x Zoom ปะทะ Huawei P30 Pro คู่เทพงานซูม appeared first on mxphone.
ในที่สุด GLB ของ Mercedes-Benz ก็เปิดตัวอย่างเป็นทางการ แม้ราคาขายปลีกแนะนำยังไม่เปิดเผย แต่อย่างน้อยก็รู้ว่า SUV ขนาดเล็กรุ่นนี้จะจำหน่ายในสิ้นปี 2562 แถมยังเป็นอีกก้าวในการบุกตลาดรถกลุ่ม Compact ด้วย
นับตั้งแต่ A-Class เปิดตัวในปี 2540 ตัวยอดขายรถยนต์กลุ่ม Compact หรือรถยนต์ขนาดเล็ก ของ Mercedes-Benz ที่หมายถึงตระกูล A-Class, B-Class, CLA และ GLA ก็มากถึง 6.5 ล้านคัน และปี 2561 ยอดขายกลุ่ม Compact ก็คิดเป็น 6.09 ล้านคัน หรือ 1 ใน 4 ของยอดขายทั้งหมด
ขณะเดียวกันด้วยความต้องการของผู้บริโภคที่ไหลไปทางรถแบบ SUV มากขึ้น ก็ทำให้ยอดขายของ Mercedes-Benz มาจาก SUV ถึง 1 ใน 3 ในปี 2561 ด้วย และเมื่อนำสองปัจจัยมารวมกันก็ไม่แปลกที่ Mercedes-Benz จะต้องเร่งทำตลาดรถยนต์ SUV ขนาดเล็ก และนั่นคือที่มาของ GLB ที่เพิ่งเปิดตัวที่สหรัฐอเมริกาไป
สำหรับ GLB นั้นเป็นรถยนต์ SUV ขนาดเล็ก แต่มี 7 ที่นั่ง (2 ที่นั่งตอนท้ายเหมาะกับคนที่สูงไม่เกิน 168 ซม.) โดยตัวรถจะถูกผลิตที่โรงงานในเม็กซิโกเพื่อส่งออกไปยังประเทศต่างๆ ยกเว้นในจีนที่จะผลิตที่โรงงานในปักกิ่ง ส่วนประเทศแรกที่จะจำหน่ายก็คือเยอรมนี เพราะสิ้นปีนี้ก็หาซื้อกันได้แล้ว
ด้านการทำตลาดนั้น GLB จะมาพร้อมกับ 5 รุ่นย่อย ประกอบด้วยเครื่องยนต์เบนซิน GLB 200 และ GLB 250 4MATIC กับเครื่องยนต์ดีเซล GLB 200 d, GLB 200 d 4MATIC และ GLB 220 d 4MATIC ซึ่งมีรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อเข้ามาตอบโจทย์การใช้งานมากขึ้นในกลุ่ม SUV ขนาดเล็ก
GLB เข้ามาปิดช่องว่างระหว่าง GLA กับ GLC ได้เป็นอย่างดี ผ่านการออกแบบให้ดูเป็น SUV จริงๆ ไม่ใช่รถแบบ Crossover ทำให้ใครที่กำลังดูรถสำหรับครอบครัว แต่ไม่ต้องการให้ใหญ่มาก GLB ก็น่าจะตอบโจทย์ได้ และหากราคาเปิดออกมาไม่แรงมาก เชื่อว่า GLB ต้องมียอดขายดีแน่นอน
อ้างอิง // Mercedes-Benz
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา
Apple เตรียมแผนสองถ้าหากสงครามการค้าระหว่าง 2 มหาอำนาจยังยืดเยื้อ โดยสามารถย้ายฐานการผลิตออกจากจีนได้ทันที และเรื่องนี้ Foxconn พร้อมสนับสนุนเต็มที่
Apple เตรียมแผนสองสำหรับการผลิต iPhone ถ้าหากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนรุนแรงเพิ่มมากขึ้น สำหรับแผนการดังกล่าวคือการย้ายสายการผลิตออกนอกจีน และสามารถย้ายการผลิตออกได้ทันที โดยแผนการนี้ยืนยันจากผู้บริหารอาวุโสของ Foxconn ว่าทำได้จริง และโรงงานผลิตนอกจีนทั้งหมดสามารถรองรับปริมาณได้แน่นอน
Young Liu หัวหน้าแผนก Semiconductor จาก Foxconn ได้กล่าวว่า บริษัทพร้อมที่จะสนับสนุน Apple เต็มที่ถ้าหากต้องการย้ายสายการผลิต iPhone ออกจากประเทศจีน ถ้าหากสงครามการค้าระหว่าง 2 มหาอำนาจรุนแรงมากขึ้น โดยปัจจุบันสายการผลิต iPhone อยู่นอกประเทศจีนคิดเป็น 25% ของสายการผลิตรวม
Terry Gou ประธานของ Foxconn ได้เคยกล่าวกับ Bloomberg ว่า iPhone อาจผลิตจำนวนมากได้ที่ประเทศอินเดีย นอกจากนี้บริษัทก็ยังมีแผนที่จะสร้างโรงงานนอกจีนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นที่อินเดีย ที่ผลิต iPhone รุ่นเก่า แต่ปัจจุบันบริษัทกำลังทดลองสายการผลิต iPhone รุ่นใหม่ด้วย นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนที่จะสร้างโรงงานแห่งใหม่ที่ประเทศเวียดนามอีกด้วย รวมไปถึงที่สหรัฐที่คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2020
ก่อนหน้านี้ Katy Huberty นักวิเคราะห์จาก Morgan Stanley เคยวิเคราะห์ว่าสงครามการค้าจะสร้างผลกระทบให้กับ Apple มาก โดยเฉพาะ iPhone XS รุ่นใหม่ที่ราคาแพงขึ้นได้มากถึงเกือบ 5,000 บาท ขณะที่ JPMorgan คาดว่าราคา iPhone รุ่นใหม่จะสูงขึ้น 14% ถ้าหากอ้างอิงจากอัตราภาษีนำเข้าปัจจุบัน แต่ถ้าหากย้ายฐานการผลิตกลับสหรัฐนั้น Bank of America คาดว่าราคาอาจสูงขึ้นได้ถึง 20%
ประเทศจีนนอกจากจะเป็นแหล่งผลิต iPhone ใหญ่ที่สุดแล้ว ยังเป็นแหล่งรายได้ในการขาย iPhone เป็นอันดับ 3 รองจากสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป ยอดขายที่ลดลงในประเทศจีนในช่วงที่ผ่านมา ทำให้นักวิเคราะห์ต้องปรับประมาณการกำไรใหม่ ทำให้ราคาหุ้นของบริษัทได้รับผลกระทบไปในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา
ที่มา – Business Insider, CNBC
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา
แบรนด์รองเท้านักเรียนนันยางเตรียมผลิตรองเท้าผ้าใบสีแดง หลังจากที่เคยได้เอ่ยปากว่าจะผลิตถ้าสโมสรลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ UCL
ควันหลงจากการฉลองแชมป์ UCL หรือ UEFA Champions League ของสโมสรลิเวอร์พูลจากพรีเมียร์ลีคอังกฤษ ที่สามารถเอาชนะสโมสรทอตนัมฮอตสเปอร์ไปได้ เมื่อวันที่ 1 มิถุนายนที่ผ่านมา
เป็นสีสันการตลาดในประเทศไทยเมื่อแบรนด์รองเท้านักเรียน “นันยาง” ได้เคยโพสท์ภายในเพจ นันยาง Nanyang ไว้ว่า “ถ้าลิเวอร์พูลได้แชมป์ จะผลิตรองเท้าผ้าใบสีแดง” ได้โพสท์เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม
ผลปรากฎว่าหลังจากที่ลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ได้สำเร็จ ล่าสุดทางเพจได้มีการเคลื่อนไหว พร้อมกับบอกว่า “เราจะทำตามสัญญา” จะมีการผลิต NanyangRed รองเท้าผ้าใบสีแดงในเร็วๆ นี้
เชื่อว่ามีทั้งแฟนๆ ของนันยางเอง และแฟนๆ ของลิเวอร์พูลเองก็ตั้งแต่ราเช่นกันว่ารองเท้าผ้าใบนันยางสีแดงจะออกมาหน้าตาเป็นอย่างไร
ซึ่งถือว่าได้รับความน่าสนใจพอสมควร เป็นการสร้างสีสันทางการตลาดได้ดีอย่างหนึ่ง และเป็นการทำให้แบรนด์ดูแอคทีฟ และทันสมัยขึ้นด้วย ไม่ได้จำกัดอยู่แค่รองเท้านักเรียนเพียงอย่างเดียว
เพระาตลาดรองเท้านักเรียนเองก็มีช่วงเวลาการขายที่จำกัด มีช่วงพีคแค่ช่วงเปิดเทอมเท่านั้น การที่มีสินค้าใหม่ๆ ตามกระแส จะช่วยสร้างการเติบโตได้ดีขึ้น
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา
Google Lens บริการที่ใช้ความสามารของ AI ในการช่วยค้นหาข้อมูลต่าง ๆ จากรูปภาพ เพียงแค่ยกกล้องโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายสิ่งรอบตัว ข้อมูลที่เราอยากรู้ก็จะปรากฏขึ้นมา
The post Google Lens แค่ยกกล้องมือถือขึ้นมาถ่าย ก็ช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้น appeared first on mxphone.
ส่องสถิติทราฟิกเข้าชมเว็บไซต์ Pornhub ประจำปี พบว่าเมืองนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกาเข้าชมสูงที่สุดในโลก ส่วนประเทศไทยไม่น้อยหน้าติดอันดับ 10 ของโลกเช่นกัน
Pornhub เปิดเผยสถิติ ประจำปี จัดอันดับ 20 เมืองที่มีการเข้าชมเว็บไซต์มากที่สุด พบว่าเมืองนิวยอร์กติดอันดับ 1 มีประชากรทั้งหมด 8.5 ล้านคน ตามมาด้วยกรุงลอนดอนประเทศอังกฤษติดอันดับ 2 มีประชากรทั้งหมด 8.1 ล้านคน ส่วนปารีสติดอันดับ 3 เป็นเมืองที่มีประชากรเพียง 2.1 ล้านคนเท่านั้น แสดงว่าคนปารีสนิยมดูหนังโป๊กันมากเลยทีเดียว
ซึ่งประเทศสหรัฐอเมริกานั้นมีถึง 7 เมืองที่ติดท็อป 20 อันดับ ได้แก่ New York, Los Angeles, Chicago, Houston, Dallas, Washington DC และ Atlanta ในขณะที่ออสเตรเลียมี 3 เมืองที่ติดอันดับ ได้แก่ Sydney, Melbourne และ Brisbane
ประเทศญี่ปุ่นที่ขึ้นเรื่องหนัง AV ก็ติดอันดับ 2 เมือง ได้แก่ Osaka และ Yokohama ซึ่ง 20 อันดับแรกนี้คิดเป็นสัดส่วน 16.8% ของทราฟิกที่เข้าชมเป็นประจำทุกวัน
ส่วนประเทศไทยก็ไม่น้อยหน้า ชาวกรุงเทพฯ ติดที่อันดับ 10 มีการรับชมเฉลี่ย 11.52 นาทีในแต่ละครั้ง
เวลาเฉลี่ยในการชม Pornhub ของทั่วโลกในแต่ละครั้งอยู่ที่ 10.13 นาที ในบรรดา 20 เมืองที่ติด 20 อันดับแรก เมือง Seoul ประทเศเกาหลีใต้มีการรับชมมากที่สุดในโลกอยู่ที่ 12.15 นาที ในขณะที่ชาวญี่ปุ่นมีการรับชมแบบมาไวไปไวประมาณ 8 นาที
ที่น่าสนใจคือยุคนี้มีสัดส่วนของผู้หญิงที่เข้าชม Pornhub สูงขึ้นเรื่อยๆ โดยที่เมือง Warsaw ประเทศโปแลนด์มีสัดส่วนผู้หญิงถึง 34% ในประเทศไทยสูงถึง 31% เช่นกัน
ช่องทางในการรับชมส่วนใหญ่มาจากสมาร์ทโฟน หรือแท็บเล็ต พบว่าเมือง Dallas มีการรับชมผ่านสมาร์ทโฟนในสัดส่วนสูงที่สุดที่ 94% ส่วนประเทศไทยมีสัดส่วน 89%
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา
Expedia Group เปิดข้อมูลของนักท่องเที่ยวในการจองที่พักในประเทศไทย พบว่าสหรัฐอเมริกายังเป็นตลาดใหญ่ที่สุด รวมถึงชาวจีน และอินเดียมีแนวโน้มมีกำลังซื้อมากขึ้น
Expedia Group แพลทฟอร์มด้านการท่องเที่ยวที่ใหญ่ เปิดเผยเทรนด์ความต้องการที่พักล่าสุดในไทย โดยผู้ประกอบการที่พักในไทยยิ้มรับยอดจองที่เติบโตอย่างต่อเนื่องข้อมูลจาก Expedia Group เผยว่าความต้องการที่พักจากนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยรวมในประเทศไทยเติบโตขึ้นปีต่อปีถึง 10% ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา
ความต้องการที่พักของนักเดินทางชาวจีนและอินเดียเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อิสราเอลและแอฟริกาใต้เป็นตลาดเกิดใหม่ที่มีความต้องการระดับสูง
Expedia Group ได้ทำการรวบรวมข้อมูลจากแบรนด์การท่องเที่ยวที่หลากหลายซึ่งอยู่บนแพล็ตฟอร์มของทางบริษัทพบว่า มี 9 ข้อมูลเชิงลึก ดังนี้
1. นักเดินทางจากสหรัฐอเมริกายังคงเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดสำหรับไทย โดยความต้องการที่พักเติบโตขึ้นประมาณ 20% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ในขณะที่จีนคือตลาดที่ใหญ่รองลงมา ซึ่งแซงญี่ปุ่นฮ่องกงและเกาหลีใต้เป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา นอกจากจีนแล้ว อินเดียก็ไต่อันดับขึ้นมา 3 อันดับ โดยขึ้นมาอยู่อันดับที่ 10 ของนักเดินทางต่างชาติที่เดินทางมายังประเทศไทยมากที่สุด
2. ชาวจีน-อินเดีย ลูกค้ากลุ่มพรีเมี่ยม ที่น่าสนใจคือนักเดินทางจากจีนและอินเดียมีแนวโน้มการจองที่พักระดับพรีเมียมที่มากขึ้น โดย 60% ของการจองที่พักโดยนักเดินทางชาวจีน และ 55% ของการจองโดยนักเดินทางชาวอินเดียเป็นการจองที่พักระดับ 4 ดาวและ 5 ดาว ซึ่งเทรนด์การจองนี้เป็นไปตามกลยุทธ์ของรัฐบาลไทยที่มุ่งเน้นดึงดูดนักท่องเที่ยวระดับพรีเมี่ยมจากจีน และอินเดียให้มากขึ้น
3. ด้านของเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมอย่าง กรุงเทพฯ พัทยา และภูเก็ต ก็คือจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวชาวจีนและอินเดียเลือกไปพักผ่อนมากที่สุด มากไปกว่านั้นมีสถานที่ดังต่อไปนี้ มีการขยายการเติบโต ได้รับความนิยมด้านการจองที่พักจากนักเดินทางมากถึง 3 หลัก เมื่อเปรียบเทียบอัตราการเติบโตแบบปีต่อปีในช่วงเวลาเดียวกัน ทั้งหัวหินโต 110% ,เกาะพีพีโต 100% ,และเกาะหลีเป๊ะโต 100% ตามลำดับ
4. ผลสำรวจล่าสุดระบุว่า 80% ของนักเดินทางจากต่างชาติ โดยไม่ได้อ้างอิงถึงอายุเชื่อว่าการจองที่พักให้เสร็จสมบูรณ์ในที่เดียวนั้นถือว่าเป็นประโยชน์มาก โดยข้อมูลจาก Expedia Group ยืนยันว่าความต้องการประสบการณ์การจองแบบครบวงจรในที่เดียวที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้การจองแพ็คเกจระดับนานาชาติเพิ่มขึ้นปีต่อปีถึง 50%
5. นอกจากนี้ข้อมูลยังเผยว่ากลุ่มนักเดินทางชาวจีนคือ ตัวขับเคลื่อนความต้องการด้านแพ็คเกจในประเทศไทย โดย 1 ใน 3ของแพ็คเกจที่จองโดยนักเดินทางต่างชาติมาจากชาวจีน จีนยังเป็นตลาดที่เติบโตเร็วที่สุดในด้านความต้องการแพ็คเกจ ซึ่งพุ่งสูงถึง 200% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว อินเดียก็เติบโตไปในทิศทางเดียวกัน โดยความต้องการแพ็คเกจเติบโตขึ้นปีต่อปีถึง 160% นอกจากนี้ไอร์แลนด์ เกาหลีใต้และอินโดนีเซียต่างก็มีความต้องการแพ็คเกจที่สูงขึ้นปีต่อปีถึง 130%,120% และ 100% ตามลำดับ
6. UAE-แอฟริกาใต้ ตลาดใหม่สุดพรีเมี่ยมที่ควรเจาะ เมื่อเจาะลึกถึงข้อมูลเกี่ยวกับตลาดนานาชาติที่เกิดขึ้นใหม่ซึ่งมีการเติบโตที่น่าประทับใจ Expedia Group ยืนยันว่าสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ แอฟริกาใต้ และอิสราเอลคือตลาดใหม่ระดับไฮเอนด์ที่ผู้ประกอบการด้านที่พักควรลงทุน นักเดินทางจากตลาดดังกล่าวใช้จ่ายค่าที่พัก 15% ที่สูงกว่า และเข้าพักนานกว่าประมาณ 1 วัน เมื่อเทียบกับนักเดินทางต่างชาติทั่วไป
7. ซึ่ง 70% ของการจองโดยนักเดินทางจากประเทศเหล่านี้เป็นการจองที่พักระดับ 4 ดาว และ 5 ดาว และยังมียอดใช้จ่ายค่าที่พักรายวันมากกว่านักเดินทางต่างชาติอื่น ๆ 50%
8. นักท่องเที่ยวจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์แอฟริกาใต้ และอิสราเอลนิยมมาพักที่กรุงเทพฯ เพื่อสัมผัสบรรยากาศและเสน่ห์ของเมืองหลวง หรือแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลอย่างภูเก็ต พัทยา เกาะสมุย และเกาะพะงัน
9. พันธมิตรด้านผู้ประกอบการต่าง ๆ ที่ต้องการเจาะตลาดนักเดินทางระดับไฮเอนด์ควรตระหนักเรื่องช่วงเวลา หรือฤดูที่มีนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมากทั้งนี้ข้อมูลรายงานว่านักเดินทางจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ชอบเดินทางท่องเที่ยวในช่วงเดือนมิถุนายนถึงกันยายน และธันวาคมถึงมกราคม ในขณะที่นักเดินทางจากอิสราเอลและแอฟริกาใต้มักจะเดินทางท่องเที่ยวในเดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา
เมื่อมีบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯที่ทำผิดกฎเกณฑ์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) จะติดป้ายชื่อที่หุ้นเพื่อเตือนนักลงทุน รวมถึงมีบทลงโทษ เช่น หุ้นติดป้าย SP (SUSPENSION) จะห้ามการซื้อขายหุ้นจดทะเบียนชั่วคราว มากกว่า 1 รอบ
แต่จากเดือนเม.ย. 2562 ที่ผ่านมา ทางตลท.เริ่มใช้เกณฑ์ SP ใหม่ นำมาสู่การเปิดขายหุ้นที่ถูก SP ในวันที่ 1 ก.ค. 2562 นี้
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ ตลท. (SET) เตรียมเปิดซื้อขายหลักทรัพย์ชั่วคราว 1 เดือนในช่วงวันที่ 1-31 ก.ค. 2562 สำหรับหลักทรัพย์ที่ถูกหยุดพักการซื้อขาย (SP) ต่อเนื่องนานเกินกว่า 3 เดือน โดยมีเงื่อนไขดังนี้
ทางตลาดหลักทรัพย์ฯ จะประกาศรายชื่อหลักทรัพย์ที่เข้าเกณฑ์วันที่ 20 มิ.ย. นี้
อย่างไรก็ตามทุกหลักทรัพย์ติด SP ที่จะเริ่มเปิดให้ซื้อขายชั่วคราวในนี้ ผู้ลงทุนมีความระมัดระวังในการซื้อขาย ตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยกำหนดให้ผู้ลงทุนต้องซื้อด้วยบัญชี Cash Balance คือผู้ซื้อต้องชำระเงินก่อนการซื้อทั้งจำนวน และขึ้นเครื่องหมาย NC (Non-Compliance) กำกับตลอดระยะเวลาที่ให้มีการซื้อขาย
โดยหลังจากวันที่ 31 ก.ค. 2562 หลักทรัพย์จะถูก SP (ห้ามซื้อขาย) ต่อไปจนกว่าบริษัทจะเปิดเผยข้อมูลหรือแก้ไขให้มีคุณสมบัติครบถ้วนที่จะกลับมาซื้อขายตามปกติได้ ทั้งนี้เพื่อให้หลักทรัพย์สามารถซื้อขายต่อไปได้ตามสภาพความเป็นจริง จะไม่มีการกำหนดราคาซื้อขายสูงสุดและต่ำสุดของหลักทรัพย์ดังกล่าวในวันที่ 1 ก.ค. 2562 หรือวันแรกที่มีการซื้อขาย ทั้งนี้ ข้อมูลการซื้อขายของหลักทรัพย์ในกลุ่มนี้จะไม่รวมคำนวณในข้อมูลสถิติของตลาดหลักทรัพย์
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา
หลังหยุดทำตลาด NEOPAN Acros 100 ฟิล์มขาวดำยอดนิยมดของ Fujifilm เมื่อเดือนต.ค. 2561 เพราะความต้องการลดลง ในที่สุด Fujifilm ก็ต้องกลับมาผลิตอีกครั้ง ผ่านการเรียกร้องจำนวนมากจากกลุ่มคนรุ่นใหม่
ก่อนหน้านี้การหยุดจำหน่าย NEOPAN Acros 100 ของ Fujifilm นั้นนอกจากความนิยมที่ลดลงแล้ว ยังมีปัจจัยเรื่องวัสดุในการผลิตที่หาค่อนข้างยาก จึงไม่แปลกที่ Fujifilm ต้องตัดสินใจหยุดทำตลาด และถึงจะขายฟิล์มสีอยู่ แต่ด้วยเหตุผลเดียวกันก็ทำให้ Fujifilm ต้องปรับราคาจำหน่ายเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 30% เลยทีเดียว
อย่างไรก็ตามเมื่อข่าวหยุดผลิตถูกส่งออกไปเมื่อปลายปีก่อน ฟากคนรุ่นใหม่ หรือ Millennial ต่างแสดงความต้องการให้ Fujifilm กลับมาทำตลาดฟิล์มขาวดำรุ่นดังกล่าวอีกครั้ง เนื่องจากความนิยมในการถ่ายภาพด้วยฟิล์มขาวดำเริ่มกลับมา ผ่านความสวยงามที่ดิจิทัลไม่สามารถตอบโจทย์พวกเขาได้
ที่สุดแล้ว Fujifilm จึงตัดสินใจทำตลาดฟิล์มขาวดำอีกครั้ง โดยตั้งชื่อใหม่ว่า NEOPAN Acros 100 II ผ่านการใช้วัสดุ และขั้นตอนการผลิตที่แตกต่างจากเดิม แต่ให้คุณภาพของภาพที่ดีกว่ารุ่นก่อน มีจำหน่ายทั้งฟิล์มขนาด 35 มม. และขนาด 120 ส่วนราคานั้นยังไม่ประกาศออกมา แต่จะเริ่มจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่นก่อน
สำหรับ Fujifilm นั้นจำหน่ายฟิล์มขาวดำมาตั้งแต่ปี 2479 ซึ่งช่วงนั้นเป็นรายได้หลักของบริษัท ก่อนตามมาด้วยฟิล์มสี แต่ปัจจุบันธุรกิจฟิล์มไม่ใช่รายได้หลักแล้ว ส่วนกลุ่ม Millennial ก็เป็นกลุ่มลูกค้าที่สำคัญของ Fujifilm สังเกตจากการทำตลาดกับกลุ่มนี้เสียส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นกล้อง Mirrorless หรือกล้อง Instax ก็ตาม
สรุปแม้จะเป็นกลุ่มเล็กๆ แต่มันก็มีความสำคัญหากเอาชนะใจลูกค้ากลุ่มนี้ได้ จึงไม่แปลกที่ Fujifilm จะยอมรับข้อเรียกร้องจากคนรุ่นใหม่ที่ต้องการให้ผลิตฟิล์มขาวดำอีกครั้ง และต้องรอดูต่อไปว่าหลังจากนี้ยอดขายฟิล์มของ Fujifilm จะมากขึ้นขนาดไหน คุ้มค่ากับการลงทุนลงแรงเพื่อทำตลาดอีกครั้งหรือไม่
อ้างอิง // Fujifilm
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา
ผู้นำสหรัฐให้สัมภาษณ์กับ CNBC ถึงเรื่องการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศจีน ถ้าหากผู้นำจีนไม่เข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำ G20 ที่ประเทศญี่ปุ่น
โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ได้ให้สัมภาษณ์กับ CNBC ว่า “เป็นไปได้” ที่สหรัฐเตรียมที่จะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศจีนเพิ่มอีกขั้นต่ำมูลค่า 3 แสนล้านเหรียญสหรัฐทันที ถ้าหาก สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ไม่เข้าร่วมการประชุม G20 ที่จะจัดขึ้นที่เมืองโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่นในช่วงวันที่ 28 ถึง 29 มิถุนายนที่จะถึงนี้
ประธานาธิบดีสหรัฐ ยังได้กล่าวว่ามูลค่าภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนล่าสุดคิดเป็นประมาณ 35% ถึง 40% ที่สหรัฐนำเข้าสินค้าจากจีน และจะเพิ่มที่เหลืออีก 60% เข้าไป ถ้าหากการเจรจาการค้ากับจีนไม่สำเร็จ
คำขู่ของทรัมป์เกิดขึ้นเนื่องจากยังไม่มีการยืนยันจากฝั่งจีนว่า สี จิ้นผิง จะเข้าร่วมการประชุม G20 หรือไม่ โดยการเจรจาการค้าของทั้ง 2 ฝ่ายล่มลงหลังจากที่สหรัฐอเมริกาได้ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศจีน มูลค่า 2 แสนล้านเหรียญสหรัฐทันที ทำให้การเจรจาของทั้ง 2 ฝ่ายเมื่อเดือนที่ผ่านมาไร้ข้อตกลง ตามมาด้วยการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐอีก 6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐจากจีน
เป้าหมายของรัฐบาลสหรัฐคือต้องการให้จีนเปลี่ยนแปลงนโยบายเรื่องของทรัพย์สินทางปัญญา เช่น การขโมยทรัพย์สินทางปัญญา เช่น กรณีของ Huawei ที่เคยมีคดีความกับบริษัทสหรัฐมาแล้ว การบังคับให้บริษัทต่างชาติต้องถ่ายทอดเทคโนโลยีแบบไม่เต็มใจ รวมไปถึงบริษัทต่างชาติไม่สามารถถือหุ้นได้เกิน 50% ในอุตสาหกรรมต่างๆ แตกต่างกับบริษัทจีนสามารถไปลงทุนนอกประเทศได้อย่างเสรี
ยังรวมไปถึงประเด็นค่าเงินหยวนที่สหรัฐกล่าวหาว่ารัฐบาลจีนสามารถควบคุมค่าเงินหยวนให้สามารถอ่อนค่า และแข็งค่าได้ ทำให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบในการแข่งขันในเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศ โดยสหรัฐขอให้จีนดูแลค่าเงินหยวนไม่ให้ผันผวน แม้ว่าตัวแทนของรัฐบาลจีนจะออกมากล่าวว่าจีนจะไม่แทรกแซงค่าเงินหยวน รวมไปถึงผู้นำจีนเองก็ยืนยันในเรื่องนี้
ทรัมป์ยังได้กล่าวกับ CNBC เพิ่มว่า กรณีของ Huawei ก็อาจรวมเป็นส่วนหนึ่งของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนรอบใหม่ด้วย แต่เขาเองก็เชื่อว่า ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง จะเข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำที่ประเทศญี่ปุ่นอย่างแน่นอน รวมไปถึงชื่นชมว่า “จริงๆ แล้วผู้นำจีนเป็นคนที่สุดยอดมาก”
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา
ก่อนหน้านี้ Apple เปิดตัวบัตรเครดิตเอาใจชาวอเมริกันที่ชอบใช้บัตรช้อปปิ้งทั้งออนไลน์ ออฟไลน์ ล่าสุด Amazon ก็เปิดตัวบัตรเครดิตบ้างที่สำคัญเอามาขยายกลุ่มลูกค้าประวัติการเงินไม่ดี หรือไม่มีเครดิตมาก่อน Amazon ทำได้อย่างไร?
Amazon เว็บไซด์ E-Commerce ยักษ์ใหญ่ของโลกล่าสุดจับมือกับธนาคาร Synchrony Financial เปิดตัว บัตรเครดิต Amazon Credit Builder มาเจาะกลุ่มลูกค้า Underbanked คือกลุ่มที่มีประวัติการเงินไม่ดี (เลยขอสินเชื่อไม่ได้) หรือไม่มีประวัติการเงินมาก่อนให้สามารถกู้เงิน หรือใช้บัตรนี้รูดซื้อสินค้ากับ Amazon ได้ง่ายขึ้น
ทั้งนี้บัตรเครดิต Amazon Credit Builder จะมีเงื่อนไขและสิทธิพิเศษคล้ายบัตรเครดิต Amazon Store Card เช่น ส่วนลด 5% เมื่อซื้อสินค้าในร้าน Amazon สิทธิพิเศษไม่คิดดอกเบี้ยเมื่อจ่ายชำระเงินคืนภายในระยะเวลาที่กำหนด (อาทิ 6, 12,24 เดือน)
อย่างไรก็ตามบัตร Amazon Credit Builder ถือเป็น secured credit card คือผู้ใช้งานต้องนำเงินฝากไว้ในบัญชีธนาคารเพื่อเป็นหลักประกัน ฝากเงินไว้เท่าไรก็สามารถกู้และใช้วงเงินได้ตามที่มีอยู่ในบัญชี โดยบัตรเครดิตแบบนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ในโลกเพราะในไทยก็มีให้บริการเช่นกัน
ที่ผ่านมา Amazon มีบัตรเครดิตที่เปิดร่วมกับธนาคาร Synchrony Financial อยู่แล้วคือ Amazon Store Card ซึ่งจะมีลูกค้าบางกลุ่มที่เงื่อนไขไม่ผ่าน ธนาคารไม่สามารถอนุมัติบัตรให้ได้เช่น กลุ่มลูกค้าที่ประวัติการเงินไม่ดี หรือไม่มี Credit มาก่อน ดังนั้นเมื่อ Amazon เปิดตัวโปรแกรม Amazon Credit Builder เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้านี้มากขึ้น และเพื่อสร้าง Royalty Program กับลูกค้าทุกกลุ่มโดยใช้คอนเซ็ปต์ว่า “คนที่มีประวัติการเงินไม่ดี สามารถสร้างเครดิตใหม่ให้ตัวเองได้”
ข้อมูลจากผลสำรวจ FICO ปี 2018 ระบุว่า ประชากรสหรัฐกว่า 11% คะแนนเครดิตต่ำกว่า 550 คะแนน และมีถึง 4% ที่ระบุชัดเจนว่าเป็นคนที่ประวัติทางการเงินไม่ดี (คะแนนอยู่ที่ 300-499 คะแนน)
ขณะเดียวกันลูกค้ากลุ่ม Underbanked ในสหรัฐมีไม่น้อย เพราะผลการสำรวจ FICO ปี 2017 พบว่า ครัวเรือนของสหรัฐกว่า 25% เป็นกลุ่ม Underbanked คือที่ไม่มีบัญชีธนาคารหรือเข้าไม่ถึงบริการทางการเงิน หากเทียบกับประชากรสหรัฐปัจจุบันกว่า 300 ล้านคน แสดงว่าสหรัฐมีคนกลุ่ม Underbanked อย่างน้อย 75 ล้านคน ถือเป็นฐานลูกค้าขนาดใหญ่
อย่างไรก็ตามการให้สินเชื่อกับลูกค้าที่มีความเสี่ยงมากขึ้น ดอกเบี้ยก็สูงขึ้นไปด้วย โดยบัตรเครดิตใหม่ของ Amazon ดอกเบี้ยเริ่มต้นที่ 28.24%
สรุปโลกดิจิทัลแบบนี้ความเร็วในการทำธุรกิจกลายเป็นเรื่องสำคัญ ถ้า Amazon เป็นเจ้าแรกที่เข้าถึงลูกค้ากลุ่ม Underbanked ได้นอกจากจะขยายฐานลูกค้า ยังสร้าง Royalty ในแบรนด์ และพัฒนาลูกค้ากลุ่มนี้ให้เข้าถึงสินเชื่อแบบอื่นๆ ได้มากขึ้น ต้องรอดูว่ากลยุทธ์เจาะลูกค้า Segment นี้จะเวิร์คหรือไม่?
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา
ลือกันมาอย่างนานว่าทาง Apple จะมีการเปลี่ยนพอร์ตเชื่อมต่อบนอุปกรณ์ iPhone จาก Lightning ไปเป็น USB-C ซึ่งล่าสุดก็มีแนวโน้มว่าการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว
The post เผยคำใบ้ใน iOS 13 Beta ว่า iPhone XL 2019 จะมีพอร์ต USB-C appeared first on mxphone.
ปฏิเสธไม่ได้ว่า Mazda คืออีกแบรนด์รถยนต์ญี่ปุ่นที่ช้าในเรื่องรถยนต์ไฟฟ้ามาโดยตลอด แต่หลังจากนี้จะไม่เป็นอย่างนั้นแล้ว เพราะล่าสุดประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Mazda ออกมาย้ำว่าจะเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าล้วนภายในปี 2563
สำหรับการเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าล้วน หรือ Battery Electric Vehicle (BEV) ของ Mazda นั้นมาจากการยืนยันจากปากของ Akira Marumoto ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Mazda เพราะเขายืนยันเองว่า ตัวรถยนต์ไฟฟ้าล้วนจะเปิดตัวในปี 2563 และจะตามด้วยรุ่น Plug-in Hybrid ภายในปี 2564-2565
“การเปิดตัวในเวลานั้นจะทำให้ Mazda สามารถทำตลาดภายใต้นโยบายเข้มงวดเรื่องการปล่อยมลพิษภายในยุโรปที่จะเริ่มต้นตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ และถึงก่อนหน้านี้เราจะประกาศร่วมมือพัฒนารถยนต์ไฟฟ้ากับ Toyota แต่รถยนต์ไฟฟ้าล้วนที่จะเปิดตัวในปี 2563 จะออกแบบโดย Mazda เองทั้งหมด”
อย่างไรก็ตามยังไม่มีความชัดเจนว่ารถยนต์ไฟฟ้าล้วนของ Mazda จะเปิดตัวทั้งหมดกี่รุ่น และทำตลาดในประเทศใดบ้าง รวมถึงจะใช้วิธีจำหน่ายขาด หรือเช่าใช้ แต่ทาง Akira Marumoto ก็บอกว่า ทาง Mazda ไม่ได้ผลิตรถยนต์เพื่อตลาดยุโรปโดยเฉพาะ ดังนั้นมันก็มีโอกาสจำหน่ายในภูมิภาคอื่นได้
ในทางกลับกันนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Mazda บอกว่าจะทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้า เพราะหากย้อนไปในปี 2559 ทาง Mazda ก็แจ้งว่าจะเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าล้วนภายในปี 2562 แต่ผ่านมาครึ่งปีแล้วก็ยังไม่มีความชัดเจนใดๆ เปิดเผยออกมา และอาจเป็นเหตุต้องเลื่อนการเปิดตัวไปเป็นปี 2563
สรุปเรียกว่าต้องลุ้นกันต่อไปว่ารถยนต์ไฟฟ้าล้วนของ Mazda จะออกมาในรูปแบบไหน เพราะรายละเอียดไม่ว่าจะเป็นรูปทรง และประสิทธิภาพก็ยังไม่ออกมา แต่เชื่อว่าสิ่งที่ Mazda ทำต้องตอบโจทย์ตลาด และสร้างความตื่นเต้นให้กับค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นไม่มากก็น้อย
อ้างอิง // Electrek
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา