เรื่องการเมืองกับปัญหาคอร์รัปชั่นเป็นของคู่กัน ยิ่งการเมืองไทยมีความซับซ้อนขึ้นเท่าไร ทั้งคนไทยและต่างชาติยิ่งจับตามองปัญหาคอร์รัปชั่นมากขึ้น
นอกจากปัญหาคอร์รัปชั่นจะกระทบรายบุคคลแล้ว ยังกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจไทยด้วย
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ SCB EIC บอกว่า ปัญหาคอร์รัปชันส่งผลเสียต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจและความเหลื่อมล้าในหลายประเทศรวมถึงไทย ขณะเดียวกันผลการศึกษาจาก IMF ยังบอกว่าประเทศที่มี GDP ต่อหัว (รายได้ต่อคน) สูงมักเป็นประเทศที่มีการคอร์รัปชั่นต่ำ ทั้งนี้ปัญหาคอร์รัปชั่นจะส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจใน 3 ด้าน ได้แก่
ทั้งนี้แนวทางในการแก้ปัญหาแบ่งเป็น 2 ส่วน ได้แก่ 1. ยกระดับธรรมาภิบาลของภาครัฐ เพิ่มความชัดเจน และลดความซับซ้อนของกรอบกฎหมาย เพื่อลดการใช้ดุลยพินิจ (Discretion) รัฐวิสาหกิจต้องทำงานอย่างมืออาชีพและไม่ถูกแทรกแซง
2. เพิ่มความโปร่งใสด้านข้อมูลและให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบ เช่น การเข้าถึงข้อมูลรายรับ/รายจ่าย รายละเอียดโครงการของภาครัฐในทุกระดับ กระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง รวมถึงการปรับปรุงกฎหมายที่ลดทอนสิทธิเสรีภาพในการตรวจสอบของประชาชนและสื่อมวลชน
แต่ที่ผ่านมาทั่วโลกให้คะแนนไทยต่ำลงเรื่องการแก้ปัญหาคอร์รัปชั่น ได้แก่
นอกจากนี้ยังมีข่าวเมื่อปี 2018 ว่า คอร์รัปชั่นยุค คสช.ทำสถิติสูงสุดในรอบ 3 ปี ดัชนีคอร์รัปชันไทยจากมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย บอกว่าความรุนแรงของปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันในยุครัฐบาล คสช. เพิ่มขึ้นถึง 37% เพราะกฎหมายที่เปิดโอกาสให้สามารถใช้ดุลพินิจเอื้อต่อการทุจริตคอร์รัปชั่น และกระบวนการที่ขาดความโปร่งใส ฯลฯ
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา
ใครเคยไปญี่ปุ่น สิงคโปร์ ลอนดอน ฮ่องกง ฯลฯ อาจเคยใช้ “บัตรแทนเงินสด” ที่สามารถใช้จ่ายค่าเดินทาง ซื้อของในร้านสะดวกซื้อ และใช้ในชีวิตประจำวันได้หลายอย่าง เป็นเครื่องมือที่เพิ่มความสะดวกให้คนในประเทศ และนักท่องเที่ยวมากขึ้น
ในต่างประเทศมีระบบ Switching เจ้าใหญ่ที่เป็นตัวกลางเชื่อมการใช้จ่ายกับบัตรต่างๆ เช่น วีซ่า มาสเตอร์การ์ด ยูโร ฯลฯ ดังนั้นจึงเกิดระบบ EMV (Euro Mastercard Visa) ที่เครือข่ายบัตรเดบิต บัตรเครดิต สามารถเชื่อมกับระบบชำระเงินขนส่งสาธารณะได้ง่าย ที่สำคัญคือในระบบการขนส่ง และการซื้อสินค้าบริการ มีเครื่องรับชำระเงินเพียงพอต่อการใช้งานของประชาชน
ตัวอย่างจากในวีดีโอ คือผู้ใช้สามารถจ่ายเงินผ่าน e-Payment ได้ง่ายขึ้น ไม่เสียเวลาเข้าคิวซื้อตั๋วรถไฟฟ้า จ่ายเงินง่ายขึ้น ที่ไทยก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้
สุริพงษ์ ตันติยานนท์ ผู้จัดการวีซ่า ประจำประเทศไทย บอกว่า ปัจจุบัน Cashless Society เกิดขึ้นทั่วโลก บางประเทศคนใช้เงินสดในชีวิตประจำวันน้อยลง เพราะสภาพแวดล้อมเอื้ออำนวย เช่น จ่ายเงินผ่านบัตรเครดิต บัตรเดบิต หรือบัตร Prepaid Card (บัตรที่ต้องใส่เงินก่อนถึงจะใช้ได้) มีระบบเครื่องอ่านบัตรเพียงพอ ฯลฯ
“ปัจจุบันวีซ่าใช้ระบบ EMV ร่วมมือกับ Mass Transit และมีโครงการร่วมกับโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาลในหลายประเทศ เช่น ในอังกฤษ คนที่ถือบัตรวีซ่าทั้งบัตรเดบิตและบัตรเครดิต สามารถแตะจ่ายเงินได้ทั้งรถไฟฟ้า รถเมล์ จ่ายค่าที่จอดรถฯลฯ ซึ่งการใช้บัตรเดียวใช้จ่ายในชีวิตประจำวันได้หลายประเทศ เช่น สิงค์โปร์ และขณะนี้อยู่ระหว่างการ Pilot ระบบนี้ในนิวยอร์ก”
ทั้งนี้การใช้บัตรใบเดียว ใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ลดความเสี่ยงเงินหาย ไม่ต้องเสียเวลานับเงินทอน หีรือต่อแถวซื้อตั๋วการเดินทางต่างๆ ขณะเดียวกันสามารถจำกัดวงเงินในบัตรเพื่อการใช้จ่ายแต่ละวันได้
ปัจจุบันในไทย วีซ่ามีความร่วมมือกับภาครัฐในการวางระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านการชำระเงิน เช่น ทางกระทรวงคมนาคมมีนโยบายระบบการชำระเงินแบบระบบเปิด (Open Loop) อนาคตจะสามารถใช้บัตรเครดิต เดบิตสามารถใช้จ่ายที่เครื่องอ่านบัตรในสถานีรถไฟฟ้า และขนส่งสาธารณะได้
“ปัจจุบันวีซ่า เปิดให้ใช้วีซ่า เพย์เวฟ บนรถเมล์สาย 510 ได้แล้ว ตอนนี้ร่วมกับภาครัฐอยู่หลายเรื่อง เช่น การทำ Smart City และทำระบบ e-Payment ในร้านค้าต่างๆ”
ปัจจุบันคนไทยใช้ e-Payment อยู่ที่ 25% ถือว่าเพิ่มขึ้นมากจากก่อนหน้านี้ที่อยู่ระดับต่ำกว่า 5% แม้ปัจจุบันคนไทยยังใช้เงินสด 75% แต่ากพฤติกรรมคนใช้จ่ายผ่านโลกออนไลน์มากขึ้น อย่างไรก็ตามทางวีซ่าอยู่ระหว่างการแก้ปัญหาร้านค้าบางพื้นที่ตั้งขั้นต่ำในการใช้จ่ายผ่านบัตร เพราะเมื่อคนใช้จ่ายในชีิวิตประจำวัน ยอดการใช้จ่ายต้องน้อยลงและใช้บ่อยขึ้นอยู่แล้ว
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา
Vivo จัดแคมเปญ What’s Up V15 Series ชวนผู้ที่สนใจ แข่งขันทำวิดีโอโฆษณาสมาร์ทโฟน V15 Series ลุ้นรับของรางวัลเป็น V15Pro และโปสเตอร์พร้อมลายเซ็นแบมแบม GOT7!
The post Vivo ชวนร่วมแข่งขันประกวดทำคลิปโฆษณา ในแคมเปญ What’s Up V15 Series appeared first on mxphone.
แม้จะเพิ่งก่อตั้งได้ไม่นาน แต่ด้วยความโด่งดังในระดับโลกของศิลปิน K-Pop อย่าง BTS ก็ทำให้ค่ายต้นสังกัดที่ชื่อว่า Big Hit Entertainment นั้นเติบโตอย่างรวดเร็ว และล่าสุดก็มีมูลค่ากิจการเกิน 31,000 ล้านบาทแล้ว
ปฏิเสธไม่ได้ว่า BTS คือหนึ่งในวง K-Pop ที่โด่งดังอย่างมากในปัจจุบัน เพราะด้วยแนวเพลง, การวางตัว รวมถึงการทำตลาดต่างโดนใจกลุ่มคนรุ่นใหม่ทั่วโลก ซึ่งจุดนี้เองทำให้ค่ายเพลงที่ก่อตั้งเมื่อปี 2548 อย่าง Big Hit Entertainment นั้นเติบโตอย่างก้าวกระโดด และขึ้นไปทัดเทียมกับ 3 ค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ของเกาหลีใต้ได้
จากความโด่งดังนี้เองก็ทำให้ Big Hit Entertainment มีมูลค่ากิจการระหว่าง 1,100-2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 34,000-62,000 ล้านบาท) หลัง Hyundai Research Institute (HRI) วิเคราะห์จากการเติบโตของวง BTS เช่นยอดขายอัลบั้มล่าสุด Map of the Soul: Persona ที่ทำได้ถึง 3.23 ล้านชุด
นอกจากนี้ช่วงต้นเดือนมิ.ย. BTS ได้แสดงคอนเสิร์ตที่ Wembley Stadium หนึ่งในเวทีใหญ่ที่สุดในอังกฤษ ที่มีศิลปินดังมากมายเคยขึ้นแสดง เช่น Michael Jackson, Madonna and Celine Dion โดยวง BTS นั้นจัดแสดงคอนเสิร์ตมา 18 ประเทศทั่วโลกในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา แสดงถึงความนิยมของตัววงได้เป็นอย่างดี
ทั้งนี้เมื่อบริษัทมีมูลค่ากิจการเกิน 1,000 ล้านดอลลาร์ และไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ จะถูกเรียกว่า Unicorn คล้ายกับบริษัท Startup ต่างๆ เช่น Uber หรือ Airbnb ดังนั้นคงต้องจับตามองต่อไปว่า Big Hit Entertainment จะเติบโตขนาดไหน และจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์หรือไม่
อ้างอิง // Korea Times
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา
ช่วงซัมเมอร์เป็นฤดูแห่งการท่องเที่ยว จากข้อมูลของ Agoda พบว่าโตเกียวเป็นเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมในช่วงซัมเมอร์ของปี 2019
เมื่อพูดถึงหน้าร้อน เรื่องหนึ่งที่หลายๆ คนมักนึกถึงก็คือเรื่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นเที่ยวทะเลกับครอบครัว เที่ยวตะลุยเมืองกับแก๊งเพื่อน หรือเที่ยวธรรมชาติกินลมชมวิวกับคนรู้ใจ
Agoda ได้รวบรวมข้อมูลการจองห้องพัก แล้วนำมาจัดอันดับ 10 เมืองท่องเที่ยวสุดฮิต โดยโตเกียว ลอนดอน และลาสเวกัส ติด Top 3 เมืองยอดฮิตที่นักท่องเที่ยวต่างเทใจให้ในช่วงหน้าร้อนปี 2019 นี้
เริ่มที่โตเกียว โอซาก้า โอกินาว่า (เกาะหลัก) และเกียวโต นอกจาก 4 เมืองยอดนิยมของประเทศญี่ปุ่นนี้จะติดอยู่ใน 10 อันดับแรกของเมืองท่องเที่ยวสุดฮิตสำหรับนักท่องเที่ยวเอเชียแปซิฟิกแล้ว เมืองทางเหนืออย่างซัปโปโร ที่ขึ้นชื่อเรื่องเทศกาลหิมะและปูยักษ์ และเมืองทางใต้อย่างฟุกุโอกะที่มีวัดวาอารามและชายหาดสวย ๆ อยู่หลายแห่งก็ไต่อันดับขึ้นมาแทนที่สิงคโปร์ และฮ่องกงในปีนี้
ทั้งนี้โตเกียวไม่เพียงเป็นเมืองยอดนิยมของนักท่องเที่ยวชาวเอเชียเท่านั้น แต่ยังได้รับความนิยมไปไกลถึงทวีปอเมริกาเหนือและยุโรป จึงทำให้เมืองหลวงของประเทศญี่ปุ่นแห่งนี้ติดอันดับ 2 เมืองฮิตของนักท่องเที่ยวในทวีปอเมริกาเหนือ และอันดับ 5 ของนักท่องเที่ยวในทวีปยุโรป
คนเอเชียชอบเที่ยวประเทศใกล้เคียงเมื่อดูพฤติกรรมของนักท่องเที่ยว พบว่านักท่องเที่ยวเอเชียแปซิฟิกมีแนวโน้มที่จะเที่ยวในประเทศใกล้เคียงมากกว่า ในทางกลับกันนักท่องเที่ยวตะวันออกกลาง อเมริกาเหนือ และยุโรปชอบการเดินทางข้ามทวีปเพื่อไปพักผ่อนช่วงหน้าร้อน
โดยเมืองหลวงแห่งแฟชั่นของทวีปยุโรปอย่าง ลอนดอนและปารีส ติดอันดับ 1 และ 2 สำหรับนักท่องเที่ยวตะวันออกกลาง กรุงโรม จุดรวมประวัติศาสตร์อันยาวของอิตาลีครองอันดับ 3 ส่วนจุดหมายในเอเชียอย่าง บาหลี โตเกียว กรุงเทพฯ และกัวลาลัมเปอร์ก็ติด 10 อันดับแรกของปีนี้
ข้ามมาที่ฝั่งอเมริกาเหนือ ลาสเวกัส ยังคงเป็นเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมอีกปีตามมาด้วยโตเกียวในอันดับ 2 แทนที่นิวยอร์กที่ตกลงมาอยู่อันดับ3 ส่วนเมืองอื่นๆ ในทวีปที่ติดอันดับก็มีลอสแองเจลิส ออร์แลนโด ชิคาโก และซีแอตเทิล สำหรับเมืองในยุโรป ลอนดอน ปารีส และโรม ก็ติด 10 อันดับแรกเช่นกัน
ขณะเดียวกันนักท่องเที่ยวชาวยุโรปก็มีพฤติกรรมการท่องเที่ยวที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเริ่มเดินทางท่องเที่ยวระยะไกลมากขึ้นในหน้าร้อนนี้ โดยจุดหมายปลายทางในเอเชีย อย่าง บาหลี กรุงเทพ โตเกียว และพัทยา ได้ขึ้นแท่นติดอันดับ 1 ใน 10 ของเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมแทนที่เมืองท่องเที่ยวเดิมๆ ในยุโรปเช่นเดียวกับเมืองนิวยอร์กและลาสเวกัสในทวีปอเมริกา ที่ติดอันดับเช่นกันในปีนี้
จุดหมายยอดนิยมช่วงฤดูร้อน ปี 2019 สำหรับนักท่องเที่ยวในทวีปต่างๆ
หน้าร้อนปี 2019นี้ คนไทยนิยมไปเที่ยวที่ไหนกันบ้าง
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา
ตอนนี้ Toyota ตั้งเป้ายอดขายรถยนต์ไฟฟ้าเป็นครึ่งหนึ่งของยอดขายทั้งหมดภายในปี 2573 ทำให้ทางค่ายต้องเร่งเครื่องเต็มที่ และนั่นจึงเป็นที่มาของการพาร์ทเนอร์กับ CATL ยักษ์ผู้ผลิตแบตเตอรี่รถยนต์จากจีน
ปฏิเสธไม่ได้ว่า Toyota นั้นแข็งแกร่งในรถยนต์ไฟฟ้าแบบ Hybrid มาก ผ่านยอดขาย Prius ที่ทำได้ถึง 4.4 ล้านคันจากการทำตลาดกว่า 20 ปี แต่ด้วยภาพรวมอุตสาหกรรมรถยนต์ที่เปลี่ยนไป ผู้บริโภคเริ่มต้องการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าล้วน หรือ Battery Elecric Vehicle (BEV) มากขึ้น ทำให้จุดแข็งของ Toyota นั้นลดลงทันที
ยิ่งทาง Toyota ตั้งเป้ายอดขายจากรถยนต์ไฟฟ้าเป็นครึ่งหนึ่งของบริษัทภายในปี 2573 การทำตลาดแค่รถยนต์ไฟฟ้าแบบ Hybrid ก็คงไม่ได้ ทำให้ Toyota ตัดสินใจเป็นพาร์ทเนอร์กับ Contemporary Amperex Technology (CATL) ยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตแบตเตอรี่รถยนต์จากจีน
สำหรับจุดประสงค์ในการพาร์ทเนอร์ครั้งนี้คือการเร่งเครื่องพัฒนาแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าแบบต่างๆ รวมถึงปัจจุบันการแข่งขันในรถยนต์ไฟฟ้านั้นดุเดือด ทำให้การหาพาร์ทเนอร์น่าจะดีกว่าการพัฒนาด้วยตัวเอง ยิ่งนโยบายของประเทศต่างๆ เริ่มเข้มงวดเรื่องการปล่อยมลพิษมากขึ้น ทำให้การเร่งพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าก็จำเป็นกว่าเดิม
ส่วน CATL นั้นนอกจากเป็นยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตแบตเตอรี่รถยนต์จากจีนแล้ว ยังเป็นพาร์ทเนอร์เพื่อผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าให้กับผู้ผลิตรถยนต์ทั้งในจีน และต่างประเทศ เช่นล่าสุดก็เซ็นสัญญาเป็นพาร์ทเนอร์กับ Honda เพื่อผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าให้เช่นกัน
สรุปเกมการแข่งขันรถยนต์ไฟฟ้าเดือดขึ้นเรื่อยๆ และมันก็มีสองวิธีที่ค่ายผู้ผลิตรถยนต์ดั้งเดิมจะทำ นั่นคือทำทุกอย่างเองทั้งหมด กับหันไปพาร์ทเนอร์กับผู้เชี่ยวชาญเรื่องรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งเชื่อว่าหลังจากนี้ Toyota น่าจะพาร์ทเนอร์กับองค์กรอื่นๆ อีก เพราะการเดินเกมด้วยตัวเองอาจไม่ใช่วิธีที่ถูกต้องในตอนนี้
อ้างอิง // The Japan Times
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา
Google ได้เตือนรัฐบาลสหรัฐอเมริกาถึงกรณีที่รัฐบาลแบน Huawei ว่าท้ายที่สุดผลกระทบนี้จะกลับมากระทบกับตัวสหรัฐเอง
หนังสือพิมพ์ Financial Times ได้ออกมารายงานว่า ผู้บริหารระดับอาวุโสของ Google ออกมาเตือนรัฐบาลสหรัฐถึงกรณีที่รัฐบาลสหรัฐได้แบนอุปกรณ์โทรคมนาคมที่เป็นภัยต่อความมั่นคง กระทบถึงบริษัทอย่าง Huawei ทันทีว่า ถ้าหาก Huawei สามารถพัฒนาระบบปฏิบัติการโทรศัพท์มือถือเองแล้ว อาจกระทบกับภัยความมั่นคงของสหรัฐเอง และกระทบกับบริษัทอย่าง Google ด้วย
เมื่อช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามคำสั่งบริหาร ห้ามบริษัทในสหรัฐฯ ใช้อุปกรณ์โทรคมนาคมที่เป็นภัยต่อความมั่นคง เพื่อที่จะปกป้องระบบอินเตอร์เน็ตและเทคโนโลยีสารสนเทศของสหรัฐจากการคุกคามของเทคโนโลยีต่างชาติ และต่อมากระทรวงพาณิชย์สหรัฐได้นำชื่อ Huawei เข้าสู่บัญชีดำ ส่งผลให้ บริษัทได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้ทันที
สิ่งที่ Google กังวลใจมากที่สุดประกอบไปด้วยคือ ถ้าหากรัฐบาลสหรัฐไม่อนุญาตให้ Google ออกซอฟท์แวร์อัพเดตให้กับผู้ใช้โทรศัพท์มือถือเองได้ จะทำให้ Huawei ต้องพัฒนาระบบปฏิบัติการโทรศัพท์มือถือเป็นของตัวเองและเรื่องนี้จะกระทบกับ Google เอง โดย Google เชื่อว่า Huawei สามารถพัฒนาระบบปฏิบัติการได้ไวกว่าเดิม รวมไปถึงระบบปฏิบัติการของ Huawei ถ้าหากพัฒนาเองอาจมีช่องโหว่ด้านความปลอดภัยซึ่งอาจเป็นอันตรายกับสหรัฐเสียเอง
ก่อนหน้านี้ผู้บริหารของ Google และ Qualcomm ผู้ผลิตชิปรายใหญ่ เคยติดต่อไปยังรัฐบาลสหรัฐ เพื่อที่จะขอยืดอายุเวลาให้กับ Huawei ซึ่งรัฐบาลได้ยืดเวลาให้กับบริษัทจนถึงกลางเดือนสิงหาคม แต่ผู้ก่อตั้งและ CEO ของ Huawei อย่าง เหริง เจิ้นเฟย ได้กล่าวว่าการต่อเวลา 90 วันไปนั้นแทบจะไม่มีประโยชน์อะไร
ผู้เชี่ยวชาญยังได้กล่าวว่าถ้าหากสหรัฐยังแบน Huawei ต่อไป ผลกระทบนี้จะกระทบในระยะสั้นๆ เท่านั้น และจะทำให้อุตสาหกรรมชิป รวมไปถึงอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ของ Huawei ปรับตัวและเน้นพึ่งพาตัวเอง ผลกระทบนี้จะทำให้ท้ายที่สุดบริษัทเทคโนโลยีของสหรัฐได้รับผลกระทบเอง
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา
BEAUTRIUM ร้านมัลติแบรนด์ผนึกกำลังกับ The 1 ดึงฐานสมาชิกสามารถใช้โปรแกรม CRM ได้ หวังแลกเปลี่ยนฐานลูกค้าซึ่งกันและกัน
ถ้าพูดถึงเรื่อง Loyalty Program กลายเป็นเรื่องสำคัญต่อทุกธุรกิจไปแล้วในตอนนี้ เป็นอีกหนึ่งอาวุธลับในการทำการตลาดกับผู้บริโภค ตอนนี้ไม่ได้จำกัดแค่ผู้เล่นค้าปลีกรายใหญ่เท่านั้นที่สามารถทำระบบได้ รายย่อยๆ ก็สามารถทำได้เช่นกัน
กลุ่มเซ็นทรัลเองได้มี Loyalty Program ของตัวเองในชื่อ The 1 แต่เดิมมีการใช้อยู่เพียงแค่ในในเครือห้างสรรพสินค้าเท่านั้น และได้เริ่มขยายเป็นร้านในเครือย่างแฟมิลี่มาร์ท เป็นการเพิ่มความสะดวกมากขึ้น
แต่ยุคนี้ไม่สามารถจำกัดอยู่แค่ในเครือได้อีกต่อไป กลยุทธ์ในตอนนี้คือการหาพันธมิตรนอกเครือเซ็นทรัลในการขยายฐานลูกค้าให้มากขึ้น โดยที่ล่าสุดได้ผนึกกำลังกับ BEAUTRIUM ในการใช้ The 1 สะสมแต้มได้
BEAUTRIUM เป็นร้านมัลติแบรนด์สโตร์ในกลุ่มของสินค้าสุขภาพ และความงาม ล่าสุดได้เปิดสาขาที่เป็นแฟล็กชิพสโตร์ที่ใจกลางสยามสแควร์ เป็นอีกหนึง่ร้านที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
การร่วมมือกันครั้งนี้มีเป้าหมายใหญ่ในการแลกเปลี่ยนฐานลูกค้ากัน ซึ่งทาง The 1 มีฐานลูกค้าใหญ่ถึง 15 ล้านราย สามารถสะสมแต้มที่นี่ได้ เป็นการขยายการใช้บริการนอกเครือเซ็นทรัล ทาง BEAUTRIUM เองก็จะได้อานิสงส์ด้วยการได้ลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ มากขึ้น ส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม 25 ปีขึ้นไปที่มีกำลังซื้อ
ส่วนทาง BEAUTRIUM มีฐานลูกค้ากลุ่มใหญ่เป็นกลุ่ม First Jobber และวัยรุ่นนักเรียนนักศึกษา เป็นกลุ่มที่ทางเซ็นทรัลต้องการขยายมายังกลุ่มลูกค้าเด็กๆ มากขึ้น
ทำ CRM เองยาก The 1 มีระบบพร้อมจริงๆ แล้วก่อนหน้านี้ BEAUTRIUM ได้มีระบบ CRM เป็นของตัวเอง มีฐานสมาชิกแสนราย
แต่ทาง “อติโรจน์ โรจน์รัตนวลี” กรรมการบริหาร บริษัท บิวเทรี่ยม จำกัด บอกว่า
“ปัจจุบัน BEAUTRIUM มีสมาชิกหลักแสนคน มีการสะสมแต้ม แต่ไม่มีการให้ของรางวัล จนมาพูดคุยกับ The 1 มองเห็นว่ามีความครอบคลุมมากกว่า สามารถดึงฐานข้อมูลเข้ามาเพื่อให้คนได้รู้จัก BEAUTRIUM มากขึ้น อีกทั้งการใช้ระบบของ The 1 ยังมีต้นทุนบริหารจัดการน้อยกว่าพัฒนาเองด้วย เป็นการ Win-Win ทั้ง 2 ฝ่าย”
กระบวนการใช้ The 1 ที่ BEAUTRIUM นั้น สามารถสะสมแต้มได้ตามปกติ ในเฟสต่อไปจะสามารถแลกแต้มใช้งานได้ที่นี่ด้วย คาดว่าจะใช้งานได้ช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้
ในส่วนของ The 1 ตอนนี้มีพาร์ทเนอร์นอกเครือเซ็นทรัล 30-40 ราย ตั้งเป้าในปีนี้จะมี 40-50 รายที่เป็นพาร์ทเนอร์ใหญ่ ส่วนพาร์ทเนอร์รายเล็กมี 900 ราย เน้นหลักๆ ที่ 3 กลุ่ม ร้านอาหาร, ช้อปปิ้ง และรีแล็กซิ่ง
การร่วมมือกันครั้งนี้มี BEAUTRIUM ตั้งเป้าว่าจะสามารถสร้างยอดขายให้เติบโตได้ 20% หรือตั้งเป้ายอดขายที่ 700 ล้านบาทในปีนี้
สรุปยุคนี้เป็นยุคที่ต้องอาศัยพาร์ทเนอร์ในการทำธุรกิจจริงๆ ไม่สามารถอยู่ได้ด้วยตัวเอง แม้แต่ผู้เล่นรายใหญ่ในธุรกิจค้าปลีกอย่างกลุ่มเซ็นทรัล ก็ยังต้องหาพันธมิตรเพื่อขยายกลุ่มลูกค้าด้วยเช่นกัน
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา
ปฏิเสธไม่ได้ว่า Prius ของ Toyota นั้นจุดตลาดรถยนต์ไฟฟ้าให้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก แต่ปัจจุบันตัว Prius กลับเริ่มเสื่อมความนิยมผ่านยอดขายที่ลดลง ซึ่งสวนทางกับตลาดรถเครื่องยนต์ Hybrid ที่กำลังเติบโตแบบสุดๆ
Toyota Prius คือรถเครื่องยนต์ Hybrid ที่เปิดตัวมากว่า 20 ปี และเป็นรถยนต์รุ่นแรกๆ ที่ผสานการขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์สันดาปภายในกับมอเตอร์ไฟฟ้าในตลาด ซึ่งช่วงเริ่มต้นนั้นหลายคนอาจไม่เข้าใจระบบนี้ แต่ปัจจุบันทุกคนก็รู้จักประโยชน์ของเครื่องยนต์ Hybrid และทำให้ถึงตอนนี้ Prius ก็ขายไปได้กว่า 4.4 ล้านคันทั่วโลก
แต่หากมาไล่ดูตัวเลขแล้วจะพบว่า ยอดขาย Prius นั้นลดลงมา 6 ปีต่อเนื่อง เช่นในเดือนพ.ค. ก็มียอดขายลดลง 24% จากเดือนก่อนหน้านั้น และหากจับตั้งแต่ต้นปีถึงเดือนดังกล่าวก็ลดลง 39% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน แม้ Toyota จะออกมาแจ้งว่ากำลังจะอัพเดทเทคโนโลยีใหม่ๆ ให้กับรถยนต์รุ่นนี้ แต่มันก็เป็นที่น่าจับตามอง
เนื่องจากเมื่อเทียบเทคโนโลยีของ Prius กับรถยนต์ Hybrid แบรนด์อื่น เช่น Fusion Hybrid ของ Ford จะพบว่าตัวเทคโนโลยีก็เริ่มตามหลัง แถม Ford ก็เตรียมอัพเดทรุ่นนี้เป็นเครื่อง Plug-in Hybrid นอกจากนี้ Model 3 ของ Tesla ที่ราคาไม่ได้ต่างกันมากก็ทำให้ผู้บริโภคอยากลองรถยนต์ไฟฟ้าล้วนมากกว่า Hybrid ที่เป็นเทคโนโลยีเก่า
แก้ปัญหาด้วยการติดตั้งเครื่อง Hybird ในรถยนต์รุ่นอื่นอย่างไรก็ตามด้วยรถยนต์ไฟฟ้าแบบ Hybrid นั้นมีราคาที่ถูกกว่ารถยนต์ไฟฟ้าล้วน และทุกคนเข้าใจเทคโนโลยีนี้มากขึ้น ทำให้นักวิเคราะห์มองว่า Hybrid จะเริ่มมีบทบาทในตลาดมากขึ้น เช่นในสหรัฐอเมริกานั้นอาจขึ้นไปถึง 15% ของยอดจำหน่ายรถยนต์ทั้งหมดในปี 2568 จากปี 2561 อยู่แค่ 2.7% ของทั้งหมด
และเหตุที่มันเพิ่มขึ้นไม่ได้มากจากการจำหน่ายรถ Sedan หรือเก๋งเครื่อง Hybrid อย่างเดียว เพราะทั้ง Toyota และ Ford ก็ต่างนำเครื่องยนต์ Hybrid ไปติดตั้งในรถยนต์ SUV และรถกระบะด้วย เช่น RAV4 รถ SUV ขนาดเล็กของ Toyota ก็เริ่มติดตั้งเครื่อง Hybrid และเป็นที่นิยมอย่างรวดเร็ว
ส่วน Ford นั้นก็นำไปใส่ใน SUV รุ่น Escape กับ Explorer รวมถึงกระบะรุ่น F-150 โดยทั้ง Ford และ Toyota ต่างใช้วิธีดึงดูดให้คนสนใจคำว่า “ไม่ต้องเสียเวลาชาร์จแบตฯ” นอกจากนี้ด้วยราคาน้ำมันที่ลดลงมาเกือบครึ่งหนึ่ง ทำให้ทั้งคู่ตัดสินใจไม่จูงใจด้วยการประหยัดน้ำมัน แต่เน้นเรื่องประโยชน์จาก Hybrid ในมุมอื่นมากกว่า
เช่น Prius ของ Toyota ก็มีการติดตั้งระบบขับเคลื่อน 4 ล้อเข้าไปในการทำตลาดในตอนเหนือของสหรัฐอเมริกา รวมถึง RAV4 เมื่อติดตั้ง Hybrid เข้าไปก็ทำให้การขับขี่สนุกยิ่งขึ้น ส่วน F-150 ของ Ford นั้นก็สามารถเป็นเครื่องจ่ายไฟเคลื่อนที่ได้ ทำให้สามารถนำไปปาร์ตี้ในพื้นที่ห่างไกลได้ดี โดยเฉพาะการช่วยแช่เบียร์ให้เย็นได้
ในทางกลับกันถึง Prius ของ Toyota จะมียอดขายลดลง แต่เครื่องยนต์ Hybrid ในรถยนต์รุ่นอื่นๆ ของ Toyota เช่น Corolla, Camry รวมถึง Highlander กลับได้รับความนิยมมากกว่าเดิม เพราะผู้ซื้อเข้าใจแล้วว่าประโยชน์ของเครื่อง Hybrid คืออะไรบ้าง
ส่วนในประเทศไทยรถเครื่องยนต์ Hybrid น่าจะเป็นเพียงแค่อีกทางเลือกของคนอยากประหยัดน้ำมัน เพราะมีเพียงไม่กี่แบรนด์ที่ทำตลาดอยู่ นอกจากนี้รถยนต์แบรนด์ยุโรปก็ต่างทำตลาดด้วยเครื่องยนต์ Plug-in Hybrid กันหมดแล้ว จึงเชื่อว่าหากคนที่อยากใช้รถยนต์ไฟฟ้าจริงๆ น่าจะเลือกไปทางรถยุโรปเลยมากกว่า
สรุปHybrid นั้นยังเป็นจุดอ่อนในตลาดไทยอยู่ ผ่านผู้ซื้อที่ยังกังวลเรื่องราคาขายต่อ ผ่านคุณภาพของแบตเตอรี่ และการใช้งานในระยะยาว จึงเชื่อว่ามันน่าจะยากที่รถยนต์ Hybrid จะเป็นที่นิยมในไทย และน่าจะเกิดการข้ามไปที่ Plug-in Hybrid หรือรถยนต์ไฟฟ้าล้วนเลยมากกว่า
อ้างอิง // Bloomberg
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา
สรุปยอดงาน Thailand Mobile Expo 2019 ครั้งกลางปี มียอดเงินสะพัดภายในงานกว่า 2.5 พันล้านบาท และมียอดผู้เข้าชมงานประมาณ 7 แสนคน
The post Thailand Mobile Expo 2019 ครั้งกลางปี คนร่วมงานกว่า 7 แสนคน เงินสะพัด 2,500 ล้านบาท appeared first on mxphone.
OPPO เตรียมนำเสนอสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ A1s ที่ได้ผ่านการรับรองจาก NBTC เป็นที่เรียบร้อย ภายใต้รหัสโมเดล CPH1925 คาดเคาะราคาราว 4400-4700 บาท
The post หลุดภาพเครื่องของ OPPO A1s รุ่นเล็ก น้องใหม่ คาดราคาไม่เกิน 5,xxx บาท appeared first on mxphone.
Realme ประกาศความพร้อมที่จะเปิดตัวสมาร์ทโฟน 5G ของค่ายภายในปี 2019 นี้ โดยคาดว่าอาจจะเป็นตัวแยกจาก Realme X ในชื่อ Realme X Pro
The post Realme กางแผนเปิดตัวสมาร์ทโฟน 5G ในปี 2019 คาดเป็น X Pro appeared first on mxphone.
ถ้าพูดถึง Huawei P30 ก็เชื่อได้ว่าไม่ใช่ของใหม่ เพราะเป็นตัวเรือธงที่เพิ่งเปิดตัวไปไม่กี่เดือนก่อน แต่ล่าสุดก็ดูจะมีสเปคใหม่ออกมาขายในเร็วๆนี้
The post TENAA ผุดข้อมูล Huawei P30 รุ่นพิเศษสเปค RAM 12GB appeared first on mxphone.
Huawei เตรียมเปิดตัวสมาร์ทโฟนสองรุ่นจากตระกูล nova อย่าง nova 5i และ nova 5 โมเดลระดับกลางตัวใหม่ที่ประเทศจีน ในช่วงปลายเดือนมิถุนายนนี้
The post หลุดเบาะแส Huawei nova 5i/nova 5 พร้อมเปิดตัวปลายเดือนนี้ appeared first on mxphone.
ย้อนกลับไปเมื่อสัปดาห์ก่อนได้มีภาพเรนเดอร์โชว์หน้าตาของเรือธง Samsung Galaxy Note10 ปรากฏออกมาให้เห็นกัน และล่าสุดเก็มีตัวเรนเดอร์แบบ 360 องศามาให้ชมกัน
The post ชมดีไซน์ที่น่าจะเป็นของ Samsung Galaxy Note10 เรือธงครึ่งปีหลัง appeared first on mxphone.
HMD Global เปิดตัวสมาร์ทโฟน Android One รุ่นใหม่ ราคาจับต้องได้อย่าง Nokia 2.2 ที่สนนราคาเพียง 6,999 รูปี หรือราว 3,000 บาท
The post เปิดตัว Nokia 2.2 จอรอยบากไซส์ 5.7 นิ้ว ชิป Helio A22 รันกับ Android One appeared first on mxphone.
หลังจากที่แอปเปิลได้เปิดตัวฟีเจอร์ Sidecar บน macOS Catalina ซึ่งวันนี้ทีมงาน MacThai จะมาสรุปว่า ฟีเจอร์ Sidecar คือฟีเจอร์อะไร ไว้ทำอะไร ใช้กับ Mac และ iPad รุ่นใดได้บ้าง ?
Sidecar คืออะไร ?ฟีเจอร์ Sidecar คือฟีเจอร์ที่นำ iPad มาเชื่อมต่อกับ Mac เพื่อใช้งานเป็นหน้าจอที่สองคล้าย ๆ กับการต่อเข้าทีวี ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการพรีเซ็นต์งาน, ใช้งานร่วมกับ Apple Pencil เพื่อใช้ในการวาดเขียน, เปิดไฟล์งาน 2 หน้าจอไปพร้อม ๆ กัน
สำหรับแอปที่รองรับการใช้งาน Sidecar ตอนนี้มากถึง 15 แอป ซึ่งเป็นแอปสำหรับสายวาดเขียนออกแบบทั้งนั้น เช่น Adobe Illustrator, Sketch, Painter หรือว่าจะเป็นสายตัดต่อวิดีโออย่าง Final Cut Pro, Motion หรือ Maya
ซึ่งแอปทั้งหมดนี้สามารถใช้งานร่วมกับ Apple Pencil ได้ทันที เรียกได้ว่าไม่ต้องซื้อปากกาวาดเขียนมาเชื่อมต่อกับ Mac อีกต่อไป สามารถใช้ Apple Pencil วาดลงบน iPad และแสดงผลบน Mac ได้ทันที
และแน่นอนว่าในอนาคตก็น่าจะมีแอปที่เตรียมรองรับ Sidecar มากขึ้นอย่างแน่นอน เช่น Adobe: After Effects และ Premiere Pro ที่แอปเปิลประกาศไว้ในงาน WWDC
สำหรับ Mac ที่รองรับ Sidecar จะต้องติดตั้ง macOS Catalina และฟีเจอร์นี้จะรองรับแค่เฉพาะบางรุ่นเท่านั้น เนื่องจากฟีเจอร์นี้ต้องการทรัพยากรของเครื่องพอสมควร เพราะฉะนั้น Mac ที่รองรับจะเป็นรุ่นที่ที่ค่อนข้างใหม่ ซึ่งได้แก่
iPad รุ่นไหนรองรับบ้าง ?
iPad ที่รองรับ Sidecar คือ iPad ทุกรุ่นที่ติดตั้ง iPadOS ได้ ซึ่งได้แก่
วิธีการเชื่อมต่อ Mac เข้ากับ iPad มีกี่วิธี ?
เราสามารถใช้ฟีเจอร์ Sidecar ได้โดยการเชื่อมต่อ Mac เข้ากับ iPad ได้ 2 วิธีคือ การเชื่อมต่อผ่านสาย Lightninng หรือ USB-C (สำหรับ iPad Pro รุ่นใหม่) หรือว่าจะเชื่อมต่อผ่าน Wi-Fi วงเดียวกันก็ได้
สำหรับวิธีเชื่อมต่อก็ง่าย ๆ คลิกที่ไอคอน AirPlay ด้านบนจากนั้นเลือกชื่อ iPad ที่ต้องการเชื่อมต่อ เพียงแค่นี้ก็สามารถเชื่อมต่อ iPad เข้ากับ Mac เป็นจอที่สองได้แล้ว
หลัก ๆ คือมี 2 โหมดให้เลือกคือ
การตั้งค่าอื่น ๆ ของ Sidecar มีอะไรบ้าง ?
สำหรับการตั้งค่า Sidecar นั้นสามารถเข้าไปที่ System Preferences >> Sidecar เมื่อเข้าไปแล้ว จะมีตัวเลือกทั้งหมด 4 ตัวให้เลือก ตามภาพด้านล่าง
สุดท้ายสำหรับใครที่ต้องการจะใช้งานฟีเจอร์ Sidecar นี้ให้อดใจรอซักนิดนึง เพราะแอปเปิลจะเปิดให้ผู้ใช้ทั่วไปได้อัปเกรดเป็น iPadOS และ macOS Catalina ประมาณเดือนกันยายนปีนี้
ที่มา – Appleinsider, 9to5Mac
The post [สรุป] ฟีเจอร์ Sidecar บน macOS Catalina ใช้ทำอะไร ? Mac และ iPad รุ่นไหนรองรับบ้าง ? appeared first on Macthai.com.
Google Stadia แพลตฟอร์มเล่นเกมผ่านระบบสตรีมมิ่งตัวใหม่ เผยรายละเอียดชุดแรกออกมาเป็นที่เรียบร้อย ทั้งราคาค่าบริการ เกมที่ลง และรายละเอียดการเปิดตัวอื่น ๆ
The post มาแล้วรายละเอียด Google Stadia แพลตฟอร์มเล่นเกมผ่านสตรีมมิ่ง เริ่มเปิดจริง พ.ย. นี้ appeared first on mxphone.
ถึงเวลาของสาวไซส์ใหญ่ที่จะได้ใส่ชุดกีฬาสวยๆ แล้ว Nike ได้เริ่มใช้หุ่นจำลองที่เป็นสาวไซส์อวบเป็นครั้งแรกที่ร้านบนถนน Oxford ในกรุงลอนดอน
ถือเป็นความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญในวงการกีฬา เมื่อ Nike ได้มีหุ่นจำลองเสื้อผ้าขนาดใหญ่ที่จะเป็นตัวแทนของสาวๆ ไซส์อวบเป็นครั้งแรก ซึ่ง Nike ได้เริ่มใช้หุ่นนี้ที่ร้านแฟล็กชิพสโตร์ย่านถนน Oxford ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
จริงๆ แล้ว Nike ได้เริ่มเปิดตัวไลน์อัพสินค้าสำหรับสาวอวบมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ปี 2017 แล้ว เป็นชุดกีฬาจำพวกสปอร์ตบรา แล็กกิ้งต่างๆ ที่ใช้สำหรับออกกำลังกายสำหรับสาวไซส์ 16 ขึ้นไป หรือเทียบเท่าไซส์ L นั่นเอง แต่ยังไม่เคยมีหุ่นจำลองเสื้อผ้าเสียที
ต้องยอมรับว่าการมีตัวแทนในการลองสวมใส่เสื้อผ้าก็ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญในการตัดสินใจซื้อ อีกทั้งยังสร้างแรงบันดาลใจได้ด้วย Nike เองก็ได้มีทั้งหุ่นจำลอง และการใช้ Influencer ในการตลาดด้วย
การเปิดตัวสินค้ากลุ่มสาวไซส์ใหญ่ของ Nike นั้น นอกจากจะเป็นการมองเห็นโอกาสสำคัญทางการตลาดแล้ว ที่จะกระตุ้นให้คนเหล่านี้หันมาออกกำลังกายมากขึ้น ยังเป็นการเห็นคุณค่าของความแตกต่างของมนุษย์ในยุคนี้อีกด้วย ไม่ได้จำกัดแค่ว่าชุดกีฬาจะต้องมีแค่รูปร่างผอมเพรียว์
สำหรับพื้นที่ในร้านทีเรียกว่า NikeTown ได้รับการปรับโฉมใหม่ มีการออกแบบสำหรับสาวๆ โดยเฉพาะ มีบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของแต่ละบุคคลได้ มีสินค้าตั้งแต่กลุ่มไลฟ์สไตล์ ไปยันกลุ่มกีฬา และสินค้าสำหรับสาวร่างอวบด้วย
ผู้บริหารของ Nike ได้บอกว่า ยุคนี้สาวๆ มีแรงผลักดันในวงการกีฬามากขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่ง Nike เองต้องการเป็นพื้นที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับสาวๆ นั่นเอง ที่นี่จะเป็นมากกว่าสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ด้วย
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา
Peloton สตาร์ทอัพที่ปฏิวัติวงการออกกำลังกาย เตรียมที่จะ IPO แล้วเตรียมที่จะ IPO แล้ว มูลค่ากิจการล่าสุด 1.2 แสนล้านบาท คาดว่าปีนี้บริษัทจะมีกำไรแล้วด้วย
Peloton สตาร์ทอัพด้านการออกกำลังกายจากสหรัฐอเมริกา ได้ยื่นเอกสารไฟลิ่งแบบลับให้กับ ก.ล.ต. สหรัฐ เรียบร้อยแล้ว คาดว่าจะใช้เวลา IPO ไม่นานหลังจาก ก.ล.ต. สหรัฐ อนุมัติให้สามารถ IPO ได้ โดยบริษัทกำลังจะเป็นหนึ่งใน Unicorn ที่กำลังจะเข้าตลาดหลักทรัพย์ หลังจาก Uber ได้เข้า IPO
บริษัทก่อตั้งในปี 2012 โดยผู้ก่อตั้ง 5 คน นำทีมโดย John Foley และคนอื่นๆ ก่อนที่บริษัทจะตัดสินใจระดมทุน ในปี 2013 เพื่อนำเงินก้อนแรกไปสร้างเครื่องปั่นจักรยานที่มีรูปลักษณ์ทันสมัย ซึ่งผลตอบรับก็ออกมาค่อนข้างดี เพราะสามารถส่งมอบเครื่องปั่นจักรยานนั้นได้ในปี 2014
ผลิตภัณฑ์ของบริษัทที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือเครื่องปั่นจักรยานที่มีรูปลักษณ์ทันสมัย หรูหรา เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้ โดยมีราคามากกว่า 2,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 62,000 บาท และยังสามารถผ่อนจ่ายได้ด้วย นอกจากนี้บริษัทยังมีคลาสเรียนออกกำลังกายออนไลน์ซึ่งมีราคาต่อเดือน 39 เหรียญสหรัฐ ซึ่งผู้ใช้สามารถออกกำลังกายพร้อมกันในชั้นเรียนได้หรือดูวิดีโอย้อนหลังได้
ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา บริษัทพึ่งที่จะระดมทุนรอบล่าสุดไปได้ 550 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมูลค่ากิจการล่าสุดสูงถึง 4,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 125,000 ล้านบาท นอกจากนี้ Peloton ยังเป็นสตาร์ทอัพที่มีรายได้สูงด้วย ในปี 2017 บริษัทมีรายได้สูงถึง 400 ล้านเหรียญสหรัฐ และคาดว่าจะมีกำไรในปีนี้
ก่อนหน้านี้มีคู่แข่งของ Peloton ที่จะเข้า IPO เช่นกัน คือ SoulCycle โดยมูลค่ากิจการในปีที่แล้วมีมูลค่า 900 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่ท้ายที่สุดก็ยกเลิกการเข้าตลาดหลักทรัพย์ไปในปีที่ผ่านมาเนื่องจากสภาวะตลาดไม่เอื้ออำนวยแก่การ IPO
ที่มา – CNN, Business Insider
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา