ค้าปลีกยักษ์ใหญ่ในสหรัฐฯ อย่าง Target ประสบปัญหาเกี่ยวกับการปิดการขายบนโลก Online เพราะลูกค้าหยิบของใส่ตะกร้า แต่ไม่ชำระเงิน บริษัทจึงใช้วิธีส่งส่วนลดพิเศษไปให้พวกเขา เพื่อมาใช้ซื้อสินค้าตามสาขาต่างๆ แทน
Target ถือเป็นค้าปลีกยักษ์ใหญ่ในสหรัฐอเมริกาที่เปิดจำหน่ายสินค้าบนโลก Online มาระยะหนึ่งแล้ว แต่ปัญหาหลักๆ ที่ค้าปลีกรายนี้เจอก็คือลูกค้าไม่ยอมตัดสินใจชำระเงินหลังเลือกสินค้าใส่ตะกร้าเอาไว้ ซึ่งปัญหานี้หลายเว็บไซต์ E-Commerce ก็เจอกันมาหมดแล้ว
ซึ่งช่วงแรก Target ก็มีการส่งอีเมลไปแจ้งเตือนลูกค้ากลุ่มดังกล่าวว่ามีสินค้าค้างอยู่ในตะกร้า เพื่อจูงใจให้พวกเขากลับมาชำระเงินให้เสร็จ แต่มันก็มีส่วนน้อยที่ทำตามคำเชิญดังกล่าว ทำให้ Target ตัดสินใจครั้งสำคัญด้วยการใช้กลยุทธ์ให้ส่วนลดกับลูกค้าเหล่านี้ แต่ต้องมาซื้อสินค้าดังกล่าวภายในสาขากว่า 1,800 แห่งทั่วประเทศเท่านั้น
ส่วนผลลัพธ์ที่ออกมาก็คือ Target สามารถปิดการขายสินค้าที่อยู่ในตะกร้าบนโลก Online ได้มากกว่าเดิม แถมพอดึงลูกค้าเข้ามาในสาขาได้แล้ว ตัวยอดชำระเงินก็ไม่ได้มีแค่สินค้าเดียวกับที่อยู่ในตะกร้าบน Online เพราะลูกค้ามักจะซื้ออะไรเพิ่มติดไม้ติดมือไปเสมอ ทำให้ตัวยอดใช้จ่ายต่อบิลเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน
Matt Schlicht ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Octane AI เล่าให้ฟังว่า ปัจจุบันมีผู้ซื้อกว่า 70% ทิ้งสินค้าไว้ในตะกร้าบนโลก Online และไม่ยอมชำระเงิน โดยในปี 2559 มูลค่าสินค้าเหล่านั้นรวมกันกว่า 18,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 6 แสนล้านบาท) และถ้าหาวิธีอะไรมาแก้ปัญหานี้ได้ก็คงงจะดีไม่น้อย
“เมื่อคุณอยู่ในสาขา มันก็ง่ายต่อการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้า เพราะสามารถเห็นได้ทุกอย่าง ดังนั้นมันคือโอกาสใหม่ของ Target ที่จะใช้กลยุทธ์นี้เพื่อดึงดูดคน Online เข้ามาซื้อของตามสาขา และเพิ่มยอดขายไปพร้อมกัน ถือเป็นการเชื่อมต่อช่องทางการขายทั้งคู่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ”
สรุปตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน Target โดดเด่นในเรื่องถ้าเข้าไปซื้อของสักอย่าง เวลาเดินออกมาจริงๆ ก็คงของเต็มรถเข็น ดังนั้นเมื่อตัวสาขาก็สต๊อกสินค้าอยู่จำนวนหนึ่งแล้ว ทำไมไม่ยอมแลกเปลี่ยนส่วนลดเล็กๆ น้อยๆ เพื่อได้มาซึ่งยอดต่อบิลที่มากกว่าเดิมล่ะ และสิ่งนี้อาจเกิดขึ้นกับค้าปลีกในประเทศไทยในอนาคตก็ได้
อ้างอิง // Digiday
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา
อีกไม่กี่วันก็จะถึงงานเปิดตัวร้าน Apple Iconsiam ซึ่งเป็น Apple Store สาขาแรกในไทยแล้ว โดยหลังจากที่แอปเปิลสร้างเสียงฮือฮาด้วยการเปิดตัวโลโก้ที่ใช้ในการโปรโมทร้าน Apple Store ที่มีตัวอักษร “อ อ่าง” ล่าสุดก็ได้มีการเปิดตัวโลโก้ Today at Apple แบบไทยๆ ด้วย
โดยแอปเปิลใช้รูปแบบของโลโก้ไอคอนต่างๆ เช่น กล้องถ่ายรูป, ปากกา, เพลง และ Swift (ภาษาเขียนโปรแกรมบน iOS) มาเป็นเส้นที่มีหัวกลม คล้ายอักษรไทย พร้อมกับเลือกสีทองเข้ม ที่เป็นสีเดียวกับโลโก้เปิดตัวร้าน
นอกจากนี้แอปเปิลยังได้ประกาศว่าศิลปินที่จะมาแสดงสดในงานเปิดตัววันท่ี 10 พฤศจิกายนนี้ คือวง Polycat นี่เอง ซึ่ง Polycat เป็นศิลปินไทยรายแรกที่ได้ขึ้นแบนเนอร์บน iTunes Store และ Apple Music Thailand เพียงรายเดียวแบบ Exclusive และถือเป็นศิลปินรายที่ 3 ของโลก ต่อจาก Taylor Swift และ Coldplay
แอปเปิลกำหนดเปิดร้าน Apple Store สาขาแรกในไทยวันที่ 10 พฤศจิกายนนี้ โดยจะมีกิจกรรมสนุกๆ และมีการโปรโมท Today at Apple กิจกรรมสนุกๆ ตลอดหลังจากนี้
อ่านเพิ่ม – Apple Thailand
The post แอปเปิลเปิดตัวโลโก้ Today at Apple ที่ใช้ในไทยและได้ Polycat มาแสดงสดในวันเปิดตัว Apple Iconsiam !! appeared first on Macthai.com.
Apple ปล่อยอัปเดต iOS 12.1 มาพร้อมฟีเจอร์ปรับระยะชัดลึก (Depth Control) ระหว่างถ่ายภาพด้วย iPhone XS, XS Max, XR เป็นอย่างไร ไปชมกัน
วิธีถ่ายภาพพร้อมปรับระยะชัดลึก (Depth Control) ด้วย iPhone XS, XS Max, XR ใน iOS 12.1ฟีเจอร์ปรับระยะชัดลึก (Depth Control) ระหว่างถ่ายภาพนั้นสามารถใช้งานได้เฉพาะบน iPhone XS, iPhone XS Max, iPhone XR ที่ใช้ iOS 12.1 ขึ้นไปเท่านั้น และต้องถ่ายภาพด้วยโหมดถ่ายภาพบุคคล (Portrait Mode)
เริ่มต้นให้เปิดแอปกล้อง > เลือกโหมดถ่ายภาพบุคคล (Portrait Mode)
แตะที่ไอคอน f ด้านบนเพื่อปรับระยะชัดลึก
เลื่อนไปทางซ้ายเพื่อปรับค่า f ให้ต่ำหากต้องการให้ฉากหลังเบลอ
เลื่อนไปทางขวาเพื่อปรับค่า f ให้ต่ำหากต้องการให้ฉากหลังชัดขึ้น
จากนั้นกดถ่ายภาพก็จะได้ภาพ Portrait หน้าชัดหลังเบลอที่สวยงาม
ส่วนตัวได้ใช้งานฟีเจอร์ปรับระยะชัดลึกมารู้สึกว่าใช้งานสะดวกมากเพราะเราสามารถปรับระดับความเบลอของฉากหลังได้เลยระหว่างถ่ายภาพและสามารถแก้ไขทีหลังได้เพิ่มเติม
แต่การถ่ายภาพ Portrait ด้วย iPhone XS Max นั้นจะยังมีปัญหาเรื่องการเบลอฉากหลังที่มีความสว่างมากๆ และการโฟกัสฉากหน้านั้นจะเน้นที่ใบหน้าของแบบมากว่า ซึ่งหวังว่า iOS เวอร์ชันใหม่ๆ จะปรับปรุงในจุดนี้ให้ดีขึ้น
The post วิธีถ่ายภาพพร้อมปรับระยะชัดลึก (Depth Control) ด้วย iPhone XS, XS Max, XR ใน iOS 12.1 appeared first on iPhoneMod.
หากใครชื่นชอบการ์ตูนดังในวัยเด็กอย่างเรื่อง บริษัทกำจัดผี (Ghostbusters) ก็มีเฮละครับ เพราะเมื่อไม่นานมานี้ทางค่าย 4:33 ก็ได้เปิดตัวเกม World อย่างเป็นทางการแล้วทั้งในระบบ iOS และ Android
Ghostbusters Worldเกมมือถือจากซีรีส์การ์ตูนดังในวัยเด็กอย่างเรื่อง บริษัทกำจัดผี (Ghostbusters) ที่ใช้เทคโนโลยี AR ในการจำลองผีเสมือนจริงที่ได้ออกอาละวาด ให้ผู้เล่นได้ออกตามล่าและไล่จับผ่าน iPhone/iPad ตามพื้นที่ต่างๆ ในโลกจริง (คล้ายกับเกม Pokemon)
โดยผู้เล่นเกม Gostbusters World จะได้รับบทเป็นตัวละครหลักจากในการ์ตูน Ghostbusters และไล่ตะเวนจับผีประเภทต่างๆ ที่มีมากกว่า 100 แบบ รวมไปถึงบอสอีกด้วย ในส่วนของระบบการเล่นก็จะมีทั้งระบบเล่นคนเดียวตามเนื้อเรื่อง เล่นแบบ Multiplayer ล่าบอสร่วมกับเพื่อน หรือระบบ PvP ต่อสู้กับผู้เล่นคนอื่นๆ
เนื้อที่เกม: 1.7 GB รองรับ iOS 8.0 ขึ้นไป (ใช้ได้กับ iPhone และ iPad)
ดาวน์โหลดเกมได้ฟรีที่: Ghostbusters World on App Store
The post Ghostbusters World เกมล่าผี AR จากการ์ตูนดัง บริษัทกำจัดผี (Ghostbusters) appeared first on iPhoneMod.
สำหรับใครที่กำลังตัดสินใจว่าจะซื้อ iPhone XR หรือขยับไปเล่น iPhone XS ที่ราคาสูงกว่าประมาณ 10,000 บาท วันนี้ทีมงานมี 10 จุดแตกต่างหลักๆ ของ iPhone XR ที่ไม่มีใน iPhone XS มาแนะนำให้ชมกันก่อน เพื่อเป็นข้อมูลในการตัดสินใจค่ะ
10 จุดแตกต่างหลักๆ ของ iPhone XR ที่ไม่มีใน iPhone XS 1. ใช้หน้าจอ LCDiPhone XR ใช้จอ LCD ที่เรียกว่า Liquid Retina ที่มีการเปล่งแสงสีขาวและควบคุมการแสดงสีด้วย Backlight ซึ่งต่างจากหน้าจอ OLED เป็น Backlight สามารถเปล่งแสงและสีได้ด้วยตนเองและควบคุมความสว่างได้ ข้อได้เปรียบคือความชัด สีสด และประหยัดแบตเตอรี่มากกว่า
แต่สำหรับคนที่ใช้ iPhone 5S, 5SE, 6, 6S หรือ 7 มาก่อน ก็จะไม่เห็นความแตกต่างจากหน้าจอรุ่นเดิมมากเท่าไหร่ แต่สำหรับคนที่เคยใช้ iPhone X ที่มีหน้าจอ OLED ก็อาจจะเห็นความแตกต่างได้ชัดมากกว่า
ถึงแม้ว่า iPhone XR จะใช้หน้าจอ LCD แต่ก็มีคุณสมบัติที่รองรับ Tap to wake (แตะเพื่อปลุก) ที่มีใน OLED และรองรับท่าทางการปัดหน้าจอเหมือน iPhone XS
2. ความละเอียดของหน้าจอหน้าจอแสดงผลของ iPhone XR ความละเอียด 1792 x 828 พิกเซลที่ 326 ppi บนหน้าจอขนาด 6.1 นิ้ว ซึ่งน้อยกว่า iPhone XS ที่มีความละเอียด 2436 x 1125 พิกเซลที่ 458 ppi บนหน้าจอ 5.8 นิ้ว มีความหนาแน่นในการแสดงผลและให้ความคมชัดมากกว่า
ถึงแม้ว่า iPhone XR จะมีความละเอียดน้อยกว่า แต่จอ Liquid Retina HD ของ iPhone XR มีอัตราส่วนคอนทราสต์ที่สูง
3. ไม่มี 3D Touchระบบ 3D Touch มีประโยชน์มากในการเข้าถึงเมนูบน iPhone ซึ่งมีมาตั้งแต่ iPhone 6S แต่ใน iPhone XR ไม่มีฟีเจอร์ 3D Touch แต่จะมีระบบ Haptic Touch ที่สามารถใช้งานบน Control Center ได้คล้ายๆ กับ 3D Touch ที่แตะค้างบนไอคอนไฟฉาย การเชื่อมต่อ ความสว่างหน้าจอ และเมนูอื่นๆ ก็จะมีการตอบสนองการสั่นและเปิดเมนูเหล่านั้นขึ้นมา ให้อารมณ์คล้ายๆ กับ 3D Touch เพียงแต่กดไอคอนแอปพลิเคชันไม่ได้เท่านั้นเอง
4. ความหนาของตัวเครื่องตัวเครื่องของ iPhone XR มีความหนา 8.3 มม. ส่วน iPhone XS และ iPhone XS Max มีความหนา 7.7 มม. ซึ่ง iPhone XR มีความหนากว่า iPhone XS ประมาณ 0.6 มม.
จากภาพเรียงจากบนลงล่าง iPhone XS > iPhone XR > iPhone XS Max
5. ขอบหน้าจอหนากว่าเรื่องของขอบหน้าจอก็เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่หลายคนพูดถึง ถึงแม้ว่า iPhone XR และ iPhone XS จะเป็นหน้าจอเต็มขอบและไร้ปุ่มโฮมเหมือนกัน แต่จุดที่สังเกตเห็นได้ชัดเจนคือขอบหน้าจอของ iPhone XR ใหญ่กว่า iPhone XS ซึ่งอาจจะเป็นจุดที่ขัดตาหลายๆ คน แต่ถ้าได้ลองใช้งานจริงๆ แล้ว จุดเด่นที่หน้าจอใหญ่จะทำให้คุณลืมขอบไปเลย
iPhone XR อยู่ตรงกลาง
6. มีกล้องหลังตัวเดียวiPhone XR มาพร้อมกับกล้อง 1 ตัวที่เป็นเลนส์ Wide ที่เป็นการซูมแบบดิจิตอล ไม่สามารถซูม 2 เท่าได้ เหมือนกับเลนส์ Tele ที่เป็นกล้อง 2 ที่อยู่ใน iPhone XS
คุณสมบัติการถ่ายภาพโหมดบุคคล (Portriat Mode) หรือหน้าชัดหลังเบลอด จะถ่ายได้แค่บุคคลจริงๆ เท่านั้น ไม่สามารถถ่ายวัตถุได้เหมือนกับ iPhone XS แต่ก็สามารถถ่ายคนแบบหน้าชัดหลังเบลอได้สวยงามเลยทีเดียว และยังสามารถปรับค่า f ด้วยฟีเจอร์ Dept Control ได้อีกด้วย
ส่วนกล้องหน้า iPhone XS และ iPhone XR ใช้กล้อง TrueDepth ที่สามารถถ่ายภาพบุคคลได้เหมือนกัน
7. วัสดุกระจกด้านหลังวัสดุกระจกด้านและด้านหน้าของ iPhone XS เป็นวัสดุกระจกที่ทนทานพิเศษ ซึ่งวัสดุกระจกด้านหน้าของ iPhone XR ก็มีความทนทานพิเศษเช่นเดียวกัน แต่กระจกด้านหลังของ iPhone XR เป็นวัสดุกระจกที่ให้ความทนทานเท่ากับกระจกที่อยู่ด้านหลังของ iPhone 8 ซึ่งความทนทานจะน้อยกว่าวัสดุกระจกด้านหลังของ iPhone XS
ขอบด้านข้างที่ห่อหุ้มตัวเครื่อง iPhone XR เป็นวัสดุอะลูมิเนียมที่อาจจะทำให้ลื่นง่ายกว่าขอบสแตนเลสของ iPhone XS (ถ้าไม่ได้ใส่เคส) และในเรื่องความสวยงามแน่นอนว่าขอบสแตนเลสของ iPhone XS มีความสวยงามหรูหรามากกว่า แต่สำหรับคนที่ชอบสีสันของ iPhone XR ขอบอะลูมิเนียมก็ทำสีออกมาให้เหมาะกับตัวเครื่องด้านหลังได้สวยงามเลยทีเดียว
Apple ได้เปิดขายเคสสำหรับ iPhone XS และ iPhone XS Max เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ก็ยังไม่มีวี่แววของเคสสำหรับ iPhone XR ซึ่งก่อนหน้านี้ก็มีข่าวลือว่า Apple จะเปิดขายเคสใสสำหรับ iPhone XR เพื่อความสวยงามในการโชว์สีสันของตัวเครื่องที่มีหลากสี (แต่เคส iPhone XR จากผู้จำหน่ายอื่นๆ ก็เริ่มวางขายแล้ว)
10. การกันน้ำ IP67iPhone XR มาพร้อมกับมาตรฐานกันน้ำและกันฝุ่น IP67 ที่สามารถกันน้ำได้ลึกสูงสุด 1 เมตรเป็นเวลา 30 นาทีเท่ากับ iPhone X ส่วน iPhone XS และ iPhone XS Max มาพร้อมกับมาตรฐานกันน้ำและกันฝุ่น IP68 กันน้ำได้ลึกสูงสุด 2 เมตรเป็นเวลา 30 นาที
ชมวิดีโอทั้งหมดนี้ก็เป็นข้อแตกต่างของ iPhone XR ที่ไม่มีใน iPhone XS ซึ่งแน่นอนว่าบางข้อก็อาจจะไม่ได้เป็นอุปสรรคในการใช้งานมากสักเท่าไหร่
อย่างไรก็ตามราคาของ iPhone XS ก็แพงกว่า iPhone XR ประมาณ 10,000 บาท ดังนั้นการเลือกซื้อขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของแต่ละคนและขึ้นอยู่การใช้ประโยชน์จากสิ่งที่มีมาให้พร้อมกับเครื่อง แนะนำว่าพิจารณาตามความเหมาะสมในการใช้งานจริงนะคะ
ขอบคุณ 9to5mac
The post 10 จุดแตกต่างหลักๆ ของ iPhone XR ที่ไม่มีใน iPhone XS appeared first on iPhoneMod.
ล่าสุด Spotify แอปสตรีมเพลงแบบออนไลน์คู่แข่งรายหลังของ Apple Music ได้เริ่มทดสอบแอปบน Apple Watch ผ่านทาง TestFlight กับผู้ใช้บางรายแล้ว
โดย EdmundFitzgerald29 หนึ่งในผู้ทดสอบ ได้ออกมาแชร์ภาพหน้าจอของแอป Spotify บน Applw Watch พบว่าการใช้งานก็จะคล้าย ๆ กับแอป Music ของแอปเปิลคือ สามารถเปลี่ยนเพลง หยุดเพลงได้ สามารถกดถูกใจ และสามารถเลือกเพลงหรือกด Shuffle เพลลิสต์ที่เราเลือกไว้ได้
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลมากนักว่าทาง Spotify จะเปิดตัวแอปบน Apple Watch เท่าไหร่ ต้องมาคอยติดตามกันต่อไป
ที่มา – iClarfied
The post Spotify เริ่มทดสอบแอปบน Apple Watch เตรียมปล่อยให้ใช้กันเร็ว ๆ นี้ appeared first on Macthai.com.
ปัญหาการขาดแคลนแรงงานในญี่ปุ่นไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะปัจจุบันตัวเลขผู้สูงอายุในญี่ปุ่นสูงถึง 1 ใน 5 ของประชากร ขึ้นแท่นเป็นประเทศที่มีผู้สูงวัยมากที่สุดในโลก ผลกระทบที่ตามมาอย่างแรกคือ “ภาคแรงงาน” ตอนนี้ญี่ปุ่นจึงเปิดรับแรงงานต่างชาติจำนวนมากเพื่อมาทดแทนแรงงานที่ขาดหายไปในตลาด
ใครที่สนใจไปทำงานที่ญี่ปุ่น ยุคนี้คือโอกาสอีกครั้ง เนื่องจากปัจจุบันญี่ปุ่นขาดแคลนแรงงานจำนวนมาก
โดยหลักๆ แรงงานต่างชาติที่ญี่ปุ่นต้องการมี 2 ประเภทคือ
แรงงานต่างชาติที่ญี่ปุ่นต้องการ มีตั้งแต่พยาบาล ภาคการเกษตร และการก่อสร้าง โดยการจะเข้าไปทำงานในญี่ปุ่นได้นั้น จะต้องผ่านการทดสอบภาษาญี่ปุ่น (Japanese language test) รวมถึงผ่านการทดสอบทักษะเบื้องต้นโดยหน่วยงานรัฐของญี่ปุ่นในแต่ละท้องที่ด้วย
หนึ่งในปัญหาที่ถกเถียงกันมาตลอดคือ การเข้ามาทำงานในญี่ปุ่นอาจไม่ใช่เรื่องทางกฎหมายเท่านั้น หากแต่คือเรื่องทางวัฒนธรรม เพราะวัฒนธรรมในญี่ปุ่นทั้งการทำงานและการใช้ชีวิตมีความเป็นเอกลักษณ์สูง อาจทำให้แรงงานต่างชาติจำนวนปรับตัวไม่ได้ หรือหากปรับตัวได้อาจต้องใช้เวลานาน อย่างไรก็ตาม มีผลการสำรวจชาวญี่ปุ่นเมื่อไม่นานมานี้ว่า กลุ่มคนรุ่นใหม่ในญี่ปุ่นค่อนข้างเปิดรับกับแรงงานต่างชาติถึง 54%
จากข้อมูลของกระทรวงยุติธรรมของญี่ปุ่นระบุว่า อ้างอิงจากในปี 2017 แรงงานต่างชาติในญี่ปุ่นมีจำนวนสูงที่สุด 1.28 ล้านคน โดยในตัวเลขนี้ชาวจีนมีจำนวนมากที่สุด รองลงมาคือเวียดนาม ฟิลิปปินส์ และบราซิล
ข้อมูล – China Daily
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา
ล่าสุด Fast Company ได้รับข้อมูลจากแหล่งข่าวที่ไม่ขอออกนามว่า แอปเปิลเตรียมที่จะใส่ชิปโมเด็ม 5G จาก Intel ใน iPhone รุ่นปี 2020
โดยแผนของแอปเปิลนั้นจะใช้ชิป Intel รุ่น 8161 ซึ่งจากสเปกแล้วเป็นชิปที่ผลิตที่ระดับ 10 nm และจะรองรับสัญญาณเครือข่าย 5G ด้วย และจะทำให้ความเร็วอินเทอร์เน็ต สามารถทำได้สูงถึง 20 Gbps ที่ทำงานบนย่านความถี่ 30-300 GHz
อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้แอปเปิลได้ลองนำชิปรุ่น 8060 ในทดสอบในไอโฟน แต่ยังไม่ค่อยพอใจซักเท่าไหร่ เนื่องจากชิปของ Intel มีปัญหาเรื่องความร้อนและการกินไฟ ทำให้แบตเตอรี่หมดเร็ว ทำให้ทาง Intel ต้องเร่งพัฒนาชิปรุ่นใหม่ออกมาเพื่อให้แอปเปิลใช้กับไอโฟนรุ่นใหม่ในปี 2020 ได้ทัน
ยิ่งไปกว่านั้นยังมีคู่แข่งอีกมากที่กำลังพัฒนาชิป 5G มาแข่งกับ Intel อยู่ ยกตัวอย่างเช่น Qualcomm, MediaTek และถ้าได้ตามข่าวรัก 3 เศร้าของ Apple, Intel และ Qualcomm ที่มีคดีฟ้องร้องกันอยู่ ก็เป็นไปได้ยากที่แอปเปิลจะกลับไปซบไหล่ Qualcomm
แต่ถ้า Intel ไม่สามารถผลิตชิปที่ตรงตามต้องการให้แอปเปิลได้จริง ๆ สุดท้ายแล้วแอปเปิลอาจจะโบกมือลา Intel และหันไปจ้าง MediaTek เป็นคนผลิตชิปให้แทนก็เป็นได้
สุดท้ายก็ต้องมาคอยดูกันว่า Intel จะสามารถผลิตชิปได้ถูกใจ และตรงตามที่แอปเปิลกำหนดได้ไว้หรือไม่ ต้องมาคอยติดตามกันต่อไป
ที่มา – MacRumors
The post [ลือ] Apple เตรียมใช้ชิปโมเด็ม 5G จาก Intel ใน iPhone รุ่นปี 2020 appeared first on Macthai.com.
Apple Watch Series 4 มาพร้อมกับเซ็นเซอร์ที่สามารถตรวจจับการล้ม (Fall Detection) ของผู้ใช้ วันนี้เราจะมาชมกันว่าวิธีเปิดใช้งานฟีเจอร์ตรวจจับการล้ม (Fall Detection) บน Apple Watch Series 4 ทำอย่างไร
ฟีเจอร์ตรวจจับการล้ม (Fall Detection)ฟีเจอร์ตรวจจับการล้ม (Fall Detection) เป็นการใช้เครื่องมือวัดการหมุนรุ่นใหม่และเครื่องวัดความเร่งในการตกตรวจจับการล้มของผู้สวมใส่ เมื่อตรวจพบการล้ม ภายใน 5 วินาทีและผู้สวมใส่ไม่มีการเคลื่อนที่ เครื่องจะแจ้งว่าจะเรียก SOS Emergency หรือไม่
และถ้ายังไม่มีการตอบสนองใดๆ ภายใน 60 วินาที นาฬิกาจะโทรออกฉุกเฉินโดยอัตโนมัติ และจะส่งข้อความถึงคนในรายชื่อติดต่อฉุกเฉินที่บันทึกใน Medical ID
ในผู้สวมใส่ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป การตรวจจับการล้ม (Fall Detection) จะเปิดใช้งานอัตโนมัติ โดยอ่านจากข้อมูลที่บันทึกใน Medical ID ส่วนผู้ที่อายุไม่ถึง 65 ปี ก็สามารถเปิดฟีเจอร์ตรวจจับการล้มได้
แต่ก่อนอื่นให้เราไปตั้งค่า Medical ID เพื่อเพิ่มข้อมูลส่วนตัวและรายชื่อติดต่อฉุกเฉินก่อน
วิธีสร้าง ID ทางแพทย์ (Medical ID)ไปที่แอปสุขภาพ (Health) > ในแท็บ ID ทางแพทย์ (Medical ID) ให้เลือกสร้าง ID ทางแพทย์ > ใส่รายละเอียดข้อมูลส่วนตัวให้เรียบร้อย
ด้านล่างให้ระบุรายชื่อผู้ติดต่อที่สามารถติดต่อเวลาเกิดเหตุฉุกเฉินได้ เช่น พ่อ แม่ พี่น้อง หรือคู่สมรส > แตะเสร็จสิ้น (Done)
เมื่อสร้าง ID ทางแพทย์เรียบร้อยแล้ว ก็เปิดใช้งานฟีเจอร์ตรวจจับการล้มกันเลย
วิธีเปิดใช้งานฟีเจอร์ตรวจจับการล้ม (Fall Detection) บน Apple Watch Series 4ไปที่แอป Watch > แตะ SOS ฉุกเฉิน (Emergency SOS) > แตะเปิด การตรวจจับการล้ม (Fall Detection)
ยืนยันการเปิดฟีเจอร์ตรวจจับการล้มให้เรียบร้อย
สำหรับใครที่ซื้อ Apple Watch Series 4 มาใหม่ แนะนำให้ตั้งค่าเปิดใช้งานฟีเจอร์ตรวจจับการล้ม (Fall Detection) ไว้นะคะ เพื่อความปลอดภัยและช่วยเหลือในเวลาที่เกิดอุบัติเหตุโดยไม่คาดคิด
บทความที่เกี่ยวข้องThe post วิธีเปิดใช้งานฟีเจอร์ตรวจจับการล้ม (Fall Detection) บน Apple Watch Series 4 appeared first on iPhoneMod.
Apple เปิดตัว MacBook Air, iPad Pro 2018 รุ่นใหม่มาพร้อมภาพพื้นหลังในการโปรโมทที่สวยงาม เราได้รวบรวมมาให้ดาวน์โหลดกันใช้สำหรับ iPhone, iPad
ภาพพื้นหลัง (Wallpaper) MacBook Air, iPad Pro 2018 สำหรับ iPhone, iPadแตะที่ลิงก์ “iPhone”, “iPad เพื่อดาวน์โหลด และ Save ภาพจากลิงก์ที่เปิด (เปิดใน Safari จะดีที่สุด) จะได้ความละเอียดสูงสุด หาก Save จากโพสต์นี้เลยภาพจะไม่ค่อยคมชัด
แบบที่ 9 – iPhone
แบบที่ 10 – iPhone
แบบที่ 11 – iPhone
แบบที่ 12 – iPhone
ขอบคุณภาพสวยๆ จาก – iDownloadblog
หากต้องการดาวน์โหลดภาพพื้นหลังแบบอื่นๆ เข้าไปเลือกได้ที่นี่ > https://www.iphonemod.net/wallpaper
The post แจกภาพพื้นหลัง (Wallpaper) MacBook Air, iPad Pro 2018 สำหรับ iPhone, iPad appeared first on iPhoneMod.
Ogilvy เผยกลยุทธ์ในการปรับตัวขององค์กรเพื่อรับกับการเปลี่ยนแปลงของตลาดทั้งเทคโนโลยี และพฤติกรรมผู้บริโภค ผุดหน่วย Ogilvy OS เพื่อการทำงานมีประสิทธิภาพ
ในยุคนี้ที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทอย่างมาก ส่งผลให้หลายธุรกิจต้องมีการทรานส์ฟอร์มปรับตัวกันยกใหญ่ ไม่เว้นแม้กระทั่งเอเยนซี่โฆษณาที่ก็ต้องปรับตัวเพื่อให้เข้ากับยุคสมัยด้วยเช่นกัน เพราะการแข่งขันก็เพิ่มมากขึ้นด้วย
ซึ่งถ้าพูดถึง Ogilvy หลายคนคงรู้จักในฐานะเอเยนซี่โฆษณาระดับโลกที่มีผลงานเป็นที่รู้จักมากมาย ในประเทศไทยเองก็เป็นหนึ่งในองค์กรที่รวมครีเอทีฟมือฉมังไว้จำนวนมาก ถ้าพูดง่ายๆ ก็คือเป็นเอเยนซี่ขนาดใหญ่แห่งหนึ่งที่มีเครือข่ายของลูกค้าองค์กรใหญ่ไว้เช่นกัน
แต่เมื่อยุคสมัยได้เปลี่ยนเอเยนซี่ขนาดใหญ่ก็อาจจะไม่ได้ตอบโจทย์การตลาดในยุคใหม่เสมอไป พร้อมกับการเกิดใหม่ของ Independent Agency หรือเอเยนซี่ขนาดเล็กที่เจาะเซ็กเมนต์เฉพาะกลุ่ม
ทำให้ Ogilvy ต้องทำการปรับตัว ปรับองค์กรครั้งใหญ่ หรือเรียกว่าการ “ลีนองค์กร” เพื่อให้กระฉับกระเฉง ไม่ใหญ่เทอะทะ ได้ทำการเปิดหน่วยงาน Ogilvy OS หรือ Operating System เป็นการการเปลี่ยนแปลงจาก One Ogilvy เพื่อทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว ลีนมากขึ้น เป็นการทำงานที่ตอบโจทย์ลูกค้า เปลี่ยนระบบปฏิบัติการ มีการวางแผนทั้งแบบเป็นปี ไตรมาส และเรียลไทม์
นพดล ศรีเกียรติขจร ประธานร่วมกลุ่มบริษัท โอกิลวี่ ประเทศไทย เล่าให้ฟังว่า
“เราได้เริ่มทำ Ogilvy OS ตั้งแต่ช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีที่แล้ว กะลองทำสักหนึ่งปีก่อน ซึ่งตอนนี้มีโจทย์ที่เหมือนกันทั้งโลก ต้องทำให้องค์กรลีนขึ้น ตอบโจทย์การตลาดให้ดีขึ้น เพราะเดี๋ยวนี้โจทย์การตลาดยากขึ้น ไม่สามารถลงทุนทำหนังโฆษณา 15 ล้านบาทได้ตลอดเวลา ต้องมีการทำแคมเปญตลอดเวลา แต่ก่อนมีแค่ช่องทางทีวี และ YouTube การตลาดเป็นแค่การสื่อสาร แต่สำหรับ Ogilvy OS จะไม่ใช่แค่การสื่อสารอย่างเดียว แต่เป็นเอ็นเกจเมนต์นาทีต่อนาที เพราะผู้บริโภคมีการสื่อสารตลอดเวลา แบรนด์จะต้องแอคทีฟตลอดเวลา ต้องเข้าใจนาทีต่อนาที”
ถ้าให้อธิบายง่ายๆ Ogilvy OS ไม่ได้ทำแค่การสื่อสารที่ทาง Ogilvy ถนัดอย่างแค่การสร้างแบรนด์ โฆษณา และ PR แต่ทำทั้งหมดเป็น End to End Solution มีการเพิ่มในส่วนของ CE&C หรือ Customer Engagement & Commerce, Digital Transformation ใช้ดาต้าต่างๆ มาช่วย และ Partnership เพราะมีบริษัทในเครือเยอะ สามารถเอามาใช้ร่วมกันในโปรเจ็คต์ต่างๆ
นพพลบอกว่าตอนนี้ Ogilvy ไม่ได้แข่งขันกับบริษัทเอเยนซี่โฆษณาเพียงอย่างเดียวแล้ว แต่ยังต้องแข่งกับบริษัทที่ให้คำปรึกษาด้านการตลาดอื่นๆ ด้วย รวมถึงเอเยนซี่เล็กๆ ที่เกิดขึ้นอยู่ตลอด เพียงแต่มองจุดแข็งของ Ogilvy ที่ยังสามารถทำได้ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ตั้งแต่กระบวนการคิดไปจนถึงช่วยแก้ไขปัญหาให้ลุกค้าได้ ในขณะที่เอเยนซี่เล็กๆ ทำได้แค่เฉพาะทาง
การปรับตัวอีกอย่างหนึ่งของ Ogilvy คือต้องทำให้ตัวเองเป็น “พาร์ทเนอร์” กับลูกค้ามากขึ้น มีการเปลี่ยนบทบาทจาก Client Service หรือที่เรียกกันติดปากว่า AE (Account Executive) เป็นผู้ประสานงานดีลงานกับลูกค้า เปลี่ยนบทบาทเป็น Client Partner เป็นพาร์ทเนอร์ที่คุยเรื่องธุรกิจจริงๆ เพื่อสร้างบรีฟให้แก่ทีมงาน
“การทำงานรูปแบบเดิมจะแบบว่าเวลาลูกค้าต้องการงานในส่วนไม่ว่าจะโฆษณา PR หรือ CRM ก็จะมีตัวแทนของแต่ละส่วนเข้าไปคุยเพื่อดีลงานกับลูกค้า แต่ตอนนี้ปรับลดให้เหลือส่วนเดียวคือ Client Partner คนเดียว เป็นการลีนโดยธรรมชาติ รวมถึงการลดการทำรีพอร์ทภายใน เอาเวลาไปทำอย่างอื่นได้มากขึ้น”
บทบาทของ Client Partner จึงมีความสำคัญอย่างมาก เพราะจะเป็นเหมือนคีย์แมนในการประสานงาน เป็นคนตีโจทย์ก่อนว่างานนี้ควรใช้ทีมไหนทำ หรือใช้ดาต้าอย่างไร ซึ่ง Client Partner จะต้องมีสกิลมีความรู้ครอบคลุมทุกส่วนไม่ว่าจะโฆษณา แบรนด์ PR ดิจิทัล ดาต้า แต่อาจจะรู้เฉพาะลึกๆ อย่างหนึ่ง
เข้าสู่ยุค Data, Creativity และ Technologyภาพลักษณ์ภายนอกของ Ogilvy หลายคนจะมองว่าโดดเด่นเรื่อง Creative แต่ยุคนี้แค่ปัจจัยเดียวคงไม่เพียงพอ นพดลบอกว่าตอนนี้ Ogilvy มีความเชื่อใน 3 สิ่งด้วยกัน ได้แก่ Data, Creativity และ Technology เป็นการใช้ 3 สิ่งนี้เป็นแกนหลักในการสร้างประสบการณ์ให้ลูกค้า
“การทำงานรูปแบบเดิมอาจจะเน้นเป็นส่วนๆ ไป หรือเน้นแค่ Creativity เป็นหลัก แต่ตอนนี้ด้วยการเปลี่ยนแปลงในเศรษฐกิจโลก ต้องมีการตอบคำถามน่าสนใจขึ้น ทำการตลาดยากขึ้น ต้องทำให้ Seamless ขึ้น ทำทุกอย่างทั้งการสื่อสาร และสร้างประสบการณ์ เป็นการทำงานแบบ End-to-End หรือแบบครบวงจร”
โดยโซลูชั่นของ Ogilvy จะมีการนำเอาดาต้ามาวิเคราะห์ด้วยเครื่องมือ และเทคโนโลยีต่างๆ เพื่อหาจุดขาย หรือคอนเทนต์ที่น่าสนใจ แล้วจึงมาทำแคมเปญการตลาดเพื่อสื่อสารกับผู้บริโภค และยังคงใช้ Creativity เป็นหัวใจสำคัญอยู่ แต่ต้องใช้ทั้ง 3 สิ่งผสมผสานรวมกัน เพื่อเชื่อมทุกอย่างแบบไร้รอยต่อ
สรุปแม้แต่เอเยนซี่รายใหญ่ยังต้องปรับตัวเพื่อสู้ศึกกับการเปลี่ยนแปลงของตลาด และผู้บริโภค การปรับตัวของ Ogilvy ในครัง้นี้ถือว่าสร้างสีสันให้กับวงการเอเยนซี่พอสมควร เพราะตอนนี้มีเอเยนซี่หน้าใหม่เกิดขึ้นมากมาย ลูกค้ามีทางเลือกมากขึ้น การที่ Ogilvy อยู่เฉยๆ คงไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา
เป็นเวลากว่า 4 ปี ที่ iPhone รุ่นล่าสุดหน้าตาเดิม ๆ นับตั้งแต่การเปิดตัว iPhone 6 ในปี 2014 ซึ่งตอนนั้นบอกได้เลยว่าแทบจะเป็นการอัพเกรดที่สมเหตุสมผลมาก หลังจากนั้นแม้ว่า Apple จะเพิ่ม iPhone รุ่น Plus เข้ามาแต่ด้วยราคาที่สูงแตะขึ้นไปถึงสามหมื่นปลาย ๆ ถึงสี่หมื่นทำให้การเข้าถึง iPhone จอใหญ่กลายเป็นเรื่องที่ยาก
Apple มีเป้าหมายบางอย่างมาตั้งแต่ตอนที่ Steve Jobs เปิดตัว iPhone ในปี 2007 สิ่งแรกที่ Jobs พูดถึงบนเวทีเลยคือ “จอใหญ่” Apple พยายามชูขนาดของหน้าจอมาตลอดและสิ่งนั้นกลายเป็นมาตรฐานของการออกแบบโทรศัพท์ทั่วโลกหลังจากปี 2007 เป็นต้นมา เวลาผ่านไป 10 ปี Apple ออกแบบ iPhone X ให้มีหน้าจอเต็ม (แม้จะมีติ่งอยู่ด้านบนก็ตาม) แต่ด้วยการออกแบบให้เป็นรุ่นที่เหมือนจะพิเศษ และขายในราคาสี่หมื่น ทำให้ iPhone X ยังไม่เป็นมาตรฐานเท่าไหร่ เรา ๆ ก็ยังคงซื้อ iPhone 8 หรือ iPhone 8 Plus ใช้กันอยู่ดี
แต่สุดท้ายวันนี้ก็มาถึง เมื่อ Apple เปิดตัว iPhone XR มาในราคาที่ถูกที่สุด และมีราคาเท่ากับ iPhone 8 ที่ใช้ Design เดิมมา 4 ปี ในราคา 29,000 บาท สิ่งนี้บ่งบอกว่าอนาคตของมาตรฐานการออกแบบ iPhone รุ่นต่อ ๆ ไป จะไปในทางนี้ (ขอบคุณ 4 ปีที่รอคอย)
iPhone XR คือ iPhone XS ที่ลดเสป็ค ?เสป็คคร่าว ๆ ของ iPhone XR ตามที่ Apple แจ้งไว้ก็คือ
ซึ่งถ้าหากเรามาลองดูกันทีละข้อ เราจะพบว่าทั้งหมดนี้จะใกล้เคียงกับ iPhone XS และ XS Max มาก ทีนี้เราจะมาลองดูสิ่งที่ XS ทำได้แต่ XR ทำไม่ได้บ้าง
หมดแค่นี้ นี่คือไม่กี่สิ่งที่ iPhone XR ทำไม่ได้เมื่อเทียบกับ XS เราจะเห็นว่าฟีเจอร์ว้าว ๆ ที่ Apple เปิดตัวมาใน iPhone XS นั้น XR แทบจะทำได้หมด เช่น การถ่ายภาพแล้วมาปรับเบลอทีหลัง, ถ่ายวิดีโอเสียงแบบสเตอริโอ และเครื่องในที่แทบจะเป็นตัวเดียวกันที่มาพร้อมชิป A12 รุ่นใหม่
ดังนั้นหากจะถามว่า iPhone XR เป็นการลดเสป็คหรือเปล่า จะตอบว่าเป็นการลดเสป็คก็ไม่ไม่ใช่ เพียงแต่ว่า Apple เลือกที่จะสร้าง iPhone XR ให้มีความสมเหตุสมผลด้านราคายิ่งขึ้น โดยหวังว่า XR จะกลายเป็น iPhone ทางเลือกสำหรับคนที่อาจจะไม่ได้ต้องการเทคโนโลยีสุดอย่าง iPhone XS และ XS Max
ขนาดที่ใหญ่กว่า XS แต่เล็กกว่า XS MaxApple วาง position ในเชิงของขนาดหน้าจอของ iPhone XS Max ไว้อย่างน่าสนใจ เครื่องเดิมที่ทีมงาน MacThai ใช้ก่อนหน้าจะมาใช้ XR คือ iPhone 8 ที่มีขนาดหน้าจอเล็ก (และเล็กกว่า iPhone X แน่ ๆ) พอได้ลองใช้ XR ก็รู้สึกว่า ขนาดหน้าจอใหญ่สะใจเลยทีเดียว แต่ก็แลกมากับความรู้สึกว่า iPhone ของเราโตขึ้น (ใหญ่และหนักขึ้นเล็กน้อย) สิ่งนี้ทำให้รู้สึกว่า XR คือความ Medium และ XS คือ Compact และ XS Max คือ Large
และด้วยเหตุนี้นี่เองจึงทำให้ iPhone XR กลายเป็น iPhone ที่มีราคาเปิดตัว ถูกที่สุด แต่มีขนาดของหน้าจอใหญ่ที่สุด คือใหญ่กว่า iPhone 8 Plus เสียอีก
สำหรับรูปร่างและความรู้สึก เมื่อลองใช้ดูแล้วก็รู้สึกแปลกและแปลกมือพอสมควร เนื่องจากเป็นขนาดที่ไม่เคยมีมาก่อน หลายครั้งที่ต้องกำ iPhone แน่น ๆ เนื่องจากกลัวหล่น เพราะขนาดของมันช่างไม่ชินมือซะเหลือเกิน
iPhone XR แอบหนาขึ้นเล็กน้อย และด้วยขอบของจอที่หนากว่า X, XS ทำให้มันดูเหมือนการเอา iPhone XS มาส่องไฟฉายขยายส่วน แต่ก็ไม่ทำให้ดูเทอะทะมากไป อยู่ในระดับที่พอดี ๆ
สรุปว่าจอ XR กากจริงหรือเปล่าถ้าใครที่ตามอ่านรีวิวจากเว็บนอก ก็คงจะเจอแต่บอกว่า จอ XR ห่วย กาก ไม่ได้เรื่อง (เขาว่ากันขนาดนี้จริง ๆ) ถามว่าจริงไหม ก็จริงถ้าเรานำจอ LCD ไปเทียบกับ OLED ของ iPhone XS หรือ iPhone X แต่เมื่อเทียบกับ iPhone 6, 7, 8 มันก็คือจอคุณภาพสูงแบบเดียวกันที่มีการปรับปรุงฟีเจอร์เพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ
สรุปสิ่งที่ด้อยกว่าที่ถูกเอามาเป็นประเด็นเลยก็คือ
ซึ่งเอาตามทฤษฏีก็คือมีแค่นี้จริง ๆ ความละเอียดที่ถูกเอามาเป็นประเด็นว่าแค่ 326 พิกเซลต่อตารางนิ้ว มันก็คือความละเอียดของ iPhone 8 นั่นแหละ (ส่วน 8 Plus จะเป็น 401 แล XR เป็น 458) ดังนั้นถามว่าจอ iPhone XR กากไหม ถ้าเราเอาไปเทียบกับ XS ก็คงกากกว่าอยู่แล้ว แต่ถ้าเทียบกับ iPhone รุ่นอื่น ๆ มันคือจอ Retina display คุณภาพสูงในตำนานของเดิมนั่นแหละ
สิ่งที่น่าสนใจอีกสิ่งหนึ่งก็คือ “จอ LCD แบบขอบมน” ทีมงานได้ลองใช้กล้องจุลทรรศน์ถ่ายบริเวณส่วนโค้งมนของขอบจอ iPhone XR ซึ่งยากมากที่จะนำมาโค้งแบบ OLED บน iPhone XS ที่ Apple ใช้วิธีการ “พับจอ” เข้ามุม แต่ LCD บน XR จะต้องมี Blacklight เป็นไฟที่ส่องทะลุมาจากด้านหลัง ทำให้ไม่สามารถเอาไปพับได้เหมือน XS
Apple ใช้ Hardware ร่วมกับ Software ในการปรับความหรี่ของ Pixel ย่อย RGB บริเวณส่วนโค้งของจอเพื่อให้จอออกมาโค้ง เพราะความยากคือจอ iPhone XR ความละเอียดปานกลาง ไม่ได้สูงเท่า XS ถ้าไม่ใช้เทคนิคนี้คือ เราจะเห็นจอโค้งแบบเป็นขั้นบันได
เทคนิคนี้คือเทคนิคเดียวกับการทำ antialiasing ซึ่งถูกนำมาใช้สร้างความ smooth ให้กับขอบของงานกราฟิกต่าง ๆ โดยเฉพาะตัวอักษร
ดังนั้น Apple ได้ออกแบบหน้าจอของ iPhone XR ให้ดีขึ้นเพื่อรองรับฟีเจอร์ที่จอ LCD เดิม ๆ อาจจะไม่สามารถให้ได้ เช่น การแตะเพื่อปลุกจอ (เนื่องจากไม่มีปุ่ม Home) หรือการทำจอขอบโค้งมน ซึ่งทั้งหมดนี้ก็ไม่รู้ว่าตรงไหนที่บ่งบอกว่าจอของ XR นั้นกาก
3D Touch หายไป จำเป็นแค่ไหนสิ่งที่หายไปแล้วฟังดูเหมือนจะไม่ได้ขัดใจอะไรมาก แต่พอใช้งานจริงก็ขัดใจเล็กน้อยคือ 3D Touch หรือการกดที่จอแรง ๆ เพื่อให้หน้าจอแสดงอะไรบางอย่างเช่น เปิดกดเพื่อ Peak ดูรูปใน Instagram, Preview รูปและลิ้ง, ดู Option เพิ่มเติม, ใช้เลื่อน corsor เวลาพิมพ์ keyboard ที่ติดมาตั้งแต่ตอน iPhone 6s นั้น Apple ได้นำมันออกไปใน iPhone XR ในขณะที่ XS ยังใช้ได้อยู่
เนื่องจากก่อนหน้านี้ทีมงานใช้ iPhone ที่มี 3D Touch มาโดยตลอด แต่ฟีเจอร์เดียวของ 3D Touch ที่ใช้เลยก็คือการกดแรง ๆ บน Keyboard เพื่อเลื่อน corsor ไปแก้คำต่าง ๆ ในส่วนนี้จำเป็นต้องทดแทนด้วยการวางนิ้วค้างบน spacebar ถึงจะเลื่อนได้ ซึ่งก็ทำให้เสียเวลาในการพิมพ์เล็กน้อย
ไขปริศนากล้องเดี่ยว ดีจริง ? สู้กล้องคู่ได้แน่เหรอกล้อง กลายเป็นตัวแปรสำคัญในการเลือกซื้อมือถือของหลาย ๆ คนในยุคนี้ จากที่ได้ลองใช้กล้องของ iPhone XR บอกได้เลยว่า ของเล่นใหม่เพียบ สำหรับคนที่อัพเกรดมาจาก iPhone กล้องเดี่ยว หรือใครที่ใช้ iPhone กล้องคู่ ก็อาจจะว้าวเหมือนกัน (แต่อาจจะไม่มากเท่าไหร่) เพราะก็สามารถปรับความเบลอของฉากหลังในโหมดภาพถ่ายบุคคลได้ไม่แพ้ XS (ซึ่ง iPhone 7 Plus, 8 Plus และ X ทำไม่ได้ ซึ่งก็ไม่รู้เหตุผลว่าเพราะต้องอาศัยการทำ Machine Learning บนสถาปัตยกรรม A12 หรือเพราะ Apple ต้องการขายรุ่นใหม่กันแน่)
หลังจากที่ได้ลองเล่นฟีเจอร์กล้องของ iPhone XR บอกได้เลยว่าเจ๋งกว่าที่คิด เพราะฟีเจอร์ของ iPhone XR นั้นเกิดจากการใช้ซอฟแวร์ล้วน ๆ มองได้สองแง่คือ “การใช้การเบลอ” ที่เกือบจะถูกต้องตามหลัก Optical Physics และการ “เลือกบริเวณเบลอ” ที่เกือบจะถูกต้องเช่นเดียวกัน
เชื่อว่า Apple คงจะปรับปรุงให้อัลกอริทึมนี้ฉลาดขึ้นกว่านี้อีกในอนาคต แต่ก็ยังมีสิ่งที่เราควรจะรู้ไว้ก็คือ
สิ่งที่สายถ่ายวิดีโอต้องชอบ เมื่อก่อนถ้าเราจะใช้วิดีโอถ่ายหนังสั้นหรืออะไรที่อยากได้เสียงเป็นสเตริโอก็ต้องซื้อไมค์แยก แต่ตอนนี้ไม่ต้องแล้ว เพราะวิดีโอที่ถ่ายด้วย iPhone XR จะเป็นเสียงแบบสเตอริโอ ทำให้เก็บรายละเอียดและมิติของเสียงได้อย่างแม่นยำ
ซึ่งตรงนี้ต้องรับชมและรับฟังเองถึงจะสัมผัสได้ถึงความเทพของวิดีโอจาก iPhone XR
3 วันเต็มกับ iPhone XR ชอบอะไร ไม่ชอบอะไรหลังจากที่ได้ลองใช้ลองใช้ iPhone XR มาเป็นเวลาพอสมควรที่จะบอกข้อดีข้อเสียได้แล้ว ทีมงาน MacThai ก็ได้ลอง list สิ่งที่ชอบและไม่ชอบมาได้ดังนี้
สิ่งที่ชอบ
สิ่งที่ไม่ชอบ
ทีนี้มาถึงคำถามสำคัญว่าจะซื้อดีไหม สรุปเลยก็คือทีมงานสังเกตว่าคนรอบตัวมีซื้อทั้ง iPhone XS, iPhone XS Max และ iPhone XR จำนวนเท่า ๆ กัน ซึ่งน่าสนใจมาก สำหรับคนที่เลือกซื้อ XS, XS Max เหตุผลเดียวเลยก็คือ “กล้องคู่” ส่วนคนที่ซื้อ XR หลายคนเป็นคนที่ใช้ iPhone รุ่นก่อนหน้านี้มาก่อน ไม่ว่าจะเป็น 6,7,8 ทั้งรุ่น Plus และรุ่นธรรมดา ด้วยเหตุผลว่า “ควรค่าแก่การอัพเกรดแล้ว” หรือแม้กระทั่งคนที่ใช้ iPhone X แล้วมาเลือกซื้อ XR เพราะมองว่า เป็นการ “ซื้อฟีเจอร์บนมือถือที่เหมือนจะดาวเกรดแต่กลายเป็นอัพเกรด”
เอาจริง ๆ ต้องบอกว่า Apple วาง Position ของ iPhone XR มาดีกว่า iPhone รุ่นแปลกแยกอย่าง iPhone 5C และ iPhone SE มาก ๆ และไม่รู้สึกว่าเป็น iPhone ราคาต่ำ (กว่ารุ่นอื่น) เลย ดังนั้น สรุปง่าย ๆ ก็คือ iPhone XR มีความคุ้มค่าแก่การอัพเกรดที่สุด ไม่ว่าคุณจะมาจาก iPhone รุ่นไหนก็ตาม เพราะสิ่งที่จะได้แน่ ๆ เลยก็คือ ฟีเจอร์ใหม่, ความรู้สึกใหม่ ๆ และราคาใหม่ที่เป็นราคาเริ่มต้น แต่ได้ประสบการณ์ไม่ต่างจากตัวแพงสุดอย่าง XS Max มากนัก
The post iPhone XR : รีวิวหลังใช้จริง 1 อาทิตย์ ไอโฟนที่คุ้มที่สุดนับตั้งแต่มี iPhone มา appeared first on Macthai.com.
ไม่ต้องพูดมากแล้วกัน วันนี้ทีมงาน MacThai มีแจก Wallpaper ที่ใช้ในการโฆษณา iPad Pro และ MacBook Air รุ่นใหม่ที่พึ่งเปิดตัวไปเมื่อสิ้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา โดยมีทั้งเวอร์ชัน iPhone และ iPad ด้วย
ดาวน์โหลด: สีส้ม, สีน้ำเงิน, สีฟ้า และ สีเขียว
และทีมงานได้นำภาพทั้งหมดนี้เก็บไว้ใน Google Photos แล้ว สามารถเข้าไปดูภาพเหล่านี้ และภาพ Wallpaper เวอร์ชันเก่า ๆ ได้จากลิงก์ด้านล่างนี้
รวมภาพ Wallpaper ของ Apple โดย MacThai
ที่มา – iDownloadBlog
The post [แจก] Wallpaper ของ iPad Pro และ MacBook Air รุ่นใหม่ โหลดฟรีที่นี่ !! appeared first on Macthai.com.
หลังจากที่ประธานาธิบดีสหรัฐ ได้พบปะหารือในเรื่องประเด็นของสงครามการค้าระหว่าง 2 ประเทศแล้วนั้น แรงกดดันหลังจากนี้อาจอยู่ที่ผู้นำจีนว่าจะหาทางออกเหล่านี้ได้ยังไง ขณะที่ประเด็นต่างๆ อย่างเช่น เรื่องการขโมยเทคโนโลยี ฯลฯ กำลังเร่งให้จีนต้องหาทางออกเหล่านี้อยู่
หลังจากสงครามการค้าได้สร้างแรงกดดันต่อเศรษฐกิจจีนมากกว่าที่คิด โดยล่าสุดในการประชุม G20 ที่ประเทศอาร์เจนตินา ทั้ง 2 ผู้นำได้มีการพบปะหารือในประเด็นนี้บ้างแล้ว โดยทางด้านประธานาธิบดีทรัมป์ได้ให้สัมภาษณ์สื่อถึงเรื่องของการเจรจาระหว่างเขากับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีนว่า การพบปะหารือในรอบนี้เป็นที่น่าพอใจมาก
ทรัมป์เองยังได้กล่าวเสริมว่า เขาและประธานาธิบดีจีน ได้มีข้อตกลงร่วมกันบางอย่าง และเป็นข้อตกลงที่ยุติธรรมกับทุกฝ่าย และยังรวมไปถึงประเด็นปัญหาของเกาหลีเหนืออีกด้วย ทำให้นักลงทุนคาดว่าท้ายที่สุดแล้วสงครามการค้าระหว่าง 2 ประเทศจะจบด้วยการเจรจาที่ดี
Just had a long and very good conversation with President Xi Jinping of China. We talked about many subjects, with a heavy emphasis on Trade. Those discussions are moving along nicely with meetings being scheduled at the G-20 in Argentina. Also had good discussion on North Korea!
— Donald J. Trump (@realDonaldTrump) November 1, 2018
ล่าสุดยังรวมไปถึงการที่ทรัมป์ได้กล่าวเรื่องนี้กับทีมงานของเลขาคณะรัฐมนตรีให้เตรียมร่างข้อสัญญาที่เป็นไปได้ในการทำข้อตกลงทางการค้าระหว่างทั้ง 2 ประเทศ เพื่อที่จะหยุดยั้งการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนมากไปกว่านี้ด้วย
โดยก่อนหน้านี้สหรัฐฯ ได้ประกาศที่จะขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเป็นมูลค่ากว่า 250,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งสร้างแรงกดดันเพิ่มเติมให้กับประเทศจีน ซึ่งได้สร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจจีนในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมาแล้ว
ไม่เหมือนคุยไว้นี่นาอย่างไรก็ดีถึงแม้ว่าทรัมป์เองจะกล่าวว่าการเจรจาเป็นไปได้ด้วยดี แต่เรื่องนี้ได้สร้างแรงกดดันให้กับประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ในการทำข้อตกลงการค้า และรวมไปถึงการปฏิรูปนโยบายเกี่ยวกับการค้าด้วย ในช่วงปีที่ผ่านมาหลังจากที่ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ยกนโยบาย “อเมริกาต้องมาก่อน” ทางด้านจีนเองเป็นผู้ที่สนับสนุนการค้าเสรี แต่อีกด้านหนึ่งจีนก็ยังไม่ได้ปฏิรูปนโยบายนี้มากนัก
ในช่วงที่ผ่านมารัฐบาลจีนได้เปิดกว้างเรื่องสัดส่วนการถือหุ้นให้ชาวต่างชาติมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในธุรกิจธนาคาร ประกันภัย บริษัทหลักทรัพย์ รวมไปถึงบริษัทจัดการกองทุน ให้ชาวต่างชาติถือหุ้นได้เกิน 51% หรือแม้แต่ความเคลื่อนไหวล่าสุดที่พยายามลดภาษีนำเข้าสินค้าโดยเฉพาะรถยนต์ จาก 25% เหลือ 15%
แต่ไม่ใช่ทุกคนจะคิดแบบที่จีนคิด โดยนักลงทุนจากนานาชาติมีคาดหวังที่ว่าจีนจะปฏิรูปโดยเฉพาะการถือหุ้นจากต่างชาติให้มีหลากหลายอุตสาหกรรมมากกว่านี้ แต่จีนกลับใช้เวลาในช่วงที่ผ่านมาอย่างเชื่องช้า ซึ่งดูได้จากอันดับขององค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ หรือ OECD ที่วัดในเรื่องการเปิดกว้างในการลงทุนจากต่างประเทศ จีนได้อันดับที่ 59 จาก 62 ประเทศที่อยู่ในดัชนีนี้
ยังรวมไปผลสำรวจจากหอการค้าของสหภาพยุโรปฯ ที่ลงทุนในประเทศจีน ผลสำรวจในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาแสดงกว่าบริษัทต่างๆ ยังกังวลถึงเรื่องข้อกำหนดที่มากเกินไปจากหน่วยงานต่างๆ ในประเทศจีน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการถือหุ้นของชาวต่างชาติ ฯลฯ ทำให้บริษัทเหล่านี้พลาดในการลงทุนในประเทศจีน และบริษัทที่อยู่ในผลสำรวจหวังว่ารัฐบาลจีนจะผ่อนคลายเรื่องนี้มากขึ้นในอนาคต
นอกจากนี้ยังมีประเด็นที่กดดันผู้นำจีนอยู่คือเรื่องของการขโมยเทคโนโลยีบริษัทต่างชาติ รวมไปถึงประเด็นการบังคับบริษัทต่างชาติต้องถ่ายทอดเทคโนโลยีแบบไม่เต็มใจเท่าไหร่นัก ถ้าหากบริษัทเหล่านี้ต้องการที่จะสร้างโรงงานผลิตในประเทศจีน
ล่าสุดยังรวมไปถึงประเด็นที่มีการจารกรรมข้อมูล รวมไปถึงการขโมยเทคโนโลยีจากสหรัฐอเมริกาอย่างกรณีของบริษัท Micron อีก เรื่องเหล่านี้กำลังเป็นประเด็นที่จะกดดันผู้นำจีนให้หาทางลงจากประเด็นนี้ ซึ่งเรื่องนี้จะกระทบกับความเชื่อมั่นของบริษัทต่างชาติที่รอโอกาสมากมายในประเทศจีนว่าจีนจะเปิดกว้างในเรื่องนี้จริงๆ ได้หรือไม่
ที่มา – South China Morning Post, Bloomberg [1], [2],[3]
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา
ก่อนหน้านี้ส่วนตัวแล้วที่บ้านการจ่ายค่าไฟฟ้าจะมีเจ้าหน้าที่(หมู่บ้าน) ถือบิลมาให้แล้วก็จ่ายเงินสดให้แล้วซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติ จ่ายไปแล้วก็จบๆ ไปไฟจะได้ไม่โดนตัด แต่ว่าจะดีกว่าไหมถ้าเงินที่เราจ่ายค่าไฟไปนั้นสามารถเปลี่ยนเป็นแต้มที่แปลงเป็นเงินได้หรือนำไปแลกของอย่างอื่นได้ ฟังแล้วมันก็น่าสนใจใช่ไหม?
สังคมไร้เงินสด (Cashless Society) โตขึ้นในประเทศไทยเกริ่นนำแป๊ะนึงนะครับ…
ช่วงนี้กระแสสังคมไร้เงินสดเริ่มเป็นที่สนใจของผู้คนมากยิ่งขึ้น เนื่องด้วยเทคโนโลยีสมาร์ตโฟนที่ราคาถูกลงและมีให้เลือกซื้อหามาใช้กันอย่างง่ายดายแถมค่าบริการอินเทอร์เน็ตผ่านมือถือในไทยนั้นก็ถือว่าถูกแสนถูก ทุกคนจึงมีสิทธิ์เท่าเทียมกันในการเข้าถึงโลกอินเทอร์เน็ต และสมาร์ตโฟนนี่แหละทำให้วงการ “สังคมไร้เงินสด” เป็นที่แพร่หลายมากขึ้น
ที่เขียนเรื่องนี้ขึ้นมาก็เพราะว่าปี 2018 นี้ผมเองหันมาจ่ายเงินผ่านระบบนี้มากขึ้นไม่ว่าจะผ่านแอปพวก Wallet หรือกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์โดยเฉพาะในร้านสะดวกซื้ออย่าง 7-Eleven หรือไม่ก็สแกน QR Code เพื่อชำระ (จ่ายบ่อยสุดก็นั่งรถบัส A1, A2 จากสนามบินดอนเมืองไปที่ BTS หมอชิต) มันสะดวกมาก ไม่ต้องหาแบงค์หรือเหรียญและไม่ต้องกังวลเรื่องเงินทอนอีก
ก็จ่ายแบบนั้นมาเรื่อยๆ จนทุกวันนี้แต้มจากการจ่ายผ่าน Wallet ก็เยอะขึ้นๆ โดยแรกๆ เราก็ไม่ได้สนใจว่าจะเก็บแต้มไว้ทำไม แต่พอมาเช็คดูรายละเอียดอีกทีพบว่าแต้มเหล่านี้ใช้ประโยชน์ได้เยอะ ไม่ว่าจะแลกเป็นของ, แลกส่วนลดหรือเปลี่ยนแต้มเป็นเงินแล้วนำไปใช้อย่างอื่นต่อได้อีก
ดังนั้นพอรู้แบบนี้แล้ว
ทุกการชำระเงินถ้ารายการไหนทำผ่าน Wallet ได้ผมเลือกที่จะทำ มันดีกว่าจ่ายเงินสดเปล่าๆ แล้วไม่ได้อะไรกลับมา
รายการต่างๆ ที่ผมมักใช้จ่ายผ่าน Wallet ได้แก่ ซื้อของที่ 7-Eleven, จ่ายบิลค่ามือถือ, ซื้อของใน App Store แล้วก็จ่ายค่าบิลอย่างค่าไฟฟ้า เป็นต้น
เพราะค่าไฟฟ้าแต่ละเดือนเราจ่ายไปก็ไม่น้อยดังนั้นเอาก็น่าจะล่าแต้มจากบิลนี้ได้เช่นกัน วันนี้เลยมาแนะนำวิธีการชำระบิลค่าไฟฟ้าผ่านแอป TrueMoney Wallet กันนะครับ ถือว่าเป็นแนวทางอีกอย่างที่จะจ่ายค่าบิลได้โดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปจ่ายที่อื่นๆ แถมไม่มีค่าธรรมเนียมด้วย
จ่ายบิลค่าไฟฟ้า ค่าน้ำ ค่ามือถือ ผ่านแอป TrueMoney Wallet ทั้งสะดวกและได้แต้มไปแลกของที่ 7-ELEVEN เยอะแยะสิ่งที่ต้องมี
จะใช้แอป TrueMoney Wallet ไม่จำเป็นต้องมีบัตรเครดิตก็ใช้ได้นะครับจุดนี้คนส่วนใหญ่ไม่ต้องกังวลเลยครับ การเติมเงินเข้า Wallet นั้นทำได้หลายทางมาก ส่วนตัวแล้วผมจะผูกกับบัญชีธนาคารแล้วก็เติมเงินเข้าไปเรื่อยๆ เองครับ ไม่ต้องเสียเวลาไปที่ตู้ ATM กดเงินแล้วเอามาซื้อบัตร TrueMoney แล้วเอามาเติมนะ แบบนั้นมันเสียเวลา พ่วงกับบัญชีธนาคารแหละสะดวกสุดละ
มาเข้าขั้นตอนการกัน
เข้าแอป TrueMoney Wallet จากนั้น
แอปจะแจ้งว่าทำรายการสำเร็จ ทั้งนี้สามารถเลือกที่เมนูรูปดาว เพื่อบันทึกรายการโปรดเอาไว้ได้ ครั้งต่อไปจะได้ไม่ต้องกรอกรหัสผู้ใช้ไฟฟ้าอีก
รอไม่นานจะได้ SMS แจ้งเตือนว่าได้รับ TruePoint มาเพิ่ม จากตัวอย่างการชำระค่าไฟครั้งนี้ได้รับ TruePoint เพิ่ม 83 คะแนน (เฉลี่ย 25 บาท = 1 แต้ม) ซึ่งถือว่าเยอะเลยทีเดียว ถ้าจ่ายเงินสดไม่มีทางได้แบบนี้แน่นอน
ตัวอย่างง่ายๆ TruePoint ที่นำไปใช้ประโยชน์ได้ใกล้ตัวก็เช่น เข้า 7-Eleven ใช้ 5 TruePoint ไปแลกขนมได้ 1 ห่อ หรืออยากกินไข่ลวก? ก็ใช้เพียง 16 แต้มในการแลก ฯลฯ เห็นไหม จ่ายค่าไฟไปเมื่อกี้ได้ของแถมกลับมาตั้งเยอะ
นั่นแหละครับท่านผู้อ่าน
ถือว่าเป็นอีกหนึ่งแนวทางในการใช้ประโยชน์สูงสุดจากเงินที่เราต้องจ่ายไป ทางเลือกไหนมันดีกว่า เราหัดทำ ลองทำไว้ก็ไม่เสียหายนะ ลองเอาไปใช้งานกันดูแล้วกันนะครับ
The post จ่ายบิลค่าไฟฟ้า ค่าน้ำ ค่ามือถือ ผ่านแอป TrueMoney Wallet ทั้งสะดวกและได้แต้มไปแลกของที่ 7-ELEVEN เยอะแยะ appeared first on iPhoneMod.
แม้จะเพิ่งเสียตำแหน่งแบรนด์รถยนต์ที่มียอดจำหน่ายมากที่สุดในโลก แต่ Toyota ก็ยังเป็นแบรนด์รถยนต์มหาชนอยู่ดี สังเกตจากยอดค้นหาบน Google ของผู้ผลิตรถยนต์จากญี่ปุ่นรายนี้มีจำนวนมากที่สุดในโลก
บริษัทประกัน Veygo ได้ทำการสำรวจยอดค้นหาแบรนด์รถยนต์บน Google จากทั่วโลกของปี 2018 และพบว่า Toyota คือแบรนด์ผู้ผลิตรถยนต์ที่มีจำนวนค้นหามากที่สุดในโลก ผ่านยอดค้นหาเฉลี่ย 7.8 ล้านครั้ง/เดือน มากกว่า Honda ที่เป็นอันดับสองที่มีจำนวนค้นหา 7 ล้านครั้ง/เดือน ส่วน Ford ตามมาที่ 6.4 ล้านครั้ง/เดือน
อย่างไรก็ตามเมื่อจำแนกเป็นแต่ละประเทศ Toyota ก็ยังเป็นแบรนด์ที่ถูกค้นหามากที่สุดถึง 57 ประเทศทั่วโลก เช่นสหรัฐอเมริกา และแคนาดา รองลงมาเป็น BMW ที่ 25 ประเทศ ตามด้วย Mercedes-Benz 23 ประเทศ ส่วนแบรนด์ที่กำลังมาแรงในตอนนี้อย่าง Tesla ก็ถูกค้นหามากที่สุดใน 7 ประเทศ หนึ่งในนั้นคือประเทศจีน
จากสถิติดังกล่าวจะเห็นว่า แบรนด์ผู้ผลิตรถยนต์ของแต่ละประเทศก็ไม่ได้ครองใจตลาดท้องถิ่นของตัวเองได้ เช่นในประเทศญี่ปุ่นก็ค้นหา BMW มากที่สุด ส่วนรัสเซียก็ค้นหา Hyundai มากที่สุด แถม Ford ก็ยังอยู่ในอันดับที่ 10 ของการค้นหาในสหรัฐอเมริกาด้วย
ในทางกลับกันแบรนด์ที่ถูกเสิร์ชน้อยที่สุดก็คือ Pagani แบรนด์ผู้ผลิตรถยนต์สปอร์ตจากอิตาลี ส่วนในประเทศไทย ผลสำรวจนี้พบว่า Honda คือแบรนด์ผู้ผลิตรถยนต์ที่ถูกค้นหามากที่สุดในปี 2561 ส่วนใครที่สงสัยว่ามันยังไม่จบปีแล้วสรุปตัวเลขเป็นทั้งปีได้อย่างไร ทาง Veygo ก็มีการสำรวจ และเข้ากระบวนการคำนวนค่าเฉลี่ยแล้ว
อ้างอิง // Autoblog
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา