ใครก็อยากมีเงินล้าน แต่คนที่มีแล้วเขาเอาเงินไปทำอะไรได้บ้าง Brandinside สรุปให้ดูว่าถ้ามีเงิน 1- 9.99 ล้านบาท เป็นลูกค้าแบงก์ไหนจะได้สิทธิประโยชน์เรื่องเงิน สิทธิประโยชน์ Lifestyle ดีที่สุด
ลูกค้า Wealth ไม่ได้มีนิยามที่ชัดเจน ว่าง่ายๆ คนรวยนั่นเอง ยิ่งรวยธนาคารก็ยิ่งมีบริการ มีสิทธิประโยชน์ออกมาดูแลคนกลุ่มนี้มากขึ้น จากที่ Brandinside สำรวจข้อมูลพบว่า ธนาคารจะดูจากสินทรัพย์ภายใต้การบริหารของธนาคาร หรือ AUM ที่ลูกค้ามีกับธนาคารนั้นๆ เช่น เงินฝาก กองทุนรวม หุ้นกู้ ประกันชีวิต ฯลฯ (เงื่อนไขแล้วแต่ธนาคาร) กลุ่มลูกค้าที่มี AUM 1-9.99 ล้านบาท แบ่งเป็น
สิทธิประโยชน์ทางการเงินของทุกแบงก์จะคล้ายกัน หลักๆ แบ่งเป็น 1. ที่ปรึกษาการลงทุนส่วนบุคคล บทวิคราะห์ รายงานสรุปข้อมูลทางการเงิน บริการเลขาส่วนตัว 2.ดอกเบี้ยเงินฝากพิเศษ ส่วนลดอัตราแลกเปลี่ยน 3.ห้องรับรองที่สาขา สนามบิน 4.ฟรีค่าธรรมเนียมต่างๆ เช่น ซื้อสมุดเช็ค แคชเชียร์เช็ค บัตรเครดิต ส่วนลดตู้เซฟ ฯลฯ
เรื่องการเงิน ต้องดู และลองฝีมือของ RM รวมถึงนักวิเคราะห์ของแต่ละที่ แต่ถ้าดูตามโครงสร้างใหญ่เราควรเลือกลงทุนธนาคารที่มีกองทุนให้เลือกหลายหลาย หรือธนาคารที่มี Open Architecture อย่าง TMB CitiBank Tisco UOB (มีกองทุนรวมของ 2 บริษัท คือ บลจ.ยูโอบี กับ บลจ.กรุงศรีอยุธยา) เดือนพ.ย. นี้ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จะเริ่มมีกองทุนรวมให้เลือกมากกว่า 5 ที่แล้ว
อย่างไรก็ตามการจะเป็นสมาชิก Wealth ได้ส่วนใหญ่ต้องมี AUM ไว้กับธนาคารอย่างน้อย 6 เดือนขึ้นไป ขณะที่กลุ่มลูกค้าที่มี AUM 5 ล้านบาทขึ้นไป ส่วนใหญ่จะได้รับสถานะเป็นสมาชิกทันที (แต่ถ้าสมัครแล้ว เอาเงินออกหลายแบงก์จะลดสถานะลูกค้าลงตาม AUM ที่มีกับแบงก์)
ลูกค้าคนรวยในไทยเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทำให้แบงก์หันมาแข่งขันขยายฐานลูกค้ากลุ่มนี้มากขึ้น ด้วยการเพิ่มสิทธิประโยชน์ที่ใช้ได้ใช้ชีวิตประจำวัน และเข้าถึงแต่ละ Lifestyle ไม่ว่าจะเป็นหมวดท่องเที่ยวเช่น การให้ตั๋วเครื่องบิน อัพเกรดที่นั่งบนเครื่องบินสายการบินไทย ส่วนลดที่พัก ฯลฯ หมวดกีฬา เช่น เข้าใช้ฟิสเนต ฯลฯ หมวดสุขภาพ เช่น ตรวจสุขภาพ ส่วนลดเช้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล ฯลฯ หมวดร้านอาหาร เช่น ส่วนลดร้านอาหาร ฯลฯ
แต่ละธนาคารจะให้สิทธิประโยชน์ต่างกัน ตามแต่ระดับ AUM ของลูกค้า เมื่อได้รับสถานะ Wealth ธนาคารจะส่ง Welcome Package (คูปองสำหรับใช้สิทธิต่างๆ) มีกิจกรรมพิเศษ เช่น Workshop ศิลปะ ตั๋วคอนเสิร์ต ฯลฯ Brandinside สรุปตารางจุดเด่นมาให้แล้ว (เลือกสิทธิประโยชน์เด่นๆ ตามความคิดเห็นของผู้เขียน)
ลูกค้า Wealth ส่วนใหญ่จะมีเงินลงทุนส่วนอื่นๆ เงินที่เก็บกับแบงก์จะเป็นแค่ส่วนเดียวเท่านั้น เช่น ลงทุนในธุรกิจ อสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ ซึ่งสำหรับคนที่ไม่ได้เป็นลูกค้า Wealth ของธนาคาร แต่สิทธิประโยชน์ Lifestyle หรือ กิน-ช้อป-เที่ยว-ฟิสเนต-สุขภาพ เราสามารถใช้ในบัตรเครดิตต่างๆ ได้มากขึ้น
ส่วนตัวผู้เขียนชอบสิทธิประโยชน์ของ CIMB Preferred แต่ต้องมี AUM 3 ล้านบาทถึงจะได้สิทธิประโยชน์หลายอย่างใกล้เคียงกับ กลุ่มที่มี AUM 5 ล้านบาท สำหรับคนที่มี AUM 1 ล้านบาท Krungsri Prime จะมีสิทธิต่างๆ ใช้ได้ในชีวิตประจำวัน
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา
อุตสาหกรรมค่ายเพลงในเกาหลีนั้นแข่งขันกันสูงขึ้นเรื่อยๆ เพราะไม่ได้มีแค่ Big 3 ในตลาดอีกต่อไป JYP จึงต้องหาอาวุธใหม่มาสร้างจุดต่าง และนี่คือที่มาของ Super Intern รายการ Reality Show ค้นหาเด็กฝึกงานคุณภาพสูง
การสร้างรายการ Reality Show ของ JYP Entertainment ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น เพราะก่อนหน้านี้มีการผลิตรายการลักษณะเดียวกันเพื่อเฟ้นหาศิลปินหน้าใหม่ เช่น Stray Kids และ Sixteen ซึ่งรายการหลังค่อนข้างประสบความสำเร็จ เพราะได้ศิลปินเบอร์ต้นๆ ของค่ายในตอนนี้อย่าง TWICE
อย่างไรก็ตามรายเฟ้นหาศิลปินหน้าใหม่อาจไม่เพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจของ JYP แล้ว เพราะล่าสุดได้จับมือกับช่องโทรทัศน์ MNET เพื่อผลิตรายการเฟ้นหาเด็กฝึกงานคนใหม่ในชื่อ Super Intern มาพลิกธุรกิจของบริษัทให้สามารถแข่งขันในอุตสาหกรรมนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่าเดิม
Park Jin Young ผู้ก่อตั้งค่าย JYP เล่าให้ฟังว่า ด้วยตัวเลขว่างงานของเด็กจบใหม่ในเกาหลีใต้นั้นมากกว่า 10% อาจไม่ได้มาจากคุณภาพการศึกษา แต่มาจากการคัดเลือกเข้าทำงานนั้นไม่เป็นธรรมหรือเปล่า บริษัทจึงอยากเริ่มต้นใหม่ในเรื่องการคัดคนเข้าทำงาน โดยไม่มองถึงวุฒิการศึกษา, เพศ, ประสบการณ์ และเส้นสาย
“เราอยากให้คุณมาด้วยความตั้งใจ และสัญญาว่าจะตัดสินอย่างเป็นธรรม ยิ่งผู้มีความสามารถก็อยากหาบริษัทดีๆ ทำงาน และบริษัทก็อยากได้คนเก่งทำงาน ซึ่งผมก็อยากทำให้ JYP ไปได้ไกลกว่านี้ และเชื่อว่าการสมัครงานวิธีใหม่ผ่านการทำรายการ Reality น่าจะเป็นคำตอบที่ดี”
โดยการเปิดสมัครนั้นเริ่มต้นแล้วจนถึงวันที่ 18 พ.ย. ก่อนรายการจะเริ่มแพร่ภาพในเดือนธ.ค. และใบสมัครก็มีให้กรอกเกี่ยวกับ SWOT Analysts ของ JYP ว่าตอนนี้จุดแข็ง, จุดอ่อน, โอกาส และอุปสรรค์เป็นอย่างไรบ้าง เพื่อให้คณะกรรมการตัดสินใจ และเลือกเข้ามาร่วมรายการ
ในทางกลับกันล่าสุด JPY ได้ปล่อยเพลงใหม่ของวง TWICE ในชื่อ Yes or Yes เพลงแนว Colorpop ที่มีสีสันสดใส และได้คนเขียนเนื้อร้อง กับทำนองที่ทำให้กับเพลงดังๆ ของ TWICE ก่อนหน้านี้ด้วย ซึงบริษัทค่อนข้างคาดหวังกับเพลงนี้มาก โดยหลังจากปล่อย MV ลง YouTube หนึ่งวันก็มียอดชมกว่า 36 ล้านวิวแล้ว
สรุปการใช้ Reality Show เพื่อเฟ้นหาบุคคลมีความสามารถเป็นเรื่องที่เห็นกันเป็นปกติอยู่แล้ว แต่นี่เป็นการเลือกเด็กฝึกงานเข้าบริษัท ก็ถือเป็นอีกมิติใหม่ แต่หนุ่มสาวคนนั้นจะมาช่วยปฏิวัติ JYP ในยุคใหม่ได้มากขนาดไหน อันนี้ต้องติดตามกันต่อไป
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา
คุณซี ฉัตรปวีณ์ ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ Angela Ahrendts ผู้บริหารฝ่าย Retail ของ Apple โดยใจความสำคัญได้พูดถึง Apple Iconsiam, Apple Store แห่งแรกในไทย
Apple Iconsiam, Apple Store แห่งแรกในไทยApple เตรียมเปิดทำการ Apple Iconsiam, Apple Store แห่งแรกในไทยวันที่ 10 พ.ย. 61 นี้ โดย Angela Ahrendts ได้เผยข้อมูลน่าสนใจผ่านบทสัมภาษณ์โดยคุณซี ฉัตรปวีณ์
Iconsiam เหมือนแหล่งพลังงานที่ดีแห่งหนึ่งในไทยAngela Ahrendts เผยว่า Iconsiam นั้น เป็นเหมือนแหล่งพลังงานที่ดีแห่งหนึ่งในไทย เพราะเป็นตึกสูง แวดล้อมไปด้วยความทันสมัย มีรถไฟฟ้าสายใหม่และ Apple ได้เลือกตั้งหน้าร้านอยู่ที่ชั้นสองเพราะได้ชมวิวจุดเหนือแม่น้ำ
สำหรับด้านการออกแบบนั้น Angela Ahrendts เผยว่า “เป็นการลงทุนอย่างยิ่งของ Apple โดยได้ร่วมกับบริษัทสถาปนิกชื่อดังอย่าง Foster Partners และ Jony Ive ในการออกแบบ
“Apple Iconsiam ไม่ใช่เป็นหน้าร้านอย่างเดียวแต่เป็นจุดดึงดูดให้คนมาเที่ยวเล่น เช่น เดินสวนด้านหน้า, กิจกรรม Today at Apple, สถานที่หย่อนใจและอื่นๆ” – Angela Ahrendts กล่าว
“เรามาช่วยกันไม่ได้มาแข่งขัน”Angela Ahrendts เผยว่าการมาของ Apple Store นั้นเป็นการร่วมมือกับ Partners ที่มีอยู่ในไทย ไม่ได้เป็นการแข่งขันอย่างแน่นอน โดยจะเป็นประโยชน์ต่อลูกค้าโดยตรงที่จะได้สัมผัสและรับประสบการณ์ทำให้ลูกค้าจงรักภักดีต่อแบรนด์มากขึ้นซึ่งก็จะส่งผลดีต่อ Partners ด้วย
อย่างเช่นเรื่องการซ่อมแซมเครื่องนั้น Angela Ahrendts เผยว่า Partners ในไทยทำได้ดีอยู่แล้วและทาง Apple เองก็ให้ความสำคัญกับ Partners โดยอยากให้มองว่า “เรามาช่วยกันไม่ได้มาแข่งขัน”
Angela Ahrendts เผยว่าทั้ง Partners และเครือข่ายมือถือทำตลาดได้ดีมากในไทยและ Apple เองก็จะดูความพร้อมทุกด้านทุกปัจจัยให้ดีก่อนถ้าเมื่อพร้อมแล้ว Apple ถึงจะเข้ามาและมอบประสบการณ์ที่เป็น Apple จริงๆ ให้กับลูกค้า
Apple Iconsiam เปิดทำการวันแรก 10 พ.ย. 61 : 10.00 น.Apple จะเปิดทำการ Apple Iconsiam วันที่ 10 พ.ย. 61 นี้โดยเริ่มเปิดทำการ 10.00 น. เป็นต้นไปและแน่นอนว่าในวันเปิดทำการวันแรกจะได้รับความสนใจจากลูกค้า, Partner และผู้สนใจในแบรนด์ Apple อย่างแน่นอน ใครมีเวลาก็ไปรับประสบการณ์ดีๆ จาก Apple ในวันเปิดทำการกันได้เลย
วิดีโอสัมภาษณ์ฉบับเต็มThe post Angela Ahrendts เผยว่าทำไมถึงเลือก Iconsiam เป็นที่ตั้ง Apple Store แห่งแรกในไทย appeared first on iPhoneMod.
นับว่าเป็นการอัปเดตครั้งใหญ่ของแอป Spark แอปให้บริการอีเมลยอดนิยม ที่ได้เพิ่มฟีเจอร์การสร้างเทมเพลตตอีเมลใหม่บน iOS และ macOS ให้ผู้ใช้ได้กำหนดรูปแบบอีเมลด้วยตนเอง
แอป Spark ปล่อยอัปเดตใหม่ เพิ่มฟีเจอร์สร้างเทมเพลตอีเมล ส่งอีเมลได้ง่ายและรวดเร็วมากขึ้นSpark ได้ประกาศปล่อยอัปเดตใหม่ เพิ่มฟีเจอร์การสร้างเทมเพลตอีเมล ที่ผู้ใช้สามารถสร้างรูปแบบอีเมลได้ตามที่ตนเองต้องการ ช่วยสนับสนุนงานทางด้านธุรกิจที่มีการส่งอีเมลรูปแบบเดิมซ้ำๆ อยู่เป็นประจำ เช่น รายงาน, ใบเสนอราคาของลูกค้า, FAQ, รายการอัปเดตแผนการทำงานของทีมงาน, การสรุปงาน เป็นต้น
ผู้ใช้สามารถสร้างเทมเพลตอีเมลในส่วนตั้งค่าของแอป Spark จากนั้นก็ไปที่เทมเพลตใหม่ จากนั้นก็ใส่รายละเอียดรูปแบบอีเมลและตัวแปรได้ตามต้องการ เวลาที่จะส่งอีเมลก็เลือกเทมเพลตที่เคยสร้างไว้และแทนที่ตัวแปรลงไป จากนั้นก็คลิกส่งได้ทันที
เทมเพลตอีเมลจะช่วยให้การส่งอีเมลสามารถทำได้ง่ายและสะดวกรวดเร็วมากขึ้น และอีเมลที่ต้องส่งซ้ำๆ ก็ไม่ต้องมานั่งคัดลอกจากอีเมลเดิมให้เสียเวลา
สำหรับใครที่ต้องใช้อีเมลในการจัดการบริหารงาน ก็สามารถอัปเดตแอป Spark เป็นเวอร์ชันล่าสุด หรือใครที่ยังไม่เคยใช้ก็สามารถดาวน์โหลดแอป Spark สำหรับ iOS ฟรีได้ที่ Spark on App Store
ขอบคุณ 9to5mac
The post แอป Spark ปล่อยอัปเดตใหม่ เพิ่มฟีเจอร์สร้างเทมเพลตอีเมล ส่งอีเมลได้ง่ายและรวดเร็วมากขึ้น appeared first on iPhoneMod.
Apple ได้ปล่อย iOS 12.1 ที่เป็น Build ตัวใหม่สำหรับผู้ใช้ iPhone XR ที่ยังไม่ได้อัปเดตเป็น iOS 12.1 ยังไม่มีข้อมูลว่าทั้งสองตัวแตกต่างกันอย่างไร
Apple ปล่อยอัปเดต iOS 12.1 (16B94) สำหรับผู้ใช้ iPhone XR บางรายiOS 12.1 ตัวที่ 2 สำหรับ iPhone XR นั้นมาพร้อมเลข Build Number 16B94 ซึ่งรุ่นก่อนหน้าใช้เลข 16B93 ซึ่ง iOS 12.1 ตัวที่ 2 นี้จะปล่อยให้ผู้ใช้ iPhone XR บางรายได้อัปเดตเท่านั้น
ในรายงานเผยว่าผู้ใช้ iPhone XR ที่ยังไม่ได้อัปเดตเป็น iOS 12.1 จะสามารถอัปเดตเป็น iOS 12.1 เลข Build Number 16B94 ได้ และไม่มีข้อมูลว่า 16B94 และ 16B93 มีความแตกต่างกันอย่างไร
ผู้ใช้ iPhone XR ที่ยังไม่ได้อัปเดตเป็น iOS 12.1 สามารถอัปเดตได้เลยผ่าน Software Update หรือ iTunes
The post Apple ปล่อยอัปเดต iOS 12.1 (16B94) สำหรับผู้ใช้ iPhone XR บางรายที่ยังไม่ได้อัปเดต appeared first on iPhoneMod.
มาแล้วครับ รวมแอปปล่อยฟรี ประจำวันที่ 7 พฤศจิกายน 2561 ที่คราวนี้ขนแอปด้านการใช้งานมาเพียบ ทั้งแอปทำบัญชี แอปเตือนความจำ หรือแม้แต่แอปหมุนวงล้อสุ่มตัวเลือกก็มี มาติดตามกันได้เลยครับ
รวมแอปปล่อยฟรี วันที่ 7 พ.ย. 2561หมายเหตุ: กรุณาเช็คราคาสุดท้ายก่อนโหลดอีกครั้ง เพราะหากช้าไปเพียงชั่วโมงราคาก็อาจปรับขึ้นแล้ว
หมายเหตุ: สำหรับใครที่กลัวว่าแอปไหนจะฟรีเพียงแค่หนึ่งสัปดาห์หรือแอบหักเงินโดยที่ไม่รู้ตัว เมื่อโหลดแอปแล้วโปรดเข้าไปเช็คและดูวิธีการยกเลิกได้ที่ –> วิธียกเลิกสมัครรับบริการทางออนไลน์ เช่น Netflix, Apple Music และบริการอื่นๆ
——————–
หากถูกใจก็โปรดอย่าลืมกด Like กด Share เป็นกำลังใจให้ทีมงานด้วยครับ
ขอขอบคุณ
ทีมงาน iPhoneMod
The post รวมแอปปล่อยฟรี ในวันที่ 7 พ.ย. 2561 รีบโหลดก่อนหมดเวลา appeared first on iPhoneMod.
IDC เผยข้อมูลยอดขายสมาร์ทโฟนทั่วโลกในช่วงไตรมาส 3 ยังลดลงต่อเนื่อง 6% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
International Data Corporation หรือ IDC ได้รายงานว่า ในไตรมาส 3 ที่ผ่านมาทั่วโลกมีจำนวนยอดขายสมาร์ทโฟนรวม 355 ล้านเครื่อง เป็นตัวเลขที่ลดลง 6% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อน ซึ่งถือว่าเป็นการลดลงติดต่อกัน 4 ไตรมาสแล้วสำหรับตลาดโฟนทั่วโลก
โดยที่ Samsung ยังคงครองความเป็นผู้นำตลาดด้วยส่วนแบ่งการตลาด 20% แต่ถึงแม้จะเป็นผู้นำตลาด แต่มียอดขายลดลงมากที่สุดถึง 13% หรือมียอดขาย 72 ล้านเครื่อง
ส่วน Huawei ครองตลาดในอันดับที่ 2 ดด้วยยอดขาย 52 ล้านเครื่อง คอรงส่วนแบ่งการตลาด 15%
การแข่งขันในตลาดสมาร์ทโฟนยังคงร้อนแรงในตลาดกลุ่มบน หรือตลาดพรีเมี่ยม ในครั้งนี้ได้เห็น Huawei แซงหน้า Apple ขึ้นมาอยู่อันดับ 2 ได้อีกครั้ง แต่มีการคาดการณ์ว่าในช่วงไตรมาสสุดท้ายจะเป็นช่วงในการตีตลาดของ Apple ที่จะกลับมาแซงหน้าได้อีกครั้ง
ในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมา Apple มียอดขาย 47 ล้านเครื่อง และมีส่วนแบ่งการตลาด 13%
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา
Disruption คำสั้นๆ แต่สะเทือนไปทั้งวงการธุรกิจ จนหลายคนเกิดความกังวลว่าจะตกขบวนและก้าวไม่ทันความเปลี่ยนแปลง และที่น่ากลัวที่สุดคือ ไม่รู้ว่าจะเตรียมตัวรับมือกับมันอย่างไรในยุคที่ทุกอย่างเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
เพื่อให้มองเห็นภาพการ Disruption ที่รุนแรง มีกรณึศึกษาจากผู้บริหาร 3 องค์กรชั้นนำที่ลุกขึ้นมาท้าทายในสมรภูมินี้ด้วยการไปเรียนรู้และเปิดประสบการณ์ใหม่ในสถานที่ที่เป็นต้นกำเนิดของ Innovative Disruption ของโลกทำให้มุมมองเรื่อง Disruption เปลี่ยนไปจนค้นพบคำตอบที่ทำให้องค์กรอยู่รอดและได้ไปต่อในเกมนี้
ลองมาดูตัวอย่างนักธุรกิจ ผู้บริหาร นักการตลาด และนักพัฒนาบุคลากรองค์กร ที่มาร่วมแชร์ประสบการณ์และความรู้ที่ได้รับจาก โปรแกรม Leading in a Disruptive World (LDW) หรือ โปรแกรมเจาะลึกด้านนวัตกรรมในการดำเนินธุรกิจ ที่นักธุรกิจจากหลากหลายวงการได้เข้ามาสัมผัสและเรียนรู้จนเกิดการเปลี่ยนแปลงมาร่วมเผยมุมมองสู่โอกาสครั้งใหม่ในการทำธุรกิจ
โดย LDW เป็นโปรแกรมที่ได้รับการออกแบบขึ้นเป็นพิเศษสำหรับผู้นำองค์กรและผู้บริหารระดับสูงในบริบทของประเทศไทยและอาเซียน โดยความร่วมมือของ SEAC หรือ เอสอีเอซี (South East Asia Center) ศูนย์พัฒนาภาวะผู้นำและผู้บริหารระดับสูง ร่วมกับ Stanford Center for Professional Development ของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด (Stanford University) ประเทศสหรัฐอเมริกา
“เมื่อเรานึกถึง ทีพีไอ โพลีน เราจะรู้จักว่าเป็นบริษัทที่เก่าแก่บริษัทหนึ่งของประเทศไทย แต่ในทางกลับกันเรากลับเป็นองค์กรที่มีความทันสมัยทั้งบุคลากร วัฒนธรรม และผู้นำองค์กร เพราะเรารู้ว่าวันหนึ่งโลกธุรกิจทั้งหมดต้องเผชิญกับ Disruption เราจึงศึกษา ไขว่คว้าหาความรู้ และหลักสูตรในการพัฒนาขีดความสามารถของคนทั้งองค์กรท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจ”
ภากร เลี่ยวไพรัตน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) บอกว่า “เราได้ร่วมสัมผัสและแบ่งปันประสบการณ์โดยตรงกับ Professor ผู้อยู่เบื้องหลังหลายๆ องค์กรในซิลิคอน แวลลีย์ (Silicon Valley) สหรัฐอเมริกา อย่างเช่น “Geoffrey Moore – เจฟฟรี่ มัวร์” หนึ่งใน Professor ที่เข้ามาสอนการทำ Innovation Matrix ที่ให้เห็นมุมมองทั้งในแง่ของ Performance Base แบบเดิม นอกจากนั้นยังเติมความรู้แบบ Innovation Base ลงไปอีกด้วย เพื่อให้เกิดการผสมผสานจนเป็นมุมมองใหม่ของผลิตภัณฑ์ เสมือนเป็นการเปลี่ยนมุมมองที่เราติดอยู่ในกรอบเดิมๆ สู่การสร้างเส้นทางโอกาสครั้งใหม่ในการดำเนินธุรกิจที่เรามีมากมาย ซึ่งหลักสูตรที่เราได้ไปร่วมสัมผัสนับว่ามีความคุ้มค่ามากเปรียบเสมือนเราสามารถใช้ Innovation เป็นตัวทะลุสู่มิติใหม่ในการทำการตลาดภายใต้สถานการณ์รูปแบบต่างๆ”
“การก้าวเดินในยุค Disruption แบบไม่มี Guideline ที่ชัดเจน ก็เสมือนเราเดินสะเปะสะปะไปเรื่อย ดังนั้นการสร้างเกมเชนจ์เจอร์ในยุค Disruption เราต้องสร้าง “Disruptive Leadership” ก่อน เพื่อให้มีบริบทในการบริหารองค์กรที่ถูกต้อง ก่อนที่เราจะเปลี่ยนบุคลากรและวัฒนธรรมขององค์กร”
กานติมา เลอเลิศยุติธรรม หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านทรัพยากรบุคคล บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS กล่าวเกี่ยวกับ “โปรแกรม Leading in a Disruptive World (LDW)” ว่า “ AIS เป็นองค์กรที่ตื่นตัวเรื่อง Disruption อยู่แล้ว แต่จากการที่เราได้เข้าเรียน แบ่งปันประสบการณ์ และมีโอกาสได้ไปเยี่ยมชมองค์กรอย่าง Stanford d. School, Facebook และ Plug and Play เราสามารถเอามุมเขาบางส่วนมาประยุกต์ใช้กับสินค้าและบริการขององค์กร ปรับเปลี่ยนองค์กร โดยเฉพาะการทำงานกับองค์กรใหม่ๆ อย่างสตาร์อัพประเทศไทย หรือกลุ่มบุคลากรในองค์กร นอกจากนั้น เมื่อโลกยุค Disruption แปลว่าเราไม่ได้แข่งกับ speed ของตัวเราเท่านั้น แต่แข่งกับตลาดโลก หลักสูตรนี้ทำให้เราเข้าใจว่าโลกเปลี่ยนไปถึงไหนแล้วเพื่อนำมาปรับ benchmark การทำงานของเราให้สูงขึ้น ทำให้ต้องหันมามองว่าคนต้องมี New Ability อะไรบ้างเพื่อให้ทำงานได้ในโลกยุคนี้”
“การเรียนรู้โปรแกรมนี้ทำให้เรารู้ว่าสามารถใช้ Disruption เข้ามาประยุกต์ใช้ในองค์กรเป็นโอกาสได้อย่างไร ทำให้เราสามารถฉีกกรอบการดำเนินธุรกิจใหม่ๆ เพื่อสร้างการเติบโตให้องค์กร บุคลากร และตอบสนองความต้องการของลูกค้าใหม่ๆ ในอนาคต”
ชาตยา ชูพจน์เจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฟู้ดแพชชั่น จำกัด กล่าวเกี่ยวกับหลักสูตรว่า “Leading in a Disruptive World (LDW)” เป็นการผสมผสานทั้งเรื่องคน เทคโนโลยี นวัตกรรม และองค์ความรู้หลายรู้แบบ ทั้ง Design Thinking, Ecosystem, Scale up Excellence, Partnership โดยเราสามารถนำโปรแกรมที่เราได้เรียนรู้มาประยุกต์ใช้ได้จริง โดยเฉพาะการได้รับประสบการณ์โดยตรงกับ Rockstar Professor ทำให้เราเกิดมุมมอง และนำมาแบ่งปันประสบการณ์ให้กับเพื่อน ทีมผู้บริหาร และการปรับเปลี่ยนองค์กรสู่การสร้างวัฒนธรรมองค์กรครั้งใหม่ โดยการได้ไปสัมผัสกับสถานการณ์จริง เรื่องจริงในซิลิคอน แวลลีย์มันทำให้เราเกิด sense of urgency คือทำให้ตระหนักว่าเราทำอะไรแบบเดิมๆ ไม่ได้แล้ว แต่แทนที่เราจะกลัวกับเรื่องดิสรัปชั่น หลักสูตรนี้ทำให้เราคิดว่าเราสามารถสร้าง Disruption ให้เกิดขึ้นได้อย่างไรเพื่อใช้ประโยชน์จากมัน”
สำหรับ โปรแกรม “Leading in a Disruptive World (LDW)” จะจัดขึ้นอีกครั้งสำหรับรุ่นที่ 4 ในวันที่ 4-8 มีนาคม 2562
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ คุณปุณณมา เหลืองธีรภาพ โทร. 096-065-1647 หรือ punnama_l@seasiacenter.com และ www.seasiacenter.com/ldw/
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา
ไม่เพียงแค่โป๊ะแตกแต่ยังแถมด้วยการโดนฟ้องอีกด้วย หลังจากแบรนด์แอมบาสเดอร์ซัมซุงในประเทศรัสเซีย ได้ถูกจับได้ว่าแท้จริงแล้วเธอใช้ iPhone X แทนที่จะเป็นสมาร์ตโฟนจากแบรนด์ Samsung ที่เธอรับงานมา ซึ่งโดยปกติแล้วเป็นเรื่องธรรมดาของการทำงานลักษณะนี้ ที่จะมีเรื่องของสัญญาและกฎหมายเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
เรื่องมีอยู่ว่าบุคคลมีชื่อเสียงที่ดำเนินรายการโทรทัศน์ Ksenia Sobchak ได้รับงานมาแล้วโดยมากมักจะมีข้อตกลง เรื่องที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ผลิตภัณฑ์คู่แข่งในที่สาธารณะ และเรื่องดังกล่าวก็มาโป๊ะแตกเพราะกล้องได้ถ่ายให้เห็นถึง iPhone X ระหว่างการสัมภาษณ์ทางโทรทัศน์ ซึ่งถึงแม้ว่าเธอจะพยายามซ่อนและหลบมุมมันด้วยกระดาษแผ่นหนึ่งก็ตาม แต่เรื่องดังกล่าวก็ได้ถูกเผยแพร่ไปอย่างรวดเร็ว
และทั้งหมดนี้ก็นำไปสู่การฟ้องร้องของ Samsung ซึ่งคิดเป็นมูลค่า 108 ล้านรูเบิล (ประมาณ 50 ล้านบาท) สำหรับการละเมิดสัญญา ซึ่งถึงแม้ว่าจะไม่มีการเปิดเผยว่าเธอรับงานมาเท่าไหร่เองก็ตาม โดยทั้งสองฝ่ายเองก็ไม่ได้แสดงความเห็นใดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และเป็นไปได้ว่าค่าปรับดังกล่าวอาจสูงกว่าเงินที่เธอได้รับงานมาเสียอีก
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการรับงานอื่นแล้วใช้ไอโฟน แต่ก่อนหน้านี้คนดังหลายรายอย่าง Adam Levine, David Ferrer, Gal Gadot ก็เคยรับงานของคู่แข่ง แล้วปรากฎให้เห็นว่าใช้ไอโฟน ไม่เว้นแม้แต่ทีมงานของ BlackBerry ก็เคยทวีตข้อความโฆษณา BlackBerry Classic ด้วยไอโฟนมาแล้วเช่นกัน
ที่มา – appleinsider.com
The post แบรนด์แอมบาสเดอร์ Samsung โดนฟ้องเพราะใช้ iPhone X ให้คนเห็น appeared first on iPhoneMod.
ใครบอกว่าการถ่ายวิดีโอหลายมุมกล้องจำเป็นต้องมีกล้องถ่ายวิดีโอหลายๆ ตัวกันหล่ะ เพียงคุณมีแอป Collab – Music Video Editor คุณก็สามารถยืม iPhone/iPad ของเพื่อนๆ มาถ่ายวิดีโอจากมุมกล้องหลายมุมได้แล้ว
Collab – Music Video Editorแอปบันทึกและแก้ไขวิดีโอแบบไดนามิกหลายมุมมอง ที่สามารถบันทึกวิดีโอผ่าน iPhone/iPad ได้พร้อมกันสูงสุดถึง 5 เครื่อง ด้วยการเชื่อมต่อ iPhone ทุกเครื่องผ่านสัญญาณเครือข่าย WiFi เดียวกัน และเข้าแอป Collab ในทุกเครื่อง เพื่อใช้บันทึกวิดีโอจากมุมมองแต่ละเครื่องในเวลาเดียวกันได้
โดย iPhone หนึ่งเครื่องจะกลายเป็นเครื่องควบคุม (Master Device) ที่จะเริ่มสั่งอัดหรือหยุดบนเครื่องอื่นๆ ได้ โดยเมื่อถ่ายวิดีโอสิ้นสุดลง ระบบก็จะรวบรวมไฟล์จากทุกเครื่องมารวมกันและนำมาปรับแต่ง/แก้ไขต่อไปในภายหลัง
นอกจากนี้ในแอป Collab ยังมีเพลงถูกลิขสิทธิ์มากมายจากศิลปินชั้นนำ ให้คุณโหลดมาใช้งานได้ฟรีอีกด้วย ทีนี้จะอัดวิดีโอลิปซิงค์พร้อมกันกับเพื่อนๆ แบ่งเฟรม 4 หรือ 5 คน ในหนึ่งหน้าจอ ก็ทำได้ง่ายๆ เลยครับ
วิธีเชื่อมต่อ iPhone/iPad หลายเครื่องเพื่อถ่ายวิดีโอก่อนอื่นเลยต้องนำ iPhone/iPad ทุกเครื่อง เชื่อมต่อสัญญาณ WiFi เดียวกันให้เสร็จก่อน
1. เข้าแอป Collab และแตะที่ปุ่ม “NEW”
2. เลือกไปที่ “Create a Basic Video”
3. เลือก iPhone หนึ่งเครื่อง เพื่อตั้งเป็น “Master Device”
4. จากนั้นเข้า iPhone เครื่องที่เหลือ และแตะไอคอนโทรศัพท์สองเครื่อง เพื่อค้นหา iPhone เครื่องหลัก
5. เมื่อเจอ iPhone เครื่องหลัก ให้กดเชื่อมต่อ
6. ในหน้าจอเครื่องหลัก จะแสดงรายชื่อเครื่องที่เชื่อมต่อได้แล้วทั้งหมด สามารถกดปุ่มเริ่มบันทึกวิดีโอหรือกดหยุดได้เลยครับ (เครื่องอื่นๆ ก็จะเริ่มบันทึกและหยุดตามเครื่องหลัก)
เมื่อบันทึกวิดีโอเสร็จสิ้นแล้ว วิดีโอทั้งหมดจะถูกดาวน์โหลดมาจัดแสดงไว้ในรายการ General Video ดังรูปด้านล่างนี้ ซึ่งเราสามารถนำมาเลือกเฟรมหรือปรับแต่ง/แก้ไขได้ตามที่ต้องการเลยครับ
เนื้อที่: 81.3 MB รองรับ iOS 10.0 ขึ้นไป (ใช้ได้กับ iPhone และ iPad)
สามารถดาวน์โหลดแอปได้ฟรีที่: Collab – Music Video Editor on App Store
The post Collab แอปถ่ายวิดีโอหลายมุมมอง ด้วยการเชื่อมต่อ iPhone อัดวิดีโอได้พร้อมกันถึง 5 เครื่อง appeared first on iPhoneMod.
Apple ได้เตรียมเปิดขาย iPad Pro 2018 วันที่ 7 พ.ย. 2018 นี้ในกลุ่มประเทศแรก และ Apple ก็ได้รวบรวมข้อมูลจากนักวิจารณ์ที่มีโอกาสได้ทดสอบตัวเครื่องมาให้ติดตามกัน
ข้อมูลทั้งหมดนี้อ้างอิงจาก Apple Newsroom
iPad Pro: รีวิวมาแล้วนักวิจารณ์ทั่วโลกกำลังทดลองใช้งานเพื่อให้คะแนน iPad Pro รุ่นใหม่ล่าสุด และนี่คือความประทับใจที่นักวิจารณ์และเหล่าคนทำงานครีเอทีฟมีต่อคุณสมบัติต่างๆ ของ iPad Pro ไม่ว่าจะเป็นจอแสดงผล Liquid Retina แบบขอบชิดขอบไปจนถึงชิพ A12X Bionic อันทรงพลัง, Face ID, Smart Keyboard Folio ใหม่ และ Apple Pencil รุ่นที่ 2:
“ไม่ว่าจะมองจากแง่มุมไหน นี่เป็น iPad ที่ยอดเยี่ยม ทรงพลัง และมีประโยชน์ที่สุดเท่าที่เคยใช้มา ทำเอาแท็บเล็ตอื่นๆ อายไปเลย”
“iPad Pro รุ่น 12.9 นิ้ว…เป็นอุปกรณ์พกพาที่ทรงพลังที่สุดที่เคยสร้างมา โปรเซสเซอร์ A12X Bionic ในเจ้าเครื่องบางๆ นี้เร็วยิ่งกว่าแล็ปท็อป Core i7 เสียอีกสำหรับการทำงานบางอย่าง แถมยังหนักแค่ 633 กรัม”
“นี่เป็นกระบวนการสร้างสรรค์ที่ละเอียดอ่อนมาก จนทำให้ตระหนักว่า Apple ไม่ได้แค่พยายามปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้งานเดิมๆ เท่านั้น Apple ไม่ได้สร้าง iPad Pro ขึ้นมาเพื่อใช้แทนแล็ปท็อป เพราะมันไม่ใช่เลย แต่เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น นั่นคือการคิดค้นวิธีใหม่ในการสร้างอุปกรณ์แห่งอนาคตที่ไม่ยึดติดกับกฎการประมวลผลด้วยการคลิกเมาส์แบบเก่า”
“Apple Pencil ใหม่เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ ‘2.0’ ที่ดีที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา Apple Pencil รุ่นเดิมเป็นผลิตภัณฑ์ที่ยอดเยี่ยมอยู่แล้ว แต่รุ่นใหม่นี้เรียกได้ว่าเกือบจะสมบูรณ์แบบเลยทีเดียวในแง่ของแนวคิด”
“การทำงานแบบพกพาทำได้ไหลลื่น ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ทรงพลังเหลือเชื่อ”
The Independent (UK)
“iPad Pro ใหม่ถือเป็นการอัพเกรดครั้งใหญ่จากรุ่นเก่อน นับเป็นแท็บเล็ตที่ประสบความสำเร็จและดูดีที่สุดของ Apple อย่างไม่ต้องสงสัย สุดยอดทั้งความเร็วและการทำงานที่หลากหลาย ซึ่งอาจมากไปสำหรับบางคน แต่สำหรับคนทำงานด้านครีเอทีฟแล้ว นี่ต้องเป็นแท็บเล็ตในดวงใจแน่นอน”
Pocket-Lint (UK)
“Apple สร้าง iPad ออกมาในแบบที่เราคิดว่าผู้ใช้ขั้นสูงน่าจะชอบ ซึ่งไม่ใช่แค่ดีไซน์ให้หน้าจอใหญ่ขึ้นหรือบางขึ้นเท่านั้น มีคุณสมบัติมากมายที่ทลายเส้นกั้นของการทำงานระหว่างเดินทาง ซึ่งน่าจะดึงดูดความสนใจของคนที่เริ่มตั้งคำถามว่าพวกเขายังต้องการแล็ปท็อปอยู่ไหม”
CityNews (Canada)
“iPad Pro รุ่นล่าสุดของ Apple สวยงามไร้ที่ติ เห็นครั้งแรกแล้วอดใจร้องว้าวไม่ได้เลย และยังมีอะไรให้ว้าวไม่หยุดเมื่อได้สัมผัสว่ามันทำอะไรได้บ้าง นี่มันขุมพลังชัดๆ ถือเป็น iPad ที่โดนใจที่สุดในตอนนี้”
“การใช้ iPad สำหรับงานประมวลผลทุกอย่างถือเป็นแนวคิดที่น่าสนใจมาก และเราคิดว่า iPad Pro รุ่นใหม่นี้ใกล้จะทำให้ฝันนั้นเป็นจริงมากขึ้นทุกขณะ นี่คือสุดยอดอุปกรณ์พกพาที่มีประสิทธิภาพการทำงานเหนือความคาดหมาย”
Catherine Madden, นักออกแบบข้อมูลและศิลปิน
A post shared by Catherine Madden (@catmule) on Nov 4, 2018 at 10:54pm PST
Narinder Sagoo, สถาปนิกและนักออกแบบ
A post shared by Narinder Sagoo (@narinder_sagoo) on Nov 2, 2018 at 11:29am PDT
Pokras Lampas, ศิลปิน
A post shared by Pokras Lampas | Покрас (@pokraslampas) on Nov 1, 2018 at 6:52am PDT
ข้อมูลจาก – Apple Newsroom
The post เสียงจากนักวิจารณ์ที่ได้ลองใช้ iPad Pro 2018 appeared first on iPhoneMod.
หลังปล่อยให้ค่ายรถหรูโชว์นวัตกรรมรถยนต์ไฟฟ้าไปก่อน ในที่สุด Bentley ก็เตรียมผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอย่างจริงจัง ถือเป็นการทำตามนโยบายของบริษัทแม่ Volkswagen ที่ต้องการให้ทุกแบรนด์มีรถยนต์ไฟฟ้าของตัวเอง
ก่อนหน้านี้แบรนด์รถยนต์หรูระดับ Ultra Luxury ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Mercedes-Maybach, Rolls-Royce และ Maserati ได้เปิดแผน รวมถึงรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นต้นแบบออกมากันหมดแล้ว แต่แบรนด์หรูจากอังกฤษของกลุ่ม Volkswagen อย่าง Bentley กลับมีแค่รถยนต์ต้นแบบอย่างเดียว แถมยังไม่รู้ว่าจะเอาขึ้นไลน์ผลิตจริงหรือไม่
นั่นทำให้ Bentley เปลี่ยนผ่านนโยบายช้ากว่าแบรนด์คู่แข่ง รวมถึงแบรนด์ภายในกลุ่ม Volkswagen เองที่เริ่มเดินหน้าผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแล้ว เช่น Audi และ Porsche แต่มันจะไม่ใช่หลังจากนี้แล้ว เพราะล่าสุดแบรนด์ Bentley ได้ประกาศแผน และกลยุทธ์ในการบุกตลารถยนต์ไฟฟ้าที่ชัดเจนประมาณหนึ่ง
Frank Witter ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงินของกลุ่ม Volkswagen แจ้งว่า Bentley เตรียมเดินหน้าผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้สถาปัตยกรรมการออกแบบของ Porsche รุ่น Taycan ที่ใช้กับ Audi รุ่น e-Tron ด้วย ถือเป็นการทำตามแผนของ Volkswagen ที่ต้องการให้ทุกแบรนด์ใช้แพลตฟอร์มเดียวกันเพื่อเข้าสู่ตลาดได้เร็วขึ้น
ขณะเดียวกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในแง่การผลิต ตัว Bentley ก็อยู่ระหว่างเตรียมใช้ Premium Platform Electric (PPE) ที่จะใช้เพื่อผลิตรถยนต์หรูของกลุ่ม Volkswagen ภายในปี 2563-2564 เช่นเดียวกัน เพราะตัว Bentley นั้นเพิ่งขาดทุนจากการดำเนินงาน 57 ล้านยูโร (ราว 2,100 ล้านบาท)
สำหรับ Bentley นั้นมีการเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นต้นแบบชื่อว่า EXP 12 Speed 6e Concept เมื่อสิ้นปีที่ผ่านมา แต่ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะนำรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นนี้ขึ้นไลน์ผลิตจริงหรือไม่ ส่วน Adrian Hallmark ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Bentley ยืนยันว่า จะได้เห็นรถยนต์ไฟฟ้าของ Bentley ภายในปี 2568 แน่นอน
สรุปอาจดูค่อนข้างช้าสำหรับ Bentley เพราะถ้าทำตามเวลานั้นจริงๆ ค่ายอื่นเขาก็คงเปิดตัว และวางจำหน่ายจริงกันหมดแล้ว แต่ด้วยรถยนต์กลุ่ม Ultra Luxury นั้นไม่ได้ขายแค่รถยนต์ แต่ขายประสบการณ์ใช้งาน และความภูมิใจในการครอบครอง จึงเชื่อว่าการใช้เวลานี้ของ Bentley จะไม่ได้แค่ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเพียงหนึ่งคันแน่ๆ
อ้างอิง // Electrek
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา
กลุ่มทรู ผู้นำโครงสร้างพื้นฐานทางด้านดิจิตัล พัฒนานวัตกรรมใหม่สู่ชีวิตดิจิตัลอย่างแท้จริงร่วมกับ ซาวิโอ๊ก (Savioke) ให้บริการ Relay หุ่นยนต์ส่งของอัตโนมัติ ที่มาพร้อมกับความอัจฉริยะ ตอบโจทย์กลุ่มธุรกิจโรงแรม โรงพยาบาล คอนโด อพาร์ทเมนท์ โลจิสติกส์ และโรงงานผลิต
กลุ่มทรู จัลมือกับ Savioke ให้บริการ Relay หุ่นยนต์ส่งของอัตโนมัติเทคโนโลยี Robotics ได้ถูกนำมาใช้กับธุรกิจและอุตสาหกรรมมาเป็นเวลานาน เพื่อทำหน้าที่แทนการใช้แรงงานจากมนุษย์ ช่วยลดต้นทุน เพิ่มความรวดเร็ว และให้ความแม่นยำมากกว่าในงานที่ไม่ต้องใช้ฝีมือ และนี่ก็ถือว่าเป็นข่าวดีสำหรับกลุ่มธุรกิจที่ต้องมีการส่งของตามอาคารสูง ที่จะได้ทำความรู้จักกับหุ่นยนต์ตัวใหม่ในชื่อว่า “Relay” หุ่นยนต์ส่งของอัตโนมัติศักยภาพสูง
หุ่นยนต์ Relay คืออะไรRelay เป็นหุ่นยนต์ส่งของจากจุดหนึ่งไปยังจุดหนึ่งแบบอัตโนมัติภายในพื้นที่ปิดและสามารถสื่อสารร่วมกับคนได้ ผู้ใช้สามารถใส่สินค้าหรือสิ่งของในตัวหุ่นยนต์ พร้อมกับเลือกจุดหมายปลายทางว่าจะให้เจ้า Relay ส่งไปที่ไหน เมื่อกดปุ่มส่ง หุ่นยนต์ Repay ก็จะเดินทางไปยังจุดหมายเองอัตโนมัติ ไม่ว่าจะผ่านการกีดขวาง อยู่ในทางแคบ หรือแม้กระทั่งการขึ้นลิฟต์ หุ่นยนต์ก็สามารถหลบหลีกและจัดการการเดินทางเองได้หมด
เมื่อถึงปลายทางหุ่นยนต์ก็จะแจ้งเตือนไปยังผู้รับให้ออกมารับของ เมื่อจบการส่งของ หุ่นยนต์ Relay ก็จะกลับฐานที่ตั้งอัตโนมัติ
จากการทำงานดังกล่าว ต้องอาศัยเทคโนโลยีขั้นสูงที่ถูกพัฒนาอยู่ในตัวหุ่นยนต์ ประกอบด้วยกล้องและอุปกรณ์เซ็นเซอร์ต่างๆ ที่จะช่วยให้หุ่นยนต์สามารถหลบหลีกผู้คนหรือสิ่งกีดกวางได้ด้วยตนเอง ถือได้ว่าเป็นหุ่นยนต์ที่ชาญฉลาดเลยทีเดียว
ความร่วมมือระหว่างทรูกับ Saviokeกลุ่มทรู โดย True Robotics ผู้นำด้านนวัตกรรมหุ่นยนต์ และ True IoT ร่วมกับ Savioke ผู้ผลิตและพัฒนาหุ่นยนต์ระดับโลก ให้บริการหุ่นยนต์ส่งของ Relay เพื่อเปิดโอกาสให้กับธุรกิจที่ต้องจัดส่งของภายในอาคารหรือตึกสูงๆ ได้ยกระดับการให้บริการด้วยเทคโนโลยีที่ทำงานร่วมกันระหว่างหุ่นยนต์และเครือข่ายของ True IoT ที่ครอบคลุมการเชื่อมต่อแบบ Real Time สร้างความสะดวก รวดเร็ว แม่นยำ และปลอดภัยในการส่งของ และมอบประสบการณ์ใหม่ที่จะสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าผู้ใช้บริการขององค์กรธุรกิจ
การให้บริการหุ่นยนต์ Relay ยังยืดหยุ่นต่อกลุ่มธุรกิจหลากหลายประเภท เนื่องจากตัวหุ่นยนต์ สามารถปรับแต่งให้เหมาะสมกับแต่ละธุรกิจได้ตามต้องการโดย จะเปิดให้บริการแบบเช่าใช้ด้วยราคาที่คุ้มค่า พร้อมมีบริการหลังการขายจากทรูทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง
หุ่นยนต์ Relay เหมาะกับธุรกิจประเภทไหน มีประโยชน์อย่างไรหุ่นยนต์ Relay เป็นหุ่นยนต์ส่งของที่ใช้งานได้ในหลายธุรกิจที่มีการขนส่งสินค้าภายในอาคารหรือตึก เช่น ธุรกิจโรงแรม, โรงพยาบาล, อาคารสำนักงานที่เป็นตึกสูง, ธุรกิจโลจิสติกส์และโรงงานผลิต, คอนโดหรืออพาร์ทเมนท์ เป็นต้น
ยกตัวอย่าง ธุรกิจโรงแรม หากมีหุ่นยนต์ Relay เข้าไปช่วยในด้านการจัดส่งอาหาร เครื่องดื่ม หรือสิ่งของให้กับแขกที่เข้ามาใช้บริการ การจัดส่งภายในก็จะรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงช่วยลดต้นทุน โดยหุ่นยนต์ Relay สามารถแบ่งเบาภาระของพนักงานได้และทำงานได้ตลอดเวลาไม่มีวันหยุด ถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามาก สำหรับธุรกิจที่มีความถี่ในการจัดส่งของภายในอาคาร และผลพลอยได้ก็คือแขกที่เข้ามาพักในโรงแรมก็รู้สึกพิเศษและประทับใจกับความไฮเทคของเทคโนโลยีอีกด้วย
จากการให้บริการหุ่นยนต์ Relay สะท้อนให้เห็นว่า ด้วยความก้าวหน้าของการพัฒนาเทคโนโลยีที่สนับสนุนการใช้ชีวิตและการประกอบธุรกิจในยุคดิจิทัล สิ่งที่ผู้ประกอบการต้องยอมรับก็คือ การก้าวตามเทคโนโลยีให้ทันและเลือกนำมาใช้ในธุรกิจอย่างสมเหตุสมผล มองหาสิ่งที่จะช่วยลดต้นทุนทั้งเรื่องของค่าใช้จ่ายและ เพิ่มเวลา พร้อมกับสร้างกำไรให้ธุรกิจเติบโตได้มากยิ่งขึ้น
True IoT : The Future is Real. โลกแห่ง IoT ใช้ได้จริงทั่วไทยแล้ววันนี้ สำหรับใครที่สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติม
http://trueiot.truecorp.co.th/ หรือโทร 1239
The post กลุ่มทรู จัลมือกับ Savioke ให้บริการ Relay หุ่นยนต์ส่งของอัตโนมัติ appeared first on iPhoneMod.
หากคุณเป็นคนที่ชอบเกมแนวพัซเซิลคำนวณตัวเลขตามโจทย์ที่มีให้ เกม Pluszle: Brain Logic Game น่าจะถูกใจคุณอย่างแน่นอน เพราะเกมนี้จะเริ่มต้นตั้งแต่โจทย์คณิตระดับประถมไปจนถึงระดับซับซ้อนเลยละครับ
Pluszle: Brain Logic Gameเกม Puzzle แนวกระดานคำนวณตัวเลขตามโจทย์ที่มีให้ ตั้งแต่กระดานแบบ 3×3 ไปจนถึง 6×6 โดยผู้เล่นจะต้องคำนวณตัวเลขที่อยู่ในกระดานทั้งแนวตั้งแนวนอนให้ได้ผลลัพธ์ตรงตามคำตอบที่มีให้
ท้าทายสมอง ฝึกทักษะทางด้าน Logic
โดยเกม Pluszle จะเริ่มต้นตั้งแต่การคำนวณตัวเลขระดับประถมไปจนถึงระดับซับซ้อน ซึ่งเมื่อคุณเริ่มเล่นระบบก็จะเริ่มจับเวลา และถ้าหากด่านนั้นยากเกินไป ก็มีตัวช่วยคำนวณคำตอบบางส่วนให้ด้วยนะ
แต่สำหรับผู้ที่เล่นจนชำนาญแล้วก็สามารถเข้าไปเล่นในโหมด Expert ได้เลย หรือจะลองแข่งออนไลน์กับผู้เล่นคนอื่นๆ ถึง 5 คนผ่านโหมด Versus Race ก็ยังได้ หากใครแก้ไขปริศนาในกระดานได้เสร็จก่อนก็เป็นฝ่ายชนะไป
เนื้อที่เกม: 183.5 MB รองรับ iOS 8.0 ขึ้นไป (ใช้ได้กับ iPhone และ iPad)
ดาวน์โหลดเกมได้ฟรีที่: Pluszle: Brain Logic Game on App Store
The post Pluszle: Brain Logic Game เกมพัซเซิลลับสมอง คำนวณตัวเลขฝึก Logic appeared first on iPhoneMod.
SoftBank รายงานงบการเงินไตรมาสล่าสุด กำไรถือว่าเกินเป้าจากนักวิเคราะห์คาดไว้เนื่องจากกำไรจาก Vision Fund สูงกว่าคาด นอกจากนี้เขาเองยังได้ประกาศว่าปีหน้านี้กองทุนจะสามารถทำให้ SoftBank มีกำไรอย่างที่บริษัทในประเทศญี่ปุ่นไม่เคยทำได้มาก่อนอีกด้วย
SoftBank รายงานงบการเงินไตรมาสล่าสุด โดยกำไรในไตรมาสนี้อยู่ที่ 706,000 ล้านเยน หรือประมาณ 6,200 ล้านเหรียญสหรัฐ กำไรส่วนหนึ่งมาจาก SoftBank Vision Fund มากถึง 3,470 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนหนึ่งมาจากมูลค่าที่เพิ่มขึ้นของ OYO Rooms สตาร์ทอัพด้านเครือข่ายโรงแรมในประเทศอินเดีย รวมไปถึงการขายหุ้นของ Flipkart ให้กับ Walmart
ปัจจุบัน Vision Fund ได้ลงทุนในสตาร์ทอัพระดับ Unicorn ไปแล้วกว่า 60 แห่ง ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา และกองทุนก็ยังจะคงลงทุนต่อในสตาร์ทอัพหรือบริษัทเทคโนโลยีต่างๆ ต่อไป
ในการรายงานผลประกอบการ Masayoshi Son ได้รับคำถามจากนักลงทุนถึงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างกองทุน กับราชวงศ์ซาอุในกรณีของนักข่าวชาวซาอุที่หายตัวไป และคดีก็ยังไม่มีความคืบหน้าเท่าที่ควร ซึ่ง Son ได้กล่าวว่าเขาเองได้กดดันซาอุฯในเรื่องนี้แล้ว อย่างไรก็ดีเขาก็ยังคงจะช่วยซาอุฯ ในการกระจายการลงทุนในด้านต่างๆ ของประเทศผ่านกองทุนอยู่ดี
นอกจากนี้ Son ได้โชว์วิสัยทัศน์ว่า SoftBank 2.0 จะทำให้ Vision Fund จะทำให้เห็นว่ากำไรนั้นมหาศาลอย่างที่บริษัทในประเทศญี่ปุ่นเป็นมาก่อน ซึ่งไม่เคยมีบริษัทไหนในประเทศทำได้ระดับนี้ในปีหน้า
Nikkei Asian Review รายงานว่า SoftBank Vision Fund ได้ตกลงในการเข้าลงทุนใน Bytedance ซึ่งเป็นเจ้าของ Application ชื่อดังอย่าง TikTok ด้วย แต่ตัวแทนของ SoftBank ไม่ได้กล่าวถึงมูลค่าในการลงทุน โดยการระดมทุนรอบใหม่มูลค่าสูงถึง 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้ Bytedance กลายเป็นสตาร์ทอัพที่มีมูลค่าสูงสุดของโลกทันที ด้วยมูลค่า 75,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
ปัจจุบัน TikTok มีผู้ใช้กว่า 500 ล้านรายอยู่ทั่วโลก นอกจากนี้ยังเป็น Application ที่มีการดาวน์โหลดมากที่สุดมากกว่า Facebook ภายในครึ่งปีแรกของปีนี้ด้วยซ้ำ
ที่มา – Nikkei Asian Review, Bloomberg, Economic Times
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา
Citibank ได้ฤกษ์ยกเครื่อง Citi Mobile Application ใหม่ เน้นใช้งานง่าย สะดวก มีฟีเจอร์ที่ตอบโจทย์ลูกค้า สามารถใช้งานได้ทั่วโลก สู้ศึกดิจิทัลแบงก์กิ้งที่กำลังแข่งขันกันดุเดือด
ได้เห็นธนาคารในเมืองไทยต่างพาเหรดกันปรับโฉมดิจิทัลแบงก์กิ้งกันยกใหญ่ Citibank ก็ไม่ขอพลาดในขบวนนี้ ทำการยกเครื่อง Citi Mobile Application ใหม่ หลังจากที่เคยปรับโฉมล่าสุดเมื่อตอนปี 2016
แต่การปรับโฉมในปีนี้เรียกว่าเป็นการยกเครื่อง ปรับทั้งเรื่อง User Interface หรือหน้าตาการใช้งานให้ง่าย และ User Experience สร้างประสบการณ์การใช้งานที่ง่ายขึ้นของผู้บริโภค
การเปิดตัว Citi Mobile Application ใหม่ครั้งนี้ถือเป็นกลยุทธ์ของ Citibank ในระดับโกลบอลที่ต้องการลงทุนในเรื่องของดิจิทัลมากขึ้นโดยเฉพาะแอพพลิเคชั่นจุดเด่นของแอพนี้ก็คือเป็นโกลบอลแพลตฟอร์มสามารถใช้งานได้ทุกที่ทั่วโลก
สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปจากแอพพลิเคชั่นเดิมก็คือ มีการใช้งานที่ง่าย รวมฟีเจอร์ที่ลูกค้าใช้เป็นประจำมาไว้ด้านหน้า ลดการคลิ๊กหลายขั้นตอน ต้องการใช้ลูกค้าใช้เวลาในการทำธุรกิจกรรมน้อยที่สุด
พร้อมกับบริการดิจิทัลแบงก์กิ้ง เช่น การสแกนและจ่ายด้วยบัตรเครดิต (Scan and Pay) ผ่านโทรศัพท์มือถือแม้ไม่พกบัตร หรือเงินสด การทำรายการเปลี่ยนวงเงินบัตรเครดิตให้เป็นเงินก้อนโอนเข้าบัญชีได้อย่างง่ายๆ หรือเปลี่ยนยอดใช้บัตรโดยทำการแบ่งชำระยอดเป็นรายเดือน การระงับการใช้บัตรชั่วคราว และเปิดใช้งานได้ทันทีที่ต้องการ หรือการเปลี่ยนรหัสเอทีเอ็มผ่านทางโทรศัพท์มือถือ ฯลฯ
นอกจากนี้ผู้ถือบัตรเครดิตยังมีช่องทางหลากหลายมากขึ้นในการแลกคะแนนสะสมบัตรเครดิตผ่านระบบดิจิทัล ด้วยระบบเอพีไอ (API) หรือทางซิตี้ไลน์คอนเนค
รวมถึงบริการที่ให้ผู้ถือบัตรสามารถค้นหาสิทธิประโยชน์ Citi World Privileges มากกว่า 11,000 แห่งจากกว่า 90 ประเทศทั่วโลก ผ่านเทคโนโลยี Geolocation เพื่อยกระดับประสบการณ์ให้แก่ลูกค้า
วีระอนงค์ จิระนคร ภู่ตระกูล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานบุคคลธนกิจ ธนาคารซิตี้แบงก์ ประเทศไทย กล่าวว่า
“ธนาคาร Citibank ให้บริการแก่ลูกค้ารายย่อยในประเทศไทยกว่า 50 ปี เพื่อตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของลูกค้าในยุคปัจจุบันที่คำนึงถึงความสะดวกและรวดเร็วในการได้รับบริการ ในปีนี้จึงได้พัฒนาระบบดิจิทัลแบงก์กิ้ง เพื่อให้ลูกค้าบัตรเครดิตสามารถเข้าถึงสิทธิประโยชน์ และรับบริการด้านต่างๆ ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และง่ายยิ่งขึ้น โดยสามารถทำรายการต่างๆ ผ่านทางโทรศัพท์มือถือด้วยตนเอง”
ปีทองแห่งการสร้างแบรนด์นอกจากการพัฒนาเรื่องเทคโนโลยีต่างๆแล้วในปีนี้ยังเป็นปีสำคัญในการใช้งบการตลาดที่หนักมากขึ้นทั้งในส่วนของบัตรเครดิตบัตรกดเงินสดและการลงทุน
ตั้งแต่ต้นปีได้เปิดตัวบัตรเครดิตซิตี้พรีเมียร์ พร้อมกับได้ “ชมพู่–อารยา เอ ฮาร์เก็ต” เป็นพรีเซ็นเตอร์ ส่งผลให้มียอดการสมัครบัตรเครดิตเพิ่มขึ้น 25% ในช่วง 3 เดือนโดยเฉพาะช่องทางออนไลน์
ส่วนในเรื่องของการลงทุน เมื่องกลางปีได้เปิดตัว “สู่ขวัญ บูลกุล” เป็นพรีเซ็นเตอร์สำหรับ Citigold ที่จับกลุ่มนักลงทุนเป็นหลัก
ตั้งเป้าลูกค้าใช้แอพ 100% ภายใน 2 ปีจากการทุ่มงบการตลาดตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ทำให้ Citibank มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง มีฐานลูกค้าบัตรเครดิตเติบโต 6% ทำให้เป็นโจทย์ที่ว่าต้องพัฒนาดิจิทัลแบงก์กิ้งให้สะดวกรวดเร็ว ปรับโฉมให้ใช้ง่ายได้ง่าย เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีแก่ลูกค้า
ปัจจุบัน Citibank มีฐานลุกค้ารวม 1 ล้านราย มีสัดส่วนการใช้แอพพลิเคชั่น 50% มีการตั้งเป้าให้มีการใช้แอพทั้งหมด 100% ภายใน 2 ปีข้างหน้า
สรุปท่ามกลางการแข่งขันในตลาดดิจิทัลแบงก์กิ้ง ผู้เล่นทุกรายต่างต้องปรับตัวเพื่อรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่มีการเปลี่ยนแปลง Citibank เองก็มีการปรับตัวมาตลอด แต่ในปีนี้มีการลงทุนครั้งใหญ่ทั้งในเรื่องการตลดา และเทคโนโลยี เรียกว่าสรา้งสีสันในตลาด และทำให้ผู้บริโภคสะดวกมากยิ่งขึ้น
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา
Apple เผยว่า iPad Pro 2018 เป็น iPad ที่บางที่สุดเท่าที่มีมาโดยมีรายงานเพิ่มเติมว่า iPad Pro 2018 มีความบางเป็นอันดับสองจากอุปกรณ์ที่ Apple เปิดขายมาทั้งหมด
iPad Pro 2018 เป็น iPad ที่บางที่สุดข้อมูลจาก reddit เผยถึงลำดับความบางของอุปกรณ์ที่ Apple เปิดขาย ดังนี้
Apple เผยข้อมูลสเปคของ iPad Pro 2018 ไว้ว่า ตัวเครื่องมีความหนา 5.9 มม. เป็น iPad ที่บางที่สุดเท่าที่มีมา ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้ว iPad จะมีความหนาราวๆ 6.1 มม. มาตลอด
iPad Pro 2018 เปลี่ยนการออกแบบกรอบตัวเครื่องใหม่ซึ่งลักษณะจะเหมือนกับ iPhone 4 ถึงแม้ว่ารูปทรงจะดูหนาขึ้นแต่ขนาดจริงๆ ไม่ได้หนาขึ้นเลยกลับเป็นว่ามีความบางและขนาดเล็กกว่า iPad รุ่นก่อนหน้า
ข้อมูลเพิ่มเติม – สรุปสเปคและสิ่งน่าสนใจของ iPad Pro 2018
The post iPad Pro 2018 มีความบางเป็นอันดับสองจากอุปกรณ์ที่ Apple เปิดขายมาทั้งหมด appeared first on iPhoneMod.
แนะนำอุปกรณ์เสริมสำหรับการชาร์จเร็วให้ iPhone XS, XS Max, XR, 8 และ 8 Plus กันสักหน่อยครับ ด้วยความที่อะแดปเตอร์ที่ Apple แถมมาให้นั้นกำลังไฟช่างน้อยนิดนำมาชาร์จพี่เบิ้มอย่าง iPhone XS Max แบตเตอรี่มันเต็มช้าซะเหลือเกิน หากอะแดปเตอร์ของ Apple ราคาเจ็บไปนิด วันนี้ขอแนะนำ ESR อะแดปเตอร์ตัวเดียวที่มาพร้อม USB-C PD และ USB-A ในตัวเดียวกัน ราคาเพียง 690 บาทเท่านั้น
iPhone กับระบบชาร์จเร็วถ้าให้เล่ายาวๆ เรื่องชาร์จเร็วใน iPhone แนะนำกลับไปดูรีวิวนี้ การเลือกซื้ออุปกรณ์สำหรับการชาร์จเร็วให้กับ iPhone X, 8 และ 8 Plus จะได้ทราบเหตุผลนะครับว่าทำไมต้องหามาเพิ่ม (ถ้าเราอยากได้ฟีเจอร์นี้)
สรุปแล้วอุปกรณ์ที่เราต้องหาเพิ่มก็คือสายชาร์จ USB-C to Lighting ซื้อได้ที่ Apple Store Online ราคา 690 บาท (ช่วงแรกๆ เปิดตัวมาราคา 890 เลยนะ) และอะแดปเตอร์ USB-C ที่รองรับเทคโนโลยี PD (Power Delivery) ซึ่งทาง Apple ก็มีขายนะตามไปดูได้ที่ Apple Store Online ได้เลย แต่ทว่าราคาอาจจะแรงหน่อย เราก็เลยมีทางเลือกเสริมมาให้ชมกัน
ESR อะแดปเตอร์ PD ชาร์จเร็ว iPhone X, XS, XS Max, XR, 8, 8 Plus ตัวเดียวได้ถึง 2 พอร์ต ราคาสบายกระเป๋าESR อะแดปเตอร์ชาร์จไฟตัวนี้จุดเด่นคือมี 2 พอร์ตมาพร้อมกันเลย คือใช้ได้ทั้ง USB-A สำหรับสายชาร์จเดิมๆ ที่ Apple แถมมาให้ และอีกพอร์ตคือ USB-C ที่รองรับสายชาร์จทั้ง USB-C to Lightning และ USB-C to USB-C สำหรับการชาร์จ iPad Pro 2018 ได้อีกด้วย (ปล. Android ก็ใช้ได้นะ)
ทดสอบชาร์จ iPhone XS Max ความจุแบตเตอรี่ขนาด 3,179 mAh โดยแบตเตอรี่หมดเกลี้ยงจนเปิดไม่ติด การชาร์จจะใช้พอร์ต USB-C โดยใช้สาย USB-C to Lightning จากทาง Apple พบว่ากำลังไฟสูงสุดที่อะแดปเตอร์จ่ายให้ iPhone นั้นจะอยู่ที่ 18.20W โดยมาตรวัดแสดงให้เห็นว่าการจ่ายกระแสชาร์จไฟให้กับ iPhone XS Max นั้นใช้แรงดันไฟขนาด 14.9V และจ่ายกระแสที่ 1.22A ซึ่งวัดได้มากกว่าสเปกที่อะแดปเตอร์ระบุเอาไว้เล็กน้อย
สำหรับการชาร์จพบว่า
โดยรวมแล้วผลทดสอบการชาร์จทำได้อย่างประทับใจ อะแดปเตอร์จะมีความร้อนในระยะเริ่มต้นที่การชาร์จแต่ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อตัวเครื่องอย่างใด ถือว่าชาร์จได้สบายหายห่วง และความดีงามอีกอย่างคือ พอร์ตที่เหลือนั้นสามารถใช้ชาร์จอุปกรณ์ตัวอื่นอย่าง Apple Watch ไปพร้อมกันได้อีกด้วย
หากถามความเห็นส่วนตัวผมว่าเหมาะอย่างยิ่งสำหรับพกไว้ในการเดินทางหรือใช้งานที่บ้าน ใช้เพียงอะแดปเตอร์ตัวเดียวก็ชาร์จได้ถึง 2 อุปกรณ์ในราคาที่สบายกระเป๋า แถมอะแดปเตอร์ยังรับประกันการใช้งานถึง 2 ปี ดีไซน์สวย วัสดุแข็งแรงดีครับ เนื้อหาโอเคเลย สังเกตพวกตัวหนังสือที่พิมพ์ลงไปงานละเอียดไม่เหมือนของปลอมที่ตัวหนังสือไม่ชัดและไม่ค่อยละเอียด ผมใช้งานมาสักพักใหญ่ๆ แล้วยังไม่เจอปัญหาแต่อย่างใด อีกอย่างที่ชอบก็ราคาประหยัดด้วยแหละ เผื่อใครจะหาอะแดปเตอร์เสริมไว้ใช้งานครับ
ราคาและสถานที่จัดจำหน่ายราคาขาย 690 บาท มาพร้อมการรับประกัน 2 ปี สั่งซื้อและดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 425Degree.com ใส่โค้ด 425imod2018 เพื่อรับส่วนลด 10% (สำหรับการสั่งซื้อผ่านหน้าเว็บ) ด้วยนะครับ สิทธิพิเศษสำหรับแฟน iMoD เท่านั้น
The post ESR อะแดปเตอร์ PD ชาร์จเร็ว iPhone X, XS, XS Max, XR, 8, 8 Plus ตัวเดียวได้ถึง 2 พอร์ต appeared first on iPhoneMod.
ถือเป็นอีกก้าวของวงการยานยนต์ หลัง Chevrolet ได้ปล่อยรถยนต์ไฟฟ้าต้นแบบรุ่น eCOPO Camaro ที่ผลิตมาเพื่อใช้แข่ง Drag โดยเฉพาะ แถมรถยนต์ไฟฟ้าคันนี้ยังมีแรงม้าสูงถึง 800 ตัวอีกด้วย
รถยนต์ไฟฟ้ากลายเป็นอีกกลยุทธ์ที่หลายค่ายผู้ผลิตรถยนต์ต้องเดินหน้าทำตลาด แต่ไม่ใช่แสดงออกแค่การสร้างรถยนต์ไฟฟ้าคันหนึ่งเพื่อจำหน่าย แต่ต้องแสดงศักยภาพของตัวเองเพื่อบ่งบอกถึงความจริงจังในการลงทุนเรื่องนี้ด้วย ซึ่งนี่ก็เป็นที่มาของ Chevrolet กับรุ่น eCOPO Camaro
สำหรับตัว Camaro นั้นถือเป็นรถยนต์สปอร์ตรุ่นเรือธงของทางแบรนด์ และถ้าใครเคยรับชมภาพยนตร์เรื่อง Transformer ก็คงคุ้นเคยกับรถยนต์รุ่นนี้ที่แปลงร่างเป็น Bumblebee ได้ แต่ตัวรหัส COPO ที่อยู่ก่อนหน้าชื่อรุ่นนั้นย่อมาจาก Central Office Production Order หรือรุ่นที่ผลิตขึ้นเพื่อง่ายต่อการปรับเปลี่ยนเรื่องต่างๆ
ซึ่งหลักๆ ก็เป็นการแต่งให้รถยนต์ Camaro นั้นแรงยิ่งกว่าเดิม โดยรหัสดังกล่าวเริ่มใช้มาตั้งแต่ปี 2512 เพื่อนำรถยนต์รุ่นนี้ไปแข่งขันที่รายการ NHRA Stock Eliminator ส่วนตัว e ก็มีที่มาอย่างที่หลายคนเดากันได้คือ Electric หรือรถยนต์ไฟฟ้านั่นเอง
ส่วนในมุมของประสิทธิภาพของรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นนี้จะมาพร้อมกับมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ BorgWaner ที่มีพละกำลังในการขับเคลื่อนเท่ากับ 800 แรงม้า ผ่านแบตเตอรี่แพค 800 โวลต์ แบ่งเป็นลูกละ 200 โวลต์ทั้งหมด 4 ลูก ติดตั้งไว้บริเวณเบาะหลัง และกระโปรงหลังที่ละชุด
ที่สำคัญ Chevrolet ยังทดสอบแล้วว่ารถยนต์ไฟฟ้าทั้งระบบรุ่นนี้สามารถวิ่ง Quarter-Mile ได้ภายใน 9 วินาที ส่วนเรื่องดีไซน์นั้นก็แทบจะถอดแบบนั้น COPO Camaro เลยด้วย นอกจากนี้มันยังไม่ใช่รถยนต์ไฟฟ้าที่แรงที่สุดแค่ในจินตนาการเหมือนกับ NIO EP9 กับ Tesla Roadster เพราะรถไฟฟ้ารุ่นนี้ทดสอบจริงๆ แล้ว
สรุปเป็นอีกครั้งที่หลายคนเริ่มเห็นศักยภาพของรถยนต์ไฟฟ้าว่ามันสามารถวิ่งได้เร็ว และแรงแค่ไหน รวมถึงเรื่องสถาปัตยกรรมการออกแบบที่ไม่ต้องอวกาศ เพียงแค่ปรับจากโมเดลดั้งเดิมก็สามารถใช้งานได้ ดังนั้นอนาคตเราอาจเห็นแบรนด์อื่นๆ เริ่มสร้างรถยนต์ไฟฟ้าแรงๆ ในลักษณะเดียวกันนี้ก็เป็นได้
อ้างอิง // The Verge, Chevrolet
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่แจ๊ค หม่าออกโรงพูดถึงสงครามการค้า เพียงแต่ครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งที่หม่าใช้คำแรงที่สุด
ก่อนหน้านี้หม่า บอกว่า สงครามการค้าไม่เป็นผลดีกับใคร และจะยืดเยื้อไปอีกนานเป็นเวลาถึง 20 ปี หลังจากนั้นเพียง 1 วันให้หลัง Alibaba ประกาศยกเลิกคำมั่นสัญญากับสหรัฐอเมริกาที่บอกว่า จะช่วยสร้างงานให้ได้ 1 ล้านตำแหน่ง โดยให้เหตุผลว่า สถานการณ์ในปัจจุบันไม่ได้เป็นไปในแบบที่เคยคุยกันไว้ ดังนั้น Alibaba จึงไม่อาจทำตามคำมั่นสัญญาได้
ล่าสุดครั้งนี้ หม่าขึ้นพูดในงานมหกรรมแสดงสินค้าเพื่อการนำเข้าประเทศจีนที่เซี่ยงไฮ้ โดยบอกว่า “สงครามการค้าเป็นสิ่งที่โง่เง่าที่สุดในโลก”
คำถามก็คือ ทำไมแจ๊ค หม่าถึงพูดแบบนั้น?
“ไม่มีใครหยุดยั้งการค้าเสรีได้” หม่าพูดเสริม พร้อมทั้งบอกว่า “นี่คือความท้าทายครั้งใหญ่ของจีน ที่จะต้องเปลี่ยนแปลงไปสู่ชาติที่นำเข้าสินค้า (หลังจากที่ก่อนหน้านี้เป็นประเทศส่งออกขนาดใหญ่มาตลอด) และนี่ถือเป็นโอกาสครั้งใหญ่ของโลกด้วยเช่นกัน”
อย่างไรก็ตาม การพูดของหม่าในครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้ประกาศว่าจะลดอัตราภาษีนำเข้าเพื่อเปิดตลาด “จีนพร้อมที่จะเปิดกว้างในการนำเข้าสินค้ามูลค่ากว่า 30 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ภายใน 15 ปี”
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา