ย่อหน้าแรกๆ ขอแจ้งข่าวสำหรับผู้ที่รู้จัก Creative Commons ดีอยู่แล้วก่อนนะครับ โครงการแปลงสัญญาอนุญาต Creative Commons ให้ใช้งานกับระบบกฎหมายในประเทศไทยได้อย่างสมบูรณ์ นั้นเสร็จเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนสุดท้ายคือการแถลงข่าวเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ก่อนที่จะประกาศใช้บนเว็บไซต์ของ Creative Commons ต่อไป
งานแถลงข่าวจะมีขึ้นในวันที่ 2 เมษายนนี้ ที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (ตรงข้ามมาบุญครอง) เวลา 13.00-16.00 น. (รายละเอียด) ที่ต้องจัดวันธรรมดาเพราะว่ากลุ่มเป้าหมายหลักคือนักข่าว แต่ว่าถ้าใครสนใจและสามารถปลีกตัวจากเวลางานมาได้ก็ยินดีครับ สำหรับบุคคลากรที่จะมาในนามของหน่วยงานและต้องการจดหมายเชิญแบบเป็นทางการ สามารถติดต่อมาที่ผมได้โดยตรง markpeak @ gmail
ถ้าใครว่างแต่ยังลังเลว่าจะมาดีหรือไม่ มางานนี้คุณจะได้
โดยส่วนตัวผมคิดว่า กลุ่มที่น่าจะได้ประโยชน์จากงานนี้โดยตรง คือ ผู้ที่ศึกษาและสนใจงานด้านกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา (อาจเป็นนักศึกษาด้านนิติศาสตร์ที่เอกมาทางด้านนี้) และผู้ที่สนใจประเด็นแง่วัฒนธรรม โดยเฉพาะการขับเคลื่อนวัฒนธรรมเสรี (free culture) อย่างเช่นนักศึกษาสายมานุษยวิทยา ถ้าใครมีเพื่อนเรียนด้านนี้ก็ฝากประชาสัมพันธ์ด้วยครับ
ในโอกาสที่ Creative Commons ฉบับประเทศไทย (ไม่ใช่ "ฉบับภาษาไทย") เสร็จสมบูรณ์ ผมก็ขอนำเรื่องเก่ามาเล่าใหม่ อธิบายเรื่อง Creative Commons เผื่อว่าจะมีผู้อ่าน Blognone หน้าใหม่บางคนที่อาจไม่เคยได้ยินชื่อของมันมาก่อน
ถ้าให้ผมนิยาม Creative Commons แบบสั้นๆ ก็จะได้ว่า ชุดของสัญญาอนุญาตแบบเปิดกว้าง
แปลความกันสักเล็กน้อย
ก่อนอื่นแนะนำคำศัพท์พื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับประเด็นด้านนี้ก่อน
ในโลกยุคปัจจุบัน ประเทศส่วนมากใช้ระบบกฎหมายด้านทรัพย์สินทางปัญญาตามสนธิสัญญากรุงเบิร์น ซึ่งประเทศไทยก็เซ็นสัญญากับเขาด้วย
ตามสนธิสัญญากรุงเบิร์นนั้น "ลิขสิทธิ์" หรือสิทธิ์ในการหาประโยชน์จากชิ้นงาน จะตกเป็นของผู้สร้างโดยทันทีที่เผยแพร่ผลงานนั้นออกไปยังคนอื่น ความเป็นเจ้าของสิทธิ์นี้เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ (ในทางกฎหมาย) และสิทธิ์อันนี้สามารถส่งต่อให้กับผู้อื่นได้
ถ้าเราต้องการนำผลงานชิ้นนั้นๆ ไปใช้งานต่อ กระบวนการที่ถูกต้องตามกฎหมายแบบเป๊ะๆ ก็คือเราต้องทำเรื่องขออนุญาตไปยังเจ้าของผลงาน (ซึ่งจะต้องเสียเงินหรือไม่ก็แล้วแต่เจ้าของ) ส่วนเจ้าของจะให้สิทธิ์เพียงบางส่วน (เช่น JK Rowling ให้สิทธิ์ Warner Bros. นำ Harry Potter ไปทำภาพยนตร์เท่านั้น ไม่สามารถนำไปทำละครเวทีได้) หรือจะขายสิทธิ์ทั้งหมดขาด ก็ขึ้นอยู่กับการตกลงกันในระหว่างการเจรจา
เมื่อเจ้าผลงานของเสียชีวิตไประยะเวลาหนึ่ง (ซึ่งต่างกันตามรูปแบบของงานและกฎหมายในแต่ละประเทศ แต่เฉลี่ยก็หลัก 30-50-75 ปี) ผลงานชิ้นนั้นจะเปลี่ยนสภาพเป็น "สมบัติสาธารณะ" (public domain) ซึ่งไม่มีใครเป็นเจ้าของ และทุกคนสามารถนำมันไปใช้ได้โดยไม่ต้องขออนุญาตใครก่อน (เหมือนกับขุดดินหรือตักน้ำในที่สาธารณะ) อย่างเช่น ตอนนี้ถ้าผมอยากนำงานของเชคสเปียร์มาพิมพ์ขายใหม่ ก็ไม่ต้องขอใคร ลงทุนแค่ค่ากระดาษอย่างเดียว
กฎหมายลิขสิทธิ์นั้นสร้างขึ้นเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของเจ้าของผลงาน ซึ่งมันทำงานได้ดีในกรณีที่เจ้าของต้องการนำผลงานนั้นไปหาประโยชน์ (เช่น ขายเพื่อหาเงินมาเลี้ยงชีพ) แต่ในกรณีที่เจ้าของไม่ต้องการนำไปหาประโยชน์ (เช่น งานสร้างสรรค์ของหน่วยงานรัฐที่ไม่หวังผลกำไร) มันก็เริ่มมีปัญหา
สมมติว่าองค์กรไม่หวังผลกำไร A ผลิตเอกสารหรือบทความให้ความรู้กับประชาชนขึ้นมา บทความชิ้นนี้มีประโยชน์มาก และผู้สร้างก็อยากให้บทความนี้เผยแพร่สู่ประชาชนจำนวนมากที่สุด โดยไม่หวังประโยชน์ แต่ถ้าผมต้องการนำบทความนี้ไปใส่ในหนังสือรุ่นหรือวารสารในสถานศึกษา ขั้นตอน (ที่ถูกต้องตามกฎหมาย) ก็คือผมต้องทำหนังสือขออนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรไปยังหน่วยงาน A เพื่อขอใช้งาน ตามเรื่องราวก็ไม่ควรจะมีปัญหาอะไร หน่วยงาน A ตอบกลับมาว่ายินดี และสุดท้ายแล้วผมเอาบทความชิ้นนี้ไปลงในหนังสือได้ตามต้องการ
ฟังดูเหมือนไม่มีอะไร แต่เอาเข้าจริงแล้ว มันมีค่าใช้จ่ายแฝงเป็นจำนวนมาก
อันนี้แค่กรณีตัวอย่างแบบง่ายๆ เท่านั้นนะครับ มันจะเริ่มยากขึ้นถ้ามีเงื่อนไขแปลกๆ เข้ามา เช่น บริษัท B ทำสารคดีที่ฉายทางโทรทัศน์ ได้ประโยชน์เป็นค่าโฆษณา แต่วันหนึ่งผู้บริหารของบริษัท B ไปคุยกับผู้บริหารสถาบันการศึกษา คุยไปคุยมาผู้บริหารสถาบันการศึกษาอยากขอสารคดีนี้ไปเผยแพร่ ผู้บริหารของ B ตกลง ค่าใช้จ่ายที่จะตามมาคือ
ค่าใช้จ่ายแฝงที่ยกตัวอย่างเหล่านี้ กลายเป็นกำแพง (ทางกฎหมาย) ระหว่างผู้ที่ต้องการนำเนื้อหาไปใช้งาน และเจ้าของเนื้อหา (ที่ยินดีให้นำไปใช้งานอยู่แล้ว อันนี้มองเฉพาะกรณีที่ยินดีอนุญาตให้ใช้) และในหลายๆ ครั้งมันเลยทำให้เรา "เสียโอกาส" ที่จะนำเนื้อหาดีๆ มีคุณค่าไปทำประโยชน์ต่อ ทั้งที่ใจของเจ้าของเค้าอนุญาตอยู่แล้ว ทั้งที่จริงๆ แล้วแค่เขียนเมลไปบอกสักฉบับก็น่าจะพอแล้ว น่าเสียดายไหมครับ?
วิธีการแก้ปัญหาข้างต้นก็ทำได้หลายทาง ดังนี้
ข้อ (4) นี่ล่ะครับเป็นรากฐานของ Creative Commons
ปัญหาของข้อ (4) ก็คือต่างคนต่างประกาศกันมั่วไปหมด คนนำไปใช้ต่อก็เลยสับสน (แถมยังมีประเด็นว่าเจ้าของงานจำนวนมาก ไม่รู้ว่ามันทำแบบนี้ได้) โครงการ Creative Commons เลยแก้ปัญหาดังนี้
เรื่องชุดของเงื่อนไขและโลโก้ ผมขอเขียนถึงคร่าวๆ ว่ามี 4 แบบหลักๆ ดังนี้
หมายเหตุ: ถ้าใครคุ้นเคยกับ GPL ในโลกของซอฟต์แวร์ ก็จะมีลักษณะคล้ายๆ กัน (จะมองว่า GPL เป็นสัญญาแบบหนึ่งใน CC ก็พอได้ โดยจะเป็น cc-sa แต่ว่าในรายละเอียดแล้วยังใช้ด้วยกันไม่ได้ อ่านข่าว วิกิพีเดียกำลังดำเนินการเพื่อความเข้ากันได้กับครีเอทีฟคอมมอนส์ และ ครีเอทีฟคอมมอนส์มุ่งหน้าสู่รุ่น "3.5" เข้ากันได้กับวิกิพีเดียมากขึ้น ประกอบ)
เจ้าของผลงานสามารถเลือกผสมผสานเงื่อนไขทั้ง 4 แบบได้ตามต้องการครับ อย่างไรก็ตาม เพื่อรักษาการเคารพในสิทธิ์ของผู้สร้าง Creative Commons ทุกประเภทจะมี by อยู่ในเงื่อนไขเสมอ ผมขอไม่ลงรายละเอียดของ CC แต่ละแบบ และวิธีการประกาศใช้ ถ้าสนใจสามารถเข้าไปที่หน้า License Your Work ของเว็บไซต์ Creative Commons กรอกฟอร์มแล้วจะได้ตราสัญลักษณ์ของ CC ที่เหมาะกับเงื่อนไขของเรามาใช้งาน
ตัวอย่างของ Blognone ใช้สัญญาอนุญาตแบบ Creative Commons Attribution ก็แปลว่า ถ้าคุณต้องการนำเนื้อหาของ Blognone ไปใช้งาน ก็เอาไปได้เลย ขอเพียงแค่บอกว่าเอามาจาก Blognone และลิงก์มายังข่าวต้นฉบับเท่านั้น เอาไปรวมเล่ม (derivative) เพื่อขาย (commercial) ก็ได้ครับ ไม่ได้ห้ามไว้
ก่อนอื่นผมขอย้ำว่า ไม่ใช่งานทุกชนิดที่ควรใช้ Creative Commons
งานที่เหมาะจะประกาศเป็น Creative Commons คืองานที่ตั้งใจเผยแพร่เพื่อเป็นประโยชน์แก่คนทั่วไปอยู่แล้ว (เท่านั้น) Creative Commons เป็นแค่ "เครื่องมือ" ในการตัดตอนกระบวนการเสียเวลาและเสียค่าใช้จ่ายที่ผมยกตัวอย่างให้ดูข้างต้นออกไป
ในความเป็นจริงแล้ว คนเราสามารถใช้ทั้งลิขสิทธิ์เต็มรูปแบบ (copyright) และ Creative Commons ควบคู่กันไปได้ ตัวอย่างเช่น นาย C เป็นช่างภาพฝึกหัดที่ยังไม่มีชื่อเสียง
นาย D แวะเวียนเข้ามาเห็นภาพของนาย C ว่าสวยจัง เอาไปลงเว็บของตัวเองซึ่งสามารถทำได้ทันทีเพราะนาย C ประกาศเอาไว้แล้วว่าทำได้ เผอิญว่าเว็บของนาย D มีคนเข้าเยอะมาก ภาพนั้นดันไปเตะตา บก. E เข้าให้ บก. E เห็นชื่อของนาย C ใต้ภาพ (เพราะคุณพี่ D เคารพสัญญาอนุญาต เอารูปมาลงแล้วขึ้นชื่อให้ว่าเอามาจากที่ไหน) เลยติดต่อไปยังนาย C สุดท้ายแล้วภาพที่ว่าได้ลงปกนิตยสาร FHM เป็นต้น
งานนี้ทุกฝ่ายแฮปปี้
เห็นประโยชน์ของ Creative Commons กันหรือยังครับ :D
เยอะแยะมากมายเต็มไปหมด ถ้าเอาที่ดังๆ พอให้เรียกน้ำย่อย
ของเมืองนอก
ของไทย
ถาม: ทำไมต้องทำ?
ตอบ: เพราะว่า Creative Commons ต้นฉบับถูกสร้างขึ้นในสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีระบบกฎหมายบางจุดแตกต่างจากเมืองไทย (ใครจำ Civil law/Common law สมัยเรียนมัธยมกันได้บ้าง?) จึงต้องมีการแปล ทบทวน รีวิว ตรวจแก้ กันหลายรอบให้ Creative Commons ใช้งานในไทยได้อย่างสมบูรณ์
ถาม: แล้วจะได้อะไร
ตอบ: ได้ความสบายใจว่า ถ้าเราประกาศงานของเราเป็น CC แล้วมีคนละเมิดเงื่อนไขของเรา ตอนฟ้องกันโอกาสชนะจะเพิ่มขึ้นสูงมาก เพราะว่าทีมกฎหมายได้ตรวจสอบกันแล้วว่าสัญญาที่แปลงให้ใช้งานในประเทศไทยได้ มันไม่มีอะไรขัดกับกฎหมายลิขสิทธิ์เมืองไทย
ถาม: ใครเป็นคนทำ
ตอบ: คณะกรรมการซึ่งเป็นอาสาสมัครหลายท่าน (ผมเป็นหนึ่งในนั้น รายชื่อเต็มๆ ดูได้จากเว็บไซต์ของ Creative Commons Thailand) ส่วนกระบวนการด้านกฎหมายนั้นเป็นฝีมือของสำนักงานกฎหมายธรรมนิติ ซึ่งเป็นบริษัทด้านกฎหมาย (law firm) อันดับต้นๆ ของประเทศ
ถาม: เสร็จแล้วจะเกิดผลกระทบอะไรบ้าง
หลังการแถลงข่าว ตัวสัญญาเวอร์ชันประเทศไทยจะขึ้นบนเว็บไซต์ Creative Commons อันหลัก ต่อไปก็ลิงก์ไปยังสัญญาเวอร์ชันไทยแทนที่จะเป็นสัญญาเวอร์ชันภาษาอังกฤษ (ดูตัวอย่าง สัญญาภาษาญี่ปุ่น)
การใช้ Creative Commons
สุดท้ายนี้ผมขอชักชวนให้ผู้อ่าน Blognone ทุกคนที่มีบล็อก (หรือพื้นที่แสดงผลงานส่วนตัวอื่นๆ เช่น Multiply) เขียนถึงข่าว Creative Commons ฉบับประเทศไทยเสร็จสมบูรณ์ เพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมการต่อยอดอย่างสร้างสรรค์และถูกกฎหมายในเมืองไทย คุณสามารถนำเอาบทความนี้ไปปู้ยี่ปู้ยำได้เต็มที่ (แหงล่ะ มันเป็น CC นี่) ขอเพียงแค่อ้างอิงที่มาว่ามาจากที่ไหน และผมก็ขอชักชวนอีกว่า บล็อกหรือผลงานที่คุณสร้างเสร็จแล้ว ก็น่าจะทดลองใช้ CC ด้วย (ถ้าไม่เคยใช้จะได้ลองประเดิม) สามารถประกาศเฉพาะงานชิ้นนั้นๆ ไว้ได้ต่อท้ายบทความครับ
ถ้าใครเขียนถึง Creative Commons หรือมีผลงานที่เป็น CC อยู่แล้ว และอยากเผยแพร่ (เราก็อยากรู้ว่าคุณใช้) แปะลิงก์ไว้ในคอมเมนต์กันได้ตามสะดวก ส่วนใครที่จะไปร่วมงานเปิดตัว CC ด้วย เจอกันที่งานครับ
Comments
เหมือนตัวอย่าง C-D-E จะสลับตัวละครกันอยู่นะครับ..หรือผมเข้าใจผิด
คิดเหมือนกันครับ รู้สึก C จะสลับกับ D
สลับกันจริงด้วย - -"
แก้เรียบร้อยแล้วครับ
ดีๆๆๆๆ เป็นข่าวดี
------
Unlimited Asian Music (ดูเอ็มวี ไทย, เกาหลี และญี่ปุ่น ฟรีๆ)
ไม่ได้ประกาศเป็นทางการครับ ... แต่ FuKDuK.tv blog.fukduk.tv และ Mag.fukduk.tv ทั้งสามตัวนี้เป็น Creative Commons By NC ครับผม ตั้งแต่วันแรกที่เปิดบริษัทเลยครับ
ยินดีด้วยครับ ... ตั้งน่าัตั้งตารอมานานเสียทีครับ ... ติดแค่กฏหมายไทยนี่แหล่ะครับ ... ตอนนี้กำลังดำเนินการเอาตรา "ซีซี" ไปลง End Credit ทุกรายการอยู่ครับผม
ขอบคุณครับ สวัสดีครับ
:: Take minimum, Give Maximum ::
อาจจะได้ไปร่วมงานด้วย ใกล้มหาลัย
*การ์ตูนเรื่อง Code Geass ก็มี CC นะ :D
ในวงเล็บเขียนผิดหรือเปล่าครับ ผมเข้าใจว่าน่าจะเป็น (และแน่นอนว่าต้องขออนุญาต)
ช่วยยืนยันอีกที ขอบคุณครับ
แก้ไขแล้วครับ ขอบคุณครับ
ขออนุญาตินำไปเผยแพร่นะครับ ผมเอาลงที่ pantip.com ห้องกล้องครับ
อ๊ากกก ดีใจเว็บไซต์มหาวิทยาลัยของผมเป็น CC กะเขาด้วย lolz
ฝากแก้ Details Joys Magazine ด้วยครับ มีทั้งเกม การืตูน และไลฟ์สไตลจิปาถะนะครับ เดี๋ยวคนเข้าใจผิดว่ามีแต่การ์ตูน ^ ^"
แก้ไขให้แล้วครับ
เจอกันในงานน่ะครับ ฝึกงานที่หอศิลป์ฯ พอดี
(ที่จริงรู้จากเอกสารขอใช้สถานที่แล้วล่ะ ฮิฮิฮิ)
มันจะช่วยเรื่องการก๊อปปี้คอนเท้นแบบหน้าdanของเวบบ้านเราได้มั้ยน้อ
อ่อ นึกอีกที มันไม่เกี่ยวกับ cc ซินะ มันเกี่ยวกับจิตสำนึก
น่าบยินดีมากมายครับ น่าจะทำเสื้อมาขายฉลอง CC ประเทศไทยนะครับเนี่ย :)
---
Khajochi Blog : It's not a Bug ... It's a Feature
แฟนพันธุ์แท้สตีฟจ็อบส์ | MacThai.com
เข้าไปทดสอบหน้า http://creativecommons.org/license/?lang=th ตรง
"ชื่อที่จะให้ระบุที่มาถึง" กับ
"ที่อยู่อินเทอร์เน็ต"
เหมือนว่ามันจะ Gen html code มาผิดอะครับ