Apple เผยจะยังคงมี iTunes for Windows ต่อไป ไม่ได้แยกแอปเหมือนฝั่ง Mac

MacThai - 6 June 2019 - 10:00

itunes-for-windows-is-sticking-around

หลังจากที่ macOS Catalina เปิดตัวไปเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่คือ แอปเปิลได้ตัดแอป iTunes ออกจากระบบปฏิบัติการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และทำการแตกแอปออกมาเป็น 3 แอป ได้แก่ แอป Music, Podcats และ TV

แต่ล่าสุดแอปเปิลได้ให้สัมภาษณ์กับทาง Ars Technica ว่าทางฝั่ง PC จะยังคงมี iTunes for Windows ต่อไป ไม่ได้แตกแอปเหมือนฝั่ง Mac เพราะฉะนั้นผู้ใช้ยังคงสามารถฟังเพลง ดูหนัง ฟัง Podcasts รวมถึงซิงก์ข้อมูลของอุปกรณ์ iOS Devices ได้เหมือนเดิม

 

ที่มา – MacRumors

The post Apple เผยจะยังคงมี iTunes for Windows ต่อไป ไม่ได้แยกแอปเหมือนฝั่ง Mac appeared first on Macthai.com.

4 ประเด็นใหญ่ ทำให้ค้าปลีกเมืองไทยส่อแวววิกฤติ

Brand Inside - 6 June 2019 - 09:57

มองภาพรวมค้าปลีกในเมืองไทย กับปัจจัยที่ทำให้เกิดวิกฤติต่อเนื่อง เจอภัยคุมคามรอบด้าน ที่จริงแล้ววิกฤติกว่าต่างประเทศด้วยซ้ำไป แล้วผู้ประกอบการต้องปรับตัวอย่างไร?

โตต่ำกว่า GDP ก็ส่อแวววิกฤติแล้ว

จากสถานการณ์วงการค้าปลีกที่เกิดขึ้นทั่วโลกในตอนนี้ ต้องบอกว่าส่อแวววิกฤติกันในหลายๆ ประเทศ โดยเฉพาะโซนสหรัฐอเมริกา และยุโรปที่มีข่าวดราม่าถึงการปิดสาขายกใหญ่ ปรับลดพนักงาน หรือบางแห่งก็มีการแจ้งล้มละลาย

สิ่งต่างๆ เหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงตลาดค้าปลีกทั่วโลกที่มีการเปลี่ยนแปลง เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน จากเดิมมีเพียงแค่ปัจจัยเรื่อง “ช้อปออนไลน์” เข้ามา กลายเป็นว่าตอนนี้มีหลายปัจจัยรอบด้าน

ถ้าถามว่าสถานการณ์แบบนี้สะท้อนอะไรถึงตลาดประเทศไทยบ้าง ประเทศไทยจะเกิดวิกฤติอย่างในต่างประเทศหรือไม่ คนที่สามารถให้คำตอบที่ดีที่สุดก็คือ  “วรวุฒิ อุ่นใจ” ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย ที่จะมีฉายภาพรวมค้าปลีกในประเทศไทย พร้อมทั้งยืนยันว่าถึงขั้น “วิกฤติ” แล้ว

วรวุฒิ อุ่นใจวรวุฒิ อุ่นใจ ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย

ถ้ามองดูตลาดค้าปลีกไทยในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมามีการเติบโตที่ต่ำกว่าปกติมาโดยตลอด ข้อสังเกตอันดับแรกก็คือตลาดค้าปลีกมีการเติบโตต่ำกว่า GDP นั่นคือผิดปกติแล้ว ตลาดค้าปลีกควรเติบโตสูงกว่า GDP ราวๆ 1-1.5% ยกตัวอย่างถ้า GDP ประเทศเติบโต 4% ตลาดค้าปลีกต้องเติบโต 5%

แต่ในปี 2561 ที่ผ่านมา GDP เติบโตราว 4.0-4.2% แต่ภาคค้าปลีกมีการเติบโตเพียง 3.1% นั่นคือส่อแววไม่ปกติ และเข้าวิกฤติแล้ว

ถ้าถามว่าอะไรที่ทำให้ค้าปลีกเราเติบโตต่ำกว่าที่ควรจะเป็น วรวุฒิได้สรุปมา 4 ข้อด้วยกัน

4 ปัจจัยที่ทำให้ค้าปลีกไทยไม่เติบโต
  1. โครงสร้างภาษีที่ไม่ถูกต้อง

สมาคมผู้ค้าปลีกไทยได้ยื่นข้อเสนอแก่ทางภาครัฐเรื่องภาษีสินค้า Luxury มาเป็นเวลานานแล้ว เพราะมองว่าไทยเป็นเมืองท่องเที่ยว สามารถยกระดับเป็นประเทศช้อปปิ้งได้ สินค้า Luxury เป็นตัวแปรสำคัญ ในอดีตอาจจะมองว่าสินค้า Luxury เป็นสินค้าฟุ่มเฟือย ต้องคนมีฐานะถึงจะซื้อได้เท่านั้น แต่ตอนนี้ได้กลายเป็นสินค้าไลฟ์สไตล์ไปแล้ว หลายคนใช้สินค้าแบรนด์เนมเป็นเรื่องปกติ

แต่ประเทศไทยมีโครงสร้างภาษีของสินค้า Luxury 30-40% ทำให้สินค้ามีราคาแพงกว่าต่างประทเศ เสียโอกาสทั้งคนไทย และนักท่องเที่ยวที่มาช้อปปิ้ง กลายเป็นว่าคนไทยที่จะซื้อสินค้าแบรนด์เนมก็หนีไปซื้อต่างประเทศ นักท่องเที่ยวก็ไม่อยากซื้อที่ไทยอีกเพราะมีราคาแพง ทำให้ไทยสูญเสียรายได้จากการช้อปปิ้งในส่วนนี้เยอะ

lvPhoto : Shutterstock

การที่ไทยมีภาษี 30-40% ถือว่ามีภาษีที่มากกว่าประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศแล้ว ตอนนี้มาเลเซีย และกัมพูชาได้ปรับลดแล้ว ยังคงมีแต่ประเทศไทยที่ยังคงภาษีสูงๆ

การที่ตั้งภาษีสูงๆ นั้น ก็ไม่ได้ทำให้รัฐได้จัดเก็บภาษีได้สูงๆ เลย เพราะพอสินค้ามีราคาแพง คนไทยก็ไม่ยอมซื้อ ก็ทำให้เก็บภาษีได้น้อยอยู่ดี ซึ่งปัจจุบันคนไทยที่ไปช้อปปิ้งต่างประเทศมีการเติบโต 20% ทุกปี

“เงินตราไปจ่ายให้ต่างชาติ นักท่องเที่ยวที่เข้ามาก็ไม่ซื้อ”

  1. เปิดให้คนไทยช้อปปิ้ง Duty Free

ประเด็นเรื่องของร้าน Duty Free หรือร้านปลอดภาษีก็ยังคงเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อตลาดค้าปลีกโดยรวมอยู่ ปัญหาอยู่ที่ว่า ในประเทศไทยเปิดโอกาสให้คนไทยช้อปปิ้งใน Duty Free ได้ง่ายๆ

duty free1Photo : Shutterstock

ซึ่งประเด็นนี้พบว่าในหลายๆ ประเทศได้เน้นไปที่ตลาดนักท่องเที่ยวเป็นหลัก แต่ในประเทศไทยเน้นทั้งตลาดคนไทยด้วย และนักท่องเที่ยวด้วย สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ “กลายเป็นว่าให้ Duty Free แข่งกับ Duty Paid” นั่นคือห้างค้าปลีกที่จ่ายภาษีทั้งหมดก็เสียเปรียบห้างที่ไม่ต้องเสียภาษี เป็นสิ่งที่ทำให้ค้าปลีกไม่โตเท่าที่ควร

“เรื่องนี้เป็นอะไรที่แปลก ทำให้โครงสร้างค้าปลีกมีปัญหา”

  1. ตลาดมืด Grey Market

หลายคนจะมองว่าผู้ประกอบการค้าปลีกกลัวผู้ประกอบการค้าปลีกออนไลน์ ซึ่งจริงๆ แล้วอาจจะได้รับผลกระทบบ้าง แต่นาทีนี้ถ้าไปถามผู้ประกอบการจริงๆ จะบอกว่าไม่ได้กลัวร้านค้าออนไลน์ แต่ที่น่ากลัวกว่าคือร้านค้าออนไลน์ที่หนีภาษี

ถ้าพูดให้เข้าใจง่ายๆ นั้น ร้านค้าออนไลน์ที่หนีภาษีก็คือพวก Grey Market หรือร้านพรีออเดอร์ในเว็บไซต์ โซเชียลมีเดียต่างๆ ร้านค้าพวกนี้ขายสินค้าโดยที่รับมาจากต่างประเทศโดยที่ไม่ได้เสียภาษีอย่างถูกต้อง

Photo : Shutterstock

แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็เป็นผลพวงมาจากโครงสร้างภาษีสินค้า Luxury ที่สูงเกินไป จนทำให้คนไม่อยากซื้อสินค้าที่จ่ายภาษีถูกต้อง หันไปซื้อสินค้าใน Grey Market ที่มีราคาถูกกว่า ส่งผลกระทบต่อวงการค้าปลีก

  1. รัฐไม่คุมยักษ์ใหญ่ออนไลน์ต่างชาติ

ถ้าบอกว่าไม่กลัวผู้เล่นค้าปลีกออนไลน์เลยก็คงไม่ได้เสียทีเดียว จะเห็นว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้มียักษ์ใหญ่จากต่างประเทศเข้ามาบุกตลาดในประเทศไทยมากมาย และสิ่งที่ยักษ์ใหญ่ต่างชาติเข้ามาก็คือทำสงครามโปรโมชั่นลดราคา เป็นเกมในการเผาเงินกัน

ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่าทางรัฐไม่ได้มีจัดการกับเรื่องนี้เท่าที่ควร ถ้าย้อนกลับไปในอดีตถ้าเจอค้าปลีกขนาดยักษ์ใหญ่มีการขายสินค้าในราคาต่ำกว่าทุน ทางรัฐก็เข้าไปจัดการทันที เช่น ไปช่วยร้านโชว์ห่วย หรือร้านขายของชำ แต่พอเจอยักษ์ใหญ่จากต่างชาติเข้ามาขายสินค้าต่ำกว่าทุน รัฐก็เฉยๆ ไม่ได้มีมาตรการใดๆ

“แบรนด์เหล่านี้พอเข้ามาทำตลาดในไทย แต่ตั้งเซิร์ฟเวอร์ที่ต่างประเทศ ก็ไม่ได้เสียภาษีอย่างถูกต้องอีก”

ดูไม่วิกฤติ แต่จริงๆ วิกฤติกว่า

สำหรับคำถามที่หลายคนสงสัยว่า เห็นสถานการณ์วิกฤติของค้าปลีกในต่างประเทศแล้ว เมื่อเทียบกับประเทศไทยถือว่าเข้าขั้นวิกฤติแล้วหรือยัง

วรวุฒิบอกว่า พอค้าปลีกเราโตต่ำกว่า GDP ถือว่าวิกฤติแล้ว จริงๆ ไทยเจอวิกฤติหนักกว่าต่างประเทศเสียอีก ที่ต่างประเทศเจอภัยคุกคามจากช้อปออนไลน์อย่างเดียว แต่ไทยเจอภัยคุมคามหลายอย่างทั้งจากโครงสร้างภาษี, Duty Free, Grey Market และช้อปออนไลน์อีก

ถ้าให้ประเมินสถานการณ์ วรวุฒิก็ยังยังยืนยันว่า ในช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมาก็พบว่าสัญญาณยังไม่ดีขึ้น ถ้าโครงสร้างภาษียังไม่เปลี่ยน เรื่อง Duty Free หรือการท่องเที่ยวที่ไม่เน้นเรื่องช้อปปิ้ง ยังมองไม่เห็นว่าจะมีปัจจัยอะไรที่ทำให้ค้าปลีกไทยโตในระดับปกติได้ เพราะมันบิดเบือนไปจากโครงสร้างปกติ

ถ้าถามว่าวิกฤติที่เกิดขึ้นในวงการค้าปลีกจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจอื่นๆ หรือไม่ ต้องตอบว่ากระทบแน่นอน เพราะภาคการค้าปลีกมีความสำคัญต่อประเทศเป็นอย่างยิ่ง โดยภาคการค้าปลีก-ค้าส่งมีสัดส่วน GDP ด้านการผลิต 16.1% เป็นอันดับ 2 รองลงมาจากภาคอุตสาหกรรม ทั้งนี้การขยายตัวของภาคค้าปลีกค้าส่งนำการพัฒนาสู่จังหวัดต่างๆ ทำให้เกิดการจ้างงานมากที่สุด คิดเป็น 16% ของการจ้างงานทั้งประเทศ

Photo : Shutterstock

โดยตลอดระยะเวลากว่า 20 ปี ภาคค้าปลีกมีการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ยอดเม็ดเงินการลงทุนของกลุ่มค้าปลีกจากปี 2016-2018 อยู่ที่ประมาณ 130,200 ล้านบาท หรือเฉลี่ยปีละประมาณ 43,400 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นอัตราที่สูงมาก และสูงกว่าการก่อสร้าง BTS มูลค่า 123,300 ล้านบาท หรือการประมูลคลื่น 4G 900 MHz มูลค่า 76,000 ล้านบาทอีกด้วย

“เรียกได้ว่าค้าปลีกเป็นอุตสาหกรรมที่ใหญ่มาก ถ้ายังมีการเติบโตที่ต่ำอยู่ ผู้ประการหลายรายก็คงพิจารณาไปลงทุนต่างประเทศ ทำให้ประเทศเสียประโยชน์ การจ้างแรงงานก็เสียประโยชน์ รวมไปถึงทำให้ธุรกิจผู้ผลิตก็ไม่เติบโต เพราะเวลาจะจำหน่ายสินค้า และบริการก็ต้องผ่านธุรกิจค้าปลีก มันต่อเนื่องเป็นลูกโซ่”

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

[Review] OnePlus 7 Pro เรือธงตัวแรง เครื่องสวย จอเทพ ฟังค์ชั่นครบ

MXPhone - 6 June 2019 - 09:00

เปิดตัวได้ร้อนแรงสำหรับ OnePlus 7 Pro สมาร์ทโฟนรุ่นท็อปตัวใหม่จากแบรนด์ OnePlus ที่ชูสเปคกระชากใจไม่ว่าจะเป็นเรื่องของจอ, ดีไซน์, สเปค หรือการถ่ายภาพ

The post [Review] OnePlus 7 Pro เรือธงตัวแรง เครื่องสวย จอเทพ ฟังค์ชั่นครบ appeared first on mxphone.

คุยกับ โอภาส เฉิดพันธุ์ เปิดกลยุทธ์ MVP จัด 3 EXPO ใหญ่ ผนวกธุรกิจท่องเที่ยวเชิงกีฬา

Brand Inside - 6 June 2019 - 07:30

Thailand Mobile Expo 2019 ครั้งที่ 33 ที่ไบเทค บางนา จบลงไปเรียบร้อย แม้จะเป็นช่วงกลางปีที่ไม่มีือถือใหม่ออกมาวาดลวดลาย กระตุ้นยอดขายเหมือนช่วงต้นปีหรือปลายปี (ปกติ Thailand Mobile Expo จัดปีละ 3 ครั้ง) แต่กลายเป็นว่า ครั้งนี้คึกคัก และสร้างโอกาสให้อาจมีการขยายพื้นที่ในอนาคต

เพราะครั้งนี้ TME 2019 ทำการรวบเอางานเกม อย่าง Thailand Game Expo by AIS eSports งานมหกรรมเกมและอุปกรณ์เกมมิ่งที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ

ไม่เท่านั้น เพราะยังมี Idol Expo เป็นมหกรรมที่รวมวงไอดอลเอาไว้มากที่สุดในไทย ดังนั้นนี่จึงกลายเป็นงาน EXPO ที่สมบูรณ์ที่สุดงานหนึ่งในปีนี้ และได้รับการตอบรับจากผู้ที่สนใจเป็นจำนวนมาก

ตลาดมือถือซบแล้วไง? MVP ขอจัด Mobile Related Expo

โอภาส เฉิดพันธุ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอ็ม วิชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ MVP ผู้จัดงาน Thailand Mobile Exp และทำธุรกิจท่องเที่ยวเชิงกีฬา บอกว่า สถานการณ์เศรษฐกิจที่ไม่ค่อยดี เรื่องสงครามการค้าในต่างประเทศ​ และมือถือใหม่ๆ ที่ยังไม่ออกสู่ตลาด ทำให้ตลาดมือถือปีนี้โดยภาพรวมชะลอตัว ในฐานะคนจัดงานกว่า 10 ปี เฝ้าติดตามปัจจัยต่างๆ อย่างใกล้ชิด และพยายามปรับปรุงงานเพื่อให้โดนใจผู้บริโภค และช่วยให้ผู้ประกอบการทำธุรกิจได้ตามเป้า

สิ่งแรกที่เกิดขึ้นกับ TME 2019 คือ แม้งานจะชื่อโมบาย เอ็กซ์โป แต่ต้องไม่ผูกมัดอยู่กับแค่มือถือ ต้องไม่เติบโตในทาง Vertical เท่านั้น แต่ต้องขยายไปแบบ Horizontal ด้วย เพื่อเป็น Mobile Related Expo ดังนั้นช่วงต้นปี จะเห็นงาน EV Connectivity Platform เป็นความร่วมมือกับ dtac นำรถยนต์ไฟฟ้า มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า เข้ามานำเสนอ

และในรอบกลางปี TME ได้ผนวกเอา Thailand Game Expo by AIS eSports ซึ่ง TME ได้ร่วมทุนกับ AIS จัดต่อเนื่องอย่างน้อย 3 ปี และปิดท้ายด้วยความร่วมมือกับ Idol Master จัดงาน Idol Expo ครั้งที่ 2 ดึงเอาวงไอดอลกว่า 20 วงมาไว้ที่งาน เมื่อมี 3 งานใหญ่มารวมกัน ไม่ต้องแปลกใจที่พื้นที่จะขยายขึ้นกว่า 30% เป็นกว่า 30,000 ตร.ม. และมีแนวโน้มที่จะขยายเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต

“TME มีคนมาซื้ออุปกรณ์มือถือต่างๆ มาดูเทคโนโลยีใหม่ๆ ซึ่งคนกลุ่มนี้ก็สนใจทั้งรถยนต์ไฟฟ้า เกม และไอดอล เป็นคนกลุ่มเดียวกัน การจัดงานจึงได้รับการตอบรับอย่างดีในทันที”

ตลาดมือถือซบ แต่ตลาดอย่างอื่นยังไปได้

อย่างที่รู้กันว่าตลาดมือถือซบเซาลงด้วยปัจจัยต่างๆ แต่การออกงาน Expo มีส่วนช่วยกระตุ้นยอดขายได้ ดังนั้นแบรนด์มือถือหลักๆ จึงมาออกกันตามปกติ แต่สิ่งที่เพิ่มมาคืองาน Thailand Game Expo by AIS eSports จึงมีบางค่ายที่มาออก 2 บูท เพื่อให้ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย

“ทั้ง OPPO และ Huawei มาออกบูทแบบแยกส่วนทั้งมือถือ และ เกม ต้องยอมรับว่า นี่คือครั้งแรกของการรวม 3 งานไว้ด้วยกัน ส่วนหนึ่งก็เป็นการลองตลาดว่า การแยกบูทกัน หรือ การรวมไว้ด้วยกัน แบบไหนจะตอบความต้องการผู้บริโภคได้ดีกว่า”

นอกจากนี้ตลาดที่น่าจับตามองคือ ตลาดหูฟัง มีการเติบโตกว่า 300% โดยส่วนของหูฟัง เร่ิมมีการทำออกมาตอบความต้องการมากขึ้น โดยเฉพาะหูฟีงแบบบลูทูธ แต่คุณภาพเสียงอยู่ในระดับสูง

อีกตลาดคือ เกมมิ่งเกียร์ ที่มีมูลค่าตลาดกว่า 22,000 ล้านบาท อุปกรณ์ส่วนใหญ่มีราคาสูง เพื่อเพิ่มอรรถรสในการเล่นเกมให้สนุกยิ่งขึ้น ซึ่งชาวเกมเมอร์ เข้าใจในจุดนี้ดี และมาเดินที่งานนี้กันเพื่อมองหาอุปกรณ์เหล่านี้โดยเฉพาะ

Expo แค่ส่วนหนึ่ง แต่ยังมีธุรกิจท่องเที่ยวเชิงกีฬาอีก

จริงอยู่ว่า Expo ประสบความสำเร็จด้วยดี มีเงินสะพัดกว่า 2,500 ล้านบาท มีผู้เข้าร่วมงานกว่า 7 แสนคนตามเป้าที่วางไว้ แต่นั่นเป็นสัดส่วนธุรกิจของ MVP ประมาณ 50% เท่านั้น (แต่เดิมมีสัดส่วนประมาณ 70%) ซึ่งภายหลังจากที่ MVP ขยายธุรกิจในแนวกว้างออกไปมากขึ้น ในด้านท่องเที่ยวเชิงกีฬา ทำให้พอร์ตมีการพัฒนา

“ธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา MVP มองเห็นและปรับตัวตาม หมดเวลาการวางแผนยาวทั้งปีแบบในอดีตแล้ว ต้องเตรียมพร้อมทุกๆ ไตรมาส เน้นในธุรกิจการจัดงานซึ่งเป็นจุดแข็งของ MVP และต่อยอดไปเรื่อยๆ”

สำหรับสัดส่วนอีกประมาณ 50% ประกอบด้วย ธุรกิจท่องเที่ยวเชิงกีฬา ซึ่งถือว่าบูมมากทั่วโลกและในไทย อันดับแรกคือ การจัดงานวิ่ง นอกจาก 10K Thailand Championship ที่เป็นงานวิ่ง 10 กิโลเมตรอย่างเป็นทางการของประเทศไทย MVP จัดงาน 12 งาน รวมทั้งวิ่งถนนและวิ่งเทรล ตลอดทั้งปี ยอดจองบัตรเข้าร่วมงานเต็มตลอด

อีกส่วนคือ ธุรกิจรถบ้านพร้อมกิจกรรม โดยปัจจุบัน MVP มีรถบ้าน 137 คัน จะกระจายตัวไปจอดตามเจ้าของพื้นที่ (Land Lord) ในจังหวัดต่างๆ ทั้งริมทะเล และภูเขา พร้อมจัดกิจกรรมสันทนาการต่างๆ ให้กับผู้มาพัก เช่น เล่นเรือใบ พายเรือ กิจกรรมรอบกองไฟ ทำอาหาร ซึ่งการเป็นรถบ้านทำให้ง่ายต่อการบริหารจัดการเมื่อเทียบกับสิ่งปลูกสร้างอื่น และ MVP ยังเพิ่มจำนวนรถบ้านขึ้นต่อเนื่องด้วย

สรุป

โอภาส ทิ้งท้ายว่า ด้วยธุรกิจทั้งหมด MVP ตั้งเป้าหมายปีนี้ทำกำไรแน่นอนระดับ 30-50 ล้านบาท เกือบครึ่งปีแรกเป็นไปในทิศทางที่ดี งาน TME 2019 ที่รวม 3 งาน Expo ใหญ่ก็จบไปอย่างสวยงาม ส่วนธุรกิจท่องเที่ยวเชิงกีฬาก็พร้อมเดินหน้าตลอดทุกเดือน ยืนยันได้ว่างานแน่นตลอดทั้งปีแน่นอน

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

วิมานของ Tesla อาจล่มสลาย หาก Elon Musk ยังไม่กลับมาจริงจังกับธุรกิจหลักเสียที

Brand Inside - 6 June 2019 - 06:58

แม้ Tesla จะเป็นแบรนด์ผู้ผลิตรถยนต์ที่จุดประกายตลาดรถยนต์ไฟฟ้าจนผู้ผลิตค่ายอื่นต้องเร่งพัฒนาเทคโนโลยีนี้เกือบทุกราย แต่จากจุดเริ่มต้นนี้เองมันก็อาจเป็นจุดจบที่ไม่สวย หากผู้ก่อตั้งอย่าง Elon Musk ยังมัวแต่ทำเรื่องอื่น

TeslaTesla // ภาพจาก Shutterstock Tesla กับจุดเริ่มต้นที่สวยหรู

อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า Tesla คือแบรนด์ผู้ผลิตรถยนต์ที่ทำให้ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าคึกคักเป็นพิเศษ เพราะนับตั้งแต่ปี 2551 ที่เปิดตัว Tesla Roadster รถสปอร์ตพลังงานไฟฟ้าล้วน ก็ทำให้สปอตไลท์ทุกด้วยฉายลงมาที่ Tesla ผ่านการสร้างความแตกต่าง และสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมมาก่อนในอุตสาหกรรมรถยนต์

และหลังจากนั้น Tesla ก็เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ออกมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น Sedan อย่าง Model S หรือ SUV ตามสมัยนิยม Model X และรุ่นราคาประหยัด Model 3 แถมเตรียมรุกตลาดเชิงพาณิชย์ด้วยรถหัวลากไฟฟ้า Semi-Truck พร้อมผลิตอุปกรณ์เสริมมากมาย เช่นสถานีชาร์จ และเครื่องชาร์จตามบ้านต่างๆ

teslaTesla รุ่นต่างๆ // ภาพ Shutterstock

แต่ความสำเร็จนั้นอาจมีจุดจบไม่สวย เพราะปัจจุบัน Tesla อยู่ในช่วงลำบาก ทั้งการที่ Elon Musk ออกมาบอกว่าอาจมีเงินเหลือใช้เพียงแค่ 10 เดือนหากยังลงทุนในรูปแบบเดิม รวมถึงปัญหา Trade War ที่ทำให้การจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าในจีนยากขึ้น ผ่านราคาขายที่แพงกว่าเดิมเป็นต้น

จีนกับความสำคัญของรถยนต์ไฟฟ้าทุกแบรนด์

ปัจจุบันตลาดรถยนต์จีนนั้นใหญ่เป็นอันดับ 1 ของโลก และรถยนต์ไฟฟ้าก็เช่นเดียวกัน จึงไม่แปลกที่เมื่อเติบโตขนาดนี้ Tesla จึงไปลงทุนถึง 4,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.25 แสนล้านบาท) เพื่อสร้าง Gigafactory หรือโรงงานผลิตแบตเตอรี่ในจีน แต่ด้วยปัญหาเรื่อง Trade War มันก็อาจใช้งานได้ไม่เต็มที่หลังจากนี้

Teslaโชวรูม Tesla

ขณะเดียวกันรัฐบาลจีนก็สนับสนุนแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าท้องถิ่นมากกว่า ทำให้ Tesla นั้นแข่งขันได้ยากกว่าเดิม ยิ่งแบรนด์รถยนต์ดั้งเดิม เช่น BMW ก็ไปจับมือกับค่ายผู้ผลิตรถยนต์ในจีนเพื่อได้รับสิทธิประโยชน์นั้นด้วย มันก็ยิ่งเป็นการยากของ Tesla ในการแข่งขันในตลาดนี้เช่นกัน

อย่างไรก็ตามเมื่อกลับมามองที่ตลาดสหรัฐอเมริกา หรือตลาดหลักของ Tesla แบรนด์รถยนต์ที่เกิดขึ้นใหม่ และชูจุดเด่นเรื่องเทคโนโลยีที่ไม่เคยมีมาก่อน แถมตั้งเป้าขึ้นมาทดแทนตลาดเดิมต่างก็ไปไม่รอดทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น Saturn (ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่ม GM), Hudson, DeLorean (รถใน Back to the Future) และ Packard

TeslaSupercharge ของ Tesla – ภาพจาก Pixabay ตลาดสหรัฐก็ใช่ว่าจะง่ายสำหรับ Tesla

ถึง Tesla จะเป็นแบรนด์รถยนต์ในสหรัฐฯ แต่ปัจจัยเรื่องการแข่งขัน, การกำกับกิจการที่เข้มงวด รวมถึงค่ายรถยนต์พี่ใหญ่ที่พร้อมจะรับน้องตลอเวลาก็ทำให้ Tesla อาจมีโอกาสเป็นเหมือนกับแบรนด์รถยนต์ใหม่ๆ ในย่อหน้าก่อนที่เกิดมาไม่นานก็ต้องหายไป

ที่ในในอุตสาหกรรมรถยนต์นั้นแบรนด์ผู้ผลิตรายใหญ่ทำกำไรกับการขายรถแค่ 6%/คัน เท่านั้น ต่างกับอุตสาหกรรมอื่น เช่นสินค้าอุปโภคบริโภค, สื่อบันเทิง หรือสินค้าเทคโนโลยี เพราะสินค้าเหล่านี้ไม่มีการกับกำกับที่ยุ่งยาก, ใช้แรงงานน้อย ที่สำคัญขายกันแบบกำไรครึ่งต่อครึ่ง ดังนั้นการเริ่มต้นในธุรกิจยานยนต์ไม่ใช่เรื่องง่ายเอาเสียเลย

Teslaรถบรรทุกหัวลากจาก Tesla ที่ขับเคลือนด้วยไฟฟ้าทั้งคัน

เมื่อสินค้ามีอัตรากำไรน้อยขนาดนี้มันก็ต้องขายให้ได้มากๆ สังเกตว่าแบรนด์รถยนต์ในปัจจุบันต้องขายกันเป็นหลักหลายล้านคันต่อปี หรืออย่างน้อยๆ ก็ต้องเกือบล้านคันต่อปี ซึ่ง Tesla ยังห่างจุดนั้น เพราะเมื่อปี 2561 ก็ส่งมอบไปได้ 2 แสนกว่าคันเท่านั้น แถมรุ่นประหยัดอย่าง Model 3 ยังมีปัญหาเรื่องการผลิตอีกด้วย

การกลับมาจริงจัง และ Scale แบบสุดๆ คือเรื่องจำเป็น

ทั้งนี้ความที่ Elon Musk เป็น Serial Entrepreneur หรือนักธุรกิจที่พร้อมจะสร้างธุรกิจใหม่ๆ ตลอดเวลา ทำให้ช่วงที่ Tesla กำลังมีปัญหา Elon Musk ก็มีโครงการใหม่ๆ เช่นการทำหลังคาที่สร้างพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์, เครื่องยิงไฟ รวมถึงธุรกิจเที่ยวอวกาศ Space X จึงไม่แปลกที่ความจริงจังใน Tesla ก็ต้องลดลงตาม

TeslaTesla Model 3 // ภาพจาก Shutterstock

แต่ถึง Elon Musk จะกลับมาจริงจังกับ Tesla เขาก็ต้องพยายามทำให้มัน Scale Up ในแบบสุดๆ ไม่ใช่เติบโตในอัตราเดิม ไม่ว่าจะเป็นการขยายกำลังการผลิต การสร้างความน่าเชื่อถือใกล้เคียงกับแบรนด์รถยนต์ชั้นนำอื่นๆ เพราะหากขยายได้ช้ากว่านั้น โอกาสที่บริษัทจะล่มสลายไปเหมือนแบรนด์รถยนต์เกิดใหม่ก่อนหน้านี้ก็มีสูง

ในทางกลับกันถึง Tesla จะ Scale Up จนใกล้เคียงกับแบรนด์ผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำแล้ว แต่ปัจจุบันแบรนด์เหล่านี้ก็พัฒนารถยนต์ไฟฟ้า และเทคโนโลยีไร้คนขับที่ก่อนหน้านี้มันคือจุดแข็งของ Tesla ได้กันเกือบทั้งหมดแล้ว ดังนั้นมันก็ยิ่งท้าทายว่า Elon Musk จะต้องดิ้นรนอย่างไรต่อไป

สรุป

เรียกว่าเป็นงานยากจริงๆ ของ Tesla เพราะจากจุดเด่นที่ตัวเองมี ทุกค่ายรถยนต์ชั้นนำก็พยายามทำให้ได้กันหมดแล้ว ดังนั้นในอนาคตของ Tesla จะเป็นอย่างไรก็ยากที่จะรู้ อาจเป็นอาจถูกควบรวมกิจการ, ล่มสลาย หรือกลายเป็นมหาอำนาจใหม่ในวงการนี้ก็ได้ และถึง Elon Musk จะเคยทำ Paypal จนโด่งดังมาแล้ว แต่นั่นมันก็คนละเรื่องกับการทำธุรกิจผู้ผลิตรถยนต์ด้วย

อ้างอิง // Digital Trends

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

เกมใหม่ “สิงห์ปาร์ค” กับการสร้างผลิตภัณฑ์หลากหลาย พร้อมยกระดับเชียงรายโมเดลไปอีกขั้น

Brand Inside - 6 June 2019 - 06:10

หลายคนที่เคยไปเที่ยวเชียงรายน่าจะรู้จัก “สิงห์ปาร์ค” แต่รู้หรือไม่ว่าสถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้มีอะไรมากกว่าแค่ความสวยงาม เพราะมันคือหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญของเศรษฐกิจเชียงราย และวันนี้ Brand Inside จะมาอธิบายให้ฟัง

ชาเขียว

“สิงห์ปาร์ค” และการเติบโตที่ไม่หยุดยั้ง

อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า “สิงห์ปาร์ค” คืออีกฟันเฟืองสำคัญของเศรษฐกิจในเชียงราย เพราะเป็นทั้งแหล่งท่องเที่ยว รวมถึงแหล่งผลิตสินค้าทางการเกษตรเพื่อวางจำหน่ายในไทย และส่งออกไปต่างประเทศ แต่กว่าจะยิ่งใหญ่ขนาดนี้มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ

พงษ์รัตน์ เหลืองธำรงเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สิงห์ปาร์ค เชียงราย จำกัด เล่าให้ฟังว่า ตัวสิงห์ปาร์ค เชียงราย คือบริษัทลูกของกลุ่มบุญรอดฯ ที่มีแนวทางในการดำเนินธุรกิจด้วยการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพมากที่สุด ซึ่งบริษัทเองก็เดินตามแนวทางนี้ด้วย แต่แค่แตกต่างด้วยการวางตัวเป็นวิสาหกิจชุมชน

ชา

“ในอดีตพื้นที่นี้ถูกใช้เป็นไร่ข้าวบาร์เลย์เพื่อนำมาใช้ผลิตเบียร์ ผ่านการนำพันธุ์จากยุโรปมาให้เกษตรกรช่วยเพาะปลูก จนสุดท้ายเราก็กลายเป็นผู้สนับสนุน 14 จังหวัดภาคเหนือตอนบน และตอนนี้เราก็ก้าวไปอีกขั้นหนึ่งด้วยการผลิตสินค้าที่หลากหลาย และได้รับมาตรฐานต่างๆ จนเป็นที่ยอมรับทั้งในไทย และระดับโลก”

นวัตกรรมช่วยยกระดับสินค้าเกษตรมากมาย

ด้วยความเป็นวิสาหกิจชุมชน ทำให้ “สิงห์ปาร์ค เชียงราย” ไม่ได้เน้นทำกำไร แต่เน้นสร้างสังคมที่ดี พร้อมสร้างความคึกคักในจังหวัดมากกว่า ในทางกลับกันทางบริษัทก็นำนวัตกรรม และเทคโนโลยีต่างๆ มายกระดับสินค้าเกษตร โดยเฉพาะวัตถุดิบสดที่หากส่งถึงมือผู้บริโภคไม่ทัน มันก็ไร้ค่า

สิงห์ ปาร์ค เชียงรายพงษ์รัตน์ เหลืองธำรงเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สิงห์ปาร์ค เชียงราย จำกัด

“เราได้รับความร่วมมือจากสวทช. และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยเพื่อช่วยพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรของเราด้วยนวัตกรรม จนเราได้มาตรฐาน ThaiGAP หรือ THAI Good Agricultural Practice นอกจากนี้เรายังพยายามพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรของเราให้ได้มาตรฐาน JGAP เพื่อส่งสินค้าไปยังญี่ปุ่นได้ดีขึ้นเช่นกัน”

ดังนั้นปีนี้จะได้เห็นสินค้าเกษตรภายใต้แบรนด์ “บุญรอดฟาร์ม” (Boonrawd Farm) วางจำหน่ายในห้างสรรพสินค้าต่างๆ มากกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นผัก ผลไม้ หรืออาหารแปรรูป รวมถึงการส่งออกในตลาดโลกก็จะมีมากขึ้น ทั้งยังอยู่ระหว่างเจรจากับคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทยเพื่อนำผลิตภัณฑ์ต่างๆ ไปใช้เพื่อยกระดับโภชนาการของนักกีฬาด้วย

ชาเขียว

สินค้าไฮไลท์ปีนี้คือชาเขียวแบบญี่ปุ่นแท้ๆ

ส่วนสินค้าไฮไลท์ประจำปีนี้ของบุญรอดฟาร์มก็คือ “ชา” แต่ไม่ใช่ชาธรรมดา เพราะเป็นชาเขียวที่ใช้กระบวนการผลิตเหมือนกับของญี่ปุ่นทั้งหมด แต่ด้วยภาพรวมตลาดชาในประเทศไทยที่หดตัวเรื่อยๆ ประกอบกับคนไทยไม่ได้ดื่มชาแบบนำใบมาต้มชงเองเหมือนต่างประเทศ ทำให้วิธีการทำตลาดนั้นต้องปรับเปลี่ยนจากเดิม

“ต้องบอกว่าการจำหน่ายแค่ใบชานั้นไม่ตอบโจทย์คนไทยแน่นอน ประกอบกับตลาดนี้ก็มีแบรนด์ระดับโลกครองอยู่แล้ว ดังนั้นเราจึงเลือกนำ Know How ของบริษัทแม่ในการผลิตเครื่องดื่มมาใช้เพื่อยกระดับให้ตัวชาเป็นเครื่องดื่มที่ดื่มง่าย และเหมาะสมกับการทำตลาดในประเทศไทยมากที่สุด”

ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เกี่ยวกับชาก็มีทั้ง Cold Brew Tea หรือชาที่ใช้วิธีสกัดเย็นเพื่อตอบโจทย์คนไทยที่ชื่นชอบเครื่องดื่มเย็นมากกว่าร้อน นอกจากนี้ยังไม่ใช้เงินมหาศาลในการสร้างโฆษณาชวนเชื่อ เพราะต้องการผลิตสินค้าให้เหมาะสมกับความต้องการจริง และบริษัทจะเน้นการให้ข้อมูลว่าดื่มชาแล้วจะช่วยเรื่องสุขภาพอย่างไรมากกว่า

Tea Solution กับอีกเป้าหมายสำคัญหลังจากนี้

การทำตลาดชาเขียวนั้น บุญรอดฟาร์มได้ร่วมกับ Maruzen บริษัทผลิตชาเขียวจาประเทศญี่ปุ่นที่ก่อตั้งมานานกว่า 80 ปี เพื่อผลิตชาเขียวภายในแนวคิด Made Form Japan และด้วยการที่ปลุกในไทย ทำให้ต้นทุนสินค้าถูกกว่านำเข้า 20-30% จนตอบโจทย์การทำตลาดในระดับองค์กร เพราะ 85% ของยอดขายมาจากการทำตลาดแบบ B2B

“เร็วๆ นี้เราอาจเป็น Tea Solution ให้กับธุรกิจที่ผลิตสินค้าเกี่ยวกับชา เพราะบุญรอดฟาร์มผลิตชาได้ทุกรูปแบบ และคุมคุณภาพ, รสชาติ รวมถึงความยืดหยุ่นต่างๆ โดยสินค้าชาตอนนี้คิดเป็น 40% ของรายได้เรา อีก 40% เป็นรายได้จากการท่องเที่ยว, อาหาร และเครื่องดื่ม ส่วนที่เหลือก็มาจากผลิตภัณฑ์อื่นๆ”

ชา

ทั้งนี้ภาพรวมการเติบโตของบุญรอดฟาร์มในปีนี้จะยังวางเป้า 25% เช่นเดิม แม้ช่วงต้นปีจะมีปัญหาฝุ่นมากระทบรายได้จากการท่องเที่ยว แต่การได้ธุรกิจอื่นๆ มาช่วย โดยเฉพาะตัวธุรกิจชาที่ปีนี้วางเป้าหมายมีรายได้จากฝั่งธุรกิจ B2C เพิ่มเป็น 30% และลดตัว B2B ลงมาเหลือ 70% แต่ยังเป็นแบรนด์ชาเบอร์หนึ่งที่ผลิตในไทยอย่างที่เคยเป็นมา

สรุป

การทำตลาดสินค้าเกษตรนั้นมีความท้าทายอย่างมาก เพราะมันมีโอกาสเสียหายได้สูงหากส่งถึงมือผู้รับไม่ทัน ดังนั้นการนำนวัตกรรมมาใช้เพื่อยกระดับสินค้าประเภทนี้ขึ้นไปอีกขั้นก็จำเป็น ซึ่งทางบุญรอดฟาร์มก็ทำได้ค่อนข้างดี แถมยังเน้นเรื่องวิสาหกิจชุมชน ทำให้ทุกคนในเชียงราย และภาคเหนือตอนบนเติบโตไปพร้อมกันได้ด้วย

ดังนั้นคงต้องติดตามกันว่าก้าวต่อไปของบุญรอดฟาร์มจะเป็นอย่างไร

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

IMF ปรับลด GDP จีน คาดปีนี้โตแค่ 6.2% หลังสงครามการค้ามีท่าทียื้ดเยื้อ

Brand Inside - 5 June 2019 - 21:33

กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF ออกมาคาดการณ์ GDP ของจีนในปีนี้จะเติบโตเพียงแค่ 6.2% หลังจากที่สงครามการค้าระหว่าง 2 มหาอำนาจมีท่าทีที่ยืดเยื้อ

Beijing China ปักกิ่ง ประเทศจีนภาพจาก Unsplash

กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF ได้ปรับตัวเลขการเติบโตของเศรษฐกิจจีนในปีนี้ลงมาเหลือ 6.2% จากเดิมที่ 6.3% เนื่องจากปัญหาคาราคาซังของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน หลังจากที่ความตึงเครียดระหว่างทั้ง 2 ฝ่ายเพิ่มขึ้นตลอดในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา

Kenneth Kang รองผู้อำนวยการ IMF ภาคพื้นเอเชียได้กล่าวว่า “ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐและจีนในกรณีข้อพิพาททางการค้าเป็นสาเหตุสำคัญในมุมมองของ IMF แต่ก็ต้องจับตามองดูอีกในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้า ถ้าหากมองในระยะยาวแล้วจะเป็นเรื่องจำกัด”

มุมมองของ IMF สอดคล้องกับตัวเลขทางเศรษฐกิจล่าสุดคือ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ หรือ PMI จากรัฐบาลจีนในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาอยู่ที่ 49.4 ถือว่าย่ำแย่กว่าที่คาด ขณะที่ตัวเลข PMI จาก Caixin และ Markit อยู่ที่ 50.2 ทรงตัวต่อจากเดือนเมษายน

นอกจากนี้ IMF ยังคาดว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจีนที่ออกมานั้นเพียงพอจะช่วยให้เศรษฐกิจจีนเติบโตได้โดยไม่ต้องใช้นโยบายทางการเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ยกเว้นเสียแต่ว่าทั้ง 2 ฝ่ายจะเริ่มขึ้นภาษีอีกรอบ โดยในปี 2020 นั้น IMF ยังคาดว่า GDP จีนในปีหน้าจะเติบโตเหลือเพียงแค่ 6%

ขณะเดียวกันการเจรจาการค้าระหว่างทั้ง 2 ก็ยังไม่คืบหน้าไปไหน ก่อนหน้านี้มีการคาดการณ์ว่าภายในสัปดาห์นี้สหรัฐจะส่งตัวแทนไปเจรจาการค้ากับจีนอีกครั้ง นำโดย Steven Mnuchin รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งจะพูดคุยกับ Yi Gang ประธานธนาคารกลางจีน แต่หลังจากที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวว่า สหรัฐฯ ไม่ได้รีบร้อนที่จะเจรจาการค้าครั้งใหม่กับจีนในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้คาดว่าอาจไม่มีการเจรจาระหว่างทั้ง 2 ฝ่ายด้วยซ้ำในสัปดาห์นี้

อย่างไรก็ดีมุมมองจาก IMF อาจขัดแย้งกับมุมมองของประธานาธิบดีจีน โดยมุมมองล่าสุดผู้นำจีนมองว่า ประเทศจีนในปัจจุบันมีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดี และในอนาคตจะมีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง เพราะจีนยังมีปัจจัยเกื้อหนุนที่มากพอ

คาดกันว่าประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ และ ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง จะกลับมาพูดคุยและเจรจากันอีกครั้งในช่วงการประชุม G-20 ที่ญี่ปุ่นในช่วงปลายเดือนนี้

ที่มาCNBC, Reuters

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

[ชมคลิป] วิดีโอเปิดตัว Mac Pro โดย Jony Ive และ Dan Riccio ที่ไม่ได้เปิดในเวทีงาน WWDC 2019

MacThai - 5 June 2019 - 21:00

ในงาน WWDC 2019 ที่ผ่านมา Apple ได้เปิดตัว Mac Pro ที่กลับมาเป็นทรงสี่เหลี่ยมเหมือนเดิม โดยในงานนั้นมีหลายคนสังเกตว่า Apple ไม่ได้เปิดวิดีโอซึ่งมี Jony Ive หัวหน้าฝ่ายออกแบบและ Dan Riccio หัวหน้าฝ่ายวิศวกรรมออกมาพูดเหมือนคราวก่อน ๆ

Apple_mac_pro_new_display_final_cut_screen_060319

แต่ใช่ว่า Apple จะไม่ได้ทำวิดีโอนี้ โดยช่วงหลังจากงาน Apple ก็ได้ปล่อยวิดีโอเปิดตัว Mac Pro ที่มี Ive และ Riccio ออกมาอธิบายเกี่ยวกับ Mac Pro แล้ว

เหตุผลที่ Apple ไม่ได้เปิดวิดีโอนี้คาดว่าอาจจะใช้เวลาเพื่อการเดโม รวมถึงตารางเวลาในงานอาจจะเร่งรัด โดยผู้ที่รอชมวิดีโอก็สามารถดูได้เลยด้านล่างนี้

The post [ชมคลิป] วิดีโอเปิดตัว Mac Pro โดย Jony Ive และ Dan Riccio ที่ไม่ได้เปิดในเวทีงาน WWDC 2019 appeared first on Macthai.com.

มาดามแป้ง-นวลพรรณ ล่ำซำ ใช้กลยุทธ์ CEO Marketing เมืองไทยประกันภัยจะเป็นอย่างไร?

Brand Inside - 5 June 2019 - 17:43

ปัจจุบันคนไทยยังทำประกันภัยน้อยมาก ส่วนหนึ่งเพราะไม่เห็นความสำคัญของประกันฯ หรือกังวลว่าซื้อประกันแล้วไม่สามารถเคลมเงินได้ ดังนั้นเลยเป็นโจทย์ใหญ่ให้บริษัทประกันภัยต่างๆ ต้องสร้างความเชื่อมั่นกับประชาชนให้มากขึ้น

นวลพรรณ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) เมื่อ “มาดามแป้ง” ควบตำแหน่ง CEO และพรีเซ็นเตอร์ บมจ.เมืองไทยประกันภัย

นวลพรรณ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ MTI บอกว่า ทางบริษัท Rebrand โดยมีกลยุทธ์หลักคือ CEO Marketing ใช้ชื่อแคมเปญ “เชื่อแป้ง” ที่จะตอกย้ำภาพลักษณ์ของแบรนด์ผ่านตัวตน “แป้ง-นวลพรรณ ล่ำซำ”

ทั้งนี้ภาพลักษณ์ขององค์กรจะมีความทันสมัย สดใส อบอุ่นและเข้าถึงง่าย จากตัวตนของ “มาดามแป้ง” แม้จะอายุ 53 ปี แต่ยังทำงานในหลายด้าน เช่น CEO บมจ.เมืองไทยประกันภัย, ประธานสโมสรการท่าเรือ เอฟซี, ผู้จัดการทีมฟุตบอลหญิงทีมชาติไทย ผู้นำเข้าแบรนด์อย่าง Hermes ฯลฯ

ปรับ Product Line เจาะลูกค้ารายย่อยมากขึ้น

อย่างไรก็ตามปี 2561-2562 ทางบริษัทเพิ่มผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่เข้าใกล้ชีวิตประจำคนทั่วไปมากขึ้น ขณะเดียวกันจะออกแบบประกันเจาะลูกค้าแต่ละเซคเมนต์มากขึ้น ได้แก่

  • ประกันรถยนต์ – BigSmile 2019 ออกแบบประกันเฉพาะให้กลุ่มรถที่มีกำไร (เคลมน้อย) ให้มีเบี้ยประกันภัยถูกลงเพราะเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงน้อยกว่า และมีแบบประกันรถยนต์  2+3+ Surprise  เบี้ยประกันภัยเริ่มต้น 4,990 บาท เพิ่มทางเลือกให้ลูกค้าที่ต้องการเบี้ยประกันภัยถูกลง
  • ประกันสุขภาพ – Health Easy เน้นกลุ่มลูกค้ามนุษย์เงินเดือนที่ต้องการความคุ้มครองนอกเหนือจากประกันพื้นฐานที่มีอยู่
  • ประกันเดินทาง – Happy Smile ประกันเดินทางต่างประเทศเพื่อให้ขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ และมีรายได้เพิ่มเติมให้บริษัท
  • ประกันสำหรับธุรกิจ SME – SME ธุรกิจร่ำรวย ประกันทรัพย์สินสำหรับธุรกิจ SME และผู้เริ่มต้นประกอบธุรกิจซึ่งเป็นฐานลูกค้าที่เติบโตต่อเนื่อง
สรุป

คนไทยยังไม่ให้ความสำคัญกับการทำประกันภัย ดังนั้นทุกบริษัทต้องหันมาสร้างความเชื่อมั่น โดยเมืองไทยประกันภัยเลือกจะสร้างภาพลักษณ์ใหม่ผ่าน CEO อย่างมาดามแป้ง ที่มีชื่อเสียงในหลายวงการอยู่แล้ว แต่ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรคงต้องจับตาดู

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

HomePro เอาด้วย งดแจกถุงพลาสติก 100% ทุกสาขา ดีเดย์ 1 ก.ค. นี้

Brand Inside - 5 June 2019 - 17:02

HomePro เปิดแคมเปญ “No plastic Bags” งดแจกถุงพลาสติกแบบจริงจังทุกสาขาทั่วประเทศ เริ่ม 1 กรกฎาคม 2562 นี้ พร้อมแจกแต้มสะสม

Photo : Shutterstock ยกระดับงดแจกถุงพลาสติก 100%

กลายเป็นปรากฎการณ์ที่ผู้เล่นค้าปลีกในไทยพร้อมใจกันมีนโยบายในการงดใช้ถุงพลาสติกกันถ้วนหน้า ล่าสุด HomePro ได้ประกาศร่วมขบวนนี้ด้วย ด้วยการงดแจกถุงพลาสติกแก่ลุกค้าแบบ 100% พร้อมกันทุกสาขาทั่วประเทศ ในแคมเปญ “No plastic Bags” พร้อมกระตุ้นให้ใช้ถุงผ้า

ก่อนหน้านี้ HomePro ได้ใช้นโยบายในโครงการงดแจกถุงในทุกวันที่ 4 ,14 และ 24 ของทุกเดือน พร้อมแจกแต้มโฮมการ์ดเฉลี่ยถึงเดือนละ 2.4 ล้านแต้ม หรือมีลูกค้าที่เลือกไม่รับถุงพลาสติกมากกว่า 10,000 คน/เดือน หากลูกค้าต้องการรับถุงพลาสติกจ่าย 1 บาทต่อ 1 ใบ ซึ่งได้รับผลตอบรับอย่างดี

สิริวรรณ เสริมชีพ ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายสื่อสารการตลาด บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่า

“ปัญหาสิ่งแวดล้อม ถือเป็นเรื่องสำคัญที่ทุกประเทศทั่วโลก หันมาใส่ใจมากขึ้น โดยเฉพาะขยะพลาสติกที่ย่อยสลายได้ยาก ประเทศไทยได้ชื่อว่า เป็นประเทศที่ปล่อยขยะพลาสติกลงทะเลมากที่สุดเป็นอันดับ 6 ของโลก ด้วยปริมาณขยะพลาสติกกว่า 2 ล้านตันต่อปี หรือประมาณ 2 แสนล้านใบ

จากสถานการณ์ดังกล่าว HomePro ในฐานะผู้นำธุรกิจศูนย์รวมวัสดุ และอุปกรณ์ตกแต่งบ้านมีความตระหนักถึงบทบาทในการช่วยบรรเทาปัญหาขยะ และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยการรณรงค์งดแจกถุงพลาสติก และงดให้คะแนนโฮมการ์ด 100% พร้อมกันทั่วประเทศ เพื่อให้ผู้บริโภคได้ตระหนักถึงสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน เริ่มตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 62 นี้เป็นต้นไป ผ่านแคมเปญ  “No plastic Bags”

คาดลดการใช้ถุงพลาสติกมากกว่า 1.5 ล้านใบต่อปี

จากโครงการงดแจกถุงที่ผ่านมาได้เริ่มตั้งแต่เดือนกรกฏาคม ปี 2559 และงดแจกถุงต่อเนื่องในทุกวันที่ 4 ,14 และ 24 ของทุกเดือน หากลูกค้าสมาชิกโฮมการ์ดปฏิเสธการรับถุงพลาสติก จะได้รับคะแนนสะสม 10 คะแนนตั้งแต่บาทแรกที่ใช้จ่ายใน HomePro

โดยตั้งแต่ปี 2559 จนถึงปัจจุบัน สามารถลดการใช้ถุงได้กว่า 2 ล้านใบต่อปี และมอบแต้มโฮมการ์ดเฉลี่ยถึงเดือนละ 2.4 ล้านคะแนน หรือมีลูกค้าที่เลือกไม่รับถุงพลาสติกมากกว่า 10,000 คน/เดือน

สำหรับแคมเปญ  “No plastic Bags” ในครั้งนี้ คาดว่าจะลดการใช้ถุงพลาสติกได้ไม่ต่ำกว่า 1.5 ล้านใบต่อปี

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

HUAWEI เดินหน้าเปิดให้สมาร์ทโฟนรุ่นปัจจุบันอัพเกรดเป็น EMUI 9.0

MXPhone - 5 June 2019 - 16:20

HUAWEI เดินหน้าอัพเกรดซอฟต์แวร์ มอบประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้นให้แก่ผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเปิดให้อัพเกรด EMUI 9.0

The post HUAWEI เดินหน้าเปิดให้สมาร์ทโฟนรุ่นปัจจุบันอัพเกรดเป็น EMUI 9.0 appeared first on mxphone.

แม้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว แต่สี จิ้นผิงส่งสัญญาณ “เศรษฐกิจจีนยังเติบโตดี เพราะมีปัจจัยหนุนอีกมาก”

Brand Inside - 5 June 2019 - 15:42
Xi Jinping Photo: Shutterstock ผู้นำจีนส่งสัญญาณเชื่อมั่น เศรษฐกิจจีนยังดีและจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง

สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีนให้สัมภาษณ์กับสื่อรัสเซียในโอกาสเดินทางไปเยี่ยมเยียน โดยให้สัมภาษณ์ไว้ตอนหนึ่งว่า ประเทศจีนในปัจจุบันมีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดี และในอนาคตจะมีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง เพราะจีนยังมีปัจจัยเกื้อหนุนที่มากพอ

  • “ประเทศจีนได้พัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างน่าทึ่งในรอบ 70 ปีนับตั้งแต่ได้ก่อตั้งประเทศจีนใหม่ (New China) และโดยเฉพาะในช่วง 40 ปีให้หลังมานี้ ที่จีนได้ทำการปฏิรูปและเดินหน้านโยบายเปิดประเทศ” สี กล่าว

ในปัจจุบัน แม้ว่าเศรษฐกิจในระดับโลกจะชะลอตัว แต่เศรษฐกิจจีนยังดีและจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะถ้าดูตัวเลขในปี 2019 ไตรมาส 1 ที่ผ่านมา GDP ของจีนเติบโตถึง 6.4% ซึ่งปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนให้เศรษฐกิจจีนเติบโตดี

นอกจากนั้น ในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ ตัวเลขอัตราการจ้างงานในเขตเมืองได้เพิ่มขึ้นถึง 4.59 ล้านตำแหน่ง ส่วนตัวเลขการนำเข้า-ส่งออกสินค้าเติบโตขึ้น 4.3% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า และทุนสำรองระหว่างประเทศของจีนยังคงสูงกว่า 3 ล้านล้านดอลลาร์

ผู้นำจีนระบุว่า “การบริโภคภายในประเทศยังคงเป็นส่วนผลักดันหลักให้เศรษฐกิจจีนเติบโตอย่างต่อเนื่อง” พร้อมย้ำว่า เศรษฐกิจจีนในปัจจุบันมีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของโลก แต่ถ้าดูในแง่การผลิต การส่งออก และการแลกเปลี่ยนสินค้า ประเทศจีนคือเบอร์ 1 ของโลกในปัจจุบัน

  • “เมื่อมองไปในอนาคต ปัจจัยหลายๆ อย่างที่ว่ามานี้จะเกื้อหนุนให้เศรษฐกิจจีนเติบโตอย่างต่อเนื่องและมั่นคง นอกจากนั้น จีนยังมีความแกร่งในด้านทรัพยากรมนุษย์ การผลักดันในประเทศที่แข็งแกร่ง รวมถึงการพัฒนาของจีนที่มีศักยภาพอีกมาก”

อย่างไรก็ตาม สี จิ้นผิงไม่ได้พูดถึงสงครามการค้าที่เกิดขึ้นและเป็นประเด็นร้อนแรงอยู่ในขณะนี้แต่อย่างใด

บทความแนะนำอ่านเพิ่มเติม

ที่มา – Xinhuanet, CNBC

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

รัฐมนตรีศึกษาจีนเตือน นักศึกษาที่ไปศึกษาต่อที่สหรัฐ อาจขอวีซ่าได้ช้าลง และยุ่งยากกว่าเดิม

Brand Inside - 5 June 2019 - 15:34

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาของจีนได้ออกมาเตือนถึงนักศึกษาจีนที่ต้องการเดินทางไปศึกษาต่อในสหรัฐอเมริกาว่า อาจขอวีซ่าได้ลำบากขึ้น หลังความสัมพันธ์ของ 2 ประเทศย่ำแย่ลง

Students US นักศึกษาภาพจาก Unsplash

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาจีน ได้กล่าวเตือนนักศึกษาจีนที่ต้องการเดินทางไปศึกษาต่อยังประเทศสหรัฐอเมริกา ว่าอาจได้วีซ่าที่ช้าลง รวมไปถึงอาจมีการขอเอกสารเพิ่มเติมจากสถานทูตสหรัฐ ยังรวมไปถึงนักศึกษาจีนยังมีโอกาสที่จะโดนปฏิเสธวีซ่าได้อีกด้วย

คำเตือนดังกล่าวออกมาหลังจากที่ความตึงเครียดระหว่าง 2 ประเทศเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกรณีของ Huawei หลังจากสหรัฐได้ออกมากล่าวถึงเรื่องการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาจากประเทศจีนที่เพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้สหรัฐยังได้อ้างว่าจีนเป็นคนที่ล้มโต๊ะการเจรจารอบล่าสุด จนทำให้สหรัฐต้องขึ้นภาษีนำเข้าจากจีน ขณะที่จีนได้กล่าวว่าสหรัฐพยายามที่จะแทรกแซงนโยบายของจีน

ในปี 2018 ที่ผ่านมา โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ มีมุมมองว่านักศึกษาจีนนั้นเป็น “สายลับ” นอกจากนี้ยังมีรายงานของทำเนียบขาวว่าจีนมีความพยายามที่จะนำนักศึกษาเก่งๆ ที่จบจากสหรัฐ มาทำงานให้กับรัฐบาล รวมไปถึงกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน โดยใช้ข้ออ้างที่ว่า “กลับมารับใช้ประเทศชาติ” ทำให้สหรัฐต้องพยายามที่จะทำให้การขอวีซ่าของนักศึกษาจากประเทศจีนมีกระบวนการที่ยุ่งยากมากขึ้น

ในแต่ละปีมีนักศึกษาจากประเทศจีนได้มาศึกษาที่สหรัฐอเมริกาสูงถึง 3 แสนคนต่อปี คิดเป็น 1 ใน 3 ของนักเรียนต่างชาติ ซึ่งอุตสาหกรรมการศึกษาในสหรัฐมีมูลค่าสูงถึง 39,000 ล้านเหรียญสหรัฐ โดย 25% ของจำนวนนักศึกษาเหล่านี้มักจะเรียนในด้านวิศวกรรม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี คณิตศาสตร์ หรือ STEM

Xu Mei โฆษกกระทรวงศึกษาจีนได้ออกมากล่าวเสริมในเรื่องนี้ว่า “พฤติกรรมที่สหรัฐทำเช่นนี้ ทำให้เกียรติของนักศึกษาจีนในสหรัฐลดลง รวมไปกระทบต่อความรู้สึกของชาวจีนเพิ่มอีกด้วย”

อย่างไรก็ดี Timothy Lin เจ้าของเว็บไซต์ College Daily ซึ่งเป็นเว็บไซต์การศึกษาในจีนคาดว่า พกลุ่มนักศึกษาที่เป็นเป้ามากที่สุดในช่วงนี้คือ นักศึกษาที่กำลังเรียนต่อในระดับปริญญาเอก นักวิจัยที่เดินทางเข้าออกจีนและสหรัฐบ่อยๆ รวมไปถึงการศึกษาดูงานของนักวิจัยจากจีน ที่น่าจะโดนจับตามองมากเป็นพิเศษ แต่ถ้าหากเป็นนักศึกษาทั่วๆ ไปแล้ววีซ่ามักมีโอกาสผ่านมากกว่า

ที่มาVOA, CGTN

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

SCB จับมือ ไปรษณีย์ไทย ให้บริการผ่าน SCB Service

Brand Inside - 5 June 2019 - 14:54

SCB Service บริการแบงก์กิ้งเอเย่นต์ (Banking Agent) ของธนาคารไทยพาณิชย์ เริ่มด้วยบริการรับฝากเงินสดเข้าบัญชีเงินฝากไทยพาณิชย์ ณ​ ที่ทำการไปรษณีย์ กว่า 1,200 แห่งทั่วประเทศ ฝากเงินสดได้ 1-30,000 บาท/รายการ สูงสุด 60,000 บาท/วัน/บัญชี ค่าธรรมเนียมไม่เกิน 20 บาท/รายการ

สารัชต์ รัตนาภรณ์ ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ บอกว่า พฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ความต้องการในการทำธุรกรรมทางการเงินของลูกค้าไม่ได้จำกัดอยู่ที่สาขาหรือช่องทางหลักของธนาคารอีกต่อไป ไทยพาณิชย์ต้องการเข้าถึงลูกค้าในทุกๆ กลุ่ม ในทุกๆ touchpoint ที่ตรงกับไลฟ์สไตล์และการใช้ชีวิตประจำวัน เพื่อมอบบริการทางการเงินให้กับลูกค้าของเรา

หัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจของไทยพาณิชย์ คือ การมีพันธมิตรที่แข็งแกร่ง (Partnership Banking)ในการร่วมกันสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขันใหม่ๆ เพื่อรองรับการเติบโตในโลกธุรกิจยุคปัจจุบัน ซึ่งไปรษณีย์ไทยถือเป็นหนึ่งในพันธมิตรที่เป็น Key Player ในกลุ่มลอจิสติกส์ที่มีความแข็งแกร่งและมีจุดให้บริการกว่า 1,200 แห่งครอบคลุมทั่วประเทศ

ดังนั้น ธนาคารจึงได้เปิดตัวแบงก์กิ้งเอเย่นต์ภายใต้ชื่อ “SCB Service” ที่จะช่วยให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงบริการของธนาคารไทยพาณิชย์ได้สะดวกยิ่งขึ้นผ่านที่ทำการไปรษณีย์ โดยเริ่มต้นด้วยบริการรับฝากเงินสดเข้าบัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ ตั้งแต่ 1 บาท– 30,000 บาท/รายการ สูงสุด 60,000 บาท/วัน/บัญชี ค่าธรรมเนียมในการให้บริการไม่เกิน 20 บาท/รายการ ก่อนร่วมกันศึกษาพัฒนารูปแบบและต่อยอดเพื่อขยายขอบเขตการให้บริการทางการเงินใหม่ๆ ต่อไปในอนาคต

สมร เทิดธรรมพิบูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด บอกว่า “ไปรษณีย์ไทยมีจุดแข็งอยู่ที่เครือข่ายโดยเฉพาะในเขตภูมิภาค จึงทำให้ “ไปรษณีย์ไทย” เป็นทางเลือกสำหรับผู้ใช้บริการด้วยเครือข่ายที่ครอบคลุมเข้าถึงทุกพื้นที่ ใกล้ชิดกับประชาชน ผ่านจุดให้บริการกว่า 1,200 แห่งทั่วประเทศ ที่มีศักยภาพสามารถรองรับการเป็นตัวแทนให้บริการการเงินของธนาคาร การร่วมมือกับธนาคารไทยพาณิชย์ในการให้บริการแบงก์กิ้งเอเย่นต์ในครั้งนี้ เป็นการยกระดับ ต่อยอด และขยายความร่วมมือระหว่างสององค์กรต่อจากบริการ Wallet@Post ที่ไทยพาณิชย์เป็นธนาคารหลักในการเชื่อม Wallet@Post ไปยังบัญชีธนาคารของลูกค้า และระบบเพย์เมนต์เกตเวย์ของ 2C2P ที่ได้เริ่มให้บริการไปเมื่อปลายปีที่ผ่านมา

SCB Service” บริการด้านแบงก์กิ้งเอเย่นต์ของธนาคารไทยพาณิชย์ จะช่วยให้ลูกค้าที่มีความต้องการทำธุรกรรมการเงินสามารถเข้าถึง “บริการธนาคาร” ได้สะดวกมากยิ่งขึ้น โดยไม่จำกัดอยู่ที่สาขาหรือช่องทางหลักของธนาคารอีกต่อไป โดยธนาคารจะพัฒนาช่องทางและรูปแบบการให้บริการทางการเงินในแต่ละ touchpoint ให้ตรงกับไลฟ์สไตล์และสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าเป็นสำคัญ ปัจจุบันธนาคารไทยพาณิชย์มีจุดให้บริการ SCB Service ผ่านเอเย่นต์ทั้งสิ้นกว่า 14,200 แห่งทั่วประเทศ

รายละเอียด SCB Service บริการแบงก์กิ้งเอเย่นต์ของธนาคารไทยพาณิชย์ผ่านไปรษณีย์ไทย

ประเภทบัญชีที่ให้บริการ

  • เฉพาะบัญชีออมทรัพย์ และบัญชีกระแสรายวันของธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

วงเงินสูงสุดที่สามารถทำรายการรับฝากเงินสด

  • ตั้งแต่ 1 บาท – 30,000 บาท/รายการ
  • สูงสุด 60,000 บาท/วัน/บัญชี

ค่าธรรมเนียมบริการรับฝากเงินสด

  • ไม่เกิน 20 บาท/รายการ

โปรโมชั่น

  • มีแคมเปญ ฝากเงินสดผ่าน SCB Service ที่ไปรณษณีย์ไทย ครบทุกๆ 5 ครั้งต่อเดือน พร้อมลงทะเบียนผ่าน QR Code รับฟรีข้าวไรซ์เบอร์รี่อินทรีย์ 1 แพ็ค 50 บาท (1,000 สิทธิ์/เดือน รวม 3,000 สิทธิ์ตลอดระยะเวลาแคมเปญ) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์จากชาวบ้านชุมชน 3 จังหวัดภาคอีสาน วันนี้ – 31 ส.ค. 62

จุดให้บริการ

  • ที่ทำการไปรษณีย์ 1,200 แห่งทั่วประเทศ

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

Xiaomi มอบของขวัญพิเศษต้อนรับการเข้าฉาย X-Men: Dark Phoenix

MXPhone - 5 June 2019 - 14:40

ผู้ที่ซื้อ Redmi Note 7 จะได้รับของสมนาคุณพิเศษจากเสียวหมี่ที่ร่วมกับ X-Men ไม่ว่าจะเป็น เคสมือถือ แหวนยึดโทรศัพท์ เสื้อยืด X-Men และของขวัญอื่น ๆ อีกมากมาย

The post Xiaomi มอบของขวัญพิเศษต้อนรับการเข้าฉาย X-Men: Dark Phoenix appeared first on mxphone.

[Review] realme 3 Pro สเปกแรงราคาเบา ชิป Snap 710AIE แบตอึด มีชาร์จไว ในราคาไม่ถึง 7,000

MXPhone - 5 June 2019 - 13:13

realme ปล่อยทีเด็ดมาแล้วถึง 3 รุ่น โดยทุกตัวเน้นไปที่สเปกดี สไตล์โดดเด่น พร้อมราคาโดนใจ และ realme 3 Pro ก็เป็นรุ่นที่เปิดตัวออกมาล่าสุดในตอนนี้

The post [Review] realme 3 Pro สเปกแรงราคาเบา ชิป Snap 710AIE แบตอึด มีชาร์จไว ในราคาไม่ถึง 7,000 appeared first on mxphone.

Samsung ประกาศเริ่มการพัฒนาด้าน 6G ในเกาหลีใต้แล้ว

MXPhone - 5 June 2019 - 13:11

Samsung ประกาศเริ่มพัฒนาด้านระบบเครือข่าย 6G ด้วยทีมงานที่อยู่ภายใต้การดูแลของ Samsung Research ซึ่งเป็นองค์การวิจัยและพัฒนาหลักของ Samsung ในกรุงโซล

The post Samsung ประกาศเริ่มการพัฒนาด้าน 6G ในเกาหลีใต้แล้ว appeared first on mxphone.

Geekbench ผุดสเปค Samsung Galaxy Note10 และ Galaxy A90

MXPhone - 5 June 2019 - 12:21

ผุดคะแนนทดสอบเรือธง Samsung Galaxy Note10 ที่จะมาในเดือนสิงหาคมนี้จากฐานข้อมูลของ Geekbench แถมยังมาพร้อมกับตัว Galaxy A90 ตัวท็อปของรุ่นกลาง

The post Geekbench ผุดสเปค Samsung Galaxy Note10 และ Galaxy A90 appeared first on mxphone.

Huawei ปัดข่าวผ่อนคันเร่ง! ยันยังใช้กำลังการผลิตมือถือเท่าเดิม

MXPhone - 5 June 2019 - 11:40

เมื่อไม่นานมานี้ได้มีข่าวลือกันว่าทาง Huawei แบรนด์ยักษ์ใหญ่ของจีนได้แจ้งปรับลดกำลังการผลิตสมาร์ทโฟนกับทาง Foxconn ซึ่งล่าสุดก็มีการปฏิเสธข่าวดังกล่าวแล้ว

The post Huawei ปัดข่าวผ่อนคันเร่ง! ยันยังใช้กำลังการผลิตมือถือเท่าเดิม appeared first on mxphone.

Samsung จับมือ AMD พัฒนาเทคโนโลยีกราฟฟิกสำหรับสมาร์ทโฟน

MXPhone - 5 June 2019 - 10:58

Samsung จับมือเป็นพาร์ทเนอร์กับ AMD เพื่อทำข้อตกลงพัฒนาการ์ดจอ Radeon เพื่อใช้งานกับอุปกรณ์โมบายดีไวซ์ของผู้ผลิตจากเกาหลีใต้

The post Samsung จับมือ AMD พัฒนาเทคโนโลยีกราฟฟิกสำหรับสมาร์ทโฟน appeared first on mxphone.

Pages